Perfect Superstar 75 อย่าลืมปี 2015

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 75 อย่าลืมปี 2015 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 75 อย่าลืมปี 2015

วันที่ 9 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 งานรับปริญญารุ่นปี 2011 ของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ถูกจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ย

หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ยก่อสร้างขึ้นโดยเงินบริจาคจากเหอเหลียงเหว่ยมหาเศรษฐีอันดับต้นในมาเก๊าและนักธุรกิจที่รักประเทศ ใช้สไตล์การก่อสร้างแบบจีนทั้งหมด มีขนาดใหญ่ ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ที่นั่งชั้นบนและชั้นล่างรวมกันสามารถจุผู้ชมได้ 6,500 คน

เหอเหลียงเหว่ยเป็นราชานักพนันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก มีโรงแรมใหญ่ระดับเจ็ดดาวทั้งในมาเก๊าและปักกิ่งกับบ่อนคาสิโนสุดหรูหราอีกสามแห่ง ขอบเขตของกิจการที่เกี่ยวข้องคือการพนันและลอตเตอรี่ อสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ และงานบันเทิงเป็นต้น มีทรัพย์สินเกินกว่าห้าหมื่นล้าน

ราชานักพนันคนนี้เกิดในครอบครัวที่ยากจน เรียนมัธยมศึกษาตอนต้นไม่จบก็วิ่งไปเป็นพ่อค้าขายปลาตามท้องถนน จากนั้นก็อาศัยความขยันและสมองที่ชาญฉลาดเดินไปทีละก้าวจนกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในมาเก๊า เป็นตำนานในมหานครใหญ่ยุคปัจจุบันอยู่ช่วงหนึ่ง

ทว่าสิ่งที่ทุกคนต่างเล่าขานกันอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่ประสบการณ์การบากบั่นต่อสู้ของเขา แต่เป็นความโชคดีที่ผู้หญิงสวยต่างก็ชอบราชานักพนันคนนี้

เหอเหลียงเหว่ยมีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่กลับมีภรรยาถึงเจ็ดคน นอกจากภรรยาใหญ่ที่แต่งงานตามกฎหมายแล้ว ก็ยังมีอีกหกคน อยู่ที่มาเก๊าสี่คนและที่ฮ่องกงอีกสองคน มีลูกชายและลูกสาวรวมกันทั้งหมดสิบเก้าคน ถือว่าเป็นผู้ชนะในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง

หลังจากเหอเหลียงเหว่ยเข้าสู่วัยชราเขาก็ชอบทำการกุศล ทุกปีเขาจะบริจาคเงินเพื่อการกุศลมากกว่าหนึ่งพันล้าน ส่วนใหญ่จะช่วยบริจาคในด้านการศึกษาและการรักษาทางการแพทย์ สถานที่ก่อสร้างอย่างโรงพยาบาล ห้องสมุด หอประชุม อาคารห้องปฏิบัติการ โรงยิมและสถานที่ก่อสร้างอื่นๆ มากกว่าหนึ่งร้อยแห่งจะตั้งชื่อตามชื่อของเขา

หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ยของมหาวิทยาลัยเจียงไห่สร้างขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว และยังเป็นแถวหน้าของสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ

เวลาเก้าโมงเช้า มีคนนั่งเต็มทุกที่นั่งภายในหอประชุม

ลู่เฉินและเกาเฮ่อสามคนนั่งอยู่แถวหลังของชั้นล่าง รอบตัวพวกเขาคือเพื่อนนักศึกษาห้องเดียวกันคณะเดียวกันทั้งหมด

เนื่องจากนักศึกษาชั้นปีที่สี่จะมีช่วงปฏิบัติงานเพื่อสังคมครึ่งปี จึงมีเพื่อนนักศึกษาที่คุ้นหน้าหลายคนไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว ทุกคนได้เจอกันที่นี่อีกครั้งย่อมดีใจมากเป็นพิเศษ พูดคุยหัวเราะและถามสารทุกข์สุกดิบด้วยความห่วงใย

แต่พอคิดว่าหลังจากวันนี้ก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว ก็รู้สึกเศร้าและอาลัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ลู่เฉินยื่นหนังสือขอปฏิบัติงานเพื่อสังคมล่วงหน้าครึ่งปี พอคำนวณแล้วเขาออกไปจากมหาวิทยาลัยหนึ่งปีแล้ว มีเพื่อนนักศึกษาหลายคนวิ่งเข้ามาคุยกับเขาสองสามประโยคโดยเฉพาะ ถามความเป็นอยู่ของเขาในช่วงนี้และแผนในอนาคต มีบางคนอยากชวนเขามาสร้างบริษัทด้วยกัน

ลู่เฉินมีมนุษยสัมพันธ์ในมหาวิทยาลัยที่ไม่เลว ถึงแม้จะไม่ได้ชอบเขาทุกคน แต่คนที่ยอมเป็นเพื่อนกับเขาก็มีไม่น้อย

แน่นอนว่าก็มีบางคนที่เห็นเขาขัดหูขัดตา

อย่างเช่นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงคนนี้ที่เพิ่งเดินผ่านมา ใบหน้าฉายความดูถูก พูดอย่างกวนๆ ว่า

“ลู่เฉิน นายอยู่ที่ปักกิ่งเป็นยังไงบ้าง ชีวิตคนหลงกรุงไม่ง่ายใช่ไหมล่ะ เงินที่หาได้พอกินข้าวไหม”

“จางจินผิง นายไม่พูดก็ไม่มีใครว่านายเป็นใบ้นะ!”

ลู่เฉินยังไม่ได้ตอบ เกาเฮ่อก็โกรธแล้ว

เขาพลันลุกขึ้น ก้มมองอีกฝ่ายตาเขม็ง “คันเนื้อคันตัวนักใช่ไหม”

ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงถอยหลังไปครึ่งก้าว แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เกาเฮ่อ นายอย่าเป็นคนไม่สำนึกบุญคุณ ฉันถามลู่เฉินก็แค่อยากช่วยเท่านั้น เดือนหน้าฉันจะไปทำงานที่บริษัทอี้หว่าง อยู่ในปักกิ่งเหมือนกันจะได้คอยดูแลช่วยเหลือกันไง”

บริษัทอี้หว่างเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตสิบอันดับแรกของประเทศ นอกจากนี้ยังมีรายชื่อการซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นแนสแด็กของสหรัฐอเมริกา สำหรับนักศึกษาที่จบจากคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเจียงไห่แล้วคือตัวเลือกในการทำงานที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่ชื่อจางจินผิงคนนี้จึงตื่นเต้นดีใจอย่างไม่ปิดบัง

“บริษัทอี้หว่าง? นั่นมันสถานที่เลี้ยงหมูที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เหรอ”

โจวรุ่ยพูดจาแปลกๆ “อืม ที่นั่นเหมาะสมกับนายมากๆ!”

เถ้าแก่ของบริษัทอี้หว่างเสียเงินทุนจำนวนมหาศาลเมื่อสองปีก่อน เปิดฟาร์มเลี้ยงหมูแนวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าเสียเงินไปหลายสิบล้าน บริษัทอี้หว่างจึงถูกเรียกว่าฟาร์มเลี้ยงหมู นอกจากนี้ยังมีความหมายแฝงอย่างอื่นด้วย

เกาเฮ่อกับว่านหงจื้อหัวเราะลั่นขึ้นมา

ลู่เฉินก็หัวเราะ แล้วพูดว่า “จางจินผิง น้ำใจของนายฉันรับไว้แล้ว นายกลับไปนั่งที่ของตัวเองเถอะ”

จางจินผิงก็อยู่คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์เช่นกัน เพียงแต่เขาอยู่คณะเดียวกันแต่เรียนคนละห้อง ตอนนั้นไอ้หนุ่มคนนี้ก็เคยตามจีบหวางอิ๋ง ผลคือถูกลู่เฉินคว้าไปครอง เขาจึงกลายเป็นผู้แพ้ไปโดยปริยาย

ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวลู่เฉิน และยังเลิกกับหวางอิ๋ง จางจินผิงจึงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเป็นอย่างมาก แถมยังพูดเยาะเย้ยถากถางลู่เฉินไม่น้อย ชอบทำตัวเป็นคนเลวที่โอหังตลอดเวลา

เขาคิดว่าวันนี้คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้โจมตีลู่เฉิน ดังนั้นจึงตั้งใจมาพูดเยาะเย้ยเขาเป็นพิเศษ ผลสุดท้ายคือถูกเกาเฮ่อและโจวรุ่ยสองคนตอกกลับจนหน้าเสีย หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ!

ลู่เฉินไม่อยากถือสาอีกฝ่าย ตอนที่เขาตกต่ำที่สุดก็ไม่เคยเห็นจางจินผิงอยู่ในสายตา

นับประสาอะไรกับตอนนี้?

จางจินผิงอยากจะพูดเยาะเย้ยอีกสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของเกาเฮ่อ สุดท้ายเขาจึงได้แต่เดินกลับไปด้วยความโกรธ

แต่ก่อนเขาก็เคยถูกเกาเฮ่อชกมาแล้ว

“เล่นบ้าบออะไรกัน!”

โจวรุ่ยพูดอย่างดูถูก “ฉันได้ยินว่าหลังจากที่พี่สามไปปักกิ่งแล้ว เขายังวิ่งไปจีบหวางอิ๋งอีก ผลคือหวางอิ๋งก็ไม่สนใจและทิ้งเขา ครั้งนี้ไม่รู้ว่าใช้เส้นสายของใคร ถึงเข้าไปอยู่ในฟาร์มหมูได้…”

มหาวิทยาลัยเจียงไห่เป็นมหาวิทยาลัยสำคัญของประเทศ มีการไปมาหาสู่กันระหว่างบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาโดยตลอด ทุกปีจะแนะนำนักศึกษาเรียนดีกลุ่มหนึ่งให้กับบริษัทเหล่านี้

แน่นอนว่าสามารถได้รับการแนะนำจากมหาวิทยาลัย ใช่ว่าจะต้องเป็นนักเรียนดีเด่นเสมอไป

ว่านหงจื้อดึงเขาเงียบๆ โจวรุ่ยพลันรู้ตัวแล้วก็หุบปากทันที

ต่อหน้าลู่เฉิน อย่าพูดชื่อของหวางอิ๋ง

ลู่เฉินไม่ใส่ใจ หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว”

ท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงสุดอลังการ งานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเจียงไห่รุ่นที่ 2011 เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ อันดับแรกเชิญอธิการของมหาวิทยาลัยเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ก่อน เนื้อหาไม่มีอะไรมาก เล่าถึงอดีตแล้วก็ให้มองอนาคตข้างหน้า เป็นคำพูดสวยหรูตามมารยาทเท่านั้น

หลังจากอธิการพูดจบ จากนั้นคือการกล่าวสุนทรพจน์ของตัวแทนนักศึกษาดีเด่น

ทุกคนฟังจนง่วงนอน จนกระทั่งถึงการมอบใบปริญญาบัตร

มหาวิทยาลัยเจียงไห่ใช้ระบบเก็บหน่วยกิต หากเก็บหน่วยกิตพอแล้วก็สามารถเรียนจบได้

ลู่เฉินเรียนไปวันๆ ตอนอยู่ชั้นปีที่หนึ่งและปีที่สอง แต่ตอนเขาอยู่ชั้นปีที่สามก็พยายามเก็บหน่วยกิตที่จำเป็นในการจบการศึกษาให้มากพอ ไม่อย่างนั้นเขาต้องสละการรับปริญญาบัตร ถึงจะไปทำงานที่ปักกิ่งในชั้นปีที่สี่ได้

ตอนเข้าคิวบนเวทีเพื่อรับวุฒิการศึกษาสีแดงสดจากมือของอธิการ ลู่เฉินรู้สึกถึงพลังที่อยู่ในนั้นได้

ถึงแม้ลู่เฉินอาจจะไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษานี้ในอนาคต แต่มันก็เป็นตัวแทนที่บอกถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเอง

อดีตของความสุข ความหวานชื่น ความเศร้าใจ ความเจ็บปวด ความลำบากและขยันเหล่านั้น!

พอรับวุฒิการศึกษาแล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดครุย ทุกคนวิ่งไปถ่ายรูปจบการศึกษาที่สนามหญ้าขนาดใหญ่ด้วยกัน

คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ถ่ายรูปร่วมกันทั้งคณะหนึ่งใบ เพื่อนนักศึกษาห้องเดียวกันหนึ่งใบ เพื่อนหอพักเดียวกันหนึ่งใบ…

เสียงชัตเตอร์ดังติดต่อกันไม่หยุดพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข กลายเป็นทำนองเพลงหลักของมหาวิทยาลัยในตอนนี้

ทิ้งความเศร้าและเสียใจออกไป จดจำชีวิตในมหาวิทยาลัยของพวกเราไว้

อย่าลืมปี 2015!

เวลาหนึ่งทุ่ม งานเลี้ยงจบการศึกษาถูกจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ยเหมือนเดิม

เมื่อเทียบกับพิธีรับปริญญาบัตรในตอนเช้า นักศึกษาที่มาร่วมงานเลี้ยงจบการศึกษาตอนเย็นมีจำนวนมากกว่า ที่นั่ง 6,500 คนในหอประชุมใหญ่มีคนเข้ามามากกว่าแปดพันคน มีคนยืนอยู่ตรงทางเดินทั้งสองข้างอยู่ไม่น้อย และบางที่ก็แบ่งกันนั่ง

คนมากมายไม่ใช่นักศึกษาที่จบในรุ่น 2011 หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือมาดูความครึกครื้นเท่านั้น บ้างก็มาส่งรุ่นพี่

การแสดงบนเวทีขนาดใหญ่พร้อมแล้ว หน้าจอแอลอีดีขนาดยักษ์เล่นวิดีโอโปรโมทมหาวิทยาลัยเจียงไห่ซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นเพลงก็ดังขึ้นและเปิดไฟสว่างทั้งหมด พิธีกรงานเลี้ยงทั้งสองปรากฏตัวบนเวที

“กราบเรียนท่านอธิการที่เคารพ กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพทุกท่าน…”

“เรียนเพื่อนๆ และแขกที่เป็นห่วงการพัฒนาของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ของพวกเรา…”

“นักศึกษาทุกคนของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ สวัสดีตอนเย็น!”

“อย่างแรก ขอเสียงปรบมือเป็นกำลังใจ มอบให้แก่คณาจารย์ที่เสียเหงื่อและกำลังใจมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อการเติบโตของพวกเรา อาจารย์…ลำบากพวกคุณแล้ว!”

หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ด้วยเสียงที่ไพเราะเสนาะหูของพิธีชายหญิง งานเลี้ยงการจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ปี 2015 จึงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

เสียงปรบมือคึกคัก จากนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นมาในหอประชุมใหญ่ ราวกับลมพายุในฤดูร้อน

“ท่วงทำนองการเต้นรำของคนรุ่นเยาว์ ลอยไปตามตัวโน้ตของหนุ่มสาว จุดประกายความกระตือรือร้น แผดเผาความฝันของเธอกับฉันให้โบยบิน!”

“พวกเรานำพาอนาคตที่สวยงามและสดใส เต็มไปด้วยความสุข แต่พวกเราต้องเศร้าใจกับการจากไปในเร็วๆ นี้!”

“พวกเรานัดพบกันในฤดูที่สวยงามมีสีสัน สีเขียวมรกตเข้าสู่ดวงตา ก้มมองหญ้าอ่อนสีเขียว กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพรัก เพื่อนนักศึกษาที่รักทุกคน ยามที่เธอได้ยินเสียงจักจั่นในฤดูร้อน พวกเราต้องเจอกับช่วงเวลาสุดท้ายของการจากกัน!”

“คืนนี้ มีอาจารย์และนักศึกษามาชุมนุมกันเกือบหนึ่งหมื่นคน ต่างมาที่นี่ด้วยอารมณ์ที่ไม่เหมือนกัน…”

ตอนที่พิธีกรกำลังโชว์ฝีปากบนเวที ลู่เฉินก็เดินมาที่หลังเวทีอย่างเงียบๆ

…………………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Perfect Superstar 75 อย่าลืมปี 2015

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 75 อย่าลืมปี 2015 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 75 อย่าลืมปี 2015

วันที่ 9 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 งานรับปริญญารุ่นปี 2011 ของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ถูกจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ย

หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ยก่อสร้างขึ้นโดยเงินบริจาคจากเหอเหลียงเหว่ยมหาเศรษฐีอันดับต้นในมาเก๊าและนักธุรกิจที่รักประเทศ ใช้สไตล์การก่อสร้างแบบจีนทั้งหมด มีขนาดใหญ่ ใช้สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย ที่นั่งชั้นบนและชั้นล่างรวมกันสามารถจุผู้ชมได้ 6,500 คน

เหอเหลียงเหว่ยเป็นราชานักพนันที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก มีโรงแรมใหญ่ระดับเจ็ดดาวทั้งในมาเก๊าและปักกิ่งกับบ่อนคาสิโนสุดหรูหราอีกสามแห่ง ขอบเขตของกิจการที่เกี่ยวข้องคือการพนันและลอตเตอรี่ อสังหาริมทรัพย์ โลจิสติกส์ และงานบันเทิงเป็นต้น มีทรัพย์สินเกินกว่าห้าหมื่นล้าน

ราชานักพนันคนนี้เกิดในครอบครัวที่ยากจน เรียนมัธยมศึกษาตอนต้นไม่จบก็วิ่งไปเป็นพ่อค้าขายปลาตามท้องถนน จากนั้นก็อาศัยความขยันและสมองที่ชาญฉลาดเดินไปทีละก้าวจนกลายเป็นบุคคลมีชื่อเสียงในมาเก๊า เป็นตำนานในมหานครใหญ่ยุคปัจจุบันอยู่ช่วงหนึ่ง

ทว่าสิ่งที่ทุกคนต่างเล่าขานกันอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่ประสบการณ์การบากบั่นต่อสู้ของเขา แต่เป็นความโชคดีที่ผู้หญิงสวยต่างก็ชอบราชานักพนันคนนี้

เหอเหลียงเหว่ยมีหน้าตาอัปลักษณ์ แต่กลับมีภรรยาถึงเจ็ดคน นอกจากภรรยาใหญ่ที่แต่งงานตามกฎหมายแล้ว ก็ยังมีอีกหกคน อยู่ที่มาเก๊าสี่คนและที่ฮ่องกงอีกสองคน มีลูกชายและลูกสาวรวมกันทั้งหมดสิบเก้าคน ถือว่าเป็นผู้ชนะในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริง

หลังจากเหอเหลียงเหว่ยเข้าสู่วัยชราเขาก็ชอบทำการกุศล ทุกปีเขาจะบริจาคเงินเพื่อการกุศลมากกว่าหนึ่งพันล้าน ส่วนใหญ่จะช่วยบริจาคในด้านการศึกษาและการรักษาทางการแพทย์ สถานที่ก่อสร้างอย่างโรงพยาบาล ห้องสมุด หอประชุม อาคารห้องปฏิบัติการ โรงยิมและสถานที่ก่อสร้างอื่นๆ มากกว่าหนึ่งร้อยแห่งจะตั้งชื่อตามชื่อของเขา

หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ยของมหาวิทยาลัยเจียงไห่สร้างขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว และยังเป็นแถวหน้าของสถาปัตยกรรมแบบเดียวกันในมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ

เวลาเก้าโมงเช้า มีคนนั่งเต็มทุกที่นั่งภายในหอประชุม

ลู่เฉินและเกาเฮ่อสามคนนั่งอยู่แถวหลังของชั้นล่าง รอบตัวพวกเขาคือเพื่อนนักศึกษาห้องเดียวกันคณะเดียวกันทั้งหมด

เนื่องจากนักศึกษาชั้นปีที่สี่จะมีช่วงปฏิบัติงานเพื่อสังคมครึ่งปี จึงมีเพื่อนนักศึกษาที่คุ้นหน้าหลายคนไม่ได้เจอหน้ากันมานานแล้ว ทุกคนได้เจอกันที่นี่อีกครั้งย่อมดีใจมากเป็นพิเศษ พูดคุยหัวเราะและถามสารทุกข์สุกดิบด้วยความห่วงใย

แต่พอคิดว่าหลังจากวันนี้ก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว ก็รู้สึกเศร้าและอาลัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ลู่เฉินยื่นหนังสือขอปฏิบัติงานเพื่อสังคมล่วงหน้าครึ่งปี พอคำนวณแล้วเขาออกไปจากมหาวิทยาลัยหนึ่งปีแล้ว มีเพื่อนนักศึกษาหลายคนวิ่งเข้ามาคุยกับเขาสองสามประโยคโดยเฉพาะ ถามความเป็นอยู่ของเขาในช่วงนี้และแผนในอนาคต มีบางคนอยากชวนเขามาสร้างบริษัทด้วยกัน

ลู่เฉินมีมนุษยสัมพันธ์ในมหาวิทยาลัยที่ไม่เลว ถึงแม้จะไม่ได้ชอบเขาทุกคน แต่คนที่ยอมเป็นเพื่อนกับเขาก็มีไม่น้อย

แน่นอนว่าก็มีบางคนที่เห็นเขาขัดหูขัดตา

อย่างเช่นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงคนนี้ที่เพิ่งเดินผ่านมา ใบหน้าฉายความดูถูก พูดอย่างกวนๆ ว่า

“ลู่เฉิน นายอยู่ที่ปักกิ่งเป็นยังไงบ้าง ชีวิตคนหลงกรุงไม่ง่ายใช่ไหมล่ะ เงินที่หาได้พอกินข้าวไหม”

“จางจินผิง นายไม่พูดก็ไม่มีใครว่านายเป็นใบ้นะ!”

ลู่เฉินยังไม่ได้ตอบ เกาเฮ่อก็โกรธแล้ว

เขาพลันลุกขึ้น ก้มมองอีกฝ่ายตาเขม็ง “คันเนื้อคันตัวนักใช่ไหม”

ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงถอยหลังไปครึ่งก้าว แล้วพูดด้วยความโกรธว่า “เกาเฮ่อ นายอย่าเป็นคนไม่สำนึกบุญคุณ ฉันถามลู่เฉินก็แค่อยากช่วยเท่านั้น เดือนหน้าฉันจะไปทำงานที่บริษัทอี้หว่าง อยู่ในปักกิ่งเหมือนกันจะได้คอยดูแลช่วยเหลือกันไง”

บริษัทอี้หว่างเป็นบริษัทอินเทอร์เน็ตสิบอันดับแรกของประเทศ นอกจากนี้ยังมีรายชื่อการซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้นแนสแด็กของสหรัฐอเมริกา สำหรับนักศึกษาที่จบจากคณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัยเจียงไห่แล้วคือตัวเลือกในการทำงานที่ดีมากอย่างไม่ต้องสงสัย

ดังนั้นชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงที่ชื่อจางจินผิงคนนี้จึงตื่นเต้นดีใจอย่างไม่ปิดบัง

“บริษัทอี้หว่าง? นั่นมันสถานที่เลี้ยงหมูที่มีชื่อเสียงไม่ใช่เหรอ”

โจวรุ่ยพูดจาแปลกๆ “อืม ที่นั่นเหมาะสมกับนายมากๆ!”

เถ้าแก่ของบริษัทอี้หว่างเสียเงินทุนจำนวนมหาศาลเมื่อสองปีก่อน เปิดฟาร์มเลี้ยงหมูแนวอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ทันสมัยแห่งหนึ่ง ได้ยินว่าเสียเงินไปหลายสิบล้าน บริษัทอี้หว่างจึงถูกเรียกว่าฟาร์มเลี้ยงหมู นอกจากนี้ยังมีความหมายแฝงอย่างอื่นด้วย

เกาเฮ่อกับว่านหงจื้อหัวเราะลั่นขึ้นมา

ลู่เฉินก็หัวเราะ แล้วพูดว่า “จางจินผิง น้ำใจของนายฉันรับไว้แล้ว นายกลับไปนั่งที่ของตัวเองเถอะ”

จางจินผิงก็อยู่คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์เช่นกัน เพียงแต่เขาอยู่คณะเดียวกันแต่เรียนคนละห้อง ตอนนั้นไอ้หนุ่มคนนี้ก็เคยตามจีบหวางอิ๋ง ผลคือถูกลู่เฉินคว้าไปครอง เขาจึงกลายเป็นผู้แพ้ไปโดยปริยาย

ต่อมาเกิดการเปลี่ยนแปลงของครอบครัวลู่เฉิน และยังเลิกกับหวางอิ๋ง จางจินผิงจึงมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเป็นอย่างมาก แถมยังพูดเยาะเย้ยถากถางลู่เฉินไม่น้อย ชอบทำตัวเป็นคนเลวที่โอหังตลอดเวลา

เขาคิดว่าวันนี้คือโอกาสสุดท้ายที่จะได้โจมตีลู่เฉิน ดังนั้นจึงตั้งใจมาพูดเยาะเย้ยเขาเป็นพิเศษ ผลสุดท้ายคือถูกเกาเฮ่อและโจวรุ่ยสองคนตอกกลับจนหน้าเสีย หาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ!

ลู่เฉินไม่อยากถือสาอีกฝ่าย ตอนที่เขาตกต่ำที่สุดก็ไม่เคยเห็นจางจินผิงอยู่ในสายตา

นับประสาอะไรกับตอนนี้?

จางจินผิงอยากจะพูดเยาะเย้ยอีกสองสามประโยค แต่เมื่อเห็นสายตาที่ไม่เป็นมิตรของเกาเฮ่อ สุดท้ายเขาจึงได้แต่เดินกลับไปด้วยความโกรธ

แต่ก่อนเขาก็เคยถูกเกาเฮ่อชกมาแล้ว

“เล่นบ้าบออะไรกัน!”

โจวรุ่ยพูดอย่างดูถูก “ฉันได้ยินว่าหลังจากที่พี่สามไปปักกิ่งแล้ว เขายังวิ่งไปจีบหวางอิ๋งอีก ผลคือหวางอิ๋งก็ไม่สนใจและทิ้งเขา ครั้งนี้ไม่รู้ว่าใช้เส้นสายของใคร ถึงเข้าไปอยู่ในฟาร์มหมูได้…”

มหาวิทยาลัยเจียงไห่เป็นมหาวิทยาลัยสำคัญของประเทศ มีการไปมาหาสู่กันระหว่างบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียงมาโดยตลอด ทุกปีจะแนะนำนักศึกษาเรียนดีกลุ่มหนึ่งให้กับบริษัทเหล่านี้

แน่นอนว่าสามารถได้รับการแนะนำจากมหาวิทยาลัย ใช่ว่าจะต้องเป็นนักเรียนดีเด่นเสมอไป

ว่านหงจื้อดึงเขาเงียบๆ โจวรุ่ยพลันรู้ตัวแล้วก็หุบปากทันที

ต่อหน้าลู่เฉิน อย่าพูดชื่อของหวางอิ๋ง

ลู่เฉินไม่ใส่ใจ หัวเราะแล้วพูดว่า “ไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก พิธีกำลังจะเริ่มแล้ว”

ท่ามกลางเสียงเพลงบรรเลงสุดอลังการ งานรับปริญญาของมหาวิทยาลัยเจียงไห่รุ่นที่ 2011 เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ อันดับแรกเชิญอธิการของมหาวิทยาลัยเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ก่อน เนื้อหาไม่มีอะไรมาก เล่าถึงอดีตแล้วก็ให้มองอนาคตข้างหน้า เป็นคำพูดสวยหรูตามมารยาทเท่านั้น

หลังจากอธิการพูดจบ จากนั้นคือการกล่าวสุนทรพจน์ของตัวแทนนักศึกษาดีเด่น

ทุกคนฟังจนง่วงนอน จนกระทั่งถึงการมอบใบปริญญาบัตร

มหาวิทยาลัยเจียงไห่ใช้ระบบเก็บหน่วยกิต หากเก็บหน่วยกิตพอแล้วก็สามารถเรียนจบได้

ลู่เฉินเรียนไปวันๆ ตอนอยู่ชั้นปีที่หนึ่งและปีที่สอง แต่ตอนเขาอยู่ชั้นปีที่สามก็พยายามเก็บหน่วยกิตที่จำเป็นในการจบการศึกษาให้มากพอ ไม่อย่างนั้นเขาต้องสละการรับปริญญาบัตร ถึงจะไปทำงานที่ปักกิ่งในชั้นปีที่สี่ได้

ตอนเข้าคิวบนเวทีเพื่อรับวุฒิการศึกษาสีแดงสดจากมือของอธิการ ลู่เฉินรู้สึกถึงพลังที่อยู่ในนั้นได้

ถึงแม้ลู่เฉินอาจจะไม่ต้องใช้วุฒิการศึกษานี้ในอนาคต แต่มันก็เป็นตัวแทนที่บอกถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเอง

อดีตของความสุข ความหวานชื่น ความเศร้าใจ ความเจ็บปวด ความลำบากและขยันเหล่านั้น!

พอรับวุฒิการศึกษาแล้วก็เปลี่ยนเป็นชุดครุย ทุกคนวิ่งไปถ่ายรูปจบการศึกษาที่สนามหญ้าขนาดใหญ่ด้วยกัน

คณะวิทยาการคอมพิวเตอร์ถ่ายรูปร่วมกันทั้งคณะหนึ่งใบ เพื่อนนักศึกษาห้องเดียวกันหนึ่งใบ เพื่อนหอพักเดียวกันหนึ่งใบ…

เสียงชัตเตอร์ดังติดต่อกันไม่หยุดพร้อมกับเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข กลายเป็นทำนองเพลงหลักของมหาวิทยาลัยในตอนนี้

ทิ้งความเศร้าและเสียใจออกไป จดจำชีวิตในมหาวิทยาลัยของพวกเราไว้

อย่าลืมปี 2015!

เวลาหนึ่งทุ่ม งานเลี้ยงจบการศึกษาถูกจัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่เหอเหลียงเหว่ยเหมือนเดิม

เมื่อเทียบกับพิธีรับปริญญาบัตรในตอนเช้า นักศึกษาที่มาร่วมงานเลี้ยงจบการศึกษาตอนเย็นมีจำนวนมากกว่า ที่นั่ง 6,500 คนในหอประชุมใหญ่มีคนเข้ามามากกว่าแปดพันคน มีคนยืนอยู่ตรงทางเดินทั้งสองข้างอยู่ไม่น้อย และบางที่ก็แบ่งกันนั่ง

คนมากมายไม่ใช่นักศึกษาที่จบในรุ่น 2011 หรือจะพูดง่ายๆ ก็คือมาดูความครึกครื้นเท่านั้น บ้างก็มาส่งรุ่นพี่

การแสดงบนเวทีขนาดใหญ่พร้อมแล้ว หน้าจอแอลอีดีขนาดยักษ์เล่นวิดีโอโปรโมทมหาวิทยาลัยเจียงไห่ซ้ำไปซ้ำมา จากนั้นเพลงก็ดังขึ้นและเปิดไฟสว่างทั้งหมด พิธีกรงานเลี้ยงทั้งสองปรากฏตัวบนเวที

“กราบเรียนท่านอธิการที่เคารพ กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพทุกท่าน…”

“เรียนเพื่อนๆ และแขกที่เป็นห่วงการพัฒนาของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ของพวกเรา…”

“นักศึกษาทุกคนของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ สวัสดีตอนเย็น!”

“อย่างแรก ขอเสียงปรบมือเป็นกำลังใจ มอบให้แก่คณาจารย์ที่เสียเหงื่อและกำลังใจมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อการเติบโตของพวกเรา อาจารย์…ลำบากพวกคุณแล้ว!”

หลังจากการกล่าวสุนทรพจน์ด้วยเสียงที่ไพเราะเสนาะหูของพิธีชายหญิง งานเลี้ยงการจบการศึกษาของมหาวิทยาลัยเจียงไห่ปี 2015 จึงเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ

เสียงปรบมือคึกคัก จากนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นมาในหอประชุมใหญ่ ราวกับลมพายุในฤดูร้อน

“ท่วงทำนองการเต้นรำของคนรุ่นเยาว์ ลอยไปตามตัวโน้ตของหนุ่มสาว จุดประกายความกระตือรือร้น แผดเผาความฝันของเธอกับฉันให้โบยบิน!”

“พวกเรานำพาอนาคตที่สวยงามและสดใส เต็มไปด้วยความสุข แต่พวกเราต้องเศร้าใจกับการจากไปในเร็วๆ นี้!”

“พวกเรานัดพบกันในฤดูที่สวยงามมีสีสัน สีเขียวมรกตเข้าสู่ดวงตา ก้มมองหญ้าอ่อนสีเขียว กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพรัก เพื่อนนักศึกษาที่รักทุกคน ยามที่เธอได้ยินเสียงจักจั่นในฤดูร้อน พวกเราต้องเจอกับช่วงเวลาสุดท้ายของการจากกัน!”

“คืนนี้ มีอาจารย์และนักศึกษามาชุมนุมกันเกือบหนึ่งหมื่นคน ต่างมาที่นี่ด้วยอารมณ์ที่ไม่เหมือนกัน…”

ตอนที่พิธีกรกำลังโชว์ฝีปากบนเวที ลู่เฉินก็เดินมาที่หลังเวทีอย่างเงียบๆ

…………………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+