Perfect Superstar 284 เพื่อนสมัยเรียน

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 284 เพื่อนสมัยเรียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 284 เพื่อนสมัยเรียน

แม่น้ำชิงอันมีต้นกำเนิดตั้งแต่เทือกเขาใหญ่ทางตะวันตกของเจ้อตงทอดยาวสู่ทางตะวันออกระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านกลางเมืองปินไห่ แบ่งเมืองใหญ่ระดับสี่ของมณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ที่เลียบชายฝั่งทะเลแห่งนี้ออกเป็นสองส่วน คือ เขตเมืองเก่าทางตอนเหนือและเมืองใหม่ทางตอนใต้

โรงแรมจิ่นหาวตั้งอยู่ริมแม่น้ำในเขตเมืองใหม่ทางทิศใต้ ตึกสูงสามสิบเจ็ดชั้นเป็นโรงแรมระดับห้าดาวแห่งแรกของเมืองปินไห่ ผ่านการบูรณะครั้งใหญ่มาแล้วสองครั้ง ตอนนี้ยังเป็นตัวแทนของสถานที่หรูหราโอ่อ่าของเมืองปินไห่เช่นเดิม

ลู่เฉินไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยกับโรงแรมใหญ่แห่งนี้ กลับคุ้นเคยมากเสียด้วยซ้ำ

เมื่อก่อนตอนที่ธุรกิจของพ่อเขากำลังรุ่งเรืองสุดขีด ทุกเดือนจะต้องจัดงานเลี้ยงรับรองแขกที่โรงแรมนี้ห้าหกครั้ง ทั้งยังเช่าห้องชุดระยะยาว ลู่เฉินมากินดื่มเที่ยวเล่นที่นี่อยู่บ่อยๆ

ลู่เฉินกับพี่น้องรวมสามคน มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เพราะลู่ชิ่งเซิงคิดอยากจะบ่มเพาะคนมาสืบทอดกิจการ จึงให้เขาสัมผัสกับการทำธุรกิจเสียแต่เนิ่นๆ เสียดายใครจะคิดว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้

กลับมาที่โรงแรมจิ่นหาวนี้อีกครั้ง ทอดมองตึกสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำชิงอัน ลู่เฉินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

จอดรถที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินเสร็จ เขาขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสาม มีพนักงานเดินนำไปที่ห้องกุหลาบ

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ไอร้อนผสมกับเสียงพูดคุยพลันถาโถมเข้ามาปะทะ!

ห้องกุหลาบเป็นห้องจัดเลี้ยงที่ดีที่สุดห้องหนึ่งของโรงแรมจิ่นหาว ในนั้นจัดวางโต๊ะอาหารสี่ตัว สามารถรองรับคนได้มากที่สุดหกสิบคน ตอนที่ลู่เฉินเข้ามา โต๊ะทั้งสี่ตัวมีคนนั่งเกือบจะเต็มหมดแล้ว

ผนังห้องทางทิศตะวันออกแขวนจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายมิวสิควิดีโอ มีป้ายเขียนว่า ‘งานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนมัธยมปินไห่แห่งที่สอง รุ่น 08 ห้อง 5’ แขวนอยู่บนนั้นด้วย ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ

คึกคักอะไรแบบนี้!

ลู่เฉินตกตะลึง ตอนนั้นในชั้นเรียนของเขามีนักเรียนทั้งหมดห้าสิบแปดคน ถ้าทุกคนมาหมดคงจะนั่งกันพอดี

แต่ถึงนี่จะเป็นงานประชุมนักเรียนฤดูใบไม้ผลิ ก็ไม่อาจจะรวบรวมคนได้ทั้งหมด

เพราะรถติด กว่าลู่เฉินจะมาถึงก็เลยเวลาหกโมงเย็นไปแล้ว งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม บนโต๊ะมีเพียงเครื่องดื่มและอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เพื่อนนักเรียนทั้งชายหญิงกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ดูสนุกสนานครึกครื้นยิ่ง

เมื่อเขาเข้ามาถึงในห้องกุหลาบ เพื่อนหลายคนสังเกตเห็น ต่างมองเขาด้วยความแปลกใจหรือไม่ก็สงสัย

“นี่ใครกัน”

ลู่เฉินในตอนนี้เมื่อเทียบกับตอนเรียนมัธยมปลาย ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกสิบกว่าเซนติเมตร และผลจากการฝึกวิชาการต่อสู้ก็ทำให้ร่างกายของเขากำยำล่ำสันกว่าเมื่อก่อน ทั้งยังสวมแว่นกันแดด ทำให้เพื่อนหลายคนจำเขาไม่ได้

ลู่เฉินก้าวเข้ามา ถอดแว่นออกแล้วยิ้มให้เพื่อนๆ ที่กำลังมองประเมินเขาอยู่

ไม่ใช่ว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ แต่ถ้าไม่สวมแว่นกันแดดออกไปข้างนอกไม่ค่อยสะดวก มักจะถูกจำได้และถูกคนล้อมเข้ามาดู

“ลู่เฉิน!”

ตอนนั้นเอง เสียงใหญ่คำรามขึ้นมา ดังข่มเสียงอื่นในห้องกุหลาบจนหมดสิ้น

ทั้งห้องจัดเลี้ยงเงียบเสียงลงในทันที!

สายตาทุกคู่หันไปจับจ้องที่ลู่เฉิน ทั้งดีใจ ทั้งตื่นตะลึง…

ชายหลังกว้างเอวหนาคนหนึ่งกระโดดออกมา แค่สามก้าวก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าเขา คว้าไหล่ของเขาแล้วหัวเราะเสียงดัง “ดาราใหญ่ นายมาถึงเสียที ทุกคนกำลังรออยู่เลย!”

ลู่เฉินยิ้มแหย “ขอโทษจริงๆ รถติดน่ะ”

ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนี้คือหัวหน้าชั้นหวงซาน เขามีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนทุกคน ดังนั้นแม้การเรียนจะไม่ค่อยดี แต่ก็ยังถูกเลือกเป็นหัวหน้าห้องและกรรมการการกีฬา

หวงซานหัวเราะ “ตอนนี้เมืองปินไห่รถติดขึ้นทุกที โดยเฉพาะเวลาแบบนี้รถเยอะที่สุด”

ระหว่างที่เขาทักทายปราศรัยกับลู่เฉิน เพื่อนหนุ่มสาวหลายคนล้อมวงเข้ามาทักทาย “ลู่เฉิน ไม่เจอกันตั้งนาน!”

“สวัสดี!” “จางเสี่ยวเฉียง!” “หลินเฉี่ยว!” “หวังฟาง!”…

ลู่เฉินทักทายทุกคนจนครบ เวลาผ่านไปสี่ปี เพื่อนส่วนใหญ่ที่นี่เขาเพิ่งได้เจออีกครั้งเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่คุ้นเคยชักนำเอาความทรงจำนับไม่ถ้วนออกมา

เพื่อนบางคนไม่ได้ห้อมล้อมเข้ามา อยู่ห่างออกไปใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปลู่เฉินที่ตกอยู่กลางวงล้อมเหมือนเดือนในหมู่ดาว

ในห้องกุหลาบยังมีบริกรหญิงอีกสี่ห้าคน เมื่อพวกเธอเห็นลู่เฉิน แต่ละคนถึงกับตาลุกวาว ถ้าไม่ได้อยู่ในหน้าที่ เกรงว่าพวกเธอคงจะล้อมเข้าไปขอถ่ายรูปขอลายเซ็นแล้ว

มีบริกรบางคนวิ่งออกไปด้านนอก ใช้เครื่องรับส่งวิทยุสื่อสารบอกศูนย์ใหญ่ว่า…ดาราใหญ่ลู่เฉินมาอยู่ที่นี่แล้ว!

กว่าลู่เฉินจะนั่งลงกับที่ได้ไม่ง่ายเลย

บนโต๊ะอาหารมีป้ายชื่อตั้งวางอยู่ เขานั่งข้างหวงซาน แต่หญิงสาวชุดกระโปรงสีเหลืองคนนั้นที่นั่งข้างหวงซานกลับไม่คุ้นหน้าเลย จำได้ว่าในความทรงจำของเขาไม่เคยปรากฏใบหน้านี้

เขาอดถามไม่ได้ “คนนี้คือ?”

หวงซานยิ้มกว้างแนะนำ “ลู่เฉิน นี่คือแฟนฉัน เฉินจิงจิง!”

ลู่เฉินทักทาย “สวัสดีครับ”

เฉินจิงจิงตัวเล็กน่าทะนุถนอม เมื่อนั่งข้างร่างอันใหญ่โตของหวงซานดูไม่เข้ากันเท่าไร หน้าตาจิ้มลิ้มน่ามอง เธอหน้าแดงถามว่า “สวัสดีลู่เฉิน ฉันชอบเพลงที่คุณร้องแล้วก็ยังดูละครเรื่องรักนี้ชั่วนิรันดร์ที่คุณเล่นด้วย คุณ…คุณช่วยให้ลายเซ็นฉันได้ไหม”

ลู่เฉินพยักหน้า “แน่นอนไม่มีปัญหา กินข้าวเสร็จแล้วผมจะเซ็นให้”

หวงซานรีบกล่าวเสริม “ยังมีถ่ายรูปรวมด้วย!”

ลู่เฉินหัวเราะ “ไม่มีปัญหา”

เฉินจิงจิงดีใจมาก กอดแขนอันหนาแน่นของหวงซานบอกว่า “ขอบคุณค่ะ!”

หวงซานทอดถอนใจ “ได้เสน่ห์ของดาราใหญ่อย่างนาย ทำให้เพื่อนนักเรียนมากันได้สี่สิบคนในวันนี้ มีคนในครอบครัวติดตามมาด้วยอีกเกือบยี่สิบคน ทั้งหมดมาเพราะนายคนเดียวเลย”

ลู่เฉินรับรู้ มิน่าคนถึงได้มากขนาดนี้ อีกอย่างบางคนก็ไม่คุ้นหน้าเลย คงจะเป็น ‘คนในครอบครัว’ ทั้งนั้น!

เขามองซ้ายมองขวา แล้วถามว่า “อาจารย์เยี่ยล่ะ”

อาจารย์เยี่ยเป็นอาจารย์ประจำชั้น หวงซานบอกไว้ก่อนแล้วว่าเธอจะมาด้วย ตอนนี้ยังไม่เห็นเงาของเธอเลย

หวงซานอธิบาย “อาจารย์เยี่ยตอนแรกว่าจะมา แต่โรคกระเพาะของเธอกำเริบ เมื่อวานเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว”

ลู่เฉินดูเคร่งขรึม “เป็นโรคกระเพาะต้องนอนโรงพยาบาล คงจะอาการหนักมาก พรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมเธอหน่อย”

ขณะที่ทั้งสองคุยกัน อาหารรสชาติโอชะถูกทยอยยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนไปเป็นครึกครื้นเสียงดัง เพื่อนนักเรียนที่ไม่ได้เจอกันนานได้กินดื่มร่วมกัน พูดคุยหัวเราะด้วยกัน

เพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะกับลู่เฉินมีสิบกว่าคน หัวข้อที่ทุกคนพูดคุยหนีไม่พ้นเรื่องราวของตัวเอง

บางคนเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วกลับมาที่ปินไห่ บ้างออกไปทำงานสร้างกิจการ บ้างเตรียมสอบข้าราชการ บางคนอยากเปิดร้านของตัวเอง บางคนเลือกทำงานเติบโตต่อในเมืองที่ตัวเองเรียนจบ ยังมีคนที่เรียนต่อปริญญาโท

หวงซานเองหลังจากจบมัธยมแล้วเขาไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ทำงานช่วยธุรกิจของบิดา สี่ปีที่ผ่านมาไม่อาจพูดว่าประสบความสำเร็จมากมาย แต่อย่างน้อยก็อยู่ดีมีสุข

เขาพอใจกับชีวิตของตัวเองในตอนนี้มาก ตามที่เขาบอก เงินนั้นหาเท่าไรก็ไม่พอ สิ่งสำคัญคือใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เตรียมตัวแต่งงานมีลูกในปีหน้า

“ลู่เฉิน ถ้านายมีเวลาว่าง ต้องมาร่วมงานแต่งของฉันกับจิงจิงให้ได้นะ!”

เฉินจิงจิงตาวาว เห็นได้ชัดว่าตั้งความหวังไว้กับเรื่องนี้

ลู่เฉินหัวเราะ “ถ้ามีเวลาต้องมาแน่นอน แต่ฉันงานยุ่งมาก ไม่กล้ารับปากจริงๆ”

ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ เป็นเวลาเกือบปี ผลงานหลักของเขาคือการออกอัลบั้มและถ่ายทำละคร ไม่ค่อยรับงานโชว์ตัวและงานพรีเซ็นเตอร์เท่าไร ถือว่ายังไม่ค่อยยุ่งมาก

แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทั้งอัลบั้มใหม่ ละครเรื่องใหม่ ไหนจะมีภาพยนตร์ ยังมีอัลบั้มใหม่ของเฉินเฟยเอ๋อร์ ของวงเอ็มเอสเอ็นและวงเสียวหู่ถวน เป็นต้น เมื่อตำแหน่งในวงการของเขาสูงขึ้น งานพรีเซ็นเตอร์และการเชื้อเชิญต่างๆ ย่อมเข้ามาไม่ขาดสาย งานก็ยิ่งยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

“แต่อั่งเปารับรองว่าส่งถึงแน่นอน!”

หวงซานหัวเราะฮ่าๆ “แค่นั้นก็พอแล้ว ใช่แล้ว ตอนนี้นายมีแฟนหรือยัง”

คำถามแบบนี้ค่อนข้างเปราะบาง ลู่เฉินไม่เหมือนคนทั่วไป มีแต่หวงซานเท่านั้นที่ถามคำถามสิ้นคิดแบบนี้ออกมาได้ อยากถามก็ถามตรงๆ “ทุกคนบอกว่านายกับเฉินเฟยเอ๋อร์คบกัน”

เพื่อนคนอื่นหูตั้งขึ้นมาทันที อยากรู้อยากเห็นตามไปด้วย

ลู่เฉินกระแอมสองที แล้วอธิบายว่า “วงการบันเทิงมันซับซ้อน นักข่าวบันเทิงบางคนชอบเขียนข่าวมั่วซั่วเพื่อให้มีข่าว บางคนก็ตั้งใจสร้างกระแสขึ้นมาเอง ดังนั้นไม่ต้องเชื่อว่าเป็นจริง…”

เขาหยิบยกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในวงการบันเทิงมาเล่าให้ทุกคนฟัง เป็นการหลีกเลี่ยงคำถามของหวงซานได้อย่างดีเยี่ยม

ในฐานะดาราศิลปิน การพูดเรื่องความรักของตัวเองในที่สาธารณะ ถ้าหากไม่ได้เป็นการจงใจสร้างกระแส ก็คือเรื่องโง่เขลาสิ้นดี

ต่อให้เป็นงานเลี้ยงรุ่นก็ตาม

เพื่อนๆ โต๊ะอื่นเห็นโต๊ะนี้พูดคุยกันออกรส ก็พากันเดินเข้ามาชนแก้ว

ลู่เฉินยืนขึ้นยิ้มแย้ม “ขอบคุณทุกคนมาก แต่คืนนี้ฉันขับรถมาเอง ดื่มเหล้าไม่ได้ อีกอย่างเป็นนักร้องก็ต้องดูแลเสียงของตัวเองด้วย ดังนั้นต้องขอโทษจริงๆ ฉันใช้เครื่องดื่มอย่างอื่นแทนแล้วกัน!”

หลายคนเข้ามาชนแก้ว หนึ่งคนหนึ่งแก้วถ้าดื่มเข้าไปหมดคงมอมเหล้าเขาตายแน่ อีกอย่างเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ค่อยดื่มเหล้าอยู่แล้ว

เพื่อนๆ เข้าใจดี แต่ยังขอถ่ายรูปคู่ทีละคน

ปีที่แล้ว ลู่เฉินโด่งดังอย่างก้าวกระโดดในวงการเพลงป็อบ ได้รับรางวัลชนะเลิศรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ เขากลายเป็นคนดังของเมืองบ้านเกิด ตอนนี้ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ที่กำลังโด่งดังทางสถานีโทรทัศน์ไห่จิน ยิ่งทำให้ใบหน้าของเขากลายเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในทุกครัวเรือนของเมืองปินไห่

เพื่อนหลายคนของลู่เฉินมีความภาคภูมิใจอยู่เสมอ เวลาพูดคุยกับคนอื่นมักจะพูดถึงเรื่องของเขา

‘เธอดูเรื่องรักนี้ชั่วนิรันดร์หรือเปล่า คนที่เล่นเป็นพระเอกเป็นเพื่อนสมัยเรียนของฉันเอง!’

‘เคยฟังเพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันไหม นั่นเป็นเพลงที่เพื่อนร่วมชั้นของฉันร้อง เมื่อก่อนฉันกับเขาเคยเล่นบาสด้วยกันอยู่บ่อยๆ!’

‘รู้จักลู่เฉินไหม…’

ปินไห่เป็นเมืองเล็กๆ ติดริมทะเลในแถบเจ้อตง เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง ประชากรมาก กิจการห้างร้านมีมากมายนับไม่ถ้วน เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง แต่ไม่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่หนักแน่น มีคนดังที่มาจากเมืองนี้ไม่กี่คน

อย่างลู่เฉินที่เป็นดาราดังระดับประเทศ มีเพียงคนเดียวในเมืองบ้านเกิดแห่งนี้!

หวงซานตะโกนเสียงดัง “ถ่ายรูปคู่ได้ ทุกคนเข้าแถว คนละห้าหยวน ฉันเก็บเงินเอง ขอบคุณ!”

ลู่เฉินโมโหขึ้นมา “ห้าหยวนเหรอ ได้ไงกัน อย่างน้อยต้องหกหยวน เพิ่มอีกหยวนหนึ่งถือเป็นการหักค่าหัวคิวให้นาย!”

ทุกคนหัวเราะไปกับคำหยอกล้อของคนทั้งสอง บรรยากาศของงานเลี้ยงยิ่งอบอุ่นเป็นมิตร

เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียน หลังจากจบมัธยมปลายไปสี่ปี สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วพวกเขายังไม่ได้เข้าสู่วงจรของสังคมอย่างแท้จริง ยังมีจิตวิญญาณและความซื่อตรงของวัยรุ่นหลงเหลืออยู่

………………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Perfect Superstar 284 เพื่อนสมัยเรียน

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 284 เพื่อนสมัยเรียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 284 เพื่อนสมัยเรียน

แม่น้ำชิงอันมีต้นกำเนิดตั้งแต่เทือกเขาใหญ่ทางตะวันตกของเจ้อตงทอดยาวสู่ทางตะวันออกระยะทางหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านกลางเมืองปินไห่ แบ่งเมืองใหญ่ระดับสี่ของมณฑลทางตะวันออกเฉียงใต้ที่เลียบชายฝั่งทะเลแห่งนี้ออกเป็นสองส่วน คือ เขตเมืองเก่าทางตอนเหนือและเมืองใหม่ทางตอนใต้

โรงแรมจิ่นหาวตั้งอยู่ริมแม่น้ำในเขตเมืองใหม่ทางทิศใต้ ตึกสูงสามสิบเจ็ดชั้นเป็นโรงแรมระดับห้าดาวแห่งแรกของเมืองปินไห่ ผ่านการบูรณะครั้งใหญ่มาแล้วสองครั้ง ตอนนี้ยังเป็นตัวแทนของสถานที่หรูหราโอ่อ่าของเมืองปินไห่เช่นเดิม

ลู่เฉินไม่ได้รู้สึกไม่คุ้นเคยกับโรงแรมใหญ่แห่งนี้ กลับคุ้นเคยมากเสียด้วยซ้ำ

เมื่อก่อนตอนที่ธุรกิจของพ่อเขากำลังรุ่งเรืองสุดขีด ทุกเดือนจะต้องจัดงานเลี้ยงรับรองแขกที่โรงแรมนี้ห้าหกครั้ง ทั้งยังเช่าห้องชุดระยะยาว ลู่เฉินมากินดื่มเที่ยวเล่นที่นี่อยู่บ่อยๆ

ลู่เฉินกับพี่น้องรวมสามคน มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ เพราะลู่ชิ่งเซิงคิดอยากจะบ่มเพาะคนมาสืบทอดกิจการ จึงให้เขาสัมผัสกับการทำธุรกิจเสียแต่เนิ่นๆ เสียดายใครจะคิดว่าโชคชะตาเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้

กลับมาที่โรงแรมจิ่นหาวนี้อีกครั้ง ทอดมองตึกสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำชิงอัน ลู่เฉินรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

จอดรถที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินเสร็จ เขาขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นสาม มีพนักงานเดินนำไปที่ห้องกุหลาบ

เมื่อเปิดประตูเข้าไป ไอร้อนผสมกับเสียงพูดคุยพลันถาโถมเข้ามาปะทะ!

ห้องกุหลาบเป็นห้องจัดเลี้ยงที่ดีที่สุดห้องหนึ่งของโรงแรมจิ่นหาว ในนั้นจัดวางโต๊ะอาหารสี่ตัว สามารถรองรับคนได้มากที่สุดหกสิบคน ตอนที่ลู่เฉินเข้ามา โต๊ะทั้งสี่ตัวมีคนนั่งเกือบจะเต็มหมดแล้ว

ผนังห้องทางทิศตะวันออกแขวนจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายมิวสิควิดีโอ มีป้ายเขียนว่า ‘งานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนมัธยมปินไห่แห่งที่สอง รุ่น 08 ห้อง 5’ แขวนอยู่บนนั้นด้วย ดึงดูดสายตาเป็นพิเศษ

คึกคักอะไรแบบนี้!

ลู่เฉินตกตะลึง ตอนนั้นในชั้นเรียนของเขามีนักเรียนทั้งหมดห้าสิบแปดคน ถ้าทุกคนมาหมดคงจะนั่งกันพอดี

แต่ถึงนี่จะเป็นงานประชุมนักเรียนฤดูใบไม้ผลิ ก็ไม่อาจจะรวบรวมคนได้ทั้งหมด

เพราะรถติด กว่าลู่เฉินจะมาถึงก็เลยเวลาหกโมงเย็นไปแล้ว งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม บนโต๊ะมีเพียงเครื่องดื่มและอาหารเรียกน้ำย่อยเท่านั้น เพื่อนนักเรียนทั้งชายหญิงกำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ดูสนุกสนานครึกครื้นยิ่ง

เมื่อเขาเข้ามาถึงในห้องกุหลาบ เพื่อนหลายคนสังเกตเห็น ต่างมองเขาด้วยความแปลกใจหรือไม่ก็สงสัย

“นี่ใครกัน”

ลู่เฉินในตอนนี้เมื่อเทียบกับตอนเรียนมัธยมปลาย ส่วนสูงของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกสิบกว่าเซนติเมตร และผลจากการฝึกวิชาการต่อสู้ก็ทำให้ร่างกายของเขากำยำล่ำสันกว่าเมื่อก่อน ทั้งยังสวมแว่นกันแดด ทำให้เพื่อนหลายคนจำเขาไม่ได้

ลู่เฉินก้าวเข้ามา ถอดแว่นออกแล้วยิ้มให้เพื่อนๆ ที่กำลังมองประเมินเขาอยู่

ไม่ใช่ว่าเขาเสแสร้งแกล้งทำ แต่ถ้าไม่สวมแว่นกันแดดออกไปข้างนอกไม่ค่อยสะดวก มักจะถูกจำได้และถูกคนล้อมเข้ามาดู

“ลู่เฉิน!”

ตอนนั้นเอง เสียงใหญ่คำรามขึ้นมา ดังข่มเสียงอื่นในห้องกุหลาบจนหมดสิ้น

ทั้งห้องจัดเลี้ยงเงียบเสียงลงในทันที!

สายตาทุกคู่หันไปจับจ้องที่ลู่เฉิน ทั้งดีใจ ทั้งตื่นตะลึง…

ชายหลังกว้างเอวหนาคนหนึ่งกระโดดออกมา แค่สามก้าวก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าเขา คว้าไหล่ของเขาแล้วหัวเราะเสียงดัง “ดาราใหญ่ นายมาถึงเสียที ทุกคนกำลังรออยู่เลย!”

ลู่เฉินยิ้มแหย “ขอโทษจริงๆ รถติดน่ะ”

ชายรูปร่างสูงใหญ่คนนี้คือหัวหน้าชั้นหวงซาน เขามีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนทุกคน ดังนั้นแม้การเรียนจะไม่ค่อยดี แต่ก็ยังถูกเลือกเป็นหัวหน้าห้องและกรรมการการกีฬา

หวงซานหัวเราะ “ตอนนี้เมืองปินไห่รถติดขึ้นทุกที โดยเฉพาะเวลาแบบนี้รถเยอะที่สุด”

ระหว่างที่เขาทักทายปราศรัยกับลู่เฉิน เพื่อนหนุ่มสาวหลายคนล้อมวงเข้ามาทักทาย “ลู่เฉิน ไม่เจอกันตั้งนาน!”

“สวัสดี!” “จางเสี่ยวเฉียง!” “หลินเฉี่ยว!” “หวังฟาง!”…

ลู่เฉินทักทายทุกคนจนครบ เวลาผ่านไปสี่ปี เพื่อนส่วนใหญ่ที่นี่เขาเพิ่งได้เจออีกครั้งเป็นครั้งแรก ใบหน้าที่คุ้นเคยชักนำเอาความทรงจำนับไม่ถ้วนออกมา

เพื่อนบางคนไม่ได้ห้อมล้อมเข้ามา อยู่ห่างออกไปใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปลู่เฉินที่ตกอยู่กลางวงล้อมเหมือนเดือนในหมู่ดาว

ในห้องกุหลาบยังมีบริกรหญิงอีกสี่ห้าคน เมื่อพวกเธอเห็นลู่เฉิน แต่ละคนถึงกับตาลุกวาว ถ้าไม่ได้อยู่ในหน้าที่ เกรงว่าพวกเธอคงจะล้อมเข้าไปขอถ่ายรูปขอลายเซ็นแล้ว

มีบริกรบางคนวิ่งออกไปด้านนอก ใช้เครื่องรับส่งวิทยุสื่อสารบอกศูนย์ใหญ่ว่า…ดาราใหญ่ลู่เฉินมาอยู่ที่นี่แล้ว!

กว่าลู่เฉินจะนั่งลงกับที่ได้ไม่ง่ายเลย

บนโต๊ะอาหารมีป้ายชื่อตั้งวางอยู่ เขานั่งข้างหวงซาน แต่หญิงสาวชุดกระโปรงสีเหลืองคนนั้นที่นั่งข้างหวงซานกลับไม่คุ้นหน้าเลย จำได้ว่าในความทรงจำของเขาไม่เคยปรากฏใบหน้านี้

เขาอดถามไม่ได้ “คนนี้คือ?”

หวงซานยิ้มกว้างแนะนำ “ลู่เฉิน นี่คือแฟนฉัน เฉินจิงจิง!”

ลู่เฉินทักทาย “สวัสดีครับ”

เฉินจิงจิงตัวเล็กน่าทะนุถนอม เมื่อนั่งข้างร่างอันใหญ่โตของหวงซานดูไม่เข้ากันเท่าไร หน้าตาจิ้มลิ้มน่ามอง เธอหน้าแดงถามว่า “สวัสดีลู่เฉิน ฉันชอบเพลงที่คุณร้องแล้วก็ยังดูละครเรื่องรักนี้ชั่วนิรันดร์ที่คุณเล่นด้วย คุณ…คุณช่วยให้ลายเซ็นฉันได้ไหม”

ลู่เฉินพยักหน้า “แน่นอนไม่มีปัญหา กินข้าวเสร็จแล้วผมจะเซ็นให้”

หวงซานรีบกล่าวเสริม “ยังมีถ่ายรูปรวมด้วย!”

ลู่เฉินหัวเราะ “ไม่มีปัญหา”

เฉินจิงจิงดีใจมาก กอดแขนอันหนาแน่นของหวงซานบอกว่า “ขอบคุณค่ะ!”

หวงซานทอดถอนใจ “ได้เสน่ห์ของดาราใหญ่อย่างนาย ทำให้เพื่อนนักเรียนมากันได้สี่สิบคนในวันนี้ มีคนในครอบครัวติดตามมาด้วยอีกเกือบยี่สิบคน ทั้งหมดมาเพราะนายคนเดียวเลย”

ลู่เฉินรับรู้ มิน่าคนถึงได้มากขนาดนี้ อีกอย่างบางคนก็ไม่คุ้นหน้าเลย คงจะเป็น ‘คนในครอบครัว’ ทั้งนั้น!

เขามองซ้ายมองขวา แล้วถามว่า “อาจารย์เยี่ยล่ะ”

อาจารย์เยี่ยเป็นอาจารย์ประจำชั้น หวงซานบอกไว้ก่อนแล้วว่าเธอจะมาด้วย ตอนนี้ยังไม่เห็นเงาของเธอเลย

หวงซานอธิบาย “อาจารย์เยี่ยตอนแรกว่าจะมา แต่โรคกระเพาะของเธอกำเริบ เมื่อวานเข้าโรงพยาบาลไปแล้ว”

ลู่เฉินดูเคร่งขรึม “เป็นโรคกระเพาะต้องนอนโรงพยาบาล คงจะอาการหนักมาก พรุ่งนี้ฉันจะไปเยี่ยมเธอหน่อย”

ขณะที่ทั้งสองคุยกัน อาหารรสชาติโอชะถูกทยอยยกมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว

บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนไปเป็นครึกครื้นเสียงดัง เพื่อนนักเรียนที่ไม่ได้เจอกันนานได้กินดื่มร่วมกัน พูดคุยหัวเราะด้วยกัน

เพื่อนที่นั่งร่วมโต๊ะกับลู่เฉินมีสิบกว่าคน หัวข้อที่ทุกคนพูดคุยหนีไม่พ้นเรื่องราวของตัวเอง

บางคนเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วกลับมาที่ปินไห่ บ้างออกไปทำงานสร้างกิจการ บ้างเตรียมสอบข้าราชการ บางคนอยากเปิดร้านของตัวเอง บางคนเลือกทำงานเติบโตต่อในเมืองที่ตัวเองเรียนจบ ยังมีคนที่เรียนต่อปริญญาโท

หวงซานเองหลังจากจบมัธยมแล้วเขาไม่ได้สอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ทำงานช่วยธุรกิจของบิดา สี่ปีที่ผ่านมาไม่อาจพูดว่าประสบความสำเร็จมากมาย แต่อย่างน้อยก็อยู่ดีมีสุข

เขาพอใจกับชีวิตของตัวเองในตอนนี้มาก ตามที่เขาบอก เงินนั้นหาเท่าไรก็ไม่พอ สิ่งสำคัญคือใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เตรียมตัวแต่งงานมีลูกในปีหน้า

“ลู่เฉิน ถ้านายมีเวลาว่าง ต้องมาร่วมงานแต่งของฉันกับจิงจิงให้ได้นะ!”

เฉินจิงจิงตาวาว เห็นได้ชัดว่าตั้งความหวังไว้กับเรื่องนี้

ลู่เฉินหัวเราะ “ถ้ามีเวลาต้องมาแน่นอน แต่ฉันงานยุ่งมาก ไม่กล้ารับปากจริงๆ”

ตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ เป็นเวลาเกือบปี ผลงานหลักของเขาคือการออกอัลบั้มและถ่ายทำละคร ไม่ค่อยรับงานโชว์ตัวและงานพรีเซ็นเตอร์เท่าไร ถือว่ายังไม่ค่อยยุ่งมาก

แต่ปีนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ทั้งอัลบั้มใหม่ ละครเรื่องใหม่ ไหนจะมีภาพยนตร์ ยังมีอัลบั้มใหม่ของเฉินเฟยเอ๋อร์ ของวงเอ็มเอสเอ็นและวงเสียวหู่ถวน เป็นต้น เมื่อตำแหน่งในวงการของเขาสูงขึ้น งานพรีเซ็นเตอร์และการเชื้อเชิญต่างๆ ย่อมเข้ามาไม่ขาดสาย งานก็ยิ่งยุ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

“แต่อั่งเปารับรองว่าส่งถึงแน่นอน!”

หวงซานหัวเราะฮ่าๆ “แค่นั้นก็พอแล้ว ใช่แล้ว ตอนนี้นายมีแฟนหรือยัง”

คำถามแบบนี้ค่อนข้างเปราะบาง ลู่เฉินไม่เหมือนคนทั่วไป มีแต่หวงซานเท่านั้นที่ถามคำถามสิ้นคิดแบบนี้ออกมาได้ อยากถามก็ถามตรงๆ “ทุกคนบอกว่านายกับเฉินเฟยเอ๋อร์คบกัน”

เพื่อนคนอื่นหูตั้งขึ้นมาทันที อยากรู้อยากเห็นตามไปด้วย

ลู่เฉินกระแอมสองที แล้วอธิบายว่า “วงการบันเทิงมันซับซ้อน นักข่าวบันเทิงบางคนชอบเขียนข่าวมั่วซั่วเพื่อให้มีข่าว บางคนก็ตั้งใจสร้างกระแสขึ้นมาเอง ดังนั้นไม่ต้องเชื่อว่าเป็นจริง…”

เขาหยิบยกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในวงการบันเทิงมาเล่าให้ทุกคนฟัง เป็นการหลีกเลี่ยงคำถามของหวงซานได้อย่างดีเยี่ยม

ในฐานะดาราศิลปิน การพูดเรื่องความรักของตัวเองในที่สาธารณะ ถ้าหากไม่ได้เป็นการจงใจสร้างกระแส ก็คือเรื่องโง่เขลาสิ้นดี

ต่อให้เป็นงานเลี้ยงรุ่นก็ตาม

เพื่อนๆ โต๊ะอื่นเห็นโต๊ะนี้พูดคุยกันออกรส ก็พากันเดินเข้ามาชนแก้ว

ลู่เฉินยืนขึ้นยิ้มแย้ม “ขอบคุณทุกคนมาก แต่คืนนี้ฉันขับรถมาเอง ดื่มเหล้าไม่ได้ อีกอย่างเป็นนักร้องก็ต้องดูแลเสียงของตัวเองด้วย ดังนั้นต้องขอโทษจริงๆ ฉันใช้เครื่องดื่มอย่างอื่นแทนแล้วกัน!”

หลายคนเข้ามาชนแก้ว หนึ่งคนหนึ่งแก้วถ้าดื่มเข้าไปหมดคงมอมเหล้าเขาตายแน่ อีกอย่างเดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ค่อยดื่มเหล้าอยู่แล้ว

เพื่อนๆ เข้าใจดี แต่ยังขอถ่ายรูปคู่ทีละคน

ปีที่แล้ว ลู่เฉินโด่งดังอย่างก้าวกระโดดในวงการเพลงป็อบ ได้รับรางวัลชนะเลิศรายการ ‘ขับร้องให้ก้องจีน’ เขากลายเป็นคนดังของเมืองบ้านเกิด ตอนนี้ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ที่กำลังโด่งดังทางสถานีโทรทัศน์ไห่จิน ยิ่งทำให้ใบหน้าของเขากลายเป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในทุกครัวเรือนของเมืองปินไห่

เพื่อนหลายคนของลู่เฉินมีความภาคภูมิใจอยู่เสมอ เวลาพูดคุยกับคนอื่นมักจะพูดถึงเรื่องของเขา

‘เธอดูเรื่องรักนี้ชั่วนิรันดร์หรือเปล่า คนที่เล่นเป็นพระเอกเป็นเพื่อนสมัยเรียนของฉันเอง!’

‘เคยฟังเพลงเธอผู้เป็นเพื่อนร่วมโต๊ะของฉันไหม นั่นเป็นเพลงที่เพื่อนร่วมชั้นของฉันร้อง เมื่อก่อนฉันกับเขาเคยเล่นบาสด้วยกันอยู่บ่อยๆ!’

‘รู้จักลู่เฉินไหม…’

ปินไห่เป็นเมืองเล็กๆ ติดริมทะเลในแถบเจ้อตง เศรษฐกิจเจริญรุ่งเรือง ประชากรมาก กิจการห้างร้านมีมากมายนับไม่ถ้วน เป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์มั่งคั่ง แต่ไม่มีพื้นฐานทางวัฒนธรรมที่หนักแน่น มีคนดังที่มาจากเมืองนี้ไม่กี่คน

อย่างลู่เฉินที่เป็นดาราดังระดับประเทศ มีเพียงคนเดียวในเมืองบ้านเกิดแห่งนี้!

หวงซานตะโกนเสียงดัง “ถ่ายรูปคู่ได้ ทุกคนเข้าแถว คนละห้าหยวน ฉันเก็บเงินเอง ขอบคุณ!”

ลู่เฉินโมโหขึ้นมา “ห้าหยวนเหรอ ได้ไงกัน อย่างน้อยต้องหกหยวน เพิ่มอีกหยวนหนึ่งถือเป็นการหักค่าหัวคิวให้นาย!”

ทุกคนหัวเราะไปกับคำหยอกล้อของคนทั้งสอง บรรยากาศของงานเลี้ยงยิ่งอบอุ่นเป็นมิตร

เพื่อนร่วมชั้นสมัยเรียน หลังจากจบมัธยมปลายไปสี่ปี สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วพวกเขายังไม่ได้เข้าสู่วงจรของสังคมอย่างแท้จริง ยังมีจิตวิญญาณและความซื่อตรงของวัยรุ่นหลงเหลืออยู่

………………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด