Perfect Superstar 236 จูบแรก

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 236 จูบแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 236 จูบแรก

พระอาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าสดใสหลังฝนตก

เป็นช่วงเวลาเย็นที่เร่งรีบพอดี ถนนหนทางในเมืองจินหลิงเต็มไปด้วยรถราวิ่งขวักไขว่ไปมา พวกคนที่เลิกงานต่างรีบเดินทางกลับบ้าน

ใครก็ไม่ได้สังเกตว่า มีรถจักรยานคันหนึ่งกำลังแล่นผ่านอยู่ข้างถนน

รถจักรยานเช่ามาจากสถานีบริการนักท่องเที่ยว ค่ามัดจำห้าร้อยหยวน ค่าเช่าสองหยวนต่อหนึ่งชั่วโมง เป็นรถรุ่นใหม่คุณภาพดี และยังอนุญาตให้คนนั่งซ้อนท้ายได้ แต่ปั่นได้เฉพาะบนเส้นทางจราจรที่กำหนดไว้เท่านั้น

เนื่องจากค่าเช่าถูกมากและไม่มีความเสี่ยงว่าจะถูกขโมย รถจักรยานสาธารณะแบบนี้จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

ลู่เฉินถีบจักรยาน เฉินเฟยเอ๋อร์ซ้อนท้าย รับลมที่พัดผ่านมา ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไป

เฉินเฟยเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างหลัง สายลมเย็นพัดกระโปรงพลิ้วไหว เธอกอดเอวของลู่เฉิน ศีรษะซบไปที่หลังของเขา

ราชินีเสียงหวานคนนี้ผูกผ้าพันคอผ้าไหม สวมแว่นตาสีฟ้าครามสดใสซึ่งไม่อาจปิดบังใบหน้าที่สวยงามของเธอได้ แต่ก็มากพอที่คนอื่นจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเธอ เพื่อให้เธอได้ดื่มด่ำช่วงเวลาส่วนตัวกับลู่เฉินอย่างมีความสุข

ช่วงเวลาแบบนี้มีน้อยมากจริงๆ มีค่าดั่งเงินทอง

ในวันครบรอบสิบปีของการเดบิวต์ นักข่าวได้ถามเฉินเฟยเอ๋อร์ในงานที่ระลึกว่า ‘คุณคิดจะร้องเพลงอีกนานแค่ไหน’

เฉินเฟยเอ๋อร์ตอบว่า ‘ตลอดชีวิต!’

ไม่เหมือนกับพี่ใหญ่ถานหงที่ค่อยๆ ออกจากวงการอย่างช้าๆ เธอชอบร้องเพลง และชอบยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ เพราะนี่คือความฝันตั้งแต่เด็กของเธอ เธอจะไม่ยอมทิ้งเด็ดขาด

เพียงแต่ได้รับมากก็ต้องสูญเสียมาก ความงามที่สว่างไสวของดารา มักต้องแลกกับชีวิตส่วนตัว

ถึงแม้จะรู้จักเรียนรู้การปลอมตัว แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ก็มีเวลาน้อยมากในการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา

โชคดีที่เธอได้พบกับลู่เฉิน

ชีวิตจึงมีการเปลี่ยนแปลง

เธอกอดลู่เฉินแน่น รู้สึกกลัวการสูญเสียบางอย่างขึ้นมาทันใด

ลู่เฉินไม่เข้าใจถึงถามว่า “หิวใช่ไหมครับ พวกเราทานอะไรกันดี พี่อยากทานอะไรครับ”

เขากับเฉินเฟยเอ๋อร์เดตกันครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ไม่มีคนนอกติดตามมาด้วย

ผู้ช่วยและบอดี้การ์ดของเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ติดตามมาด้วย อย่างแรกคือเธอยืนกราน อีกอย่างก็คือลู่เฉินมีความสามารถมากพอที่จะปกป้องเธอ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไร

นอกจากนี้เมืองจินหลิงแห่งนี้ก็ปลอดภัยมาก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ยังรู้สึกเหมือนแอบหนีตามกันมาอยู่ดี

เฉินเฟยเอ๋อร์คิดพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ฉันอยากกินซุปหมาล่า นายรู้ไหมว่าไปกินได้ที่ไหน”

ซุปหมาล่า?

แน่นอนว่าลู่เฉินไม่รู้ว่าสามารถกินได้ที่ไหน แต่ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่สุดยอด เขาแค่เปิดโทรศัพท์ใส่คำค้นหา ไม่ช้าก็หาสถานที่กินซุปหมาล่าที่ใกล้ที่สุดได้แล้ว

ตามการแนะนำของระบบดาวเทียมนำทาง ลู่เฉินพาเฉินเฟยเอ๋อร์เดินทางมา ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็หาสถานที่เจอ

นั่นคือถนนโบราณเก่าแก่เล็กๆ เส้นหนึ่ง มีแต่ของอร่อยเต็มสองข้างทาง มากมายหลายหลากละลานตา

เนื่องจากเป็นช่วงที่คนเยอะพอดี จึงมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่งเต็มถนนเล็กๆ เส้นนี้ เฉินเฟยเอ๋อร์กอดแขนลู่เฉิน ทั้งสองคนเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนเหมือนคู่รักธรรมดาทั่วไป ตามหาอาหารที่ตัวเองต้องการท่ามกลางกลิ่นหอมต่างๆ

พอหาร้านเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงเจอแล้ว ก็รออีกสิบนาทีกว่าถึงจะได้ที่นั่ง

เฉินเฟยเอ๋อร์เลือกของที่ตัวเองชอบกินสิบกว่าไม้ เนื้อสันใน ปาท่องโก๋ เห็ดเข็มทอง ผักชี…

ซุปหมาล่าสองชามที่ต้มเสร็จแล้วถูกเอามาเสิร์ฟในไม่ช้า

ซุปหมาล่าร้านนี้ น้ำซุปเข้มข้นวัตถุดิบสดมาก สมคำร่ำลือจริงๆ เฉินเฟยอ๋อร์กินอย่างเอร็ดอร่อย

เธอกินเยอะกว่าลู่เฉินอีก!

หลังจากกินเสร็จก็ค่ำพอดี ลู่เฉินพาเธอไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำ

เพราะว่าเฉินเฟยเอ๋อร์กินจนอิ่มตื้อ จำเป็นต้องย่อยอาหาร

พอเดินเหนื่อยแล้ว ทั้งสองคนก็มานั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวริมแม่น้ำ ชื่นชมแม่น้ำใสแจ๋วที่อยู่ตรงหน้าด้วยกัน

ที่นี่ห่างจากถนนย่านการค้า ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวเดินอยู่บ้าง แต่ก็เงียบมากอย่างไม่ต้องสงสัย

มีคู่รักเป็นคู่ๆ อยู่มากมาย

ราวกับมีกลิ่นอายของความโรแมนติกกระเพื่อมอยู่ในอากาศที่นี่

เฉินเฟยเอ๋อร์ลูบท้องน้อยๆ ของตัวเอง ส่งเสียงร้องเล็กๆ ด้วยสีหน้าเกียจคร้านและพอใจ

มีท่าทางของสาวน้อยเป็นอย่างมาก

ลู่เฉินหัวเราะเธอ “พี่ทานทำไมเยอะแยะครับ ไม่กลัวท้องเสียเหรอ”

เฉินเฟยเอ๋อร์เอียงศีรษะซบไปบนไหล่ของเขา แล้วพูดพึมพำว่า “ตอนเป็นเด็กฉันชอบกินมาก ชอบกินเซียงช่วนเนื้อเสียบไม้ที่ต้มอยู่ในหม้อหน้าโรงเรียนมากๆ มีครั้งหนึ่งฉันตะกละเกินไปใช้เงินค่าซื้อหนังสือเรียนจนหมด…”

เธอหยุดชะงัก ลู่เฉินจึงอดถามไม่ได้ “จากนั้นเป็นยังไงครับ”

เฉินเฟยเอ๋อร์เอ่ยว่า “จากนั้นก็ถูกแม่ของฉันตี ใช้ไม้บรรทัดไม้ไผ่ตีก้นฉัน เจ็บมากๆ!”

“ตอนนั้นฉันคิดว่า รอให้ฉันโตก่อนเถอะ ฉันจะกินเซียงช่วนทุกวัน กินให้หนำใจไปเลย!”

“แต่หลังจากที่มีเงินแล้ว จึงรู้ว่าของพวกนี้กินมากไม่ดีต่อสุขภาพ…”

“ก็เหมือนกับซุปหมาล่า ที่ไม่ได้กินมานานมากแล้ว”

เธอหรี่ตานึกถึงความทรงจำในอดีต รอยยิ้มแสนหวานปรากฏขึ้นมาตรงมุมปาก แม้จะพูดถึงตอนที่เจ็บก็ตาม

ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ต่อไปถ้าผมมีโอกาส จะพาพี่ออกมากินอีกนะครับ”

เฉินเฟยเอ๋อร์หันหน้ามา แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ขอบคุณนะ”

เธอยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มสะท้อนกับแสงไฟที่ส่องสว่างข้างทาง เป็นความงดงามที่พาให้หัวใจสั่น

ดึงดูดสายตาของลู่เฉินเข้าเต็มเปา

ลู่เฉินจ้องมองสาวงามในระยะใกล้ ทันใดนั้นก็ไม่อาจยับยั้งใจ ยื่นมือดึงแว่นตาของเธอออก จากนั้นก้มหน้าจูบปากเธออย่างเต็มที่

ริมฝีปากของเฉินเฟยเอ๋อร์อ่อนนุ่มและหอมหวาน เป็นความหวานบางอย่างที่บรรยายออกมาไม่ถูก

ราชินีเสียงหวานคนนี้เบิกตาโตทันที ถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่อาจหลบหนีได้

เธอครวญครางเบาๆ อย่างหมดแรง หลับตาแล้วปล่อยให้ลู่เฉินล่วงเกินตามอำเภอใจ

นี่คือการจูบกันครั้งแรกของทั้งสองคน

ผ่านไปพักหนึ่ง ลู่เฉินถึงปล่อยเธออย่างอาลัยอาวรณ์ เพราะเฉินเฟยเอ๋อร์เกือบจะหายใจไม่ทันแล้ว

เธอซบอยู่ในอ้อมอกของลู่เฉิน หลับตาอย่างงามเพริศพริ้ง

ไม่รู้ว่าน่าซาบซึ้งใจมากแค่ไหน

เฉินเฟยเอ๋อร์ลืมตาอีกครั้งด้วยสีหน้าเขินอาย

จู่ๆ เธอก็ยื่นแขนทั้งสองข้างกอดคอของลู่เฉิน แล้วเป็นฝ่ายส่งจูบไปหาก่อน ราวกับว่าอยากจะให้ตัวเองหลอมรวมเข้าไปอยู่ในร่างกายของลู่เฉิน รุ่มร้อนจนลู่เฉินแทบจะละลาย

จูบนี้กินเวลานานกว่าเดิม!

ความกังวลใจของลู่เฉินพลันหายไป ดำดิ่งเพลิดเพลินไปกับความนุ่มนวล

จนกระทั่งเสียงแตรรถดังขึ้นจากจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล ทั้งสองคนจึงตื่นขึ้น

เฉินเฟยเอ๋อร์ปล่อยลู่เฉินอย่างเขินอาย เธอนั่งตัวตรงแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถอะ”

สิ่งที่เรียกว่าเส้นขีดจำกัด ได้ถูกทำลายไปทีละก้าวอย่างนี้

เธอเองก็หมดแรงต้านทาน

เพียงแต่จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงจะเกิดเรื่องจริงๆ

ลู่เฉินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวว่า “ครับ พวกเรากลับโรงแรมกัน”

เขาจูงมือของเฉินเฟยเอ๋อร์อย่างเป็นธรรมชาติ รู้สึกพึงพอใจเป็นที่สุด

เฉินเฟยเอ๋อร์ปล่อยให้เขาจับมือ แล้วพูดเบาๆ ว่า “นี่คือจูบแรกของฉัน แต่ไม่ใช่ของนาย ใช่ไหม”

ลู่เฉินยิ้มเจื่อนๆ

อันนี้เขาพูดไม่ออกจริงๆ

วันถัดมา กองถ่ายละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ดำเนินพิธีเปิดกล้องที่โรงถ่ายจินหลิง

พิธีเปิดกล้องไม่ได้จัดใหญ่โตมากนัก แต่เนื่องจากมีเฉินเฟยเอ๋อร์รับบทนางเอก เพราะฉะนั้นจึงมีนักข่าวและสื่อต่างๆ มามากมาย จนเกือบจะกลายเป็นงานแถลงข่าว

คนที่พวกนักข่าวให้ความสนใจที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินเฟยเอ๋อร์

วันนี้สีหน้าของเฉินเฟยเอ๋อร์ดูสดชื่นมาก สดใสมีชีวิตชีวานัยน์ตาอาบไปด้วยรอยยิ้ม สวยงามมาก ไม่รู้ว่าถูกกดชัตเตอร์ถ่ายภาพไปตั้งเท่าไร ดึงดูดสายตามากที่สุดในงาน

ยามที่เจอคำถามของพวกนักข่าว เธอก็ตอบอย่างมีมารยาท

นักข่าวคนหนึ่งของนิตยสาร ‘เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี’ ถามว่า “เฉินเฟยเอ๋อร์ ไม่ทราบว่าคุณรับบทนางเอกของเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับลู่เฉินด้วยใช่ไหม พวกคุณกำลังคบกันอยู่หรือเปล่า”

คำถามนี้เกรงว่านักข่าวทุกคนก็อยากถาม

เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าความสัมพันธ์ของเฉินเฟยเอ๋อร์กับลู่เฉินนั้นดีมาก แต่ก่อนทั้งสองคนเคยมีข่าวด้วยกันถึงแม้ทั้งสองคนจะปฏิเสธเรื่องรักต่างวัย แต่การร่วมงานของทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ทำให้คนอื่นอดคิดขึ้นมาไม่ได้

เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มแล้วดึงลู่เฉินที่อยู่ข้างๆ ตัวเองเข้ามา กอดเขาอย่างสนิทสนม แล้วกล่าวว่า “ฉันกับลู่เฉินเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ ส่วนเรื่องความรัก…”

เธอหันหน้าไปถามลู่เฉินอย่างกระอักกระอ่วน “คุณเคยจีบฉันไหมคะ”

ลู่เฉินคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบอย่างจริงจังว่า “ผมจะลองดูครับ”

เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะฮ่าๆๆ

ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หลีกเลี่ยงคำถามได้อย่างชาญฉลาด

ยิ่งปิดบังซ่อนเร้นก็ยิ่งทำให้คนอื่นคาดเดา ทว่าการตอบทีเล่นทีจริงแบบนี้ ก็ยากที่คนอื่นจะจับความจริงได้เช่นกัน เหมือนดังคำกล่าวที่ว่าเท็จเป็นจริง จริงเป็นเท็จ!

หลังจากเฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะพอประมาณแล้วจึงเอ่ยว่า “ความจริงละครเรื่องนี้ หลังจากที่ฉันอ่านบทแล้ว ก็เป็นฝ่ายขอลู่เฉินเล่นบทนางเอกเองค่ะ เพราะฉันชอบบทอิ่นเอินซีจริงๆ รู้สึกมีความท้าทายมากค่ะ”

เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่กลัวการเปิดเผยตัวเอง “ในเรื่องฉันรับบทอิ่นเอินซี เป็นน้องสาวของอิ่นจวิ้นซีที่ลู่เฉินแสดงค่ะ!”

อายุของเธอมากกว่าลู่เฉินหลายปี

แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่เคยหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องอายุของตัวเอง ดังนั้นเธอไม่รอให้นักข่าวถามก็เป็นฝ่ายเฉลยออกมาก่อน

นักข่าวอีกคนหนึ่งถามว่า “คุณลู่เฉิน คุณเล่นบทคู่กับเฉินเฟยเอ๋อร์ รู้สึกยังไงบ้าง”

ลู่เฉินตอบว่า “ไม่รู้สึกอะไรครับ เพราะว่ายังไม่ได้แสดง!”

นักข่าวถามถามต่อว่า “แล้วคุณมีแรงกดดันไหม”

ลู่เฉินตอบว่า “ทีแรกก็ไม่มี แต่ถูกคุณถามแบบนี้ รู้สึกมีแล้วครับ”

ทุกคนหัวเราะขึ้นมาทันที

การตอบของลู่เฉินมีความชำนาญมาก ไม่เหลือช่องโหว่ให้นักข่าวเลย

มีนักข่าวถามเฉินเฟยเอ๋อร์อีกครั้ง “อัลบั้มใหม่ของคุณจะออกตอนไหน”

เฉินเฟยเอ๋อร์ตอบว่า “น่าจะเดือนหน้าค่ะ นอกจากนี้ฉันยังร้องเพลงธีมของละครเรื่องนี้ด้วย และอาจจะเอาไปใส่ในอัลบั้มใหม่นี้ ไม่ว่ายังไงจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์ทุกคนแน่นอนค่ะ!”

พิธีเปิดกล้องนี้ ช่วงแรกเป็นช่วงพิธีการใช้เวลาทั้งหมดแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ส่วนช่วงหลังแทบจะเป็นการสัมภาษณ์เฉินเฟยเอ๋อร์คนเดียว แม้แต่ลู่เฉินก็ยังถูกถามแค่สองสามคำถาม

แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอะไร เพราะละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเช่นนี้ อย่างน้อยเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็มาจากผลงานของเฉินเฟยเอ๋อร์!

หลังจากพิธีเปิดกล้องสิ้นสุดลง ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ก็เข้าสู่กระบวนการถ่ายทำอย่างเป็นทางการ

แต่ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้เข้าร่วมการถ่ายทำ เนื่องจากสองตอนแรกไม่มีบทของพวกเขา จึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในกองถ่าย

ที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งสองคนจำเป็นต้องเดินทางกลับปักกิ่งเพื่อร่วมกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญมาก

นั่นก็คือการถ่ายโฆษณาเพื่อสาธารณประโยชน์ของสหพันธ์การกุศลเหยียนหวง ซึ่งใช้เพลง ‘มอบความรัก’ ของลู่เฉิน

…………………………………………………………………………

ประกาศปิดปรับปรุงช่องทางการเติมเหรียญ

ในวันที่ 28 ต.ค. 64 เวลา 21.00 น.

จะมีการปิดปรับปรุงระบบช่องทางการเติมเหรียญในช่องทางต่อไปนี้

True Money, True Wallet, บัตรเงินสด, Rabbit Line Pay, Razer Pin, SMS เครือข่าย ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่งผลให้ไม่สามารถเติมเหรียญผ่านช่องทางเหล่านี้ได้

หากมีอัปเดตเพิ่มเติม หรือกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง จะแจ้งให้ทราบทันที

แต่ยังสามารถเติมเหรียญได้ตามปกติในช่องทางอื่นๆ

ทีมงานขอแนะนำให้เปลี่ยนมาเติมในช่องทางต่อไปนี้

1. ทางเว็บไซต์ : พร้อมเพย์, บัตรเครดิต/เดบิต, ShopeePay, Internet Banking

2. ทางแอป (ราคาสูงกว่าเพราะมีค่าธรรมเนียม) : iOS App Store, Google Play Store

สามารถดูรายละเอียดหรือสอบถามเพิ่มเติมที่ Facebook Fictionlog

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Perfect Superstar 236 จูบแรก

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 236 จูบแรก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 236 จูบแรก

พระอาทิตย์อัสดง ท้องฟ้าสดใสหลังฝนตก

เป็นช่วงเวลาเย็นที่เร่งรีบพอดี ถนนหนทางในเมืองจินหลิงเต็มไปด้วยรถราวิ่งขวักไขว่ไปมา พวกคนที่เลิกงานต่างรีบเดินทางกลับบ้าน

ใครก็ไม่ได้สังเกตว่า มีรถจักรยานคันหนึ่งกำลังแล่นผ่านอยู่ข้างถนน

รถจักรยานเช่ามาจากสถานีบริการนักท่องเที่ยว ค่ามัดจำห้าร้อยหยวน ค่าเช่าสองหยวนต่อหนึ่งชั่วโมง เป็นรถรุ่นใหม่คุณภาพดี และยังอนุญาตให้คนนั่งซ้อนท้ายได้ แต่ปั่นได้เฉพาะบนเส้นทางจราจรที่กำหนดไว้เท่านั้น

เนื่องจากค่าเช่าถูกมากและไม่มีความเสี่ยงว่าจะถูกขโมย รถจักรยานสาธารณะแบบนี้จึงเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

ลู่เฉินถีบจักรยาน เฉินเฟยเอ๋อร์ซ้อนท้าย รับลมที่พัดผ่านมา ไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไป

เฉินเฟยเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างหลัง สายลมเย็นพัดกระโปรงพลิ้วไหว เธอกอดเอวของลู่เฉิน ศีรษะซบไปที่หลังของเขา

ราชินีเสียงหวานคนนี้ผูกผ้าพันคอผ้าไหม สวมแว่นตาสีฟ้าครามสดใสซึ่งไม่อาจปิดบังใบหน้าที่สวยงามของเธอได้ แต่ก็มากพอที่คนอื่นจะไม่รู้ฐานะที่แท้จริงของเธอ เพื่อให้เธอได้ดื่มด่ำช่วงเวลาส่วนตัวกับลู่เฉินอย่างมีความสุข

ช่วงเวลาแบบนี้มีน้อยมากจริงๆ มีค่าดั่งเงินทอง

ในวันครบรอบสิบปีของการเดบิวต์ นักข่าวได้ถามเฉินเฟยเอ๋อร์ในงานที่ระลึกว่า ‘คุณคิดจะร้องเพลงอีกนานแค่ไหน’

เฉินเฟยเอ๋อร์ตอบว่า ‘ตลอดชีวิต!’

ไม่เหมือนกับพี่ใหญ่ถานหงที่ค่อยๆ ออกจากวงการอย่างช้าๆ เธอชอบร้องเพลง และชอบยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟ เพราะนี่คือความฝันตั้งแต่เด็กของเธอ เธอจะไม่ยอมทิ้งเด็ดขาด

เพียงแต่ได้รับมากก็ต้องสูญเสียมาก ความงามที่สว่างไสวของดารา มักต้องแลกกับชีวิตส่วนตัว

ถึงแม้จะรู้จักเรียนรู้การปลอมตัว แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ก็มีเวลาน้อยมากในการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา

โชคดีที่เธอได้พบกับลู่เฉิน

ชีวิตจึงมีการเปลี่ยนแปลง

เธอกอดลู่เฉินแน่น รู้สึกกลัวการสูญเสียบางอย่างขึ้นมาทันใด

ลู่เฉินไม่เข้าใจถึงถามว่า “หิวใช่ไหมครับ พวกเราทานอะไรกันดี พี่อยากทานอะไรครับ”

เขากับเฉินเฟยเอ๋อร์เดตกันครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ไม่มีคนนอกติดตามมาด้วย

ผู้ช่วยและบอดี้การ์ดของเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้ติดตามมาด้วย อย่างแรกคือเธอยืนกราน อีกอย่างก็คือลู่เฉินมีความสามารถมากพอที่จะปกป้องเธอ ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไร

นอกจากนี้เมืองจินหลิงแห่งนี้ก็ปลอดภัยมาก

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ทั้งสองคนก็ยังรู้สึกเหมือนแอบหนีตามกันมาอยู่ดี

เฉินเฟยเอ๋อร์คิดพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยว่า “ฉันอยากกินซุปหมาล่า นายรู้ไหมว่าไปกินได้ที่ไหน”

ซุปหมาล่า?

แน่นอนว่าลู่เฉินไม่รู้ว่าสามารถกินได้ที่ไหน แต่ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่สุดยอด เขาแค่เปิดโทรศัพท์ใส่คำค้นหา ไม่ช้าก็หาสถานที่กินซุปหมาล่าที่ใกล้ที่สุดได้แล้ว

ตามการแนะนำของระบบดาวเทียมนำทาง ลู่เฉินพาเฉินเฟยเอ๋อร์เดินทางมา ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็หาสถานที่เจอ

นั่นคือถนนโบราณเก่าแก่เล็กๆ เส้นหนึ่ง มีแต่ของอร่อยเต็มสองข้างทาง มากมายหลายหลากละลานตา

เนื่องจากเป็นช่วงที่คนเยอะพอดี จึงมีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาอย่างคับคั่งเต็มถนนเล็กๆ เส้นนี้ เฉินเฟยเอ๋อร์กอดแขนลู่เฉิน ทั้งสองคนเดินอยู่ท่ามกลางผู้คนเหมือนคู่รักธรรมดาทั่วไป ตามหาอาหารที่ตัวเองต้องการท่ามกลางกลิ่นหอมต่างๆ

พอหาร้านเล็กๆ ที่มีชื่อเสียงเจอแล้ว ก็รออีกสิบนาทีกว่าถึงจะได้ที่นั่ง

เฉินเฟยเอ๋อร์เลือกของที่ตัวเองชอบกินสิบกว่าไม้ เนื้อสันใน ปาท่องโก๋ เห็ดเข็มทอง ผักชี…

ซุปหมาล่าสองชามที่ต้มเสร็จแล้วถูกเอามาเสิร์ฟในไม่ช้า

ซุปหมาล่าร้านนี้ น้ำซุปเข้มข้นวัตถุดิบสดมาก สมคำร่ำลือจริงๆ เฉินเฟยอ๋อร์กินอย่างเอร็ดอร่อย

เธอกินเยอะกว่าลู่เฉินอีก!

หลังจากกินเสร็จก็ค่ำพอดี ลู่เฉินพาเธอไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำ

เพราะว่าเฉินเฟยเอ๋อร์กินจนอิ่มตื้อ จำเป็นต้องย่อยอาหาร

พอเดินเหนื่อยแล้ว ทั้งสองคนก็มานั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวริมแม่น้ำ ชื่นชมแม่น้ำใสแจ๋วที่อยู่ตรงหน้าด้วยกัน

ที่นี่ห่างจากถนนย่านการค้า ถึงแม้จะมีนักท่องเที่ยวเดินอยู่บ้าง แต่ก็เงียบมากอย่างไม่ต้องสงสัย

มีคู่รักเป็นคู่ๆ อยู่มากมาย

ราวกับมีกลิ่นอายของความโรแมนติกกระเพื่อมอยู่ในอากาศที่นี่

เฉินเฟยเอ๋อร์ลูบท้องน้อยๆ ของตัวเอง ส่งเสียงร้องเล็กๆ ด้วยสีหน้าเกียจคร้านและพอใจ

มีท่าทางของสาวน้อยเป็นอย่างมาก

ลู่เฉินหัวเราะเธอ “พี่ทานทำไมเยอะแยะครับ ไม่กลัวท้องเสียเหรอ”

เฉินเฟยเอ๋อร์เอียงศีรษะซบไปบนไหล่ของเขา แล้วพูดพึมพำว่า “ตอนเป็นเด็กฉันชอบกินมาก ชอบกินเซียงช่วนเนื้อเสียบไม้ที่ต้มอยู่ในหม้อหน้าโรงเรียนมากๆ มีครั้งหนึ่งฉันตะกละเกินไปใช้เงินค่าซื้อหนังสือเรียนจนหมด…”

เธอหยุดชะงัก ลู่เฉินจึงอดถามไม่ได้ “จากนั้นเป็นยังไงครับ”

เฉินเฟยเอ๋อร์เอ่ยว่า “จากนั้นก็ถูกแม่ของฉันตี ใช้ไม้บรรทัดไม้ไผ่ตีก้นฉัน เจ็บมากๆ!”

“ตอนนั้นฉันคิดว่า รอให้ฉันโตก่อนเถอะ ฉันจะกินเซียงช่วนทุกวัน กินให้หนำใจไปเลย!”

“แต่หลังจากที่มีเงินแล้ว จึงรู้ว่าของพวกนี้กินมากไม่ดีต่อสุขภาพ…”

“ก็เหมือนกับซุปหมาล่า ที่ไม่ได้กินมานานมากแล้ว”

เธอหรี่ตานึกถึงความทรงจำในอดีต รอยยิ้มแสนหวานปรากฏขึ้นมาตรงมุมปาก แม้จะพูดถึงตอนที่เจ็บก็ตาม

ลู่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ต่อไปถ้าผมมีโอกาส จะพาพี่ออกมากินอีกนะครับ”

เฉินเฟยเอ๋อร์หันหน้ามา แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ขอบคุณนะ”

เธอยิ้มอย่างมีความสุข รอยยิ้มสะท้อนกับแสงไฟที่ส่องสว่างข้างทาง เป็นความงดงามที่พาให้หัวใจสั่น

ดึงดูดสายตาของลู่เฉินเข้าเต็มเปา

ลู่เฉินจ้องมองสาวงามในระยะใกล้ ทันใดนั้นก็ไม่อาจยับยั้งใจ ยื่นมือดึงแว่นตาของเธอออก จากนั้นก้มหน้าจูบปากเธออย่างเต็มที่

ริมฝีปากของเฉินเฟยเอ๋อร์อ่อนนุ่มและหอมหวาน เป็นความหวานบางอย่างที่บรรยายออกมาไม่ถูก

ราชินีเสียงหวานคนนี้เบิกตาโตทันที ถอยหลังไปโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่อาจหลบหนีได้

เธอครวญครางเบาๆ อย่างหมดแรง หลับตาแล้วปล่อยให้ลู่เฉินล่วงเกินตามอำเภอใจ

นี่คือการจูบกันครั้งแรกของทั้งสองคน

ผ่านไปพักหนึ่ง ลู่เฉินถึงปล่อยเธออย่างอาลัยอาวรณ์ เพราะเฉินเฟยเอ๋อร์เกือบจะหายใจไม่ทันแล้ว

เธอซบอยู่ในอ้อมอกของลู่เฉิน หลับตาอย่างงามเพริศพริ้ง

ไม่รู้ว่าน่าซาบซึ้งใจมากแค่ไหน

เฉินเฟยเอ๋อร์ลืมตาอีกครั้งด้วยสีหน้าเขินอาย

จู่ๆ เธอก็ยื่นแขนทั้งสองข้างกอดคอของลู่เฉิน แล้วเป็นฝ่ายส่งจูบไปหาก่อน ราวกับว่าอยากจะให้ตัวเองหลอมรวมเข้าไปอยู่ในร่างกายของลู่เฉิน รุ่มร้อนจนลู่เฉินแทบจะละลาย

จูบนี้กินเวลานานกว่าเดิม!

ความกังวลใจของลู่เฉินพลันหายไป ดำดิ่งเพลิดเพลินไปกับความนุ่มนวล

จนกระทั่งเสียงแตรรถดังขึ้นจากจุดที่ห่างออกไปไม่ไกล ทั้งสองคนจึงตื่นขึ้น

เฉินเฟยเอ๋อร์ปล่อยลู่เฉินอย่างเขินอาย เธอนั่งตัวตรงแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถอะ”

สิ่งที่เรียกว่าเส้นขีดจำกัด ได้ถูกทำลายไปทีละก้าวอย่างนี้

เธอเองก็หมดแรงต้านทาน

เพียงแต่จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงจะเกิดเรื่องจริงๆ

ลู่เฉินรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็ยังกล่าวว่า “ครับ พวกเรากลับโรงแรมกัน”

เขาจูงมือของเฉินเฟยเอ๋อร์อย่างเป็นธรรมชาติ รู้สึกพึงพอใจเป็นที่สุด

เฉินเฟยเอ๋อร์ปล่อยให้เขาจับมือ แล้วพูดเบาๆ ว่า “นี่คือจูบแรกของฉัน แต่ไม่ใช่ของนาย ใช่ไหม”

ลู่เฉินยิ้มเจื่อนๆ

อันนี้เขาพูดไม่ออกจริงๆ

วันถัดมา กองถ่ายละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ดำเนินพิธีเปิดกล้องที่โรงถ่ายจินหลิง

พิธีเปิดกล้องไม่ได้จัดใหญ่โตมากนัก แต่เนื่องจากมีเฉินเฟยเอ๋อร์รับบทนางเอก เพราะฉะนั้นจึงมีนักข่าวและสื่อต่างๆ มามากมาย จนเกือบจะกลายเป็นงานแถลงข่าว

คนที่พวกนักข่าวให้ความสนใจที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นเฉินเฟยเอ๋อร์

วันนี้สีหน้าของเฉินเฟยเอ๋อร์ดูสดชื่นมาก สดใสมีชีวิตชีวานัยน์ตาอาบไปด้วยรอยยิ้ม สวยงามมาก ไม่รู้ว่าถูกกดชัตเตอร์ถ่ายภาพไปตั้งเท่าไร ดึงดูดสายตามากที่สุดในงาน

ยามที่เจอคำถามของพวกนักข่าว เธอก็ตอบอย่างมีมารยาท

นักข่าวคนหนึ่งของนิตยสาร ‘เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี’ ถามว่า “เฉินเฟยเอ๋อร์ ไม่ทราบว่าคุณรับบทนางเอกของเรื่องนี้ เกี่ยวข้องกับลู่เฉินด้วยใช่ไหม พวกคุณกำลังคบกันอยู่หรือเปล่า”

คำถามนี้เกรงว่านักข่าวทุกคนก็อยากถาม

เป็นที่ยอมรับโดยทั่วกันว่าความสัมพันธ์ของเฉินเฟยเอ๋อร์กับลู่เฉินนั้นดีมาก แต่ก่อนทั้งสองคนเคยมีข่าวด้วยกันถึงแม้ทั้งสองคนจะปฏิเสธเรื่องรักต่างวัย แต่การร่วมงานของทั้งสองฝ่ายในครั้งนี้ทำให้คนอื่นอดคิดขึ้นมาไม่ได้

เฉินเฟยเอ๋อร์ยิ้มแล้วดึงลู่เฉินที่อยู่ข้างๆ ตัวเองเข้ามา กอดเขาอย่างสนิทสนม แล้วกล่าวว่า “ฉันกับลู่เฉินเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันค่ะ ส่วนเรื่องความรัก…”

เธอหันหน้าไปถามลู่เฉินอย่างกระอักกระอ่วน “คุณเคยจีบฉันไหมคะ”

ลู่เฉินคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบอย่างจริงจังว่า “ผมจะลองดูครับ”

เฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะฮ่าๆๆ

ทั้งสองคนเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย หลีกเลี่ยงคำถามได้อย่างชาญฉลาด

ยิ่งปิดบังซ่อนเร้นก็ยิ่งทำให้คนอื่นคาดเดา ทว่าการตอบทีเล่นทีจริงแบบนี้ ก็ยากที่คนอื่นจะจับความจริงได้เช่นกัน เหมือนดังคำกล่าวที่ว่าเท็จเป็นจริง จริงเป็นเท็จ!

หลังจากเฉินเฟยเอ๋อร์หัวเราะพอประมาณแล้วจึงเอ่ยว่า “ความจริงละครเรื่องนี้ หลังจากที่ฉันอ่านบทแล้ว ก็เป็นฝ่ายขอลู่เฉินเล่นบทนางเอกเองค่ะ เพราะฉันชอบบทอิ่นเอินซีจริงๆ รู้สึกมีความท้าทายมากค่ะ”

เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่กลัวการเปิดเผยตัวเอง “ในเรื่องฉันรับบทอิ่นเอินซี เป็นน้องสาวของอิ่นจวิ้นซีที่ลู่เฉินแสดงค่ะ!”

อายุของเธอมากกว่าลู่เฉินหลายปี

แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ไม่เคยหลีกเลี่ยงที่จะพูดเรื่องอายุของตัวเอง ดังนั้นเธอไม่รอให้นักข่าวถามก็เป็นฝ่ายเฉลยออกมาก่อน

นักข่าวอีกคนหนึ่งถามว่า “คุณลู่เฉิน คุณเล่นบทคู่กับเฉินเฟยเอ๋อร์ รู้สึกยังไงบ้าง”

ลู่เฉินตอบว่า “ไม่รู้สึกอะไรครับ เพราะว่ายังไม่ได้แสดง!”

นักข่าวถามถามต่อว่า “แล้วคุณมีแรงกดดันไหม”

ลู่เฉินตอบว่า “ทีแรกก็ไม่มี แต่ถูกคุณถามแบบนี้ รู้สึกมีแล้วครับ”

ทุกคนหัวเราะขึ้นมาทันที

การตอบของลู่เฉินมีความชำนาญมาก ไม่เหลือช่องโหว่ให้นักข่าวเลย

มีนักข่าวถามเฉินเฟยเอ๋อร์อีกครั้ง “อัลบั้มใหม่ของคุณจะออกตอนไหน”

เฉินเฟยเอ๋อร์ตอบว่า “น่าจะเดือนหน้าค่ะ นอกจากนี้ฉันยังร้องเพลงธีมของละครเรื่องนี้ด้วย และอาจจะเอาไปใส่ในอัลบั้มใหม่นี้ ไม่ว่ายังไงจะมีเรื่องเซอร์ไพรส์ทุกคนแน่นอนค่ะ!”

พิธีเปิดกล้องนี้ ช่วงแรกเป็นช่วงพิธีการใช้เวลาทั้งหมดแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้น ส่วนช่วงหลังแทบจะเป็นการสัมภาษณ์เฉินเฟยเอ๋อร์คนเดียว แม้แต่ลู่เฉินก็ยังถูกถามแค่สองสามคำถาม

แต่ไม่มีใครรู้สึกว่าไม่ถูกต้องอะไร เพราะละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามเช่นนี้ อย่างน้อยเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็มาจากผลงานของเฉินเฟยเอ๋อร์!

หลังจากพิธีเปิดกล้องสิ้นสุดลง ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ก็เข้าสู่กระบวนการถ่ายทำอย่างเป็นทางการ

แต่ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์ไม่ได้เข้าร่วมการถ่ายทำ เนื่องจากสองตอนแรกไม่มีบทของพวกเขา จึงไม่จำเป็นต้องอยู่ในกองถ่าย

ที่สำคัญที่สุดคือ ทั้งสองคนจำเป็นต้องเดินทางกลับปักกิ่งเพื่อร่วมกิจกรรมหนึ่งที่สำคัญมาก

นั่นก็คือการถ่ายโฆษณาเพื่อสาธารณประโยชน์ของสหพันธ์การกุศลเหยียนหวง ซึ่งใช้เพลง ‘มอบความรัก’ ของลู่เฉิน

…………………………………………………………………………

ประกาศปิดปรับปรุงช่องทางการเติมเหรียญ

ในวันที่ 28 ต.ค. 64 เวลา 21.00 น.

จะมีการปิดปรับปรุงระบบช่องทางการเติมเหรียญในช่องทางต่อไปนี้

True Money, True Wallet, บัตรเงินสด, Rabbit Line Pay, Razer Pin, SMS เครือข่าย ซึ่งจะใช้ระยะเวลาประมาณ 1-2 สัปดาห์ ส่งผลให้ไม่สามารถเติมเหรียญผ่านช่องทางเหล่านี้ได้

หากมีอัปเดตเพิ่มเติม หรือกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง จะแจ้งให้ทราบทันที

แต่ยังสามารถเติมเหรียญได้ตามปกติในช่องทางอื่นๆ

ทีมงานขอแนะนำให้เปลี่ยนมาเติมในช่องทางต่อไปนี้

1. ทางเว็บไซต์ : พร้อมเพย์, บัตรเครดิต/เดบิต, ShopeePay, Internet Banking

2. ทางแอป (ราคาสูงกว่าเพราะมีค่าธรรมเนียม) : iOS App Store, Google Play Store

สามารถดูรายละเอียดหรือสอบถามเพิ่มเติมที่ Facebook Fictionlog

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+