Perfect Superstar 260 จางลี่เวย

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 260 จางลี่เวย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 260 จางลี่เวย

ครืด~

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ที่เปิดไว้แบบใช้ระบบสั่นก็ดังขึ้น จางลี่เวยจึงตกใจตื่นจากความฝัน

เธอยื่นมือออกมาจากผ้าห่มอย่างสะลึมสะลือ คว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตู้ข้างเตียง คลำหาปุ่มปิดเปิดแล้วใช้แรงกดเล็กน้อย ปิดนาฬิกาที่ตั้งปลุกล่วงหน้า

ภายในห้องที่ผ้าม่านปิดสนิท มองเห็นเพียงแสงรำไรที่ลอดออกมาจากช่องของผ้าม่าน จางลี่เวยนอนหลับบนเตียงเงียบๆ อีกสองสามนาที จนกระทั่งสมองและร่างกายอยู่ในสภาวะที่ตื่นตัวทั้งหมดแล้ว ถึงได้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่รีบร้อน แล้วสวมเสื้อคลุม

เธอมีอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่เป็นสาวสวยวัยใส แต่รูปร่างหน้าตาก็แก่ชราง่าย ถ้าหากไม่เริ่มดูแลรักษาให้ดีตั้งแต่ตอนนี้ รอให้อายุสามสิบกว่าแล้วค่อยดูแล แบบนั้นก็จะต้องลงทุนลงแรงมาก

จางลี่เวยรักและทะนุถนอมตัวเองมาก เธอรู้จักเรียนรู้การบำรุงรักษาชีวิตตัวเองมานานแล้ว ใช้จิตใจและร่างกายที่เปี่ยมพลังเผชิญหน้ากับงานของตัวเองในทุกขณะ

และในจุดนี้ ก็ทำให้เธอโดดเด่นจากคู่แข่งหลายคน จึงได้รับโอกาสอันล้ำค่าครั้งนี้

เธอกำลังถ่ายละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ โดยรับบทเป็นชุยซินอ้าย

เป็นบทบาทที่คนเกลียดชังสุดๆ

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำเรียบร้อย จางลี่เวยใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มถึงจะบำรุงรักษาผิวหน้าในตอนเช้าเสร็จ ทั้งมาส์กหน้า บำรุงรอบดวงตา กำจัดความมันในรูขุมขนขั้นล้ำลึก…

ในฐานะที่ทำอาชีพนักแสดง การแต่งหน้าก่อนถ่ายทำเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเครื่องสำอางชนิดต่างๆ ก็เร่งผิวหน้าให้แก่เร็วขึ้น ถ้าหากไม่บำรุงดูแลรักษาผิวล่วงหน้า นั่นคือการไม่รับผิดชอบต่อตัวเอง

จะว่าไปคนที่ทำแบบจางลี่เวยมีน้อยมาก ตื่นล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมงเพื่อบำรุงรักษาผิวหน้าก่อน

หลังจากดูแลผิวหน้าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเป็นชุดกีฬาแล้วออกจากห้อง วิ่งลงไปข้างล่างเพื่อไปออกกำลังกายในห้องฟิตเนส

ตอนที่จางลี่เวยปรากฏตัวในห้องอาหาร ก็เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว

นักแสดงและทีมงานละครส่วนใหญ่จะรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารนี้ พวกเขาจะต้องเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำก่อนเวลาแปดโมงเช้า เพื่อเริ่มงานถ่ายทำของวันนี้

และในห้องอาหารนี้ ก็ไม่ได้มีเพียงกองถ่ายละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เท่านั้น แต่ยังมีทีมงานอื่นอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงคึกคักเป็นอย่างมาก

ที่นี่คือหมู่บ้านฉวินอี้ของโรงถ่ายจินหลิง เป็นโรงแรมสไตล์อพาร์ตเมนต์สำหรับทีมงานที่มาถ่ายทำ ถึงแม้จะเทียบโรงแรมใหญ่ไม่ได้ แต่ก็มีที่ตั้งที่ดีเยี่ยมและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สะดวกสบายเป็นอย่างมาก

นับตั้งแต่โรงถ่ายจินหลิงเริ่มดำเนินกิจการ กองถ่ายที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฉวินอี้ไม่เคยมีน้อยกว่าสามกอง แม้ว่าจะเป็นช่วงปีใหม่ก็เหมือนกัน ช่วงที่เยอะสุดมีมากกว่าสิบกองเลยทีเดียว

“สวัสดีตอนเช้าคุณจาง!” “สวัสดีตอนเช้าพี่ลี่เวย!” “สวัสดีตอนเช้าพี่เวย!”

พอเห็นจางลี่เวยเดินเข้ามา หลายคนก็ทยอยกันทักทายเธอ มีบางคนที่ไม่ใช่ทีมงานในกองถ่าย ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’

แต่ก็รู้จักเธอ แล้วยังมีบางคนอยากจะช่วยหยิบอาหารเช้าให้เธอ

ทว่าจากแววตาของคนเหล่านั้น จางลี่เวยมองเห็นสายตาของความอิจฉาและริษยา

การปฏิบัติตัวเช่นนี้ เธอไม่เคยได้รับมาก่อน

ปีนี้เธออายุยี่สิบห้าปี เรียนจบจากสถาบันภาพยนตร์ฮู่ไห่ เธอเริ่มถ่ายละครมาตั้งแต่อายุสิบเก้าปี เคยถ่ายโฆษณาเล็กๆ สองสามตัว แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียง และไม่เคยได้แสดงบทบาทที่สำคัญอะไรเลย

หลังจากเรียนจบเธอก็มาหางานที่เมืองหลวงกับเพื่อนของเธอ เซ็นสัญญากับบริษัทเอเจนซี่ระดับสองระดับสามบทบาทที่ดีที่สุดที่เคยรับในสองสามปีที่ผ่านมา ก็เป็นแค่ตัวประกอบปลายแถว ยามที่เดินตามท้องถนนมีเพียงสองสามคนที่จำเธอได้

พวกเพื่อนๆ ที่มาเมืองหลวงด้วยกัน บางคนยืนหยัดไม่ไหวก็เปลี่ยนอาชีพ บางคนล้มเลิกแล้วแต่งงาน มีเพียงเธอที่กัดฟันยืนหยัดอย่างเงียบๆ ขยันหมั่นเพียรเรียนรู้และทำงาน

จากนั้นแสงสว่างของชีวิต ก็พลันปรากฏขึ้น!

ถึงแม้จะเป็นตอนนี้ จางลี่เวยก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง…เธอดังแล้ว

เหมือนกับพายุมรสุมในฤดูร้อน มาเร็วมากจนเธอตั้งตัวไม่ทัน

หากจะพูดให้เคร่งครัดกว่านี้ก็คือ ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ที่เธอร่วมแสดงดังแล้ว เรตติ้งละครตอนล่าสุดสูงถึง 0.55% สามารถมองละครประเภทเดียวกันทั้งหมดได้อย่างโอหัง กลายเป็นหัวข้อยอดนิยมบนอินเทอร์เน็ต

ก่อนถ่ายทำละครเรื่องนี้ จางลี่เวยมีจำนวนแฟนคลับในบัญชีวีไอพีของบล็อกล่างฉาวห้าแสนกว่าคน

จำนวนแฟนคลับพวกนี้หากมองผิวเผินก็ยังพอใช้ได้ พอจะเป็นบัญชีวีไอพีได้นิดหน่อย แต่ตัวของจางลี่เวยรู้ดีว่าแฟนคลับส่วนใหญ่คือแฟนคลับที่บริษัทเอเจนซี่ใช้เงินซื้อมา ซึ่งก็คือแฟนคลับปลอมนั่นเอง

ปกติเธอโพสต์หนึ่งข้อความ มียอดคอมเมนต์เพียงน้อยนิด มากสุดก็สองสามร้อยเท่านั้น

แต่ตอนนี้ บล็อกของเธอมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งล้านสองแสนคน และเป็นแฟนคลับจริงที่ไม่มีตัวปลอมผสม

เมื่อวานตอนบ่ายช่วงที่ว่างจากการถ่ายทำจางลี่เวยได้โพสต์ภาพถ่ายเบื้องหลัง จนถึงเมื่อคืนมียอดกดไลก์นับหมื่น ยอดแชร์และคอมเมนต์เกินหนึ่งหมื่นขึ้นไป ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนจนเทียบไม่ได้!

พูดตามจริง ก่อนรับเล่นบทนี้จางลี่เวยไม่เคยคาดฝันมาก่อนจริงๆ ละครเรื่องนี้ยังถ่ายทำไม่เสร็จ เธอก็เริ่มดังขึ้นมาแล้ว ตำแหน่งในวงการของเธอเพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น

แต่มีสิ่งที่น่าอึดอัดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีคนด่าเธอเยอะมากในส่วนแสดงความคิดเห็น

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะจางลี่เวยนิสัยไม่ดีหรือทำเรื่องเลวร้าย แต่บทบาทที่เธอแสดงมันทำให้คนเกลียดเกินไป

ทุกคนด่าชุยซินอ้ายที่รับบทแสดงโดยจางลี่เวย

แม้แต่ตัวของจางลี่เวยหลังจากที่อ่านบทละครจบแล้ว ก็ยังหมดคำพูดกับบทบาทของตัวเอง

แต่ในฐานะนักแสดง จางลี่เวยไม่เพียงต้องแสดงจุดเด่นของตัวละครออกมาเท่านั้น เธอยังต้องขุดค้นหัวใจของตัวละครออกมาให้ได้อีกด้วย

ถึงแม้ชุยซินอ้ายจะร้าย แต่เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ขาดความรักและปรารถนาในความรักคนหนึ่ง การกระทำของเธอส่วนใหญ่มาจากจิตใจที่ไม่สมดุล ทว่าเธอไม่ได้ร้ายจนถึงที่สุด การที่เธอใช้จิตใจต่อสู้กับสภาวะที่อ้างว้างโดดเดี่ยวอย่างมุมานะก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยอมรับเช่นกัน

ถ้าอยากจะจับจุดของตัวละครตัวนี้ให้มั่น นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และต้องใช้ทักษะการแสดงที่สูงมากพอสมควร

จางลี่เวยกอดบทละครอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่ามากกว่าสิบครั้ง สิ่งที่โชคดีก็คือ เธอมักจะศึกษาพิจารณากับผู้เขียนบทบ่อยครั้ง เพื่อทำความเข้าใจความคิดของตัวละคร จากนั้นก็ทำให้ตัวละครนี้มีชีวิตขึ้นมา ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมการแสดงเอาไว้

ด้วยความขยันและความมุ่งมั่นเช่นนี้ เธอจึงได้รับการยอมรับจากผู้กำกับ เพื่อนร่วมงาน และแฟนคลับอีกมากมาย!

บนโต๊ะอาหารแบบบุฟเฟต์จางลี่เวยเลือกไข่ไก่สองฟอง นมหนึ่งแก้ว และขนมปังสองสามแผ่น จากนั้นเธอจึงหาที่ว่างแล้วนั่งลง

เพิ่งจะกินไปได้ครึ่งหนึ่ง หญิงวัยกลางคนแต่ยังสวยคนหนึ่งก็เดินอย่างเร่งรีบเข้ามา

เธอทักทายอย่างดีใจ “ลี่เวย!”

จางลี่เวยเงยหน้า เห็นอีกฝ่ายยิ้มให้จางๆ “พี่ไต้ กินข้าวเช้าหรือยังคะ”

คนที่นั่งข้างๆ จางลี่เวยคือช่างแต่งหน้าในกองถ่ายที่กินใกล้จะเสร็จแล้ว ดังนั้นจึงยกที่นั่งให้เธอ

พี่ไต้ผู้หญิงวัยกลางคนคนนี้รีบกล่าวขอบคุณติดต่อกัน จากนั้นจึงนั่งลงพูดกับจางลี่เวยเสียงเบา

พี่ไต้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของจางลี่เวย

จางลี่เวยเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวมาสองคนแล้ว พี่ไต้เป็นคนที่สาม โดยบริษัทเอเจนซี่เป็นคนจัดให้เธอ

แท้จริงแล้วจางลี่เวยไม่ค่อยชอบพี่ไต้เท่าไร

พี่ไต้เป็นพนักงานเก่าแก่อยู่ในบริษัทเอเจนซี่ที่เธอเซ็นสัญญา เป็นคนฉลาดเฉียบแหลมแต่หัวสูงเลือกปฏิบัติ เธอมีศิลปินสี่คนอยู่ในมือ แต่ก่อนทักทายจางลี่เวยน้อยมาก เนื่องจากจางลี่เวยมีชื่อเสียงน้อยที่สุดในสี่คนนี้ จึงไม่คิดที่จะประจบเอาใจเธอ

จางลี่เวยได้รับบทชุยซินอ้าย เป็นเพราะความพยายามและความโชคดีของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับพี่ไต้เลยสักนิด

จางลี่เวยกระทั่งรู้ว่า ตอนที่กานเต๋อมาคัดเลือกคน พี่ไต้ก็แนะนำคนอื่น

แต่สุดท้ายเธอก็ชนะ

ได้ยินว่าพี่ไต้โกรธมากเพราะเรื่องนี้ ถึงกับพูดจาไม่น่าฟังในบริษัท

ตอนที่จางลี่เวยเพิ่งมาถึงจินหลิง พี่ไต้ก็ไม่ได้ตามมาด้วย เธอไม่มีผู้ช่วยสักคนอยู่ข้างกาย

ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เกิดขึ้นหลังจากละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ออกอากาศครั้งแรก

ตอนที่เรตติ้งผู้ชมของละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ทะลุ 0.3% พี่ไต้ก็รีบมาที่จินหลิงด้วยตัวเอง และยังพาผู้ช่วยที่ดูแลชีวิตประจำวันมาด้วยอีกหนึ่งคน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ท่าทางของพี่ไต้เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ทำตัวสูงส่งเหนือใครอีก โดยเฉพาะหลังจากเรตติ้งทะลุ 0.5% แตกต่างราวกับคนละคน ให้ความสนิทสนมใกล้ชิดและจิตใจดีจนถึงระดับประจบสอพลอ

จางลี่เวยรู้สึกแอบขำ แต่ก็เจ็บใจอยู่นิดหน่อย

ทว่าเธอก็ไม่ได้ดีใจจนลืมตัวเพราะเหตุนี้ และใช้งานพี่ไต้เพื่อแก้แค้นกับความเย็นชาที่เคยได้รับมาก่อนหน้า

ในวงการนั้น การเอาใจคนมีอำนาจและโจมตีคนไร้อำนาจเป็นเรื่องที่ปกติมาก การแสดงออกของพี่ไต้ถึงแม้จะบกพร่องแต่ก็พอให้อภัยได้ อย่างน้อยตอนที่เธอได้รับเล่นบทนี้ พี่ไต้ก็ยังช่วงชิงสัญญาที่ไม่เลวฉบับหนึ่งมาให้เธอ

ถึงแม้อีกฝ่ายจะได้เปอร์เซ็นต์จากในสัญญานี้ก็ตาม

จางลี่เวยรู้ว่าพี่ไต้กำลังกังวลว่าหลังจากตัวเธอดังแล้วจะเปลี่ยนผู้จัดการอีก

อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนคน

แน่นอนว่าจางลี่เวยไม่มีทางบอกความคิดของตัวเองให้พี่ไต้รู้แน่นอน ไม่คิดที่จะทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกไม่สบายใจ

เธอรู้สึกว่าตัวเองชักจะมีบุคลิกคล้ายคลึงกับชุยซินอ้ายอยู่หลายส่วนแล้ว

พี่ไต้วิ่งมาประจบเธอแต่เช้า เพื่อบอกข่าวดีกับจางลี่เวย มีแบรนด์เสื้อผ้าดังเจ้าหนึ่งสนใจอยากเซ็นสัญญาให้เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์

อีกฝ่ายมองเห็นศักยภาพและบุคลิกของเธอ จึงอยากเซ็นสัญญาถึงสองปี

และเงื่อนไขก็ไม่เลวเลยทีเดียว

จางลี่เวยกินข้าวเช้าและฟังพี่ไต้พูดจนจบอย่างเงียบๆ จากนั้นเธอจึงเอ่ยว่า “พี่ไต้ วางเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ฉันคิดว่าเรตติ้งละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ยังจะเพิ่มขึ้นอีก!”

ถ้าหากเป็นเมื่อครึ่งเดือนก่อน ต่อให้เป็นราคาที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งหรือต่ำกว่านี้ เธอก็จะรีบเซ็นทันที

แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายกำลัง ‘ได้ของมีค่าโดยไม่รู้ตัว’

พี่ไต้จึงไม่พูดอะไรต่อ

เธอคิดไม่ถึงว่าจางลี่เวยจะเงียบขนาดนี้ เดิมทีอยากจะเซอร์ไพรส์ฝ่ายหลังเสียหน่อย

พี่ไต้พบว่า ตัวเองรู้จักจางลี่เวยน้อยเกินไปจริงๆ

จางลี่เวยเป็นผู้ใหญ่และมีสติสัมปชัญญะมากกว่าที่เธอคิด และยังมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ยอมให้คนอื่นจูงจมูก

ทันใดนั้นเธอรู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียสมบัติล้ำค่าไป!

จางลี่เวยไม่สนใจความคิดของพี่ไต้ หลังจากเธอเคี้ยวอาหารเช้าให้ละเอียดอย่างช้าๆ เสร็จแล้ว ก็เรียกผู้ช่วยของตัวเอง ก่อนจะขึ้นรถบัสของกองถ่ายเพื่อรีบไปสถานที่ถ่ายทำ

การถ่ายทำในวันนี้สำคัญมาก ต้องเร่งถ่ายหลายโลเคชั่นติดต่อกัน

พอลงจากรถ จางลี่เวยก็พบเงาร่างที่คุ้นเคยของคนสองคนในไม่ช้า ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ออกมาทันที รีบเดินไปข้างหน้าทักทายอย่างรวดเร็ว

“พี่เฟย อาจารย์ลู่ สวัสดีค่ะ!”

ในกองถ่ายละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ นอกจากผู้กำกับแล้ว คนที่จางลี่เวยให้ความเคารพมากที่สุดก็คือสองคนที่อยู่ตรงหน้า…ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์

โดยเฉพาะลู่เฉิน ความซาบซึ้งของเธอเป็นความจริงใจที่ออกมาจากใจอย่างแท้จริง!

…………………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Perfect Superstar 260 จางลี่เวย

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 260 จางลี่เวย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 260 จางลี่เวย

ครืด~

ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ที่เปิดไว้แบบใช้ระบบสั่นก็ดังขึ้น จางลี่เวยจึงตกใจตื่นจากความฝัน

เธอยื่นมือออกมาจากผ้าห่มอย่างสะลึมสะลือ คว้าโทรศัพท์ที่วางอยู่บนตู้ข้างเตียง คลำหาปุ่มปิดเปิดแล้วใช้แรงกดเล็กน้อย ปิดนาฬิกาที่ตั้งปลุกล่วงหน้า

ภายในห้องที่ผ้าม่านปิดสนิท มองเห็นเพียงแสงรำไรที่ลอดออกมาจากช่องของผ้าม่าน จางลี่เวยนอนหลับบนเตียงเงียบๆ อีกสองสามนาที จนกระทั่งสมองและร่างกายอยู่ในสภาวะที่ตื่นตัวทั้งหมดแล้ว ถึงได้ลุกขึ้นจากเตียงอย่างไม่รีบร้อน แล้วสวมเสื้อคลุม

เธอมีอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่เป็นสาวสวยวัยใส แต่รูปร่างหน้าตาก็แก่ชราง่าย ถ้าหากไม่เริ่มดูแลรักษาให้ดีตั้งแต่ตอนนี้ รอให้อายุสามสิบกว่าแล้วค่อยดูแล แบบนั้นก็จะต้องลงทุนลงแรงมาก

จางลี่เวยรักและทะนุถนอมตัวเองมาก เธอรู้จักเรียนรู้การบำรุงรักษาชีวิตตัวเองมานานแล้ว ใช้จิตใจและร่างกายที่เปี่ยมพลังเผชิญหน้ากับงานของตัวเองในทุกขณะ

และในจุดนี้ ก็ทำให้เธอโดดเด่นจากคู่แข่งหลายคน จึงได้รับโอกาสอันล้ำค่าครั้งนี้

เธอกำลังถ่ายละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ โดยรับบทเป็นชุยซินอ้าย

เป็นบทบาทที่คนเกลียดชังสุดๆ

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันในห้องน้ำเรียบร้อย จางลี่เวยใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงเต็มถึงจะบำรุงรักษาผิวหน้าในตอนเช้าเสร็จ ทั้งมาส์กหน้า บำรุงรอบดวงตา กำจัดความมันในรูขุมขนขั้นล้ำลึก…

ในฐานะที่ทำอาชีพนักแสดง การแต่งหน้าก่อนถ่ายทำเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเครื่องสำอางชนิดต่างๆ ก็เร่งผิวหน้าให้แก่เร็วขึ้น ถ้าหากไม่บำรุงดูแลรักษาผิวล่วงหน้า นั่นคือการไม่รับผิดชอบต่อตัวเอง

จะว่าไปคนที่ทำแบบจางลี่เวยมีน้อยมาก ตื่นล่วงหน้าหนึ่งชั่วโมงเพื่อบำรุงรักษาผิวหน้าก่อน

หลังจากดูแลผิวหน้าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเป็นชุดกีฬาแล้วออกจากห้อง วิ่งลงไปข้างล่างเพื่อไปออกกำลังกายในห้องฟิตเนส

ตอนที่จางลี่เวยปรากฏตัวในห้องอาหาร ก็เป็นเวลาเจ็ดโมงครึ่งแล้ว

นักแสดงและทีมงานละครส่วนใหญ่จะรับประทานอาหารเช้าในห้องอาหารนี้ พวกเขาจะต้องเดินทางไปยังสถานที่ถ่ายทำก่อนเวลาแปดโมงเช้า เพื่อเริ่มงานถ่ายทำของวันนี้

และในห้องอาหารนี้ ก็ไม่ได้มีเพียงกองถ่ายละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ เท่านั้น แต่ยังมีทีมงานอื่นอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงคึกคักเป็นอย่างมาก

ที่นี่คือหมู่บ้านฉวินอี้ของโรงถ่ายจินหลิง เป็นโรงแรมสไตล์อพาร์ตเมนต์สำหรับทีมงานที่มาถ่ายทำ ถึงแม้จะเทียบโรงแรมใหญ่ไม่ได้ แต่ก็มีที่ตั้งที่ดีเยี่ยมและมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สะดวกสบายเป็นอย่างมาก

นับตั้งแต่โรงถ่ายจินหลิงเริ่มดำเนินกิจการ กองถ่ายที่พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฉวินอี้ไม่เคยมีน้อยกว่าสามกอง แม้ว่าจะเป็นช่วงปีใหม่ก็เหมือนกัน ช่วงที่เยอะสุดมีมากกว่าสิบกองเลยทีเดียว

“สวัสดีตอนเช้าคุณจาง!” “สวัสดีตอนเช้าพี่ลี่เวย!” “สวัสดีตอนเช้าพี่เวย!”

พอเห็นจางลี่เวยเดินเข้ามา หลายคนก็ทยอยกันทักทายเธอ มีบางคนที่ไม่ใช่ทีมงานในกองถ่าย ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’

แต่ก็รู้จักเธอ แล้วยังมีบางคนอยากจะช่วยหยิบอาหารเช้าให้เธอ

ทว่าจากแววตาของคนเหล่านั้น จางลี่เวยมองเห็นสายตาของความอิจฉาและริษยา

การปฏิบัติตัวเช่นนี้ เธอไม่เคยได้รับมาก่อน

ปีนี้เธออายุยี่สิบห้าปี เรียนจบจากสถาบันภาพยนตร์ฮู่ไห่ เธอเริ่มถ่ายละครมาตั้งแต่อายุสิบเก้าปี เคยถ่ายโฆษณาเล็กๆ สองสามตัว แต่ก็ยังไม่มีชื่อเสียง และไม่เคยได้แสดงบทบาทที่สำคัญอะไรเลย

หลังจากเรียนจบเธอก็มาหางานที่เมืองหลวงกับเพื่อนของเธอ เซ็นสัญญากับบริษัทเอเจนซี่ระดับสองระดับสามบทบาทที่ดีที่สุดที่เคยรับในสองสามปีที่ผ่านมา ก็เป็นแค่ตัวประกอบปลายแถว ยามที่เดินตามท้องถนนมีเพียงสองสามคนที่จำเธอได้

พวกเพื่อนๆ ที่มาเมืองหลวงด้วยกัน บางคนยืนหยัดไม่ไหวก็เปลี่ยนอาชีพ บางคนล้มเลิกแล้วแต่งงาน มีเพียงเธอที่กัดฟันยืนหยัดอย่างเงียบๆ ขยันหมั่นเพียรเรียนรู้และทำงาน

จากนั้นแสงสว่างของชีวิต ก็พลันปรากฏขึ้น!

ถึงแม้จะเป็นตอนนี้ จางลี่เวยก็ยังรู้สึกว่าไม่ใช่ความจริง…เธอดังแล้ว

เหมือนกับพายุมรสุมในฤดูร้อน มาเร็วมากจนเธอตั้งตัวไม่ทัน

หากจะพูดให้เคร่งครัดกว่านี้ก็คือ ละครเรื่อง ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ที่เธอร่วมแสดงดังแล้ว เรตติ้งละครตอนล่าสุดสูงถึง 0.55% สามารถมองละครประเภทเดียวกันทั้งหมดได้อย่างโอหัง กลายเป็นหัวข้อยอดนิยมบนอินเทอร์เน็ต

ก่อนถ่ายทำละครเรื่องนี้ จางลี่เวยมีจำนวนแฟนคลับในบัญชีวีไอพีของบล็อกล่างฉาวห้าแสนกว่าคน

จำนวนแฟนคลับพวกนี้หากมองผิวเผินก็ยังพอใช้ได้ พอจะเป็นบัญชีวีไอพีได้นิดหน่อย แต่ตัวของจางลี่เวยรู้ดีว่าแฟนคลับส่วนใหญ่คือแฟนคลับที่บริษัทเอเจนซี่ใช้เงินซื้อมา ซึ่งก็คือแฟนคลับปลอมนั่นเอง

ปกติเธอโพสต์หนึ่งข้อความ มียอดคอมเมนต์เพียงน้อยนิด มากสุดก็สองสามร้อยเท่านั้น

แต่ตอนนี้ บล็อกของเธอมีแฟนคลับเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งล้านสองแสนคน และเป็นแฟนคลับจริงที่ไม่มีตัวปลอมผสม

เมื่อวานตอนบ่ายช่วงที่ว่างจากการถ่ายทำจางลี่เวยได้โพสต์ภาพถ่ายเบื้องหลัง จนถึงเมื่อคืนมียอดกดไลก์นับหมื่น ยอดแชร์และคอมเมนต์เกินหนึ่งหมื่นขึ้นไป ซึ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนจนเทียบไม่ได้!

พูดตามจริง ก่อนรับเล่นบทนี้จางลี่เวยไม่เคยคาดฝันมาก่อนจริงๆ ละครเรื่องนี้ยังถ่ายทำไม่เสร็จ เธอก็เริ่มดังขึ้นมาแล้ว ตำแหน่งในวงการของเธอเพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาอันสั้น

แต่มีสิ่งที่น่าอึดอัดอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือมีคนด่าเธอเยอะมากในส่วนแสดงความคิดเห็น

แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะจางลี่เวยนิสัยไม่ดีหรือทำเรื่องเลวร้าย แต่บทบาทที่เธอแสดงมันทำให้คนเกลียดเกินไป

ทุกคนด่าชุยซินอ้ายที่รับบทแสดงโดยจางลี่เวย

แม้แต่ตัวของจางลี่เวยหลังจากที่อ่านบทละครจบแล้ว ก็ยังหมดคำพูดกับบทบาทของตัวเอง

แต่ในฐานะนักแสดง จางลี่เวยไม่เพียงต้องแสดงจุดเด่นของตัวละครออกมาเท่านั้น เธอยังต้องขุดค้นหัวใจของตัวละครออกมาให้ได้อีกด้วย

ถึงแม้ชุยซินอ้ายจะร้าย แต่เธอก็เป็นเด็กผู้หญิงที่ขาดความรักและปรารถนาในความรักคนหนึ่ง การกระทำของเธอส่วนใหญ่มาจากจิตใจที่ไม่สมดุล ทว่าเธอไม่ได้ร้ายจนถึงที่สุด การที่เธอใช้จิตใจต่อสู้กับสภาวะที่อ้างว้างโดดเดี่ยวอย่างมุมานะก็เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การยอมรับเช่นกัน

ถ้าอยากจะจับจุดของตัวละครตัวนี้ให้มั่น นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และต้องใช้ทักษะการแสดงที่สูงมากพอสมควร

จางลี่เวยกอดบทละครอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่ามากกว่าสิบครั้ง สิ่งที่โชคดีก็คือ เธอมักจะศึกษาพิจารณากับผู้เขียนบทบ่อยครั้ง เพื่อทำความเข้าใจความคิดของตัวละคร จากนั้นก็ทำให้ตัวละครนี้มีชีวิตขึ้นมา ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมการแสดงเอาไว้

ด้วยความขยันและความมุ่งมั่นเช่นนี้ เธอจึงได้รับการยอมรับจากผู้กำกับ เพื่อนร่วมงาน และแฟนคลับอีกมากมาย!

บนโต๊ะอาหารแบบบุฟเฟต์จางลี่เวยเลือกไข่ไก่สองฟอง นมหนึ่งแก้ว และขนมปังสองสามแผ่น จากนั้นเธอจึงหาที่ว่างแล้วนั่งลง

เพิ่งจะกินไปได้ครึ่งหนึ่ง หญิงวัยกลางคนแต่ยังสวยคนหนึ่งก็เดินอย่างเร่งรีบเข้ามา

เธอทักทายอย่างดีใจ “ลี่เวย!”

จางลี่เวยเงยหน้า เห็นอีกฝ่ายยิ้มให้จางๆ “พี่ไต้ กินข้าวเช้าหรือยังคะ”

คนที่นั่งข้างๆ จางลี่เวยคือช่างแต่งหน้าในกองถ่ายที่กินใกล้จะเสร็จแล้ว ดังนั้นจึงยกที่นั่งให้เธอ

พี่ไต้ผู้หญิงวัยกลางคนคนนี้รีบกล่าวขอบคุณติดต่อกัน จากนั้นจึงนั่งลงพูดกับจางลี่เวยเสียงเบา

พี่ไต้เป็นผู้จัดการส่วนตัวของจางลี่เวย

จางลี่เวยเปลี่ยนผู้จัดการส่วนตัวมาสองคนแล้ว พี่ไต้เป็นคนที่สาม โดยบริษัทเอเจนซี่เป็นคนจัดให้เธอ

แท้จริงแล้วจางลี่เวยไม่ค่อยชอบพี่ไต้เท่าไร

พี่ไต้เป็นพนักงานเก่าแก่อยู่ในบริษัทเอเจนซี่ที่เธอเซ็นสัญญา เป็นคนฉลาดเฉียบแหลมแต่หัวสูงเลือกปฏิบัติ เธอมีศิลปินสี่คนอยู่ในมือ แต่ก่อนทักทายจางลี่เวยน้อยมาก เนื่องจากจางลี่เวยมีชื่อเสียงน้อยที่สุดในสี่คนนี้ จึงไม่คิดที่จะประจบเอาใจเธอ

จางลี่เวยได้รับบทชุยซินอ้าย เป็นเพราะความพยายามและความโชคดีของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับพี่ไต้เลยสักนิด

จางลี่เวยกระทั่งรู้ว่า ตอนที่กานเต๋อมาคัดเลือกคน พี่ไต้ก็แนะนำคนอื่น

แต่สุดท้ายเธอก็ชนะ

ได้ยินว่าพี่ไต้โกรธมากเพราะเรื่องนี้ ถึงกับพูดจาไม่น่าฟังในบริษัท

ตอนที่จางลี่เวยเพิ่งมาถึงจินหลิง พี่ไต้ก็ไม่ได้ตามมาด้วย เธอไม่มีผู้ช่วยสักคนอยู่ข้างกาย

ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง เกิดขึ้นหลังจากละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ออกอากาศครั้งแรก

ตอนที่เรตติ้งผู้ชมของละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ทะลุ 0.3% พี่ไต้ก็รีบมาที่จินหลิงด้วยตัวเอง และยังพาผู้ช่วยที่ดูแลชีวิตประจำวันมาด้วยอีกหนึ่งคน

สิ่งสำคัญที่สุดคือ ท่าทางของพี่ไต้เปลี่ยนแปลงไปมาก ไม่ทำตัวสูงส่งเหนือใครอีก โดยเฉพาะหลังจากเรตติ้งทะลุ 0.5% แตกต่างราวกับคนละคน ให้ความสนิทสนมใกล้ชิดและจิตใจดีจนถึงระดับประจบสอพลอ

จางลี่เวยรู้สึกแอบขำ แต่ก็เจ็บใจอยู่นิดหน่อย

ทว่าเธอก็ไม่ได้ดีใจจนลืมตัวเพราะเหตุนี้ และใช้งานพี่ไต้เพื่อแก้แค้นกับความเย็นชาที่เคยได้รับมาก่อนหน้า

ในวงการนั้น การเอาใจคนมีอำนาจและโจมตีคนไร้อำนาจเป็นเรื่องที่ปกติมาก การแสดงออกของพี่ไต้ถึงแม้จะบกพร่องแต่ก็พอให้อภัยได้ อย่างน้อยตอนที่เธอได้รับเล่นบทนี้ พี่ไต้ก็ยังช่วงชิงสัญญาที่ไม่เลวฉบับหนึ่งมาให้เธอ

ถึงแม้อีกฝ่ายจะได้เปอร์เซ็นต์จากในสัญญานี้ก็ตาม

จางลี่เวยรู้ว่าพี่ไต้กำลังกังวลว่าหลังจากตัวเธอดังแล้วจะเปลี่ยนผู้จัดการอีก

อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนคน

แน่นอนว่าจางลี่เวยไม่มีทางบอกความคิดของตัวเองให้พี่ไต้รู้แน่นอน ไม่คิดที่จะทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกไม่สบายใจ

เธอรู้สึกว่าตัวเองชักจะมีบุคลิกคล้ายคลึงกับชุยซินอ้ายอยู่หลายส่วนแล้ว

พี่ไต้วิ่งมาประจบเธอแต่เช้า เพื่อบอกข่าวดีกับจางลี่เวย มีแบรนด์เสื้อผ้าดังเจ้าหนึ่งสนใจอยากเซ็นสัญญาให้เธอเป็นพรีเซ็นเตอร์

อีกฝ่ายมองเห็นศักยภาพและบุคลิกของเธอ จึงอยากเซ็นสัญญาถึงสองปี

และเงื่อนไขก็ไม่เลวเลยทีเดียว

จางลี่เวยกินข้าวเช้าและฟังพี่ไต้พูดจนจบอย่างเงียบๆ จากนั้นเธอจึงเอ่ยว่า “พี่ไต้ วางเรื่องนี้ไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ฉันคิดว่าเรตติ้งละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ ยังจะเพิ่มขึ้นอีก!”

ถ้าหากเป็นเมื่อครึ่งเดือนก่อน ต่อให้เป็นราคาที่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งหรือต่ำกว่านี้ เธอก็จะรีบเซ็นทันที

แต่ตอนนี้ อีกฝ่ายกำลัง ‘ได้ของมีค่าโดยไม่รู้ตัว’

พี่ไต้จึงไม่พูดอะไรต่อ

เธอคิดไม่ถึงว่าจางลี่เวยจะเงียบขนาดนี้ เดิมทีอยากจะเซอร์ไพรส์ฝ่ายหลังเสียหน่อย

พี่ไต้พบว่า ตัวเองรู้จักจางลี่เวยน้อยเกินไปจริงๆ

จางลี่เวยเป็นผู้ใหญ่และมีสติสัมปชัญญะมากกว่าที่เธอคิด และยังมีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ยอมให้คนอื่นจูงจมูก

ทันใดนั้นเธอรู้สึกเหมือนกำลังจะสูญเสียสมบัติล้ำค่าไป!

จางลี่เวยไม่สนใจความคิดของพี่ไต้ หลังจากเธอเคี้ยวอาหารเช้าให้ละเอียดอย่างช้าๆ เสร็จแล้ว ก็เรียกผู้ช่วยของตัวเอง ก่อนจะขึ้นรถบัสของกองถ่ายเพื่อรีบไปสถานที่ถ่ายทำ

การถ่ายทำในวันนี้สำคัญมาก ต้องเร่งถ่ายหลายโลเคชั่นติดต่อกัน

พอลงจากรถ จางลี่เวยก็พบเงาร่างที่คุ้นเคยของคนสองคนในไม่ช้า ใบหน้าของเธอเผยรอยยิ้มอันมีเสน่ห์ออกมาทันที รีบเดินไปข้างหน้าทักทายอย่างรวดเร็ว

“พี่เฟย อาจารย์ลู่ สวัสดีค่ะ!”

ในกองถ่ายละคร ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ นอกจากผู้กำกับแล้ว คนที่จางลี่เวยให้ความเคารพมากที่สุดก็คือสองคนที่อยู่ตรงหน้า…ลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์

โดยเฉพาะลู่เฉิน ความซาบซึ้งของเธอเป็นความจริงใจที่ออกมาจากใจอย่างแท้จริง!

…………………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด