Perfect Superstar 214 เยี่ยมไข้

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 214 เยี่ยมไข้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 214 เยี่ยมไข้

ณ โรงพยาบาลประชาชนแห่งที่หนึ่งประจำเมืองหนิงย่วน มณฑลเจียงซู

ภายในห้องหมายเลข 1207 แผนกโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา หญิงสาวหลายคนกำลังยืนล้อมเตียงของเมิ่งเมิ่งพูดคุยกับเธอ

เมิ่งเมิ่งผู้สวมชุดผู้ป่วยใบหน้าซีดขาว แต่ยังสดใสอยู่ กำลังพูดคุยหัวเราะกับเพื่อนนักเรียนทั้งสามคน แทบดูไม่ออกเลยว่าเธอกำลังป่วยหนัก

เพียงแต่เหนือหัวเตียงมีประวัติผู้ป่วยแขวนอยู่ เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยตัวอักษรสีดำตัวหนาว่า AL

AL Acute Leukemia แปลว่าโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน

คือโรคที่เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดเกิดการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างผิดปกติ เมื่อก่อนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทว่าตอนนี้วิทยาการทางการแพทย์ก้าวไกล การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือวิธีปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งมีอัตราการหายขาดสูงมาก

แต่ค่ารักษาก็แพงจนน่าตกใจเหมือนกัน

แม่ของเมิ่งเมิ่ง จางฟาง นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม่ห่างจากเตียงผู้ป่วยมากนัก แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่ในดวงตามีแววเศร้าโศกที่ปิดไม่มิด ทั้งหมดคือการฝืนยิ้ม

สิ่งที่ทำให้จางฟางเป็นกังวลและหนักใจที่สุดคือค่ารักษาของเมิ่งเมิ่ง แม้เธอจะขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มี รวมกับเงินบริจาคจากโรงเรียนและเพื่อนๆ ของเมิ่งเมิ่งแล้ว ก็ยังไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของค่ารักษาที่สูงลิ่ว

แต่เธอไม่อยากให้ลูกสาวเสียใจ จึงไม่กล้าแสดงอารมณ์ที่อยู่ในใจออกมา

ก๊อกๆ!

ห้องพักผู้ป่วยมีเสียงเคาะประตูเบาๆ จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามา

ผู้มาเยือนเป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า เห็นแต่ดวงตาคู่หนึ่ง

เสียงของหญิงสาวถามขึ้นว่า “น้องเมิ่งเมิ่งพักอยู่ห้องนี้ใช่ไหมคะ”

ในมือของชายหนุ่มถือกระเช้าผลไม้

“พวกคุณมาหาเมิ่งเมิ่งเหรอ”

จางฟางตกตะลึง รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ “ใช่ค่ะ พวกคุณคือ?”

ผู้มาเยือนเป็นคนแปลกหน้า ในความทรงจำของจางฟางเธอไม่เคยรู้จักคนพวกนี้ หรือจะเป็นเพื่อนของเสี่ยวเมิ่ง

เมิ่งเมิ่งและเพื่อนสาวก็มองพวกเขาอย่างแปลกใจ

พวกเธอก็ไม่รู้จัก

หญิงสาวคนนั้นบอกว่า “คุณน้าคะ พวกเรามาเยี่ยมน้องเมิ่งเมิ่ง…”

ชายหนุ่มเดินมาอยู่ตรงหน้าเตียงของเมิ่งเมิ่ง วางตะกร้าผลไม้ลง แล้วเอื้อมมือมาปลดหน้ากากบนใบหน้าของตัวเอง

“เมิ่งเมิ่ง สวัสดี”

เมื่อเห็นหน้าตาที่แท้จริงของชายคนนี้แล้ว เมิ่งเมิ่งตาเบิกโพลง หน้ากลมๆ ของเธอฉายแววไม่อยากเชื่อ เธอถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก ตะลึงตะไลไปหมด

เพื่อนสาวทั้งสามคนของเธอที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยก็เบิ่งตาอ้าปากค้างเช่นกัน!

เด็กสาวหนึ่งคนในนั้นที่สวมกระโปรงสีเขียวร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้นที่สุดว่า “ลู่…ลู่เฉิน!”

“ผมเอง…”

ลู่เฉินยิ้ม “ผมเองครับ สวัสดีทุกคน”

คนที่มาเยี่ยมเมิ่งเมิ่งคือลู่เฉินและลู่ซีนั่นเอง ทั้งสองคนนั่งรถไฟความเร็วสูงจากเมืองหังโจวมาที่เมืองหนิงย่วน ยังไม่ได้กินข้าวก็รีบตรงมาที่โรงพยาบาลประชาชนแห่งที่หนึ่งแห่งนี้ก่อน

เมิ่งเมิ่งกะพริบตา น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลออกมา

เธอไม่ได้เสียใจ แต่ดีใจมากเกินไป เซอร์ไพรส์มากเกินไป!

ลู่เฉินตะแคงตัวนั่งลงข้างเตียง แล้วพูดว่า “เมื่อวานพี่ได้รับจดหมายในอีเมล ถึงได้รู้ว่าเธอป่วย พอดีมีงานแสดงที่เมืองหังโจว เลยถือโอกาสมาเยี่ยมเธอ ตอนนี้เธอดีขึ้นหรือยัง”

เมิ่งเมิ่งพยักหน้าอย่างแรง แล้วจู่ๆ ก็กางแขนพุ่งออกไปกอดลู่เฉินไว้แน่น “พี่ลู่เฉิน!”

ลู่เฉินปล่อยให้เธอกอด ยื่นมือออกไปตบหลังเธอเบาๆ เป็นการปลอบโยน

ตอนนี้จางฟางเข้าใจแล้ว คนที่มาเยี่ยมลูกสาวเธอที่แท้เป็นไอดอลของลูกสาวเธอเอง

ลู่เฉิน!

ชื่อนี้จางฟางคุ้นเคยดี ลูกสาวมักพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ตอนที่คุยกับเพื่อนๆ เมื่อครู่นี้ยังพูดถึงอยู่เลย!

คนคนนี้เป็นดาราใหญ่เชียวนะ!

จางฟางลนลานผุดลุกขึ้น รีบลากเก้าอี้เข้ามา พร้อมกับบอกว่า “พวกคุณนั่ง นั่งก่อน”

ลู่ซีดึงเธอไว้แล้วเอ่ยว่า “คุณน้าไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณน้าหน่อย คุณน้าสะดวกไหมคะ”

จางฟางพยักหน้าตอบว่า “สะดวก สะดวกค่ะ!”

ส่วนทางด้านเมิ่งเมิ่ง เธอกอดลู่เฉินเอาไว้กว่าครึ่งนาทีถึงยอมปล่อยมือ ใบหน้าแดงก่ำดุจลูกตำลึงสุก

เธอถามว่า “พี่ลู่เฉิน ใครส่งอีเมลให้พี่เหรอคะ”

นี่เป็นสิ่งที่เมิ่งเมิ่งสงสัยที่สุด

ลู่เฉินคิดแล้วตอบว่า “เขาบอกว่าเป็นเพื่อนนักเรียนของเธอ ใช้ชื่อไอดีว่าจิตวิญญาณแห่งสายฝน”

เมิ่งเมิ่งกับเพื่อนสาวอีกสองคนหันไปมองเด็กสาวกระโปรงเขียวพร้อมกัน ฝ่ายหลังก้มหน้ายกมือขึ้น พูดอ้อมแอ้มว่า “ฉันยอมรับ ฉันเป็นคนส่งอีเมลไปหาพี่ลู่เฉินเอง”

เธอเงยหน้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายมองที่ลู่เฉิน “คิดไม่ถึงว่าพี่ลู่เฉินจะมาถึงที่นี่”

เด็กสาวกระโปรงเขียวซาบซึ้งใจมาก เธอเพิ่งส่งอีเมลขอความช่วยเหลือไปเมื่อคืนนี้เอง

เมิ่งเมิ่งบ่น “เสี่ยวอวี่ เธอไม่ควรปิดบังพวกเรานะ เธอทำแบบนี้ พวกเราทุกคนไม่เป็นเพื่อนรักกันแล้วใช่ไหม”

เด็กสาวกระโปรงเขียวยิ้มแหย “เสี่ยวเมิ่ง ฉันสำนึกผิดแล้ว”

ลู่เฉินอดหัวเราะไม่ได้

เด็กสาวอายุสิบแปดสิบเก้าปี กำลังอยู่ในวัยที่มีช่วงชีวิตสวยงามที่สุด

เขายิ่งยืนยันหนักแน่นในความคิดที่จะช่วยเหลือเมิ่งเมิ่ง!

เด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันคิดว่าเสี่ยวอวี่ทำได้ดีมาก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะได้เจอพี่ลู่เฉินตัวจริงได้ยังไง รีบเลย รีบมาถ่ายรูปกัน!”

เมิ่งเมิ่งหัวเราะ “เธอถ่ายให้ฉันกับพี่ลู่เฉินก่อน”

แค่ความต้องการเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง แน่นอนว่าลู่เฉินย่อมต้องทำให้เด็กสาวทั้งสี่คนพอใจอย่างไม่มีเงื่อนไข ถ่ายรูปกับพวกเธอไปไม่น้อย

และยังใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองถ่ายรูปเก็บเอาไว้ด้วย

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ลู่เฉินถามไถ่ถึงอาการเจ็บป่วยของเมิ่งเมิ่งอีกครั้ง

โรคของเมิ่งเมิ่งถูกควบคุมไว้ได้ชั่วคราว ตอนนี้ใช้การรักษาแบบประคับประคองอาการ แต่ถ้าอยากรักษาให้หายขาด ต้องทำเคมีบำบัดหลายครั้งหรือทำการปลูกถ่ายไขกระดูก

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเมิ่งเมิ่งยิ่งดูกังวลมากขึ้น

ลู่เฉินปลอบใจ “น้องเมิ่งเมิ่ง ไม่ต้องกังวล มีปัญหาอะไรทุกคนพร้อมจะช่วยอยู่แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือให้ความร่วมมือกับคุณหมอ รักษาตัวเองให้ดี ได้ไหม”

เมิ่งเมิ่งพยักหน้า “ได้ค่ะ พี่ลู่เฉิน พี่มาเยี่ยมหนูได้ หนูดีใจจริงๆ”

ลู่เฉินยิ้ม

ตอนนี้เองที่ประตูห้องถูกเปิดออก หญิงชราผมขาวโพลนจูงเด็กอายุสามสี่ขวบเข้ามาในห้อง ในมือของหญิงชรายังถือขวดน้ำเกลือเอาไว้ด้วย

เข็มน้ำเกลือแทงอยู่บนข้อมือของเด็กน้อย ดวงตากลมดำไร้เดียงสาเบิ่งตามองลู่เฉินอย่างแปลกใจ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนเตียงที่อยู่ข้างเคียง

ลู่เฉินเห็นหญิงชราแขวนขวดน้ำเกลืออย่างยากลำบาก ก็รีบลุกขึ้นไปช่วยเธอนำขวดน้ำเกลือไปแขวนที่เสาข้างเตียง

หญิงชราบอกขอบคุณ “ขอบใจจ้ะ”

เด็กน้อยถามว่า “พี่เมิ่งเมิ่ง นี่ใครหรือฮะ”

เด็กน้อยมีดวงตากลมโต ศีรษะก็ใหญ่โตมาก แต่ผมถูกโกนจนเกลี้ยงหมด เห็นแต่หนังศีรษะสีเขียว ดูเหมือนเณรน้อยที่ฉลาดเฉลียว

เมิ่งเมิ่งหัวเราะ “คนนี้เป็นไอดอลของพี่เอง ชื่อพี่ลู่เฉิน!”

เด็กน้อยถามต่อ “ไอดอลคืออะไรฮะ”

เมิ่งเมิ่งตอบอย่างจริงจังว่า “ก็คือคนที่พี่เคารพยกย่องที่สุด คนที่ชอบที่สุดน่ะสิ!”

เด็กน้อยเหมือนยังไม่เข้าใจ “เอ่อ…”

ลู่เฉินเห็นว่าเขาน่ารักดี จึงอดยื่นมือไปลูบหัวเขาไม่ได้ “หนูกี่ขวบแล้วครับ”

เด็กน้อยตอบอย่างว่าง่าย “เฉิงเฉิงสี่ขวบแล้วครับ”

ลู่เฉินเหลือบตามองดูประวัติผู้ป่วยของเขา พบว่าเขาเป็นโรคเดียวกับเมิ่งเมิ่ง

เมิ่งเมิ่งชอบเด็กคนนี้มาก เธอหยิบแอปเปิลสีแดงลูกใหญ่ในตะกร้าส่งให้เขา

เด็กตัวเล็กแค่นี้เอง

ลู่เฉินแอบทอดถอนใจ

เขามองออกว่าสถานะทางครอบครัวของเด็กน้อยไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้าของหญิงชราดูมอซอ

น่าจะเหมือนกับเมิ่งเมิ่งที่ไม่มีเงินค่ารักษา

บนโลกนี้มีคนต้องการความช่วยเหลือมากเหลือเกิน ลู่เฉินยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ

เขาเคยผ่านประสบการณ์ที่ครอบครัวประสบวิกฤตชีวิตพลิกผันมาก่อน เคยรู้สึกสิ้นหวัง และเคยต่อสู้อย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงเข้าใจความทุกข์และความเจ็บปวดของคนที่ตกระกำลำบากเป็นอย่างดี

ตอนนี้ลู่เฉินหลุดออกมาจากสภาวะแบบนั้นแล้ว ปรารถนาเป็นจริงแล้ว เขายินดีจะใช้พลังของตัวเองทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยเหลือคนอื่น

เริ่มที่เมิ่งเมิ่งก่อนแล้วกัน!

ผ่านไปไม่กี่นาที ลู่ซีและจางฟางแม่ของเมิ่งเมิ่งกลับเข้ามาในห้องด้วยกัน

หางตาของจางฟางยังมีร่องรอยของคราบน้ำตา

ลู่ซีพยักหน้าให้ลู่เฉิน ลู่เฉินบอกกับเมิ่งเมิ่งว่า “น้องเมิ่งเมิ่ง พี่ต้องกลับแล้ว เธออยู่ที่นี่รักษาตัวให้ดี มีเรื่องอะไรก็โทรศัพท์หาพี่ได้”

เขาให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวแก่เมิ่งเมิ่ง

เมิ่งเมิ่งอาลัยอาวรณ์ แต่ก็เข้าใจดี ไม่ได้รั้งไว้ให้ลู่เฉินลำบากใจ “ได้ค่ะ ไว้พบกันใหม่นะคะ พี่ลู่เฉิน”

นักเรียนสาวทั้งสามเอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์เช่นกัน “พี่ลู่เฉิน ไว้พบกันใหม่ค่ะ!”

“ไว้พบกันใหม่…”

ลู่เฉินยิ้ม แล้วพูดกับจางฟางว่า “ไว้พบกันใหม่ครับคุณน้า”

“ขอบคุณมาก!”

จางฟางน้ำตาไหลอีกครั้ง พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณพวกคุณมาก!”

เมื่อครู่ลู่ซีขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการรักษาของเมิ่งเมิ่ง และมอบเงินให้เธอหนึ่งหมื่นหยวน

ที่สำคัญคือลู่ซีสัญญาแทนลู่เฉินว่า จะต้องหาวิธีช่วยระดมทุนค่ารักษาของเมิ่งเมิ่งมาให้ได้

จางฟางรู้สึกซาบซึ้งอย่างถึงที่สุด

ระหว่างลู่เฉินกับเมิ่งเมิ่ง เดิมทีเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบศิลปินกับแฟนคลับธรรมดา ลู่เฉินไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเมิ่งเมิ่ง ยิ่งไม่ต้องสัญญาอะไรแบบนี้

แต่เขาไม่เพียงมาเยี่ยม ยังนำเงินมามอบให้พร้อมกับความหวังอีกด้วย!

ตอนนี้สิ่งที่จางฟางต้องการที่สุด ก็คือความหวัง

หลังจากเยี่ยมเมิ่งเมิ่งเสร็จ ลู่เฉินกับลู่ซียังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลทันที กลับไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลตามหาแพทย์เจ้าของไข้ เพื่อสอบถามค่าใช้จ่ายในการรักษา

ทางโรงพยาบาลแจ้งทั้งสองคนว่า อาการของเมิ่งเมิ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการปลูกถ่ายไขกระดูก ค่ารักษาทั้งหมดประมาณหนึ่งล้านหยวน

ปัญหาคือโรคหนักเช่นนี้ไม่อยู่ในความคุ้มครองของประกันสุขภาพทั่วไป เมิ่งเมิ่งไม่ได้ซื้อประกันโรคร้ายแรงเอาไว้ ดังนั้นค่ารักษาส่วนที่สามารถเบิกได้จึงมีไม่มาก

และในโรงพยาบาลประชาชนแห่งที่หนึ่งแห่งนี้ ผู้ป่วยแบบเมิ่งเมิ่งมีอยู่ด้วยกันหลายคน!

หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล ลู่เฉินกับลู่ซีไม่ได้พักค้างคืนที่เมืองหนิงย่วน แต่นั่งรถไฟความเร็วสูงกลับปักกิ่งในคืนนั้นเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เฉินมาถึงบริษัทระดมทุนมู่เฉิน ซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนเหนือชั้นที่สตูดิโอลู่เฉินตั้งอยู่ และตามหาตัวหลี่มู่ซือจนพบ

จากการคิดพิจารณามาเป็นอย่างดีแล้ว เขาตัดสินใจใช้วิธีการระดมทุนเพื่อหาค่ารักษาให้เมิ่งเมิ่ง

แต่ตอนนี้ลู่เฉินไม่ได้เป็นประธานบริษัทระดมทุนมู่เฉินแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ต้องทำการปรึกษากับหลี่มู่ซือก่อน เพื่อให้ฝ่ายนั้นเห็นด้วย

หลังจากฟังที่มาที่ไปจากลู่เฉินจบแล้ว หลี่มู่ซือตอบแบบไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา!”

“วันนี้เริ่มจัดการเผยแพร่โครงการได้เลย…”

“ครั้งนี้เป็นการระดมทุนเพื่อการกุศล บริษัทระดมทุนมู่เฉินของเราจะไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ!”

……………………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Perfect Superstar 214 เยี่ยมไข้

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 214 เยี่ยมไข้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 214 เยี่ยมไข้

ณ โรงพยาบาลประชาชนแห่งที่หนึ่งประจำเมืองหนิงย่วน มณฑลเจียงซู

ภายในห้องหมายเลข 1207 แผนกโลหิตวิทยาและมะเร็งวิทยา หญิงสาวหลายคนกำลังยืนล้อมเตียงของเมิ่งเมิ่งพูดคุยกับเธอ

เมิ่งเมิ่งผู้สวมชุดผู้ป่วยใบหน้าซีดขาว แต่ยังสดใสอยู่ กำลังพูดคุยหัวเราะกับเพื่อนนักเรียนทั้งสามคน แทบดูไม่ออกเลยว่าเธอกำลังป่วยหนัก

เพียงแต่เหนือหัวเตียงมีประวัติผู้ป่วยแขวนอยู่ เขียนเอาไว้อย่างชัดเจนด้วยตัวอักษรสีดำตัวหนาว่า AL

AL Acute Leukemia แปลว่าโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลัน

คือโรคที่เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดเกิดการเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างผิดปกติ เมื่อก่อนเป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทว่าตอนนี้วิทยาการทางการแพทย์ก้าวไกล การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวมีหลายวิธี หนึ่งในนั้นคือวิธีปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งมีอัตราการหายขาดสูงมาก

แต่ค่ารักษาก็แพงจนน่าตกใจเหมือนกัน

แม่ของเมิ่งเมิ่ง จางฟาง นั่งอยู่ที่เก้าอี้ไม่ห่างจากเตียงผู้ป่วยมากนัก แม้ใบหน้าจะยิ้มแย้ม แต่ในดวงตามีแววเศร้าโศกที่ปิดไม่มิด ทั้งหมดคือการฝืนยิ้ม

สิ่งที่ทำให้จางฟางเป็นกังวลและหนักใจที่สุดคือค่ารักษาของเมิ่งเมิ่ง แม้เธอจะขายทรัพย์สินทั้งหมดที่มี รวมกับเงินบริจาคจากโรงเรียนและเพื่อนๆ ของเมิ่งเมิ่งแล้ว ก็ยังไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งของค่ารักษาที่สูงลิ่ว

แต่เธอไม่อยากให้ลูกสาวเสียใจ จึงไม่กล้าแสดงอารมณ์ที่อยู่ในใจออกมา

ก๊อกๆ!

ห้องพักผู้ป่วยมีเสียงเคาะประตูเบาๆ จากนั้นก็มีคนเดินเข้ามา

ผู้มาเยือนเป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ สวมหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า เห็นแต่ดวงตาคู่หนึ่ง

เสียงของหญิงสาวถามขึ้นว่า “น้องเมิ่งเมิ่งพักอยู่ห้องนี้ใช่ไหมคะ”

ในมือของชายหนุ่มถือกระเช้าผลไม้

“พวกคุณมาหาเมิ่งเมิ่งเหรอ”

จางฟางตกตะลึง รีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ “ใช่ค่ะ พวกคุณคือ?”

ผู้มาเยือนเป็นคนแปลกหน้า ในความทรงจำของจางฟางเธอไม่เคยรู้จักคนพวกนี้ หรือจะเป็นเพื่อนของเสี่ยวเมิ่ง

เมิ่งเมิ่งและเพื่อนสาวก็มองพวกเขาอย่างแปลกใจ

พวกเธอก็ไม่รู้จัก

หญิงสาวคนนั้นบอกว่า “คุณน้าคะ พวกเรามาเยี่ยมน้องเมิ่งเมิ่ง…”

ชายหนุ่มเดินมาอยู่ตรงหน้าเตียงของเมิ่งเมิ่ง วางตะกร้าผลไม้ลง แล้วเอื้อมมือมาปลดหน้ากากบนใบหน้าของตัวเอง

“เมิ่งเมิ่ง สวัสดี”

เมื่อเห็นหน้าตาที่แท้จริงของชายคนนี้แล้ว เมิ่งเมิ่งตาเบิกโพลง หน้ากลมๆ ของเธอฉายแววไม่อยากเชื่อ เธอถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก ตะลึงตะไลไปหมด

เพื่อนสาวทั้งสามคนของเธอที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วยก็เบิ่งตาอ้าปากค้างเช่นกัน!

เด็กสาวหนึ่งคนในนั้นที่สวมกระโปรงสีเขียวร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้นที่สุดว่า “ลู่…ลู่เฉิน!”

“ผมเอง…”

ลู่เฉินยิ้ม “ผมเองครับ สวัสดีทุกคน”

คนที่มาเยี่ยมเมิ่งเมิ่งคือลู่เฉินและลู่ซีนั่นเอง ทั้งสองคนนั่งรถไฟความเร็วสูงจากเมืองหังโจวมาที่เมืองหนิงย่วน ยังไม่ได้กินข้าวก็รีบตรงมาที่โรงพยาบาลประชาชนแห่งที่หนึ่งแห่งนี้ก่อน

เมิ่งเมิ่งกะพริบตา น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลออกมา

เธอไม่ได้เสียใจ แต่ดีใจมากเกินไป เซอร์ไพรส์มากเกินไป!

ลู่เฉินตะแคงตัวนั่งลงข้างเตียง แล้วพูดว่า “เมื่อวานพี่ได้รับจดหมายในอีเมล ถึงได้รู้ว่าเธอป่วย พอดีมีงานแสดงที่เมืองหังโจว เลยถือโอกาสมาเยี่ยมเธอ ตอนนี้เธอดีขึ้นหรือยัง”

เมิ่งเมิ่งพยักหน้าอย่างแรง แล้วจู่ๆ ก็กางแขนพุ่งออกไปกอดลู่เฉินไว้แน่น “พี่ลู่เฉิน!”

ลู่เฉินปล่อยให้เธอกอด ยื่นมือออกไปตบหลังเธอเบาๆ เป็นการปลอบโยน

ตอนนี้จางฟางเข้าใจแล้ว คนที่มาเยี่ยมลูกสาวเธอที่แท้เป็นไอดอลของลูกสาวเธอเอง

ลู่เฉิน!

ชื่อนี้จางฟางคุ้นเคยดี ลูกสาวมักพูดถึงอยู่บ่อยครั้ง ตอนที่คุยกับเพื่อนๆ เมื่อครู่นี้ยังพูดถึงอยู่เลย!

คนคนนี้เป็นดาราใหญ่เชียวนะ!

จางฟางลนลานผุดลุกขึ้น รีบลากเก้าอี้เข้ามา พร้อมกับบอกว่า “พวกคุณนั่ง นั่งก่อน”

ลู่ซีดึงเธอไว้แล้วเอ่ยว่า “คุณน้าไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับคุณน้าหน่อย คุณน้าสะดวกไหมคะ”

จางฟางพยักหน้าตอบว่า “สะดวก สะดวกค่ะ!”

ส่วนทางด้านเมิ่งเมิ่ง เธอกอดลู่เฉินเอาไว้กว่าครึ่งนาทีถึงยอมปล่อยมือ ใบหน้าแดงก่ำดุจลูกตำลึงสุก

เธอถามว่า “พี่ลู่เฉิน ใครส่งอีเมลให้พี่เหรอคะ”

นี่เป็นสิ่งที่เมิ่งเมิ่งสงสัยที่สุด

ลู่เฉินคิดแล้วตอบว่า “เขาบอกว่าเป็นเพื่อนนักเรียนของเธอ ใช้ชื่อไอดีว่าจิตวิญญาณแห่งสายฝน”

เมิ่งเมิ่งกับเพื่อนสาวอีกสองคนหันไปมองเด็กสาวกระโปรงเขียวพร้อมกัน ฝ่ายหลังก้มหน้ายกมือขึ้น พูดอ้อมแอ้มว่า “ฉันยอมรับ ฉันเป็นคนส่งอีเมลไปหาพี่ลู่เฉินเอง”

เธอเงยหน้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ดวงตาเป็นประกายมองที่ลู่เฉิน “คิดไม่ถึงว่าพี่ลู่เฉินจะมาถึงที่นี่”

เด็กสาวกระโปรงเขียวซาบซึ้งใจมาก เธอเพิ่งส่งอีเมลขอความช่วยเหลือไปเมื่อคืนนี้เอง

เมิ่งเมิ่งบ่น “เสี่ยวอวี่ เธอไม่ควรปิดบังพวกเรานะ เธอทำแบบนี้ พวกเราทุกคนไม่เป็นเพื่อนรักกันแล้วใช่ไหม”

เด็กสาวกระโปรงเขียวยิ้มแหย “เสี่ยวเมิ่ง ฉันสำนึกผิดแล้ว”

ลู่เฉินอดหัวเราะไม่ได้

เด็กสาวอายุสิบแปดสิบเก้าปี กำลังอยู่ในวัยที่มีช่วงชีวิตสวยงามที่สุด

เขายิ่งยืนยันหนักแน่นในความคิดที่จะช่วยเหลือเมิ่งเมิ่ง!

เด็กสาวคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “ฉันคิดว่าเสี่ยวอวี่ทำได้ดีมาก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะได้เจอพี่ลู่เฉินตัวจริงได้ยังไง รีบเลย รีบมาถ่ายรูปกัน!”

เมิ่งเมิ่งหัวเราะ “เธอถ่ายให้ฉันกับพี่ลู่เฉินก่อน”

แค่ความต้องการเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง แน่นอนว่าลู่เฉินย่อมต้องทำให้เด็กสาวทั้งสี่คนพอใจอย่างไม่มีเงื่อนไข ถ่ายรูปกับพวกเธอไปไม่น้อย

และยังใช้โทรศัพท์มือถือของตัวเองถ่ายรูปเก็บเอาไว้ด้วย

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ ลู่เฉินถามไถ่ถึงอาการเจ็บป่วยของเมิ่งเมิ่งอีกครั้ง

โรคของเมิ่งเมิ่งถูกควบคุมไว้ได้ชั่วคราว ตอนนี้ใช้การรักษาแบบประคับประคองอาการ แต่ถ้าอยากรักษาให้หายขาด ต้องทำเคมีบำบัดหลายครั้งหรือทำการปลูกถ่ายไขกระดูก

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเมิ่งเมิ่งยิ่งดูกังวลมากขึ้น

ลู่เฉินปลอบใจ “น้องเมิ่งเมิ่ง ไม่ต้องกังวล มีปัญหาอะไรทุกคนพร้อมจะช่วยอยู่แล้ว ตอนนี้สิ่งที่เธอต้องทำคือให้ความร่วมมือกับคุณหมอ รักษาตัวเองให้ดี ได้ไหม”

เมิ่งเมิ่งพยักหน้า “ได้ค่ะ พี่ลู่เฉิน พี่มาเยี่ยมหนูได้ หนูดีใจจริงๆ”

ลู่เฉินยิ้ม

ตอนนี้เองที่ประตูห้องถูกเปิดออก หญิงชราผมขาวโพลนจูงเด็กอายุสามสี่ขวบเข้ามาในห้อง ในมือของหญิงชรายังถือขวดน้ำเกลือเอาไว้ด้วย

เข็มน้ำเกลือแทงอยู่บนข้อมือของเด็กน้อย ดวงตากลมดำไร้เดียงสาเบิ่งตามองลู่เฉินอย่างแปลกใจ จากนั้นก็ปีนขึ้นไปบนเตียงที่อยู่ข้างเคียง

ลู่เฉินเห็นหญิงชราแขวนขวดน้ำเกลืออย่างยากลำบาก ก็รีบลุกขึ้นไปช่วยเธอนำขวดน้ำเกลือไปแขวนที่เสาข้างเตียง

หญิงชราบอกขอบคุณ “ขอบใจจ้ะ”

เด็กน้อยถามว่า “พี่เมิ่งเมิ่ง นี่ใครหรือฮะ”

เด็กน้อยมีดวงตากลมโต ศีรษะก็ใหญ่โตมาก แต่ผมถูกโกนจนเกลี้ยงหมด เห็นแต่หนังศีรษะสีเขียว ดูเหมือนเณรน้อยที่ฉลาดเฉลียว

เมิ่งเมิ่งหัวเราะ “คนนี้เป็นไอดอลของพี่เอง ชื่อพี่ลู่เฉิน!”

เด็กน้อยถามต่อ “ไอดอลคืออะไรฮะ”

เมิ่งเมิ่งตอบอย่างจริงจังว่า “ก็คือคนที่พี่เคารพยกย่องที่สุด คนที่ชอบที่สุดน่ะสิ!”

เด็กน้อยเหมือนยังไม่เข้าใจ “เอ่อ…”

ลู่เฉินเห็นว่าเขาน่ารักดี จึงอดยื่นมือไปลูบหัวเขาไม่ได้ “หนูกี่ขวบแล้วครับ”

เด็กน้อยตอบอย่างว่าง่าย “เฉิงเฉิงสี่ขวบแล้วครับ”

ลู่เฉินเหลือบตามองดูประวัติผู้ป่วยของเขา พบว่าเขาเป็นโรคเดียวกับเมิ่งเมิ่ง

เมิ่งเมิ่งชอบเด็กคนนี้มาก เธอหยิบแอปเปิลสีแดงลูกใหญ่ในตะกร้าส่งให้เขา

เด็กตัวเล็กแค่นี้เอง

ลู่เฉินแอบทอดถอนใจ

เขามองออกว่าสถานะทางครอบครัวของเด็กน้อยไม่สู้ดีนัก เสื้อผ้าของหญิงชราดูมอซอ

น่าจะเหมือนกับเมิ่งเมิ่งที่ไม่มีเงินค่ารักษา

บนโลกนี้มีคนต้องการความช่วยเหลือมากเหลือเกิน ลู่เฉินยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไม่มีเรี่ยวแรงมากพอ

เขาเคยผ่านประสบการณ์ที่ครอบครัวประสบวิกฤตชีวิตพลิกผันมาก่อน เคยรู้สึกสิ้นหวัง และเคยต่อสู้อย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงเข้าใจความทุกข์และความเจ็บปวดของคนที่ตกระกำลำบากเป็นอย่างดี

ตอนนี้ลู่เฉินหลุดออกมาจากสภาวะแบบนั้นแล้ว ปรารถนาเป็นจริงแล้ว เขายินดีจะใช้พลังของตัวเองทั้งหมดที่มีเพื่อช่วยเหลือคนอื่น

เริ่มที่เมิ่งเมิ่งก่อนแล้วกัน!

ผ่านไปไม่กี่นาที ลู่ซีและจางฟางแม่ของเมิ่งเมิ่งกลับเข้ามาในห้องด้วยกัน

หางตาของจางฟางยังมีร่องรอยของคราบน้ำตา

ลู่ซีพยักหน้าให้ลู่เฉิน ลู่เฉินบอกกับเมิ่งเมิ่งว่า “น้องเมิ่งเมิ่ง พี่ต้องกลับแล้ว เธออยู่ที่นี่รักษาตัวให้ดี มีเรื่องอะไรก็โทรศัพท์หาพี่ได้”

เขาให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวแก่เมิ่งเมิ่ง

เมิ่งเมิ่งอาลัยอาวรณ์ แต่ก็เข้าใจดี ไม่ได้รั้งไว้ให้ลู่เฉินลำบากใจ “ได้ค่ะ ไว้พบกันใหม่นะคะ พี่ลู่เฉิน”

นักเรียนสาวทั้งสามเอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์เช่นกัน “พี่ลู่เฉิน ไว้พบกันใหม่ค่ะ!”

“ไว้พบกันใหม่…”

ลู่เฉินยิ้ม แล้วพูดกับจางฟางว่า “ไว้พบกันใหม่ครับคุณน้า”

“ขอบคุณมาก!”

จางฟางน้ำตาไหลอีกครั้ง พูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ขอบคุณพวกคุณมาก!”

เมื่อครู่ลู่ซีขอคุยกับเธอเป็นการส่วนตัวเพื่อทำความเข้าใจเรื่องการรักษาของเมิ่งเมิ่ง และมอบเงินให้เธอหนึ่งหมื่นหยวน

ที่สำคัญคือลู่ซีสัญญาแทนลู่เฉินว่า จะต้องหาวิธีช่วยระดมทุนค่ารักษาของเมิ่งเมิ่งมาให้ได้

จางฟางรู้สึกซาบซึ้งอย่างถึงที่สุด

ระหว่างลู่เฉินกับเมิ่งเมิ่ง เดิมทีเป็นเพียงความสัมพันธ์แบบศิลปินกับแฟนคลับธรรมดา ลู่เฉินไม่มีความจำเป็นใดที่จะต้องให้ความช่วยเหลือเมิ่งเมิ่ง ยิ่งไม่ต้องสัญญาอะไรแบบนี้

แต่เขาไม่เพียงมาเยี่ยม ยังนำเงินมามอบให้พร้อมกับความหวังอีกด้วย!

ตอนนี้สิ่งที่จางฟางต้องการที่สุด ก็คือความหวัง

หลังจากเยี่ยมเมิ่งเมิ่งเสร็จ ลู่เฉินกับลู่ซียังไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลทันที กลับไปที่เคาน์เตอร์พยาบาลตามหาแพทย์เจ้าของไข้ เพื่อสอบถามค่าใช้จ่ายในการรักษา

ทางโรงพยาบาลแจ้งทั้งสองคนว่า อาการของเมิ่งเมิ่งจำเป็นต้องใช้วิธีการปลูกถ่ายไขกระดูก ค่ารักษาทั้งหมดประมาณหนึ่งล้านหยวน

ปัญหาคือโรคหนักเช่นนี้ไม่อยู่ในความคุ้มครองของประกันสุขภาพทั่วไป เมิ่งเมิ่งไม่ได้ซื้อประกันโรคร้ายแรงเอาไว้ ดังนั้นค่ารักษาส่วนที่สามารถเบิกได้จึงมีไม่มาก

และในโรงพยาบาลประชาชนแห่งที่หนึ่งแห่งนี้ ผู้ป่วยแบบเมิ่งเมิ่งมีอยู่ด้วยกันหลายคน!

หลังจากออกมาจากโรงพยาบาล ลู่เฉินกับลู่ซีไม่ได้พักค้างคืนที่เมืองหนิงย่วน แต่นั่งรถไฟความเร็วสูงกลับปักกิ่งในคืนนั้นเลย

เช้าวันรุ่งขึ้น ลู่เฉินมาถึงบริษัทระดมทุนมู่เฉิน ซึ่งตั้งอยู่ชั้นบนเหนือชั้นที่สตูดิโอลู่เฉินตั้งอยู่ และตามหาตัวหลี่มู่ซือจนพบ

จากการคิดพิจารณามาเป็นอย่างดีแล้ว เขาตัดสินใจใช้วิธีการระดมทุนเพื่อหาค่ารักษาให้เมิ่งเมิ่ง

แต่ตอนนี้ลู่เฉินไม่ได้เป็นประธานบริษัทระดมทุนมู่เฉินแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ต้องทำการปรึกษากับหลี่มู่ซือก่อน เพื่อให้ฝ่ายนั้นเห็นด้วย

หลังจากฟังที่มาที่ไปจากลู่เฉินจบแล้ว หลี่มู่ซือตอบแบบไม่ลังเล “ไม่มีปัญหา!”

“วันนี้เริ่มจัดการเผยแพร่โครงการได้เลย…”

“ครั้งนี้เป็นการระดมทุนเพื่อการกุศล บริษัทระดมทุนมู่เฉินของเราจะไม่หักค่าใช้จ่ายใดๆ!”

……………………………………………………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด