Perfect Superstar 169 ชาวบ้านเขตเฉาหยาง

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 169 ชาวบ้านเขตเฉาหยาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 169 ชาวบ้านเขตเฉาหยาง

มู่เสี่ยวชูเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง

เธอมีนิสัยที่จิตใจดีน่ารักไร้เดียงสา แต่ก็ไม่โง่ นอกจากนี้หน้าตาก็โดดเด่นเป็นที่หนึ่ง

หากจะพูดถึงข้อเสียของเธอ อย่างนั้นก็คือส่วนสูงของเธอที่ไม่สูงมาก

ส่วนฝีมือด้านการร้องเพลง มู่เสี่ยวชูมีพรสวรรค์สูงมาก เสียงร้องของเธอแม้แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ชมไม่หยุดปากสามารถต่อสู้กับผู้เข้าแข่งขันนับพันนับหมื่นและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ไม่ได้อาศัยแค่ความโชคดีเพียงอย่างเดียว

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอมีความรู้สึกที่ดีต่อลู่เฉิน และยอมที่จะใกล้ชิดกับลู่เฉิน

ความรู้สึกที่ลู่เฉินมีต่อมู่เสี่ยวชูก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่ความรู้สึกรักระหว่างชายหญิง

มู่เสี่ยวชูเหมือนกับน้องสาวอีกคนหนึ่งของเขา จึงควรค่าและยินดีที่จะดูแลน้องสาวคนนี้

ดังนั้นลู่เฉินจึงยอมช่วยแก้ปัญหาให้เธอโดยไม่ต้องบอกอะไร รีบไล่คนน่ารำคาญอย่างจางเฮ่าไห่ออกไปทันที

แม้ว่าจะกระตุ้นให้จางเฮ่าไห่รู้สึกโกรธแค้นก็ตาม

มู่เสี่ยวชูนั่งอยู่ในห้องถัดไปจากลู่เฉิน

ตำแหน่งของจางเฮ่าไห่ก็อยู่ในละแวกนั้น วันนี้ตอนบ่ายจะมีการฝึกซ้อมงานเลี้ยงฉลองวันชาติจีน รวมทั้งลู่เฉินกับนักร้องแกร่งที่เข้ารอบห้าคนสุดท้ายล้วนมากันหมดทุกคน

แน่นอนว่าต้องได้รับการเชิญจากทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง

หากยึดตามเงื่อนไขเดิมที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วระหว่างลู่เฉินกับสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง เขามอบลิขสิทธิ์เพลง ‘เดินไปร้องไป’ ให้สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งนำไปใช้ฟรี เพื่อแลกกับการขึ้นไปแสดงบนเวทีงานเลี้ยงฉลองวันชาติจีนของสถานีโทรทัศน์

เดิมทีทั้งสองฝ่ายตกลงกันเรียบร้อยแล้วจะให้ลู่เฉินร้องเดี่ยว แต่ตอนนี้กลับให้ผู้แข็งแกร่งทั้งห้าคนร้องเพลงประสานเสียงด้วยกัน แบบนี้เป็นการลดมูลค่าตัวเองลงไปมาก

สองสามวันก่อนตอนที่ลู่เฉินได้รับแจ้งจากทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง เขารู้สึกไม่พอใจจริงๆ

แต่เขาลองคิดแล้วก็ปล่อยวาง

งานเลี้ยงมีระดับขนาดนี้ แถมยังจัดขึ้นในเมืองหลวง ศิลปินดาราที่อยากจะขึ้นมาบนเวทีนี้มีมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นจึงมีการแข่งขันและต่อสู้กันภายในแผนก ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรายการจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก

อย่างเช่นมู่เสี่ยวชู จางเฮ่าไห่รวมทั้งนักร้องอีกคนหนึ่งที่เป็นนักร้องประสานเสียง ล้วนได้เซ็นสัญญากับเฟยสือเรคคอร์ด

และเฟยสือเรคคอร์ดก็มีการร่วมงานที่ดีในระยะยาวกับสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง

ลู่เฉินไม่มีเส้นสายอะไรในสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง และรู้จักแค่สองสามคนเท่านั้น นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้ทุ่มกำลังในการประชาสัมพันธ์ ไม่ถูกรายการคัดออกไปก็ถือว่าโชคดีแล้ว จากร้องเดี่ยวเปลี่ยนมาเป็นร้องประสานเสียงถือว่าไว้หน้ามากแล้ว

ลู่เฉินมีความรู้ในด้านนี้อย่างชัดเจน เขาไม่เคยทำตัวหยิ่งคิดไปเองว่าสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งจะต้องขอร้องตัวเองและผลจากการพยายามเถียงเพื่อความถูกต้องของตัวเอง อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำยากถูกทำลายลง

อีกอย่างคือ ลู่เฉินให้ความสำคัญกับการแสดงของงานเลี้ยงนี้มาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ว่าจะต้องขึ้นเวทีให้ได้

เพราะฉะนั้นจิตใจของลู่เฉินจึงสงบมาก ไม่บ่นหรือเคียดแค้นกับความไม่ยุติธรรม เขาเชื่อว่าขอเพียงขยันพัฒนาตัวเอง สุดท้ายก็จะมีเวทีทุกระดับปูพรมแดงรอให้ตัวเองเข้าไปเหยียบอย่างแน่นอน!

เห็นได้ชัดว่ามู่เสี่ยวชูไม่รู้เบื้องหลังที่อยู่ในนี้ และเอาหน้าเข้าไปใกล้ลู่เฉินเพื่อถามเรื่องการร้องเพลงประสานเสียงอยู่บ่อยครั้ง

ความสนิทสนมระหว่างทั้งสองคน ดึงดูดสายตาคนข้างๆ จำนวนไม่น้อย

โดยเฉพาะจางเฮ่าไห่ ที่หันจนคอแทบจะหักแล้ว

ลู่เฉินมองเขาเป็นอากาศ

ติ๊ดๆๆ!

ขณะที่กำลังคุยไปยิ้มไปกับมู่เสี่ยวชู ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังติ๊ดๆๆ ขึ้นมาเป็นระลอกปรากฏอยู่รอบตัว

นั่นคือเสียงเตือนที่ได้รับข้อความในโทรศัพท์ของหลายๆ คน!

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เสี่ยวชูอยู่ตลอดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วเผยสีหน้าตกใจออกมา

ผู้หญิงคนนี้อายุประมาณสามสิบกว่าปี รูปร่างผอมแห้งหน้าตาธรรมดา เธอเป็นผู้ช่วยที่ทางบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดจัดมาให้มู่เสี่ยวชู มีชื่อว่าโจวฟาง

ลู่เฉินก็มีผู้ช่วยเหมือนกัน แต่วันนี้งานที่สตูดิโอมีเยอะเกินไป เขาจึงให้หลี่เฟยอวี่ช่วยงานทางนั้น

มู่เสี่ยวชูหมุนตัวมา แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่ฟาง เป็นอะไรคะ”

ตั้งแต่เสียงเตือนข้อความดัง บรรยากาศของด้านหลังเวทีจึงแปลกไปมาก และก็เงียบมากกว่าเดิม

ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

โจวฟางมองซ้ายแลขวาอย่างรวดเร็ว โน้มตัวกดเสียงให้ต่ำลงแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่หวังปินเสพยาถูกจับแล้ว!”

“หวังปิน”

มู่เสี่ยวชูตกใจ “หวังปินคนนั้นใช่ไหมคะ”

บนโลกนี้คนที่ชื่อหวังปินอาจจะมีมากมาย แต่คนที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงมีเพียงคนเดียว

หวังปินถือว่าเป็นรุ่นพี่ในวงการเพลงป็อป เขาเดบิวต์ในช่วงปลายปี 1980 และเคยโด่งดังมาในปี 1990 เคยออกแผ่นเสียงหลายชุดมีมูลค่าเกินหลักล้าน ได้รับรางวัลก็ไม่น้อย แต่กลับสร้างความดีความชอบในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์มากกว่า

ถึงแม้อิทธิพลในวงการเพลงจีนของเขาจะเทียบกับถานหงไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นศิลปินตัวท็อปเช่นกัน

บุคคลผู้นี้กลับถูกจับเพราะเสพยา ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่อึกทึกครึกโครมในประเทศอย่างแน่นอน ถูกพาดหัวข่าวใหญ่ร้อยเปอร์เซ็นต์!

ข่าวในวงการบันเทิงแพร่กระจายรวดเร็วมาก ฝั่งนั้นถูกจับ ฝั่งนี้ก็ได้รับข่าวติดต่อกันอย่างไม่ขาดสาย

หวังปินคือหนึ่งในแขกรับเชิญคนสำคัญที่ถูกเชิญมาในงานเลี้ยงวันชาติของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง

ทางสถานีโทรทัศน์ได้ทำโฆษณาออกไปแล้ว แต่ตอนนี้ดันเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ จึงน่าปวดหัวสุดๆ

โจวฟางพยักหน้า เผยสีหน้าลับๆ ล่อๆ ออกมา “ได้ยินว่าชาวบ้านเขตเฉาหยางเป็นคนแจ้งความ ปีนี้ก็เป็นคนที่สามแล้ว!”

ชาวบ้านเขตเฉาหยางในปักกิ่ง เหมือนกับเทวดาที่มีตัวตนก็ไม่ปาน เป็นมือปราบของศิลปินดาราในวงการจริงๆ!

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ ศิลปินดารามีชื่อเสียงเกือบสิบคนถูกจับในข้อหาเสพยาเสพติด ให้สถานที่เสพยา ซื้อบริการทางเพศ โดยผ่านการแจ้งความจากชาวบ้านเขตเฉาหยางในปักกิ่ง

บรรดาชาวเน็ตต่างพูดติดตลกว่าหากให้คนพวกนี้มาอยู่รวมกัน สามารถถ่ายทำภาพยนตร์เรือนจำเรื่องดังได้แน่นอน!

วงการบันเทิงดูผิวเผินแล้วมีความสุกใสสวยงาม แต่แท้จริงแล้วก็ปิดบังเรื่องชั่วและคนชั่วเหมือนกัน มีศิลปินจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะปลดปล่อยตัวเองด้วยเหตุผลต่างๆ สุดท้ายจึงเดินบนเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับ

เนื่องจากในปักกิ่งมีดาราหลายคนอาศัยอยู่ในเขตเฉาหยาง เพราะฉะนั้นจึงเกิดเรื่องแถบนี้ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดวางระเบียบสถานการณ์ความปลอดภัยของประชาชน และปราบปรามกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างจริงจัง ดังนั้นชาวบ้านในเขตเฉาหยางจึงมีชื่อเสียงด้วยเหตุนี้

เหล่าศิลปินที่อยู่ด้านหลังเวทีของห้องถ่ายทำรายการ ต่างก็ทราบข่าวจากผู้ช่วยของตัวเอง

พูดกระซิบกระซาบและแสดงความคิดเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วลีอย่าง ‘หวังปิน’ ‘เสพยา’ ‘ถูกจับ’ เหล่านี้เป็นต้น ลอยออกมาอยู่บ่อยครั้ง

บรรยากาศที่ผิดปกตินี้ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่า จากนั้นทีมงานคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังเวที

เขายกไมค์ขึ้นแล้วถามว่า “ลู่เฉิน คุณลู่เฉินอยู่ไหมครับ”

ลู่เฉินตกตะลึง ลุกขึ้นและชูมือขึ้นโดยสัญชาติญาณแล้วเอ่ยว่า “ผมอยู่ตรงนี้ครับ”

ช่วงเวลาเพียงแป๊บเดียว เขากลายเป็นจุดสนใจไปทั่วงานทันที

หนึ่งในนั้นก็มีนักแสดงนักร้องมีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อย สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย อยากรู้อยากเห็นและตกใจ

ลู่เฉินรู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักมาก

โชคดีที่ทีมงานคนนั้นรีบพูดว่า “เชิญตามผมมาครับ”

ลู่เฉินรีบเดินตามไป

ตอนที่เขาเดินออกมาจากด้านหลังเวที เสียงวิพากวิจารณ์ข้างหลังเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง และยิ่งเสียงดังจ๊อกแจ๊กมากขึ้นอีก

ลู่เฉินเดินตามทีมงานของสถานีโทรทัศน์คนนี้ และมาถึงออฟฟิศห้องหนึ่ง

เป็นออฟฟิศขนาดกลางๆ เต็มไปด้วยควันลอยวนขึ้นเป็นเกลียว ภาพแบบนี้ลู่เฉินรู้สึกคุ้นเคยมาก

และยังมีคนที่รู้จักอีกสองคน…เฉินฉีรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งกับกู่รุ่ยผู้อำนวยการเพลงของรายการ‘ขับร้องให้ก้องจีน’

และคนอื่นๆ อีกสองสามคนที่อยู่ในนี้ น่าจะเป็นคนที่อยู่ในสถานีโทรทัศน์แห่งนี้

บรรยากาศภายในห้องดูอึดอัดมาก

โดยเฉพาะกู่รุ่ย ที่ขมวดคิ้วแน่น หน้าบึ้งจนเกือบจะเป็นลูกมะระ นั่งสูบบุหรี่อย่างกลุ้มใจ

เมื่อเห็นลู่เฉินเดินเข้ามา เขาจึงพยายามฉีกยิ้มออกมา “เสี่ยวลู่มาแล้วเหรอ”

ความจริงเขาไม่ต้องยิ้มจะดีกว่า เพราะเวลายิ้มแล้วยิ่งดูน่าเกลียด

เมื่อเทียบกับเฉินฉีแล้วเขาดูนิ่งกว่ามาก พลางชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวลู่นั่ง”

เขาแนะนำเพื่อนร่วมงานอีกสองสามคนให้ลู่เฉินรู้จัก ซึ่งก็คือผู้จัดรายการสถานีโทรทัศน์ ผู้ช่วยผู้กำกับและผู้อำนวยการทางเทคนิคของงานเลี้ยงวันชาติ เป็นต้น

ตอนที่ลู่เฉินทักทายอย่างมีมารยาทและกำลังจะนั่งลง รองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งคนนี้ก็ถามเขาออกมาโดยตรง “เรื่องที่หวังปินเสพยาแล้วถูกจับนายรู้แล้วใช่ไหม”

ลู่เฉินพยักหน้า “เพิ่งจะรู้ครับ”

เฉินฉีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ ใครก็คาดไม่ถึงจริงๆ รายการของหวังปินจะต้องถูกถอดแน่นอนความคิดเห็นของพวกเราคืออยากให้นายเข้าไปแทน”

“อ๋า”

ลู่เฉินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉินฉีจะให้ตัวเองเข้ามาแทนรายการของหวังปิน!

กู่รุ่ยอธิบายว่า “เดิมทีพวกเราจะให้รายการร้องเดี่ยวกับนาย แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายหลัง ตอนนี้ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้อีก ฉันกับรองผู้อำนวยการเฉินจึงปรึกษากันแล้ว ว่าจะให้นายเข้าไปทำแทนหวังปิน”

“นอกจากนี้ รายการร้องเพลงประสานเสียงของนักร้องทั้งห้าคนก็ยังดำเนินต่อไป เท่ากับว่าให้นายทำสองรายการไปเลย!”

เฉินฉีเอ่ยว่า “เสี่ยวลู่เป็นเด็กดี แถมยังได้รางวัลชนะเลิศ จึงมีคุณสมบัติครบถ้วน!”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!

เหมือนกับผู้เฒ่าซ่ายเสียม้าจริงๆ ถ้าหากก่อนหน้านี้ลู่เฉินเกิดมีปากเสียงไม่ลงรอยเรื่องการเปลี่ยนจากร้องเดี่ยวเป็นร้องประสานเสียงกับสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งขึ้นมา เกรงว่าโอกาสนี้คงไม่ตกมาถึงเขาแน่นอน

ลู่เฉินจึงเอ่ยพูดอย่างฉับพลันทันที “ขอบคุณรองผู้อำนวยการเฉิน ขอบคุณผู้อำนวยการกู่ ผมจะตั้งใจทำรายการออกมาให้ดีแน่นอนครับ”

ทั้งสองรายการ คือเรื่องราวดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นแน่นอน!

ความจริงคนที่ลู่เฉินอยากจะขอบคุณจริงๆ คือชาวบ้านเขตเฉาหยาง!

“นายอย่าเพิ่งรีบร้อน…”

เฉินฉียกมือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นแบบนี้ ตอนบ่ายจะมีผู้นำจากสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนสองสามคนมาที่นี่ พวกเขาจะไปนั่งดูการซ้อมของพวกเราในห้องถ่ายทำรายการ อีกสักพักนายก็ออกมาแทนหวังปิน และจะแสดงออกมาแย่ๆ ไม่ได้เด็ดขาด!”

กู่รุ่ยถามว่า “เกี่ยวกับการเลือกเพลงร้องเดี่ยว นายมีความคิดเห็นอะไรไหม”

เพราะการเตรียมตัวอย่างรีบร้อนเช่นนี้ อีกอย่างลู่เฉินก็ยังเด็ก ถึงแม้เฉินฉีกับกู่รุ่ยจะตัดสินใจมอบภาระหนักไปที่ตัวของเขา แต่สุดท้ายก็ยังวางใจทั้งหมดไม่ได้อยู่ดี

เฉินฉีเอ่ยว่า “งั้นก็ร้องเพลงดวงดาวที่สุกสกาวบนฟากฟ้าราตรีดีไหม ได้รับรางวัลชนะเลิศไม่ใช่เหรอ”

กุ่รุ่ยยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “เดิมทีหวังปินอยากจะร้องเพลงยุคใหม่ของจีน เพลงนี้ของลู่เฉินเกรงว่า…”

เพลง ‘ยุคใหม่ของจีน’ เป็นทำนองเพลงหลัก และคนร้องดั้งเดิมก็คือหวังปิน

ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงวันชาติจีน เช่นนั้นสไตล์เพลงหลักก็จะต้องเน้นไปทางทำนองเพลงหลัก ตอนนี้มีเพลง ‘เดินไปร้องไป’ ของลู่เฉิน บวกกับเพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวบนฟากฟ้าราตรี’ ความกังวลของกู่รุ่ย ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

“ถ้าอย่างนั้น…”

เฉินฉีลังเลเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองเรียกลู่เฉินเข้ามาด้วยความรีบร้อน คือการพิจารณาที่ไม่รอบคอบใช่ไหม

หรือบางทีเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะดีกว่า

และในตอนนี้ ลู่เฉินจึงเอ่ยพูดว่า “รองผู้อำนวยการเฉิน ผู้อำนวยการกู่ ผมมีเพลงต้นฉบับที่เป็นทำนองเพลงหลักอยู่เหมือนกัน น่าจะเหมาะสมกับงานเลี้ยงของวันชาติจีนมากนะครับ”

เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วถึงจิตใจที่เปลี่ยนไปของเฉินฉี ฉะนั้นจึงรีบเสนอความคิดเห็นของตัวเองออกมาทันที

ถ้าหากไม่คว้าโอกาสนี้ให้ดีๆ เช่นนั้นยังจะคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงอะไรได้อีก!

กู่รุ่ยตาเป็นประกาย “ผลงานอะไร อยู่ที่ไหน”

ลู่เฉินชี้ไปที่ศีรษะของตัวเองอย่างเขินอาย แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังอยู่ในนี้ครับ…”

…………………………………………………………………………

ไอคอนเหรียญทอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Perfect Superstar 169 ชาวบ้านเขตเฉาหยาง

Now you are reading Perfect Superstar Chapter 169 ชาวบ้านเขตเฉาหยาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 169 ชาวบ้านเขตเฉาหยาง

มู่เสี่ยวชูเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่ง

เธอมีนิสัยที่จิตใจดีน่ารักไร้เดียงสา แต่ก็ไม่โง่ นอกจากนี้หน้าตาก็โดดเด่นเป็นที่หนึ่ง

หากจะพูดถึงข้อเสียของเธอ อย่างนั้นก็คือส่วนสูงของเธอที่ไม่สูงมาก

ส่วนฝีมือด้านการร้องเพลง มู่เสี่ยวชูมีพรสวรรค์สูงมาก เสียงร้องของเธอแม้แต่เฉินเฟยเอ๋อร์ก็ชมไม่หยุดปากสามารถต่อสู้กับผู้เข้าแข่งขันนับพันนับหมื่นและเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้ ไม่ได้อาศัยแค่ความโชคดีเพียงอย่างเดียว

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอมีความรู้สึกที่ดีต่อลู่เฉิน และยอมที่จะใกล้ชิดกับลู่เฉิน

ความรู้สึกที่ลู่เฉินมีต่อมู่เสี่ยวชูก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่ความรู้สึกรักระหว่างชายหญิง

มู่เสี่ยวชูเหมือนกับน้องสาวอีกคนหนึ่งของเขา จึงควรค่าและยินดีที่จะดูแลน้องสาวคนนี้

ดังนั้นลู่เฉินจึงยอมช่วยแก้ปัญหาให้เธอโดยไม่ต้องบอกอะไร รีบไล่คนน่ารำคาญอย่างจางเฮ่าไห่ออกไปทันที

แม้ว่าจะกระตุ้นให้จางเฮ่าไห่รู้สึกโกรธแค้นก็ตาม

มู่เสี่ยวชูนั่งอยู่ในห้องถัดไปจากลู่เฉิน

ตำแหน่งของจางเฮ่าไห่ก็อยู่ในละแวกนั้น วันนี้ตอนบ่ายจะมีการฝึกซ้อมงานเลี้ยงฉลองวันชาติจีน รวมทั้งลู่เฉินกับนักร้องแกร่งที่เข้ารอบห้าคนสุดท้ายล้วนมากันหมดทุกคน

แน่นอนว่าต้องได้รับการเชิญจากทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง

หากยึดตามเงื่อนไขเดิมที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วระหว่างลู่เฉินกับสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง เขามอบลิขสิทธิ์เพลง ‘เดินไปร้องไป’ ให้สถานีโทรทัศน์ปักกิ่งนำไปใช้ฟรี เพื่อแลกกับการขึ้นไปแสดงบนเวทีงานเลี้ยงฉลองวันชาติจีนของสถานีโทรทัศน์

เดิมทีทั้งสองฝ่ายตกลงกันเรียบร้อยแล้วจะให้ลู่เฉินร้องเดี่ยว แต่ตอนนี้กลับให้ผู้แข็งแกร่งทั้งห้าคนร้องเพลงประสานเสียงด้วยกัน แบบนี้เป็นการลดมูลค่าตัวเองลงไปมาก

สองสามวันก่อนตอนที่ลู่เฉินได้รับแจ้งจากทางสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง เขารู้สึกไม่พอใจจริงๆ

แต่เขาลองคิดแล้วก็ปล่อยวาง

งานเลี้ยงมีระดับขนาดนี้ แถมยังจัดขึ้นในเมืองหลวง ศิลปินดาราที่อยากจะขึ้นมาบนเวทีนี้มีมากมายอย่างไม่ต้องสงสัย ฉะนั้นจึงมีการแข่งขันและต่อสู้กันภายในแผนก ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในรายการจึงเป็นเรื่องธรรมดามาก

อย่างเช่นมู่เสี่ยวชู จางเฮ่าไห่รวมทั้งนักร้องอีกคนหนึ่งที่เป็นนักร้องประสานเสียง ล้วนได้เซ็นสัญญากับเฟยสือเรคคอร์ด

และเฟยสือเรคคอร์ดก็มีการร่วมงานที่ดีในระยะยาวกับสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง

ลู่เฉินไม่มีเส้นสายอะไรในสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง และรู้จักแค่สองสามคนเท่านั้น นอกจากนี้เขาก็ไม่ได้ทุ่มกำลังในการประชาสัมพันธ์ ไม่ถูกรายการคัดออกไปก็ถือว่าโชคดีแล้ว จากร้องเดี่ยวเปลี่ยนมาเป็นร้องประสานเสียงถือว่าไว้หน้ามากแล้ว

ลู่เฉินมีความรู้ในด้านนี้อย่างชัดเจน เขาไม่เคยทำตัวหยิ่งคิดไปเองว่าสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งจะต้องขอร้องตัวเองและผลจากการพยายามเถียงเพื่อความถูกต้องของตัวเอง อาจจะทำให้ความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาอย่างยากลำยากถูกทำลายลง

อีกอย่างคือ ลู่เฉินให้ความสำคัญกับการแสดงของงานเลี้ยงนี้มาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่ว่าจะต้องขึ้นเวทีให้ได้

เพราะฉะนั้นจิตใจของลู่เฉินจึงสงบมาก ไม่บ่นหรือเคียดแค้นกับความไม่ยุติธรรม เขาเชื่อว่าขอเพียงขยันพัฒนาตัวเอง สุดท้ายก็จะมีเวทีทุกระดับปูพรมแดงรอให้ตัวเองเข้าไปเหยียบอย่างแน่นอน!

เห็นได้ชัดว่ามู่เสี่ยวชูไม่รู้เบื้องหลังที่อยู่ในนี้ และเอาหน้าเข้าไปใกล้ลู่เฉินเพื่อถามเรื่องการร้องเพลงประสานเสียงอยู่บ่อยครั้ง

ความสนิทสนมระหว่างทั้งสองคน ดึงดูดสายตาคนข้างๆ จำนวนไม่น้อย

โดยเฉพาะจางเฮ่าไห่ ที่หันจนคอแทบจะหักแล้ว

ลู่เฉินมองเขาเป็นอากาศ

ติ๊ดๆๆ!

ขณะที่กำลังคุยไปยิ้มไปกับมู่เสี่ยวชู ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังติ๊ดๆๆ ขึ้นมาเป็นระลอกปรากฏอยู่รอบตัว

นั่นคือเสียงเตือนที่ได้รับข้อความในโทรศัพท์ของหลายๆ คน!

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างหลังมู่เสี่ยวชูอยู่ตลอดหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู แล้วเผยสีหน้าตกใจออกมา

ผู้หญิงคนนี้อายุประมาณสามสิบกว่าปี รูปร่างผอมแห้งหน้าตาธรรมดา เธอเป็นผู้ช่วยที่ทางบริษัทเฟยสือเรคคอร์ดจัดมาให้มู่เสี่ยวชู มีชื่อว่าโจวฟาง

ลู่เฉินก็มีผู้ช่วยเหมือนกัน แต่วันนี้งานที่สตูดิโอมีเยอะเกินไป เขาจึงให้หลี่เฟยอวี่ช่วยงานทางนั้น

มู่เสี่ยวชูหมุนตัวมา แล้วถามอย่างสงสัยว่า “พี่ฟาง เป็นอะไรคะ”

ตั้งแต่เสียงเตือนข้อความดัง บรรยากาศของด้านหลังเวทีจึงแปลกไปมาก และก็เงียบมากกว่าเดิม

ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ

โจวฟางมองซ้ายแลขวาอย่างรวดเร็ว โน้มตัวกดเสียงให้ต่ำลงแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่หวังปินเสพยาถูกจับแล้ว!”

“หวังปิน”

มู่เสี่ยวชูตกใจ “หวังปินคนนั้นใช่ไหมคะ”

บนโลกนี้คนที่ชื่อหวังปินอาจจะมีมากมาย แต่คนที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิงมีเพียงคนเดียว

หวังปินถือว่าเป็นรุ่นพี่ในวงการเพลงป็อป เขาเดบิวต์ในช่วงปลายปี 1980 และเคยโด่งดังมาในปี 1990 เคยออกแผ่นเสียงหลายชุดมีมูลค่าเกินหลักล้าน ได้รับรางวัลก็ไม่น้อย แต่กลับสร้างความดีความชอบในวงการภาพยนตร์โทรทัศน์มากกว่า

ถึงแม้อิทธิพลในวงการเพลงจีนของเขาจะเทียบกับถานหงไม่ได้ แต่ก็ถือว่าเป็นศิลปินตัวท็อปเช่นกัน

บุคคลผู้นี้กลับถูกจับเพราะเสพยา ฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่อึกทึกครึกโครมในประเทศอย่างแน่นอน ถูกพาดหัวข่าวใหญ่ร้อยเปอร์เซ็นต์!

ข่าวในวงการบันเทิงแพร่กระจายรวดเร็วมาก ฝั่งนั้นถูกจับ ฝั่งนี้ก็ได้รับข่าวติดต่อกันอย่างไม่ขาดสาย

หวังปินคือหนึ่งในแขกรับเชิญคนสำคัญที่ถูกเชิญมาในงานเลี้ยงวันชาติของสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง

ทางสถานีโทรทัศน์ได้ทำโฆษณาออกไปแล้ว แต่ตอนนี้ดันเกิดเรื่องใหญ่แบบนี้ จึงน่าปวดหัวสุดๆ

โจวฟางพยักหน้า เผยสีหน้าลับๆ ล่อๆ ออกมา “ได้ยินว่าชาวบ้านเขตเฉาหยางเป็นคนแจ้งความ ปีนี้ก็เป็นคนที่สามแล้ว!”

ชาวบ้านเขตเฉาหยางในปักกิ่ง เหมือนกับเทวดาที่มีตัวตนก็ไม่ปาน เป็นมือปราบของศิลปินดาราในวงการจริงๆ!

ตั้งแต่ต้นปีจนถึงตอนนี้ ศิลปินดารามีชื่อเสียงเกือบสิบคนถูกจับในข้อหาเสพยาเสพติด ให้สถานที่เสพยา ซื้อบริการทางเพศ โดยผ่านการแจ้งความจากชาวบ้านเขตเฉาหยางในปักกิ่ง

บรรดาชาวเน็ตต่างพูดติดตลกว่าหากให้คนพวกนี้มาอยู่รวมกัน สามารถถ่ายทำภาพยนตร์เรือนจำเรื่องดังได้แน่นอน!

วงการบันเทิงดูผิวเผินแล้วมีความสุกใสสวยงาม แต่แท้จริงแล้วก็ปิดบังเรื่องชั่วและคนชั่วเหมือนกัน มีศิลปินจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะปลดปล่อยตัวเองด้วยเหตุผลต่างๆ สุดท้ายจึงเดินบนเส้นทางที่ไม่อาจย้อนกลับ

เนื่องจากในปักกิ่งมีดาราหลายคนอาศัยอยู่ในเขตเฉาหยาง เพราะฉะนั้นจึงเกิดเรื่องแถบนี้ค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมารัฐบาลได้จัดวางระเบียบสถานการณ์ความปลอดภัยของประชาชน และปราบปรามกิจกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างจริงจัง ดังนั้นชาวบ้านในเขตเฉาหยางจึงมีชื่อเสียงด้วยเหตุนี้

เหล่าศิลปินที่อยู่ด้านหลังเวทีของห้องถ่ายทำรายการ ต่างก็ทราบข่าวจากผู้ช่วยของตัวเอง

พูดกระซิบกระซาบและแสดงความคิดเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

วลีอย่าง ‘หวังปิน’ ‘เสพยา’ ‘ถูกจับ’ เหล่านี้เป็นต้น ลอยออกมาอยู่บ่อยครั้ง

บรรยากาศที่ผิดปกตินี้ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมงกว่า จากนั้นทีมงานคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังเวที

เขายกไมค์ขึ้นแล้วถามว่า “ลู่เฉิน คุณลู่เฉินอยู่ไหมครับ”

ลู่เฉินตกตะลึง ลุกขึ้นและชูมือขึ้นโดยสัญชาติญาณแล้วเอ่ยว่า “ผมอยู่ตรงนี้ครับ”

ช่วงเวลาเพียงแป๊บเดียว เขากลายเป็นจุดสนใจไปทั่วงานทันที

หนึ่งในนั้นก็มีนักแสดงนักร้องมีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อย สายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย อยากรู้อยากเห็นและตกใจ

ลู่เฉินรู้สึกถึงแรงกดดันที่หนักมาก

โชคดีที่ทีมงานคนนั้นรีบพูดว่า “เชิญตามผมมาครับ”

ลู่เฉินรีบเดินตามไป

ตอนที่เขาเดินออกมาจากด้านหลังเวที เสียงวิพากวิจารณ์ข้างหลังเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง และยิ่งเสียงดังจ๊อกแจ๊กมากขึ้นอีก

ลู่เฉินเดินตามทีมงานของสถานีโทรทัศน์คนนี้ และมาถึงออฟฟิศห้องหนึ่ง

เป็นออฟฟิศขนาดกลางๆ เต็มไปด้วยควันลอยวนขึ้นเป็นเกลียว ภาพแบบนี้ลู่เฉินรู้สึกคุ้นเคยมาก

และยังมีคนที่รู้จักอีกสองคน…เฉินฉีรองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งกับกู่รุ่ยผู้อำนวยการเพลงของรายการ‘ขับร้องให้ก้องจีน’

และคนอื่นๆ อีกสองสามคนที่อยู่ในนี้ น่าจะเป็นคนที่อยู่ในสถานีโทรทัศน์แห่งนี้

บรรยากาศภายในห้องดูอึดอัดมาก

โดยเฉพาะกู่รุ่ย ที่ขมวดคิ้วแน่น หน้าบึ้งจนเกือบจะเป็นลูกมะระ นั่งสูบบุหรี่อย่างกลุ้มใจ

เมื่อเห็นลู่เฉินเดินเข้ามา เขาจึงพยายามฉีกยิ้มออกมา “เสี่ยวลู่มาแล้วเหรอ”

ความจริงเขาไม่ต้องยิ้มจะดีกว่า เพราะเวลายิ้มแล้วยิ่งดูน่าเกลียด

เมื่อเทียบกับเฉินฉีแล้วเขาดูนิ่งกว่ามาก พลางชี้ไปที่โซฟาที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวลู่นั่ง”

เขาแนะนำเพื่อนร่วมงานอีกสองสามคนให้ลู่เฉินรู้จัก ซึ่งก็คือผู้จัดรายการสถานีโทรทัศน์ ผู้ช่วยผู้กำกับและผู้อำนวยการทางเทคนิคของงานเลี้ยงวันชาติ เป็นต้น

ตอนที่ลู่เฉินทักทายอย่างมีมารยาทและกำลังจะนั่งลง รองผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งคนนี้ก็ถามเขาออกมาโดยตรง “เรื่องที่หวังปินเสพยาแล้วถูกจับนายรู้แล้วใช่ไหม”

ลู่เฉินพยักหน้า “เพิ่งจะรู้ครับ”

เฉินฉีถอนหายใจ แล้วกล่าวว่า “เกิดเรื่องแบบนี้ ใครก็คาดไม่ถึงจริงๆ รายการของหวังปินจะต้องถูกถอดแน่นอนความคิดเห็นของพวกเราคืออยากให้นายเข้าไปแทน”

“อ๋า”

ลู่เฉินคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉินฉีจะให้ตัวเองเข้ามาแทนรายการของหวังปิน!

กู่รุ่ยอธิบายว่า “เดิมทีพวกเราจะให้รายการร้องเดี่ยวกับนาย แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงภายหลัง ตอนนี้ดันมาเกิดเรื่องแบบนี้อีก ฉันกับรองผู้อำนวยการเฉินจึงปรึกษากันแล้ว ว่าจะให้นายเข้าไปทำแทนหวังปิน”

“นอกจากนี้ รายการร้องเพลงประสานเสียงของนักร้องทั้งห้าคนก็ยังดำเนินต่อไป เท่ากับว่าให้นายทำสองรายการไปเลย!”

เฉินฉีเอ่ยว่า “เสี่ยวลู่เป็นเด็กดี แถมยังได้รางวัลชนะเลิศ จึงมีคุณสมบัติครบถ้วน!”

ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!

เหมือนกับผู้เฒ่าซ่ายเสียม้าจริงๆ ถ้าหากก่อนหน้านี้ลู่เฉินเกิดมีปากเสียงไม่ลงรอยเรื่องการเปลี่ยนจากร้องเดี่ยวเป็นร้องประสานเสียงกับสถานีโทรทัศน์ปักกิ่งขึ้นมา เกรงว่าโอกาสนี้คงไม่ตกมาถึงเขาแน่นอน

ลู่เฉินจึงเอ่ยพูดอย่างฉับพลันทันที “ขอบคุณรองผู้อำนวยการเฉิน ขอบคุณผู้อำนวยการกู่ ผมจะตั้งใจทำรายการออกมาให้ดีแน่นอนครับ”

ทั้งสองรายการ คือเรื่องราวดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นแน่นอน!

ความจริงคนที่ลู่เฉินอยากจะขอบคุณจริงๆ คือชาวบ้านเขตเฉาหยาง!

“นายอย่าเพิ่งรีบร้อน…”

เฉินฉียกมือขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้สถานการณ์เป็นแบบนี้ ตอนบ่ายจะมีผู้นำจากสถานีวิทยุโทรทัศน์กลางแห่งประเทศจีนสองสามคนมาที่นี่ พวกเขาจะไปนั่งดูการซ้อมของพวกเราในห้องถ่ายทำรายการ อีกสักพักนายก็ออกมาแทนหวังปิน และจะแสดงออกมาแย่ๆ ไม่ได้เด็ดขาด!”

กู่รุ่ยถามว่า “เกี่ยวกับการเลือกเพลงร้องเดี่ยว นายมีความคิดเห็นอะไรไหม”

เพราะการเตรียมตัวอย่างรีบร้อนเช่นนี้ อีกอย่างลู่เฉินก็ยังเด็ก ถึงแม้เฉินฉีกับกู่รุ่ยจะตัดสินใจมอบภาระหนักไปที่ตัวของเขา แต่สุดท้ายก็ยังวางใจทั้งหมดไม่ได้อยู่ดี

เฉินฉีเอ่ยว่า “งั้นก็ร้องเพลงดวงดาวที่สุกสกาวบนฟากฟ้าราตรีดีไหม ได้รับรางวัลชนะเลิศไม่ใช่เหรอ”

กุ่รุ่ยยิ้มเจื่อนๆ แล้วกล่าวว่า “เดิมทีหวังปินอยากจะร้องเพลงยุคใหม่ของจีน เพลงนี้ของลู่เฉินเกรงว่า…”

เพลง ‘ยุคใหม่ของจีน’ เป็นทำนองเพลงหลัก และคนร้องดั้งเดิมก็คือหวังปิน

ในเมื่อเป็นงานเลี้ยงวันชาติจีน เช่นนั้นสไตล์เพลงหลักก็จะต้องเน้นไปทางทำนองเพลงหลัก ตอนนี้มีเพลง ‘เดินไปร้องไป’ ของลู่เฉิน บวกกับเพลง ‘ดวงดาวที่สุกสกาวบนฟากฟ้าราตรี’ ความกังวลของกู่รุ่ย ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล

“ถ้าอย่างนั้น…”

เฉินฉีลังเลเล็กน้อย รู้สึกว่าตัวเองเรียกลู่เฉินเข้ามาด้วยความรีบร้อน คือการพิจารณาที่ไม่รอบคอบใช่ไหม

หรือบางทีเปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะดีกว่า

และในตอนนี้ ลู่เฉินจึงเอ่ยพูดว่า “รองผู้อำนวยการเฉิน ผู้อำนวยการกู่ ผมมีเพลงต้นฉบับที่เป็นทำนองเพลงหลักอยู่เหมือนกัน น่าจะเหมาะสมกับงานเลี้ยงของวันชาติจีนมากนะครับ”

เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วถึงจิตใจที่เปลี่ยนไปของเฉินฉี ฉะนั้นจึงรีบเสนอความคิดเห็นของตัวเองออกมาทันที

ถ้าหากไม่คว้าโอกาสนี้ให้ดีๆ เช่นนั้นยังจะคลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงอะไรได้อีก!

กู่รุ่ยตาเป็นประกาย “ผลงานอะไร อยู่ที่ไหน”

ลู่เฉินชี้ไปที่ศีรษะของตัวเองอย่างเขินอาย แล้วเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังอยู่ในนี้ครับ…”

…………………………………………………………………………

ไอคอนเหรียญทอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+