ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก 40 ทั้งสามโควตา แม้แต่โควตาเดียวก็ไม่ใช่คุณ

Now you are reading ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก Chapter 40 ทั้งสามโควตา แม้แต่โควตาเดียวก็ไม่ใช่คุณ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 40 ทั้งสามโควตา แม้แต่โควตาเดียวก็ไม่ใช่คุณ

ตอนที่ 40 ทั้งสามโควตา แม้แต่โควตาเดียวก็ไม่ใช่คุณ

ผู้อาวุโสเหม่ยนำกระดาษวาดรูปให้ซูเถาอีกกองหนึ่ง

เมื่อซูเถามองอย่างละเอียด ที่แท้ก็เป็นรายละเอียดปลีกย่อย เช่นวิธีเชื่อมระหว่างตึกหอพักทั้งสองและโรงอาหาร บริเวณที่เชื่อมต่อกันให้ทำเป็นระเบียง สะดวกสำหรับทุกคนที่จะไปถึงโรงอาหารได้โดยตรงจากตึกหอพัก ซึ่งช่วยย่นระยะทางได้อย่างมาก

ซูเถามองอย่างตื่นเต้น และเอ่ยชื่นชม

“ระเบียงนี่สวยจริง ๆ รอให้ใกล้ถึงฤดูร้อนแล้ว ทุกคนยังสามารถออกไปนั่งที่ระเบียงได้”

ผู้อาวุโสเหม่ยหัวเราะ “ถ้ามีทรัพยากรพอ เธอยังสามารถทำเตาได้ คนก่อนวันสิ้นโลกชอบตั้งแคมป์ จะตั้งเตาย่างอาหารกิน ติดเครื่องเสียงเพิ่ม จะได้กินไปด้วยฟังเพลงไปด้วย และยังพูดคุยกันได้ ช่วงเวลานี้…”

เขาถอนหายใจยาวเหยียด สีหน้ารำลึกความทรงจำ

ซูเถาอดไม่ได้ที่จะคล้อยตามคำพูดของเขา และจินตนาการเงียบ ๆ อยู่ในใจ

“รอให้เธอสร้างระเบียงทางเดินแล้ว ฉันจะร่างภาพรายละเอียดของสวนสาธารณะขนาดย่อมในพื้นที่ส่วนกลางให้เธอ”

“ได้เลยค่ะ” ซูเถาตอบ

“เอ่อใช่ ฉันอยากจะขอใช้สักหนึ่งโควตา แต่ฉันคงหาคนคนนี้ไม่เจอไปอีกสักพัก คงต้องใช้เวลาหน่อย”

ซูเถาเอ่ย “ไม่เป็นไรค่ะ คุณต้องการจะตามหาใครเหรอ บางทีฉันอาจจะช่วยได้นะ”

เหม่ยหงอี้ยิ้มอย่างขมขื่น “เพื่อนเก่าในอดีตของฉัน ชื่ออู๋เจี้ยนอี้ ปีนี้น่าจะอายุเจ็ดสิบสองแล้ว ก่อนวันสิ้นโลกเขาเป็นสถาปนิกที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง และเป็นนักวิชาการด้านวิศวกรรมของประเทศเราด้วย เคยเป็นผู้อำนวยการศูนย์วิจัยสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัย ฉันขาดการติดต่อกับเขาช่วงปีที่สิบสามของยุควันสิ้นโลก ครั้งสุดท้ายที่ติดต่อกันรู้ว่าเขาอยู่ที่ฐานโส่วอัน”

โส่วอันเหรอ…

ซูเถารู้ว่าฐานแห่งนี้อยู่ไม่ไกลจากตงหยาง ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณหนึ่งวันครึ่ง

เธอพยักหน้า “เพื่อช่วยคุณหา ฉันจะลองถามเพื่อนให้”

เพื่อนคนนี้แน่นอนว่าต้องเป็นสือจื่อจิ้น เพราะว่ากองทัพผู้บุกเบิกสามารถออกจากฐานและเข้าใจสถานการณ์ภายนอกได้ดี

เหม่ยหงอี้ซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก “เพื่อนเก่าของฉันคนนี้ไม่โชคดีเหมือนฉัน จึงไม่รู้ว่าตอนนี้จะทนทุกข์ทรมานอยู่ที่ไหน แน่นอนว่าเขาอาจจะจากไปแล้ว…หนูซูเถา ถ้าไม่มีเธอ สภาพอย่างฉันคงอยู่ได้อีกไม่กี่ปี”

ขาก็ขาด ไม่ได้กินอิ่มนอนหลับ ถูกลูกชายและลูกสะใภ้ข่มเหงรังแกสารพัดมาเนิ่นนาน ถ้าเจอซูเถาช้ากว่านี้อีกหลายปี บางทีเขาอาจจะฆ่าตัวตายหนีปัญหาไปแล้ว

ในวันสิ้นโลกนี้ ไม่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดไปวัน ๆ ก็ดี

ซูเถาตอบด้วยรอยยิ้ม “ผู้อาวุโสอย่าคิดมากเลยค่ะ”

เที่ยงคืน นกเค้าแมวซูเถาออกมาทำงานก่อสร้างอีกแล้ว แม้จะยากจนเพียงใด เธอก็ใช้เงินออมเพียงเล็กน้อยไปอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนเหลือเพียงหมื่นกว่าเหลียนปัง หลังจากวางรากฐานสำหรับอาคารสำนักงาน และสร้างต้นแบบของรูปลักษณ์เสร็จกระสุนก็หมดเสบียงก็เกลี้ยงแล้วพอดี

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนสร้างระเบียงและทางเดินในอาคารเลย คงจะไม่เหลืออะไรสักแดงเดียวจริง ๆ

ซูเถาอยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตาให้ไหล

และเธอยังพบว่าตัวเองน่าจะไม่มีหัวทางศิลปะเลยจริง ๆ เพราะอาคารสำนักงานที่เธอสร้างกลับดูเหมือนกล่องรองเท้าสองกล่องวางซ้อนกัน

รอให้ผู้เช่าใหม่เข้ามาพรุ่งนี้และได้รับเงินค่อยว่ากัน

วันต่อมา ซูเถากับกวานจือหนิงไปรับเฉินซีออกจากโรงพยาบาล หลังจากเฝ้าสังเกตอาการมาหนึ่งคืน เมื่อไม่พบการอักเสบหรือตาบอด ทางโรงพยาบาลก็แจ้งพวกเธอว่าสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ เพื่อที่จะให้คนไข้คนอื่นได้ใช้เตียง

ไม่มีหนทางอื่น โรงพยาบาลในตงหยางนั้นค่อนข้างเล็กสำหรับฐานที่มีประชากรเกือบหกหมื่นคน

เฉินซีหัวบ๊ะจ่างค่อย ๆ จูงมือจวงหว่านลงมาจากตึกอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นซูเถาก็ตะโกนร้องเรียกด้วยความดีใจ “พี่เถาจื่อ”

ซูเถารีบห้ามเธอไว้ “อย่าตะโกน เดี๋ยวจะกระทบกระเทือนถึงแผล”

เฉินซีส่งเสียงฟึดฟัด แต่ก็ยังยิ้มแป้นอย่างไม่คิดอะไรมาก

จวงหว่านหมดคำจะพูด แต่สีหน้าก็ไม่สามารถเก็บความกังวลและความเหนื่อยใจภายในใจได้ เพราะแผลเป็นขนาดใหญ่บนใบหน้าของลูกสาวอาจอยู่กับเธอไปชั่วชีวิต

ในเวลานี้ จู่ ๆ ในห้องโถงของโรงพยาบาลที่คึกคักก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพวกเธอ และพูดเสียงดังลั่นด้วยสีหน้าโกรธเคือง

“ฉันเจอพวกเธอจนได้ พ่อฉันล่ะ พวกเธอลักพาตัวพ่อของฉันไปไว้ที่ไหน”

บอดี้การ์ดส่วนตัวอย่างกวานจือหนิงชักปืนออกมา “ถอยไป ไม่งั้นฉันจะไม่สนหรอกนะว่าปืนจะลั่นใส่ใครบ้าง”

เหม่ยซิ่งเสียนถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความตกใจ และนึกขึ้นได้ว่าผู้หญิงคนนี้คือผู้ต้องสงสัยว่าอาจเป็นทหารเหมือนที่ยัยเมียโง่บอก

เขาพูดด้วยอย่างแข็งกร้าวแต่ในใจก็ขี้ขลาด “ฉันไม่สนว่าพวกเธอเป็นใคร แต่ต้องอธิบายเรื่องที่เอาพ่อฉันไป ยี่สิบปีแล้วนับตั้งแต่วันสิ้นโลก ตงหยางของพวกเราก็มีกฎ การที่จับคนไปกักขังหน่วงเหนี่ยวพวกเธอต้องการอะไร”

ทุกคนในห้องโถงหันมามองอย่างพร้อมเพรียงกัน

เหม่ยซิ่งเสียนดูเหมือนจะมีกำลังใจขึ้น และเอ่ยต่อ

“ฉันเพิ่งออกจากบ้านไปได้สองสามวัน พอกลับมาก็ได้ยินว่าพ่อวัยเจ็ดสิบแปดปีของฉันถูกพวกผู้หญิงเหล่านี้ลักพาตัวไป ทุกคนคงจะรู้เรื่องที่รับสมัครสถาปนิกในเถาหยางมานานแล้วใช่ไหม ก่อนวันสิ้นโลกพ่อของฉันเป็นสถาปนิก คนเหล่านี้ต้องรู้ถึงความสามารถพ่อของฉันแน่ ๆ เลยจับตัวเขาไปเพื่อแลกกับผลประโยชน์ที่เถาหยางสัญญาไว้”

“น่าสงสารที่เขาอายุมากแล้วยังถูกคนบีบบังคับ ในฐานะลูกชาย ฉันไม่สบายใจเลย ทุกวันนี้ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ”

ตอนนี้จวงหว่านรู้แล้วว่าเขาคือใคร เมื่อได้ยินคำพูดกลับขาวเป็นดำที่บีบบังคับหัวใจ ริมฝีปากก็เริ่มสั่นด้วยความโกรธ และเริ่มได้ยินเสียงผู้คนรอบข้างกระซิบกระซาบกัน

“พวกเธอดูคุ้น ๆ นะ ใช่คนของเถาหยางรึเปล่า”

“มีความคล้ายนะ ฉันดูจากรูปโฆษณาล่าสุดที่เถาหยางเพิ่งปล่อยออกมา ในนั้นน่าจะมีพวกเธออยู่”

“คนที่ดูอ่อนเยาว์หน่อยคนนั้นน่าจะเป็นเถ้าแก่ของเถาหยางนะ”

“ใช่เหรอบังเอิญอะไรขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ยังมีคนที่พูดติดตลกเลยว่าอยากจะเจอเธอแล้วขอบ้าน ฮ่าๆๆๆ”

……

เมื่อเหม่ยซิ่งเสียนได้ยินคำพูดนี้ มันทำให้เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง

กวานจือหนิงรีบเอาหมวกของซูเถาให้เธอใส่ และเอ่ยว่า “ตัวตนของเธออ่อนไหวมาก”

ซูเถาพยักหน้า ปลอบขวัญจวงหว่านและลูกอีกสองคน แล้วพูดกับกวานจือหนิงว่า “ที่นี่คนเยอะเกินไป พาเขาออกไปดีกว่า”

กวานจือหนิงรีบเก็บปีน แล้วยกเหม่ยซิ่งเสียนออกมาเหมือนหิ้วลูกเจี๊ยบ ระหว่างสิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติกับมนุษย์ธรรมดานั้นไม่เพียงแต่มีพลังวิเศษเท่านั้นที่แตกต่าง แต่ยังรวมถึงสมรรถภาพทางกายด้วย

จวงหว่านสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเดินตามเด็กทั้งสองออกไป

กวานจือหนิงพาเขาไปยังสถานที่ห่างไกลผู้คนแล้ว แล้วโยนเขาลงกับพื้น

เหม่ยซิ่งเสียนคลานหนีตามสัญชาตญาณ เฉินหยางที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เหยียดขาออกไปอย่างชาญฉลาด เหม่ยซิ่งเสียนจึงหกคะเมนล้มหัวคะมำกองอยู่บนพื้น หน้าจมดิน ฟันหักไปซี่หนึ่ง

การหกล้มนี้ ทำให้เขาได้สติขึ้นมา ตาแก่นั่นไม่ได้ถูกลักพาตัวไป แต่ถูกคนจากเถาหยางพาตัวไปเหรอ?

สถาปนิกที่เถาหยางประกาศรับสมัครก่อนหน้านี้คือพ่อของเขาเหรอ แล้วทำไมตาแก่นั่นไม่มาหาเขา แล้วโควตาทั้งสามล่ะ? ไม่ใช่ว่าตัวเองอยากออกจากคูน้ำเหม็น ๆ นี่ให้เร็วที่สุดไม่ใช่เหรอ

เหม่ยซิ่งเสียนมีความคิดมากมายเต็มไปหมด ทั้งหวาดกลัวทั้งตื่นเต้น ไม่สนใจแม้แต่ฟันที่หักและเลือดในปากของตัวเอง

ซูเถานั่งลงแล้วถามเขา “อยากให้ฉันพาไปหาพ่อไหม ตอนนี้เขาอยู่ดีกินดีในเถาหยาง กินดีซะจนสั่งพวกเราว่าหนึ่งในสามโควตาก็ไม่ให้นาย”

เหม่ยซิ่งเสียนที่ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าเธอเป็นคนเถาหยางก็รู้สึกกลัว กลัวว่าคำโกหกของเขาจะถูกเปิดโปง แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินว่าจิตใจของชายชราคนนั้นโหดร้ายขนาดไหน เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ โกรธจนดวงตาแดงก่ำ

“มีสิทธิ์อะไรไม่ให้โควตานั้นกับฉัน ฉันเป็นลูกชายของเขานะ เขามีฉันเป็นญาติเพียงคนเดียว ไม่มีใครที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับเขาแล้ว เขาไม่ให้ฉัน เขาก็เลยอยากยกให้คนอื่นใช่ไหม”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *