ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก 74 เป็นแค่หุ้นส่วน

Now you are reading ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก Chapter 74 เป็นแค่หุ้นส่วน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 74 เป็นแค่หุ้นส่วน

ตอนที่ 74 เป็นแค่หุ้นส่วน

ซูเถาหันหลังกลับแล้วเอาข้าวสารไปวาง พลางพูดขึ้นว่า

“บอสกู้นี่รู้ข่าวเร็วจริง ๆ”

กู้หมิงฉือไม่สนใจคำพูดของเธอและถามว่า

“คุณจะออกไปกับพวกเขาทำไม? ไม่กลัวตายหรือไง ผมได้ยินมาว่ากองทัพบุกเบิกมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่หนักหน่วงสำหรับภารกิจนี้ และปัจจัยเสี่ยงก็ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า พวกเขาต้องขึ้นไปทางเหนือสู่ฉางจิง ยิ่งเป็นการเดินทางไกลเท่าไหร่ ก็ยิ่งอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”

ซูเถาอธิบายว่า “ฉันจะออกไปหาวัสดุก่อสร้าง”

กู้หมิงฉือหัวเราะและพูดอย่างห้วน ๆ

“คุณเนี่ยนะ? คุณไปก็ช่วยเพิ่มภาระให้กองทัพบุกเบิกเปล่า ๆ เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร?”

เมื่อซูเถาเห็นว่ากู้หมิงฉือมาถามจี้เธอแบบนี้ น้ำเสียงของเธอก็เย็นชา

“บอสกู้ พวกเราเป็นอะไรกัน ทำไมฉันต้องบอกคุณด้วย เราเป็นแค่หุ้นส่วนกัน คุณล้ำเส้นเกินไปหรือเปล่า?”

กู้หมิงฉือขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนั้น

“ก็เพราะผมเป็นหุ้นส่วน ผมเลยเป็นห่วงความปลอดภัยของคุณ ถ้าคุณตายไป ใครจะจัดหาน้ำให้เขตตะวันออกของผมล่ะ ผู้คนภายใต้การดูแลของผม 3,000 ชีวิตยังต้องการน้ำกินน้ำใช้นะ”

คนแซ่กู้นี่น่ารำคาญจริง ๆ!

ซูเถาตอบกับว่า “ถ้าฉันตาย คุณก็ฝังตัวเองกับคนอีก 3,000 ชีวิตไปกับฉันได้เลย!”

หลังจากพูดจบ เธอก็วางสายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว

ซูเถาดึงผ้าห่มขึ้นแล้วปิดไฟนอนทันที

เสวี่ยเตาที่นอนอยู่ปลายเตียงเงยหน้าขึ้นมองเจ้านายที่กำลังโกรธจัด จากนั้นก็มุดผ้าห่มเข้าไปเพื่อปลอบโยนเธอแล้วล้มตัวนอนด้วยกัน

วันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันสุดท้ายก่อนออกเดินทาง สือจื่อจิ้นพาเธอขับรถไปหาหลินฟางจือและจะทำการฝังชิปให้เขา

เมื่อซูเถาไปถึง เธอก็เห็นเด็กหนุ่มที่ยืนทำหน้างุนงงอยู่ที่ประตู

สือจื่อจิ้นรับเขาแล้วขับรถออกไป

“ที่เหลือคุณจัดการแล้วกัน เดี๋ยวผมต้องกลับไปขนโบนวิงส์ออกมาจากสถาบันวิจัย คงกลับช้าหน่อย”

ซูเถาพยักหน้าแล้วพาหลินฟางจือเดินไปทางอาคารสำนักงาน

เด็กหนุ่มเดินอย่างระมัดระวังราวกับว่าเขาไม่เคยเห็นอาคารข้างหน้าหรือสวนน้ำพุตรงหน้ามาก่อน เขาดูสับสนและระแวดระวัง

เขามีรูปร่างผอมมาก เพียงแค่ลมกระโชกมาก็สามารถทำให้เห็นรูปร่างอันผอมแห้งของเขาผ่านเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ และแขนของเขาที่ดูเรียวยาว ก็เหมือนจะมีแต่กระดูก

ซูเถาอดไม่ได้ที่จะถามเขาว่า “ก่อนมาที่นี่นายกินอะไรมาหรือยัง?”

หลินฟางจือพยักหน้า

“กินอะไร?” เขาดูเหมือนเด็กผู้ยากไร้หรือผู้ลี้ภัยอย่างนั้นเหรอ

หลินฟางจือแสดงท่าทางสับสนอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายสิ่งที่เขากินอย่างไร หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่นานก็พูดออกมา “ขนม”

ซูเถาตระหนักได้ว่าเขาน่าจะมีอุปสรรคทางด้านภาษาและการสื่อสาร เธอจึงไม่ได้ถามเขาต่อ ก่อนจะหันหลังกลับและตรงไปที่โรงอาหาร

หลินฟางจือเฝ้าดูอีกฝ่ายหยิบถ้วยออกมาจากเครื่องแปลก ๆ เขาเหมือนคนยุคดึกดำบรรพ์ เมื่อถ้วยนั้นถูกเปิดออก มันกลายเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทั้งยังส่งกลิ่นหอมเย้ายวนอีกด้วย

ซูเถาขอให้เขานั่งลงเพื่อกินมัน แล้วเธอก็ไปเอานมมาให้เขา

หลินฟางจือมองที่ข้าวกล่องนั้นเป็นเวลานานกว่าที่เขาจะเงยหน้าขึ้น เขามองสิ่งที่อยู่ในนั้นด้วยดวงตาที่เหมือนกับลูกกวางน้อยกำลังจ้องมอง

“ข้าวสวย ดอกกะหล่ำ ใช่ไหม?”

เขาเหมือนเด็กไม่รู้ประสาและต้องการได้รับคำยืนยันจากคุณครู

ซูเถาใช้น้ำเสียงเหมือนที่เธอใช้กับเฉินซีและเฉินหยางโดยไม่รู้ตัว “ใช่แล้ว ฉลาดจริง ๆ เลย”

ปฏิกิริยาของหลินฟางจือนั้นเหมือนกับเด็ก ๆ เขาแสดงรอยยิ้มออกมาเมื่อเขาได้รับคำชม

เขาหยิบสมุดภาพของเขาที่มีสภาพยับเยินออกมาจากกระเป๋า เหมือนว่าจะหยิบมันออกมาอ่าน จากนั้นเปิดไปที่หน้าของข้าวสวย จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าของดอกกะหล่ำ แล้วก็ชี้ไปที่ซูเถาอย่างมีความสุข

“แม่สอนผม”

ซูเถาถามเขา “แล้วแม่ของนายล่ะ?”

รอยยิ้มในดวงตาของหลินฟางจือหายไปอย่างรวดเร็ว กลับไปสู่ความตื่นกลัวในตอนแรก และมีท่าทีที่เหม่อลอย

“ถูกกินแล้ว”

ในเวลานั้น ซูเถารู้สึกเหมือนกับว่าเธอไม่สามารถส่งเสียงอะไรได้

เธอพอจะเดาได้ ว่าแม่ของหลินฟางจือคงถูกซอมบี้กินต่อหน้าของเขาในตอนที่เขายังเด็กมาก ในตอนที่เขากำลังหัดพูดและอ่านหนังสือ

เพราะสิ่งที่หลงเหลืออยู่คือหนังสือสำหรับเด็ก

เมื่อแม่ของเขาจากไปจึงไม่มีใครสอนให้เขาพูดและจดจำรูปภาพ ดังนั้นความสามารถในการรับรู้และแสดงออกของเขาจึงถูกจำกัด

เธอรีบหันหลังกลับทันทีเพื่อซ่อนอารมณ์ของเธอ หลังจากที่เธอเปิดขวดนมแล้ววางไว้ตรงหน้าเขา และเอ่ยถามขึ้นเบา ๆ

“แล้วนี่ล่ะ รู้จักหรือเปล่า?”

หลินฟางจือส่ายหัว

“ลองดูสิ”

หลินฟางจืออธิบายไม่ถูก รู้เพียงแต่ว่าเธอคนนี้สามารถไว้ใจได้ ดังนั้นเขาจึงหยิบมันขึ้นมาแล้วดื่ม เมื่อเข้าไปในปากของเขา รสชาติของมันทำให้เขาหวาดกลัวและอยากที่จะอาเจียนออกมา แต่จากประสบการณ์ความอดอยากที่ผ่านมาของเขา ทำให้เขาลังเลที่จะอาเจียน

เช่นเดียวกับซาลาเปา เขาก็ทำได้แต่อมมันเอาไว้ในปาก

ซูเถาก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก จากนั้นเธอก็ถามเขาว่า

“เคยกินอะไรหวาน ๆ ไหม?”

หลินฟางจือได้ยินคำว่า ‘หวาน’ ในความคิดของเขาก็จำกัดอยู่แค่ลูกอม

เขาเคยได้ยินแม่บอกว่าความหวานคือลูกอม และลูกอมนั้นอร่อย และเด็ก ๆ ต่างก็ชอบมัน

และแม่ก็สัญญาว่าจะหาลูกอมมาให้เขากินให้ได้ แต่ว่าแม่ของเขาถูกกินไปแล้ว แม่ไม่อยู่แล้ว เขาจึงไม่รู้ว่าลูกอมนั้นมีรสชาติอย่างไร

เขาไม่รู้หรอกว่านอกจากลูกอมที่หวานแล้ว ก็ยังมีอย่างอื่นที่หวานอีกด้วย

ซูเถาลูบหลังเขาเบา ๆ แล้วพูดว่า

“ไม่เป็นไรนะ ค่อย ๆ กลืน นายลองกินแล้วจะติดใจ”

หลินฟางจือใช้เวลาสักพักในการกลืน และดูเหมือนว่าเขาได้ลิ้มรสความหวานนั่นแล้ว

เขาดื่มแล้วก็ดื่มอีกอย่างอดไม่ได้ หลังจากนั้นเขาก็ปิดฝาแน่นและขวดนมนั้นก็หายไปทันที

เช่นเดียวกับข้าวกล่อง หลังจากกินไปสองคำเขาก็ปิดฝาแล้วข้าวกล่องก็หายไปทันที

ซูเถากะพริบตา “เก็บไปแล้วเหรอ?”

หลินฟางจือพยักหน้าและถามอย่างระมัดระวัง “ได้ไหม?”

“นายกินให้หมดได้นะ มันยังมีอีกเยอะเลย ไม่จำเป็นต้องเก็บไว้กินถึงมื้อหน้า”

หลินฟางจือกลัวว่าจะอดตาย เขาคงต้องฝึกนิสัยชอบเก็บของเหลือนี้สักพัก ตอนนี้เกลี้ยกล่อมเขาไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำได้เพียงต้องปล่อยเขาให้ปรับตัวไปสักพัก

หลังจากออกจากโรงอาหาร เธอก็พาเขาไปที่อาคารสำนักงาน และเมื่อเขาเดินเข้าไปเขาก็ชนเข้ากับจวงหว่าน

เมื่อจวงหว่านเห็นเธอพาชายแปลกหน้าเข้ามา จวงหว่านก็รู้ได้ทันทีว่าเขาน่าจะเป็นผู้ที่มีพลังความสามารถด้านการสร้างห้วงมิติจัดเก็บจากฝ่ายพลาธิการ

เธอกำลังจะพูดขึ้น แต่หลินฟางจือกลับรีบไปหลบอยู่ด้านหลังซูเถา มองจวงหว่านอย่างระแวดระวังราวกับลูกกวางน้อย

เขามีความกลัวผู้ใหญ่โดยธรรมชาติ

จวงหว่านเองก็ไม่ได้ถือสาอะไร แต่เมื่อเห็นรูปร่างที่ผอมแห้งเหลือแต่กระดูกของเขา ทั้งที่อายุยังน้อยจึงอดไม่ได้ที่จะเวทนา

“เสื้อผ้านี้ดูไม่ค่อยเข้ากับนายเลย เดี๋ยวฉันจะไปหาเสื้อผ้ามาให้เขาเปลี่ยนสองชุด พวกคุณรีบไปเก็บของเถอะ รีบเก็บของจะได้รีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ”

พื้นที่ในห้วงมิติของหลินฟางจือไม่น่าจะเล็ก หลังจากเก็บเสบียงทั้งหมดที่ซูเถากองไว้ในห้องนั่งเล่นแล้ว ก็ยังคงมีที่ว่างเหลืออีก

“มันสามารถบรรจุได้เท่าไหร่เหรอ?” ซูเถาถามด้วยความอยากรู้

หลินฟางจือไม่รู้จะอธิบายอย่างไร หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่งเขาก็พูดขึ้นว่า

“จับมือ”

ซูเถา “?”

แต่เมื่อเห็นท่าทางกระวนกระวายและพูดไม่ออกของเด็กหนุ่ม เธอก็เลยยื่นมือไปจับเขาไว้

มือของเขาทั้งบางและหยาบกร้าน ทำให้เธอรู้สึกเจ็บเล็กน้อยเมื่อสัมผัส

แต่ในวินาทีถัดมา ภาพก็ปรากฏขึ้นในหัวของเธอ

มันเป็นพื้นที่ประมาณ 80 ตารางเมตรที่มืดสลัว มีของที่เพิ่งนำเข้ามากองรวมกันอย่างเป็นระเบียบตรงกลาง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *