ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก 52 คุณคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับพลตรีสือรึเปล่า?

Now you are reading ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก Chapter 52 คุณคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับพลตรีสือรึเปล่า? at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 52 คุณคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับพลตรีสือรึเปล่า?

ตอนที่ 52 คุณคิดว่ามีอะไรผิดปกติกับพลตรีสือรึเปล่า?

ขณะที่ซูเถาพาพวกเขาไปที่โรงอาหาร แต่สายตาของเธอกลับไม่ละไปจากสือจื่อจิ้นเลยแม้แต่น้อย อาจเป็นเพราะเธอจะคิดมากเกินไป แต่เธอก็คิดว่ามันต้องมีบางอย่างผิดปกติแน่ ๆ

ทันทีที่พวกเขาเดินเข้าประตูมาและเดินถึงสวนสาธารณะ ทุกคนก็ได้เห็นสระน้ำพุสีฟ้าครามตรงหน้า เฉินเทียนเจียวก็ร้องตะโกนขึ้นมา

“นี่มันอะไรกันเนี่ย? สระน้ำใหญ่อะไรขนาดนี้!”

แม้แต่โจวไห่และโจวหยางที่เป็นคนปิดกั้นตัวเองยังค่อย ๆ เบิกตากว้าง สัมผัสได้ว่าอุณหภูมิภายในและภายนอกของเถาหยางแตกต่างอย่างกันมาก

สือจื่อจิ้นก็ตกตะลึงเช่นกัน “น้ำพุหรือสระว่ายน้ำ?”

ซูเถาเอ่ยว่า “ทั้งสองอย่างเลย พรุ่งนี้ถ้าพวกคุณมีเวลาว่างก็มาว่ายน้ำได้ เราจะเปลี่ยนน้ำทุกสามวัน มั่นใจในความสะอาดได้”

หลังจากพูดจบ เธอก็เหลือบมองสือจื่อจิ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นเขายืนอยู่ภายใต้เงามืดของอาคารพัก ความรู้สึกแปลก ๆ ก่อนหน้านี้ก็วาบขึ้นมาอีกครั้ง

เธอขยี้ตาและเพ่งมองอีกครั้ง ก็ยังรู้สึกว่าแปลกมากราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ดูเคว้งคว้างว่างเปล่า…

เธอเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

ในเวลานี้เฉินเทียนเจียวคว่ำหน้าอยู่บริเวณขอบสระ วักน้ำขึ้นมาเพื่อล้างหน้า น้ำเย็น ๆ ทำให้สดชื่นไปทั่วร่างกาย ทำให้รู้สึกสบายจนเสียอยากจะถอดเสื้อผ้าลงไปว่ายน้ำเล่นทันที

“เถ้าแก่ซู ถ้าผมไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ผมตื่นอยู่ ผมคงคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในฝันแน่ แม่ผมได้มาใช้ชีวิตยามเกษียณที่นี่อย่างเพลิดเพลินได้ ผมก็ถือว่าเป็นเด็กกตัญญูแล้ว”

ซูเถาคิดในใจ งั้นก็รีบพาแม่มาที่นี่เพื่อเติมเต็มความกตัญญูของเธอสิ ช่วงนี้เถ้าแก่ซูคนนี้ร้อนเงินนิดหน่อย

ค่าเช่าห้องชุด 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นสามารถทำรายได้ให้เธอ 80,000 เหลียนปัง หากมีเงินนี้ เธอจะพิจารณาเรื่องขยายห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่นอีกสัก 2-3 ห้อง

เธอยังต้องการหาเงินเพิ่มเพื่อซ่อมแซมและตกแต่งรถจี๊ปที่ชำรุดของเธอ ไหนจะต้องซื้ออาวุธที่คล่องมือเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจที่ซ่อนอยู่ที่โรงรถร้างในภูเขาผานหลิวอีก

จวงหว่านเอ่ยขัดพวกเขา “ไปที่โรงอาหารกันเถอะ ฉันเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้พวกคุณแล้ว”

เฉินเทียนเจียวและตั่งซิ่งเหยียนรีบตรงไปยังโรงอาหารทันที แต่ซูเถากลับดึงจวงหว่านไปทางด้านหลัง และแอบถามเธออย่างว่า

“พี่คิดว่าพลตรีสือแปลก ๆ ไปไหมคะ?”

สมองของจวงหว่านมีเครื่องหมายคำถามขึ้นเต็มไปหมด คิดทบทวนแล้วพูดอีกครั้ง

“สีหน้าไม่ค่อยดีเหรอ? อาจเพราะเดินทางมาเหนื่อย ๆ? มีอะไรรึเปล่า”

ซูเถาไปดึงกวานจือหนิงที่เงียบมาตลอดอีกคน “เธอล่ะ เธอคิดว่าพลตรีสือมีอะไรผิดปกติไปไหม?”

กวานจือหนิงพูดเพียงว่า “เธอน่ะคิดมากไปแล้ว?”

ช่างเถอะ

ซูเถามองไปยังแผ่นหลังของสือจื่อจิ้นที่กำลังเดินออกจากเงาของอาคาร และยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดด ความรู้สึกแปลก ๆ นั้นหายไปอีกครั้ง แทนที่ด้วยความประทับใจที่คุ้นเคย แผ่นหลังตั้งตรงให้ความรู้สึกถึงความหนักแน่นของทหาร

ซูเถาเริ่มสงสัยว่าตนเองเป็นโรคประสาทรึเปล่า “บางทีวันนี้อาจร้อนเกินไป ภาวะทางอารมณ์ของฉันวันนี้เลยไม่ดีนัก”

จวงหว่านพยักหน้า “ฤดูร้อนปีนี้มาเร็วมาก อุณหภูมิสูงถึง 28 องศา ฉันได้ยินมาว่าที่พักขนาดเล็กบางแห่งด้านนอกเริ่มขาดแคลนน้ำ และมีการก่อจลาจลเพื่อแย่งชิงน้ำขึ้นหลายครั้ง หนำซ้ำยังมีคนบาดเจ็บล้มตายอีก เราต้องกักเก็บน้ำไว้สักหน่อยไหม”

ซูเถาไม่รู้จริง ๆ ว่าการขาดแคลนน้ำข้างนอกนั้นร้ายแรงมาก ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้าและพูดว่า

“ไม่จําเป็นต้องกักเก็บน้ำ ที่ไหนขาดแคลนน้ำ แต่เถาหยางจะไม่มีทางขาดแคลนน้ำ”

น้ำและไฟฟ้าของระบบมีไม่จํากัด ตราบใดที่เธอไม่ตาย ตราบใดที่เธอจ่ายค่าสาธารณูปโภคทุกเดือนมันจะไม่มีวันขาดแคลนแน่นอน

เมื่อจวงหว่านได้ยินเช่นนั้น เธอก็รู้สึกถึงความปลอดภัยเป็นอย่างมาก และดีใจขึ้นมาอีกครั้งที่เธอตามติดซูเถา มาอยู่กับเธออย่างหน้าด้าน ๆ

ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่สองสามคนเข้ามาเก็บกวาดของในโรงอาหาร พวกเขากวาดเอาอาหารและเครื่องดื่มใส่กล่องมาชุดใหญ่

โจวไห่และโจวหยางก้มหน้าก้มตากินจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ราวกับเป็นผู้ลี้ภัยมาจากที่ไหนสักแห่ง มีเพียงสือจื่อจิ้นเท่านั้นที่สงวนท่าทีไว้ ค่อย ๆ กินทีละคำอย่างใจเย็น ไม่ให้มีอะไรหกออกมาสักนิด

เมื่อซูเถาเห็นฉากนี้เธอก็แทบจะบ้าตาย

แม้ว่าจะรู้สึกคุ้นเคยกับคุณชายสือ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะถูกบีบให้เป็นกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ดูเหมือนเขาจะเกิดความขัดแย้งในตัวเองอย่างมาก

ช่วยด้วย!! เธอกำลังจะเป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ ใช่ไหม ซูเถารีบสั่งไอศกรีมรสช็อกโกแลตมาหนึ่งถ้วย แล้วรีบกินเพื่อระงับอาการตกใจ

ในขณะที่เพิ่งจะกินไปได้สองคำ ก็หันไปเห็นดวงตาสี่คู่ของพี่น้องโจว เฉินเทียนเจียว และตั่งซิ่งเหยียนกำลังจับจ้องมาที่เธอ

เฉินเทียนเจียวกลืนน้ำลายอึกใหญ่ แล้วถามขึ้น “คุณกินอะไรอยู่น่ะ?”

ซูเถารีบเปิดทางให้เหล่าภูตที่หิวโหยดู และแสดงท่าทางเชื้อเชิญ

“ถ้วยละสองร้อยเหลียนปัง เลือกได้ตามสบายเลย”

ทุกคนลุกพรวดอย่างรวดเร็ว

จวงหว่านมองอยู่ด้านข้างแล้วหลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง และเอ่ยด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“หู่จือของฉันก็กินข้าวแบบนี้ทุกครั้งหลังจากกลับมาจากทำภารกิจ ราวกับว่าเขาหิวโหยมาหลายวันแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเครื่องแบบทหารที่ใส่อยู่ เขาแทบจะกลายเป็นขอทานอยู่แล้ว เฮ้อ เถ้าแก่ คุณจะตามออกไปจริง ๆ เหรอ”

ตั้งแต่ที่รู้ว่าซูเถากําลังจะตามกองทัพบุกเบิกออกไปปฏิบัติภารกิจ หัวใจของจวงหว่านก็เริ่มดิ่งลง

ยิ่งเธอหวังพึ่งพาซูเถามากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น

ซูเถาเอ่ยขึ้น “ฉันจำเป็นต้องออกไปค่ะ ถ้าการเดินทางครั้งนี้สำเร็จ มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อเถาหยาง พี่อย่ากกังวลไปเลย พี่แค่ดูแลเถาหยางให้ดีและรอฉันกลับมาก็พอ”

ซูเถามั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับตนเองเด็ดขาด และหากเธอพบอันตรายและไม่สามารถจัดการกับมันได้ เธอจะใช้ฟังก์ชันเทเลพอร์ตของระบบโดยเร็วที่สุด เพื่อส่งตัวเองกลับมาที่เถาหยาง

ฟังก์ชันนี้เป็นเหมือนทักษะโกงการหลบหนี ซึ่งมันใช้งานได้จริง

จวงหว่านยังคงไม่สบายใจ “ฉันคิดว่ายังไงพลตรีสือก็ไม่ยอมให้คุณไปแน่”

ซูเถาเหลือบมองสือจื่อจิ้นที่กําลังกวนไอศกรีมในถ้วย และดูเกิดความรู้สึกขัดแย้งอยู่มาก พลางเกาหัวแกรก ๆ

“ฉันจะหาเวลาคุยกับเขา ยังไงฉันจะต้องไปให้ได้”

จวงหว่านไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดจะทําอะไร แต่ก็อดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปจับมืออีกฝ่ายไว้ ราวกับว่าการสัมผัสเธอเช่นนี้จะทําให้เธอรู้สึกปลอดภัย

ซูเถาทําอะไรไม่ถูก รู้สึกว่าจวงหว่านที่อายุสามสิบปีกว่าแล้ว แต่ยังทำตัวเหมือนหญิงสาวตัวเล็ก ๆ

สือจื่อจิ้นที่กําลังตักไอศกรีมเข้าปาก เมื่อเห็นมือที่ทั้งสองจับกัน คิ้วของเขาก็กระตุกขึ้นมา

หลังจากรับประทานอาหารแล้ว พวกผู้ชายก็กลับไปที่ห้องเพื่ออาบน้ำให้สดชื่น และออกมาอีกครั้งก็ปาไปบ่ายสามโมงกว่าแล้ว

สือจื่อจิ้นเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าปกติ กางเกงยีน เสื้อแขนสั้น รองเท้าบูตมาร์ติน ยืนอยู่กลางแดดจ้า และกลายเป็นพลตรีสือกระดูกเหล็กที่อ่อนโยน

ซูเถาถามเขาอย่างอ่อนเพลียว่า

“หลังจากที่คุณรายงานตัวแล้วคุณจะกลับมาตอนไหน ฉันมีเรื่องอย่างคุยกับคุณ”

ขณะที่พูดก็กวาดสายตามองชายหนุ่มตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า สือจื่อจิ้นไม่ได้หลบไม่ได้ซ่อน ทำเพียงยืนอยู่ตรงนั้น และปล่อยให้เธอมองต่อไป

“ถ้าไม่มีเรื่องอะไร ผมจะกลับมาหลังอาหารเย็น คุณกลับเข้าไปเถอะ ผมสบายดี”

เขาพูดพลางสวมหมวกทหาร แล้วก้าวขึ้นรถกระบะทหารไปพลางโบกมือลาเธอ

กวานจือหนิงก็กระโดดขึ้นรถและพูดกับซูเถาว่า “ค่ำ ๆ หน่อยฉันจะกลับมาพร้อมกับพวกเขา ไม่มีฉันอยู่เธอห้ามออกจากเถาหยาตามลำพัง เข้าใจไหม?”

“เข้าใจแล้ว เธอไปได้แล้ว” ซูเถาพยักหน้าเอือมระอา

รถขับออกไปไกลแล้ว…

“พี่ใหญ่ เถ้าแก่ซูคนนี้มองพี่ด้วยสายตาที่แปลกไปนะ มีอะไรรึเปล่า? ”

หลังจากขึ้นรถแล้ว เฉินเทียนเจียวก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น

สือจื่อจิ้นไตร่ตรอง “อาจเป็นเพราะผลข้างเคียงจากพลังของฉันทําให้เธอรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง”

เฉินเทียนเจียวสบตากับตั่งซิ่งเหยียนด้วยความตกใจ

ตั่งซิ่งเหยียนถามขึ้น “เธอสัมผัสได้ถึงพลังระบบจิตวิญญาณรึเปล่า ไม่งั้นไม่มีทางที่เธอจะระแคะระคายได้ เพราะถ้าคุณไม่บอก พวกเราก็ไม่สังเกตด้วยซ้ำ”

สือจื่อจิ้นส่ายหน้า “ฉันเคยใช้ดวงตาสอดแนมดูเธอแล้ว เธอไม่รู้เรื่องพลัง อาจจะเป็นพรสวรรค์ในการรับรู้มั้ง ฉันเองก็ไม่แน่ใจ”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *