ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก 89 พวกเราย้ายบ้านกันเถอะ ย้ายไปเถาหยาง

Now you are reading ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก Chapter 89 พวกเราย้ายบ้านกันเถอะ ย้ายไปเถาหยาง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 89 พวกเราย้ายบ้านกันเถอะ ย้ายไปเถาหยาง

ตอนที่ 89 พวกเราย้ายบ้านกันเถอะ ย้ายไปเถาหยาง

อู๋เจิ้นตกตะลึงอยู่นานเมื่อเห็นภาพบนเครื่องมือสื่อสาร

เขาเข้าใจดีกว่าใครว่าหากปราศจากความช่วยเหลือของพลังเวทพฤกษา ก็เป็นเรื่องยากมากที่การปลูกพืชแบบไร้ดินหรือพืชไฮโดรโปนิกส์จะเติบโตได้ดี

ก่อนอื่นต้องมีคนดูตลอดเวลา จําเป็นต้องสร้างสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิที่เหมาะสมสําหรับพืช และต้องให้น้ำเพียงพอ…

เพราะอุณหภูมิที่สูงขึ้นและการขาดแคลนน้ำทําให้ฐานส่วนใหญ่ล้มเลิกที่จะปลูกพืชด้วยวิธีนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เถาหยางเล็ก ๆ ที่ไม่มีรากฐานจะยืนหยัดในการทําแบบนี้ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าวได้

สิ่งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเถาหยางให้ความสําคัญกับการปลูกพืช

ไม่เหมือนโส่วอัน….

อู๋เจิ้นมองไปที่ระเบียงของเขาซึ่งเต็มไปด้วยมะเขือเทศสีแดง สตรอว์เบอร์รีรสหวาน และแตงกวาอีกครั้ง

หากไม่ใช่เพราะพื้นที่จำกัดของระเบียง บวกกับพลังงานและพลังความสามารถที่ใช้ทุกวันเพื่อดูแลสวนที่ไร้ประโยชน์นั่น เขาก็อยากปลูกแตงโม และไม้ผลด้วย

ตนเองก็ต้องการสร้างอาณาจักรสีเขียวด้วยมือของตัวเองเหมือนกัน…

ในเวลานี้ผู้อาวุโสเหม่ยก็ส่งข้อความไปอีกว่า

‘เสี่ยวเจิ้น อย่ามองว่าตอนนี้เรือนกระจกของเถาหยางเล็ก เรามีแผนจะขยายให้พื้นที่ใหญ่ขึ้นเพื่อเป็นพื้นที่เพาะปลูก คราวนี้การเลี้ยงดูคนนับหมื่นก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว’

จากนั้นก็ส่งแบบแปลนและการออกแบบไร่มาให้อีก

แผนที่จะสร้างนี้ได้สร้างความตกตะลึงให้อู๋เจิ้นเป็นอย่างมาก อ้างอิงตามแผนนี้ ไร่ของเถาหยางจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการผลิตและการดำรงชีวิตครบชุด แม้กระทั่งโรงงานแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โรงงานซ่อมแซมเครื่องจักรการเกษตร และอื่น ๆ เทียบเท่ากับฐานการเกษตรเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ก่อนวันสิ้นโลก

เขาส่ายหน้าและตอบกลับไป

‘ลุงเหม่ย นี่ไม่น่าจะเป็นไปได้นะ นี่พวกคุณเพ้อฝันเกินไปรึเปล่า หากสร้างไร่ใหญ่ขนาดนี้ต้องมีน้ำ ไฟฟ้า กําลังคน และเงินทุนที่เยอะจนยากจะจินตนาการ แม้กระทั่งก่อนวันสิ้นโลกก็ยากที่จะสร้าง’

ผู้อาวุโสเหม่ยตอบเพียงว่า ‘อาจจะนะ’

ไม่สามารถตอบได้ชัดเจน….

ซูเถาก็พูดเรื่องนี้กับเขาเหมือนกัน

อู๋เจิ้นคอแห้งเล็กน้อย จึงมองไปที่ทางภรรยาที่กำลังโกรธตอนสอนการบ้านลูกชาย เขากลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ และพิมพ์ถามไปบรรทัดหนึ่ง

‘ตงหยางกับเถาหยางมีโรงเรียนไหม?’

‘ตงหยางมี แต่ไม่ใช่โรงเรียนที่เคร่งวัฒนธรรม มีลักษณะเหมือนการฝึกทหาร ตอนเช้ามีเรียน ตอนบ่ายมีฝึก เถาหยางก็มีแผนจะสร้างโรงเรียนวัฒนธรรม แต่คิดว่าต้องใช้เวลาเตรียมตัวนานพอสมควร’ ผู้อาวุโสเหม่ยตอบ

ตอนนี้อู๋เจิ้นไม่มีอะไรจะพูดอีก

ในแง่ความสําคัญของการศึกษา ตงหยางและเถาหยางได้พัฒนาไปไกลกว่าโส่วอันแล้ว

ก่อนหน้านี้ฐานโส่วอันยังมีซากปรักหักพังของโรงเรียน ผลสุดท้ายคือถูกพวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดนนอกรีตรื้อถอนออกไป แล้วกลายเป็นโรงงานแปรรูปอาวุธ

หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่สนใจความจริงที่ว่าเด็กหลายคนที่เกิดในยุควันสิ้นโลกล้วนจะไม่รู้หนังสือ มีแต่พวกกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่ร่ำรวยและมีอํานาจจ้างครูจากภายนอกให้มาสอนตัวเองตัวต่อตัว

คนธรรมดาเหล่านี้ถ้าพวกเขาต้องการให้ลูก ๆ รู้หนังสือ พวกเขาทั้งต้องทํางาน พร้อมทั้งอุทิศเวลาและแรงกายแรงใจให้กับการสอนเด็ก ๆ

ไม่มีแบบเรียนที่เหมาะสม ไม่มีการสอนอย่างเป็นระบบ แม้แต่อุปกรณ์การเรียนและอุปกรณ์การสอนก็ยังขาดแคลน นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ภรรยาเขาทรุดตัวที่บ้านบ่อย ๆ

นี่เป็นครั้งแรกที่อู๋เจิ้นรู้สึกว่าการใช้ชีวิตในโส่วอันนั้น ไม่ได้ดีอย่างที่เขาคิด

ในตอนนี้ขณะที่ภรรยาของเขาสอนลูกชายอยู่และกำลังโมโหมากขึ้น เมื่อเห็นเขา เธอก็ยิ่งโกรธ

“นั่นก็ลูกคุณเหมือนกันนะ ไม่ใช่แค่ลูกฉันคนเดียว ปีนี้อายุตั้งแปดขวบแล้ว แต่เขาเขียนชื่อตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ ฉันสอนบวกลบเลขหนึ่งถึงสิบมาครึ่งปีแล้ว ยังทำไม่ถูกเลย ฉันแทบจะบ้าจริง ๆ แล้วนะ”

“อู๋เจิ้น คุณไม่รีบร้อนเหรอ? ก่อนวันสิ้นโลกครอบครัวของเราเต็มไปด้วยนักเรียนที่เก่ง ๆ พ่อของคุณเป็นถึงอาจารย์ที่มหาวิทยาลัย แต่หลานชายกลับไม่รู้หนังสือเลย!”

ภรรยาของเขาทรุดตัวลงบนโซฟา ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีเสียงสำลักดังขึ้นมา

อู๋เจิ้นไม่ชอบที่จะฟังมันเอามาก ๆ จากนั้นก็มองไปที่ข้อความสนทนาของลุงเหม่ย หายใจเข้าลึก ๆ และพูดว่า

“ที่รัก เราย้ายบ้านกันไหม ย้ายไปอยู่เถาหยาง”

……

จุดแวะที่ขบวนหยุดพักรถนั้นมีชีวิตชีวากว่าที่ซูเถาจินตนาการไว้มาก ทีมขนส่ง กองคาราวาน และบุคลากรทางทหารจากฐานทัพหลักจะพักที่นี่เพื่อรับเสบียง

ที่นี่มีแม้กระทั่งที่พักขนาดเล็กที่ดูเรียบง่าย ทางขวายังมีปั๊มน้ำมันขนาดเล็กที่ทรุดโทรม มีผู้คนทุกประเภทตั้งแผงขายของอยู่ข้างถนน จุดแวะพักเต็มไปด้วยผู้คนที่สัญจรไปมา เสียงดังเซ็งแซ่

ทันทีที่ซูเถาและคนอื่น ๆ ออกจากค่ายของขบวนรถตัวเอง พวกเขาก็ถูกกลุ่มเรียกแขกจับจ้องด้วยสายตาที่แหลมคม

“ที่พักสำหรับสามคนไหม? ในที่พักเรามีบริการเครื่องทำน้ำร้อนและอาหาร มีห้องน้ำส่วนตัว ทั้งสามคนเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ทําไมไม่มาที่ที่พักของเราสักหนึ่งคืนล่ะ อาบน้ำร้อนที่สะดวกสบาย สั่งอาหารกิน พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้วันรุ่งขึ้นจะได้เดินทางต่อ”

ซูเถาถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “คืนละเท่าไหร่ รวมน้ำรวมอาหารด้วยหรือเปล่า?”

ชายคนนั้นเห็นว่าพวกเขาแต่งตัวเรียบร้อยและสะอาด หน้าก็ไม่เหลืองซูบซีด ในใจคิดว่าคงมีเงินไม่น้อย ดวงตากลอกกลิ้งไปมาและคลี่ยิ้มสุภาพ

“แปดพันเหลียนปังต่อคืน ส่วนน้ำ คุณก็รู้ใช่ไหมว่าช่วงนี้น้ำการขาดแคลนหนักมาก ต้นทุนค่าใช้จ่ายเราก็สูงตามเช่นกัน ราคาหมื่นสองพันเหลียนปังต่อห้าร้อยมิลลิลิตร…”

ซูเถาอ้าปากค้าง ในใจก็อยากจะแย่งเงินนั้นมา แต่เมื่อคิดแล้ว คนเดินทางไกลก็ไม่มีที่พัก คนที่ต้องการน้ำและอาหารจริง ๆ ก็คงจะต้องกัดฟันซื้อ

กวานจือหนิงถอดแว่นกันแดดและหมวกทหารออกด้วยสีหน้าเย็นชา

“หม่าต้าเพ่า ดูหน่อยไหมว่าฉันเป็นใคร? คิดจะมารังแกคนของฉันเหรอ?”

เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่าย คนคนนั้นก็ตกใจจนผงะถอยหลังไป ผ่านไปนานกว่าจะพูดออกมาพลางเกาหัว

“พี่กวาน ก็คุณน่ะ ผมจำไม่ได้เลย คุณทั้งสอง ผมผิดไปแล้ว ผมไปก่อนนะ”

พูดจบเท้าเขาก็ก้าวไปอย่างรวดเร็วราวกับลื่นน้ำมัน

ซูเถามองไปที่กวานจือหนิงอย่างสงสัย “เธอสนิทกับคนที่นี่เหรอ?”

กวานจือหนิงพยักหน้า “สนิท ทุกครั้งที่ออกมาปฏิบัติภารกิจกับพลตรีสือต้องผ่านที่นี่ จุดแวะพักนี้เป็นจุดแวะพักเพียงแห่งเดียวในรัศมีห้าสิบกิโลเมตร เกือบทุกทีมต้องมาหยุดรถที่นี่ พอเวลาผ่านไปก็ทำให้ได้รู้จักคนที่นี่”

“เมื่อกี้หม่าต้าเพ่าคนนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในการชักชวนลูกค้า คุ้นเคยกับการปฏิบัติกับคนอื่นแบบไม่เท่าเทียม ยิ่งเขาโกงเรามากเท่าไร ค่าคอมมิชชันของเขาก็จะสูงขึ้นเท่านั้น เขาเคยถูกฉันสั่งสอนไปแล้วครั้งหนึ่ง พอเห็นว่าเรามาจากตงหยางก็จะใช้วิธีนี้อีก”

“แล้วราคาที่สมเหตุสมผลคือเท่าไหร่” ซูเถาอย่างสงสัย

“ก็ไม่ได้ถูกนัก เมื่อก่อนที่ฉันมาอยู่ คืนหนึ่งก็ประมาณสามพันกว่าเหลียนปัง ตอนนั้นไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ขาดแคลนน้ำ น้ำหนึ่งขวดห้าร้อยมิลลิลิตร ราคาประมาณแปดร้อยเหลียนปัง ตอนนี้น่าจะแพงกว่าสิบเท่า”

ซูเถานึกถึงน้ำที่วางอยู่ในห้วงมิติของหลินฟางจือ เมื่อคำนวณดูคร่าว ๆ ก็น่าจะขายได้ในราคาหลายล้านเหลียนปัง

เงินฝากของเธอมีเพียงครึ่งล้านเหลียนปังเท่านั้น

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ซูเถามองก็ไปที่กวานจือหนิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง และถามอย่างคาดหวัง

“พี่กวาน ฉันสามารถจะตั้งแผงขายน้ำและเชื้อเพลิงที่นี่ได้ไหม ขายไม่เยอะ หารายได้ได้เล็กน้อยฉันก็พอใจแล้ว”

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *