Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1119

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 1119 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 1119 สุดขีด

บรรยากาศภายในงานคอนเสริตของซูจิ้งนั้นในตอนนี้ร้อนแรงแบบสุด แม้แต่ช่องสตรีมเองก็มีข้อความแสดงความตื่นเต้นบินว่อนออกมาแบบสุดขีดจนลานตา
ซูจิ้งที่นั่งอยู่ตรงกลางเวทีในชุดจีนโบราณนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของเขานั้นราวกับชายหนุ่มที่สุขุมลุ่มลึกจากยุคโบราณกาลเลยก็ว่าได้ เขาในตอนนี้ช่างดูงามสง่าและองอาจอย่างมาก
ซูจิ้งได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาใช้มือของตัวเองค่อยๆวางไปบนสายสายหนึ่งของกู่จิ้งที่วางอยู่ตรงหน้าก่อนที่จะดีดเสียงออกมาเสียงหนึ่ง มันเป็นเสียงที่กระจ่างใสและคมชัดราวกับว่าซูจิ้งมาดีดอยู่ตรงหน้าของทุกคนอย่างกระชั้นชิด เรียกได้ว่าได้ยินชัดเจนราวกับสุ่มสำเนียงแห่งเวทย์มนต์เลยทีเดียว
แน่นอนว่าทันทีที่เสียงของกู่จิ้งเสียงหนึ่งได้เริ่มขึ้น ผู้คนต่างก็นิ่งเงียบในทันทีทั้งผู้ชมในงานและผู้ชมในช่องสตรีม แม้แต่เสียงหายใจของผู้คนเองก็ราวกับว่าถูกควบคุมไปด้วยเช่นเดียวกัน เพียงเสียงดีดกู่จิ้งเพียงเสียงเดียวนี้ราวกับว่าเป็นเสียงอวยพรจากสรวงสวรรค์เลยก็ว่าได้
เมื่อเสียงทุกอย่างสงบลง ซูจิ้งได้เริ่มเล่นกู่จิ้งของเขาต่อในทันที เสียงทุกเสียงนั้นช่างกระจ่างชัด นิ่มนวล และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สุดแสนจะสูงส่งและห้าวหาญเหมือนกับเสียงระฆังแห่งวัดเล่ยหยินเลยทีเดียว

เสียงกู่จิ้งเหล่านี้ราวกับว่าได้ถูกส่งตรงไปยังจิตใต้สำนึกของผู้คนโดยตรงทีละเล็กทีละน้อยซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้ผู้คนต่างก็ดำดิ่งไปในจิตสำนึกของผู้คนในทันที
ผู้คนที่ได้ยินเองต่างก็รับมันเอาไว้โดยไม่มีความคิดที่ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขานั้นไม่อยากจะพลาดสุ่มเสี่ยงเหล่านี้ไปเลยสักระเบียดนิ้ว
ถึงแม้จะจมดิ่งไปกับจิตใจของตัวเองถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่มีใครเลยที่จะเผลอไผลเรื่องราวที่แย่ๆของตัวเองเลยสักนิด ต้องบอกว่าราวกับว่าความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายค่อยๆถูกชำระล้างออกไปที่ละเล็กทีละน้อย แม้แต่รอยแผลแห่งจิตใจก็ยังต้องขวนขวายรีบหนีไปในทันทีที่ได้ยินเสียงกู่จิ้งเหล่านี้

ในตอนนี้ผู้คนราวกับต้องมนต์แห่งสำเนียง ไม่มีใครคิดจะหลีกหนี ไม่มีใครคิดจะขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย

ท่วงทำนองแห่งกู่จิ้งยังคงบรรเลงต่อไป และค่อยๆซึมลึกเข้าไปเขย่าจิตใจผู้คนทีละเล็กทีละน้อย ผู้คนค่อยจมดิ่งไปกับตัวเองมากขึ้นมากชึ้น ถึงแม้จะมีบางช่วงบางตอนที่กดดันจิตใจราวกับภูเขาที่ทับไว้ แต่ไม่นานภูเขาเหล่านั้นก็ได้จางหายไปพร้อมทั้งจิตใจที่โล่งยิ่งกว่าเดิม
แม้แต่หัวสมองเองก็ราวกับสั่นไหวได้ คลื่นความคิดทั้งหลายหลอมรวมไปกับท่วงทำนอง จิตใต้สำนึกส่วนลึกราวกับถูกเปิดออก ความรู้สึกชั่วร้ายกระจายหายสิ้น
ผู้คนมากมายที่ได้ยินมีไม่น้อยเลยที่จะอดทนไม่ไหวจนร้องไห้ออกมาทั้งผู้ที่อยู่ใจงานและผู้ได้ชมผ่านช่องสตรีม ราวกับว่าพวกเขานั้นได้ชำระล้างจิดใจออกไปจนหมดสิ้น สิ่งไม่ดีทั้งหลายถูกขับไล่ออกไป แม้แต่หัวใจที่เคยหดรีบก็ยังต้องกลับมาพองโตอีกครั้ง และหลังจากเสียงสุดท้ายได้หายไปนาน ผู้คนก็ได้เริ่มรู้สึกตัวพร้อมทั้งเอ่ยปากพูดออกมาว่า
“สุดยอดไปเลย ทั้งที่เป็นเพียงการบรรเลงกู่จิ้งแต่ช่างรู้สึกเท่และนุ่มลึกอย่างบอกไม่ถูก”
“นั่นก็เพราะนี่คือกู่จิ้งที่พี่จิ้งเป็นคนเล่นยังไงล่ะ ช่างน่าตื่นเต้นอะไรอย่านี้”
“ฉันเองก็เคยได้ยินพี่จิ้งเล่นกู่จิ้งผ่านวิดีโอมาแล้วนะ แต่การที่ได้มาฝังสดๆแบบนี้นี่ดีกว่าวิดีโอพวกนั้นมากนัก”

“ไม่ใช่หรอก นี่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฟังพี่จิ้งเล่นกู่จิ้งกับหูตัวเองเท่านั้น ฉันรู้สึกได้เลยว่าฝีมือการเล่นกู่จิ้งของพี่จิ้งนั้นพัฒนาขึ้นจากเดิมอีกแล้วต่างหาก
ไม่อยากจะพูดออกมาเลยนะเพราะกลัวจะหาว่าฉันกล่าวเกินจริง แต่บอกได้เลยว่าเสียงกู่จิ้งที่พี่เขาเล่นในวันนี้มีแต่ทวยเทพที่อยู่บนสวรรค์เท่านั้นที่จะเล่นแบบนี้ได้”

ฉากการเล่นกู่จิ้งของซูจิ้งที่พึ่งจะผ่านหูผ่านตาของทุกคนไปนี้ทำให้เหล่าผู้มีความสัมพันธ์อันดี เพื่อน และแฟนคลับของซูจิ้งต่างก็ประทับใจอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ฉือชิงที่ได้ยินเสียงกู่จิ้งของซูจิ้งมากกว่าใครก็ยังอดที่จะมหัศจรรย์ไม่ได้ในทุกๆครั้งที่ซูจิ้งได้เล่นให้เธอฟัง
“….นี่ฝีมือเล่นกู่จิ้งของเขาพัฒนาขึ้นอีกแล้วแหะ” ที่ด้านหลังนั้น มู่หรงเซียนเอ๋อได้พูดออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย

“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินเขาเล่นกู่จิ้งกับหูแบบนี้ ช่างน่าประทับใจอะไรอย่างนี้” หยินหนิงหนิงพูดออกมาด้วยสายตาที่ดูมีชีวิตชีวาและสุกสกาวราวกับสาดแส่งไปด้วยแสงดาวบนท้องฟ้า
ในวันนี้ ในที่นี้มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่เข้าใจท่วงทำนองดนตรีอย่างแท้จริง และด้วยการที่ทั้งสองนั้นเข้าใจศาสตร์แห่งดนตรีเป็นอย่างดียิ่งทำให้ทั้งสองไม่เข้าใจจริงว่าซูจิ้งนั้นสามารถเล่นดนตรีที่สูงล้ำแบบนี้ได้อย่างไร

“นี่เขามัวแต่วุ่นอยู่กับการพัฒนาธุรกิจของกลุ่มทุนห้วงเวลาจริงๆเหรอเนี่ย ถ้าเขายุ่งจริงแล้วทำไมฝีมือของเขาถึงได้พัฒนาสูงล้ำมากกว่าเดิมอีกละ” นาหลันเฟยที่ดูการสตรีมอยู่เองก็อดที่จะแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้ในทันทีที่เพลงของซูจิ้งจบลง
ถึงแม้เธอเองจะอิจฉาซูจิ้งอยู่บ้างเพราะว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเขาพัฒนาธุรกิจของตัวเองให้พัฒนาขึ้นมากมาย แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะนั่นหมายความว่าเขานั้นจะวุ่นจนไม่น่าจะมีเวลาฝึกปรือฝีมือกู่จิ้งเลยแม้แต่น้อย

แต่ตอนนี้เองที่เธอเริ่มอิจฉาเขามากจริงๆ นั่นก็เพราะเธอเองก็ได้ศึกษาและล่ำเรียนเกี่ยวกับการดนตรีมาตั้งแต่เล็กๆ เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกแขนงการดนตรีเลยก็ว่าได้
แต่ในเมื่อเธอทำถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่สามารถเทียบกับซูจิ้งได้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิควรจะบอกว่าแค่หนึ่งในสิบของเขาเธอเองก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
“นี่สินะสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงเรียกเขาว่าเทพเจ้าที่แท้จริง” ผู้จัดการสาวของน่าหลันเฟยได้พูดออกมาพร้อมความรู้สึกที่ยอมรับ

“สุด…ยอด…” นักร้องหญิงชั้นแนวหน้าที่กำลังโด่งดังคนหนึ่งได้พูดออกมา เธอเองก็ได้ดูการสตรีมครั้งนี้ด้วย ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งคู่แข่งอันดับหนึ่งของเธอแต่เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาไม่ได้
ก่อนหน้านี้เธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหาเรื่องรูปร่าง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธออ้วนมากจนคิดอยากจะฆ่าตัวตายไปซะให้พ้นๆจากความอับอายนี้
แต่เป็นเพราะซูจิ้งได้เสนอวิธีการลดน้ำหนักให้เธอด้วยผงลดน้ำหนัก อีกทั้งเขายังยอมขายชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นดีที่สุดให้ทำให้เธอในตอนนี้กลายเป็นนักร้องชั้นแนวหน้าที่ร้อนแรงเกินกว่าชายใดจะทนได้

เธอนั้นรู้สึกยินดีอย่างมากในตอนที่ซูจิ้งนั้นชวนเธอมาร้องเพลงในค่ำคืนนี้ ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะไม่ได้ไปร่วมงานด้วยตัวเองก็จริงเพราะตัวแทนของซูจิ้งจะพูดเอาไว้ แต่แค่นี้สำหรับเธอนั้นถือได้ว่าสุดยอดอย่างมากแล้ว
ดาราชั้นแนวหน้ามากมายที่ซูจิ้งได้เชิญชวนเอาไว้ต่างก็ได้ดูการสตรีมงานคอนเสริตของซูจิ้ง พวกเขานั้นถูกขอให้ร้องเพลงคนละหนึ่งบทเพลง ถึงแม้ในตอนแรกพวกเขานั้นจะคิดว่าซูจิ้งค่อนข้างจะถือดีไปหน่อยที่กล้าจะเชิญให้พวกเขาไปร้องแต่ไม่ได้เชิญให้เข้าไปร่วมในงานแบบตัวเป็นๆจนไม่อยากจะช่วยแล้วก็ตาม

แต่ในตอนนี้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองได้ช่างได้รับเกียรติอย่างมากจริงๆที่ซูจิ้งยอมให้พวกเขาได้เข้าร่วมร้องเพลงในงานนี้ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นไปบนเวทีก็ตาม
ขณะเดียวกัน เหล่าดารามากมายที่ไม่ได้รับเชิญบ้างก็ออกปากปฎิเสธไปต่างก็ได้รับชมคอนเสริตของซูจิ้งผ่านการสตรีมนี้และต่างก็รู้สึกประทับใจในทุกๆคนไป
พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นจนต้องพิมพ์ความเห็นของตัวเองออกมาในช่องคอมเม็นต์ในช่องสตรีม แต่ก็ยากลำบากนิดหน่อยเพราะพวกเขานั้นแทบจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองให้สวยงามดั่งที่คิดไม่ถูกจริงๆ

“ระดับขั้นของอาจิ้งเพิ่มขึ้นอีกแล้วสินะ” ณ โรงเรียนสอนร้องเพลงทะเลคราม กู่เยว่ กู่หยุน หลี่หยวน และคนอื่นๆต่างก็รวมตัวกันดูการสตรีมในครั้งนี้
ทันทีที่พวกเขาเริ่มได้ยินเสียงกู่จิ้งของซูจิ้งตั้งแต่เสียงแรกนั้น ทุกคนต่งก็รับรู้ได้ถึงความอัศจรรย์ในท่วงทำนองตั้งต้น หลังจากนั่งฟังอยู่นานจนจบ ทุกคนต่างก็ดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองของกู่จิ้งที่ซูจิ้งได้บรรเลงออกมาอย่างดำดิ่ง จนเมื่อจบแล้ว กู่เย่วก็อดไม่ได้ที่จะต้องหายใจออกมาอย่างพ่ายแพ้
“ก่อนหน้านี้ฉันก็นึกอยู่แล้วล่ะว่าอาจิ้งนั้นต้องมีฝีมือการเล่นกู่จิ้งที่ลึกล้ำอยู่แล้ว แต่ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าฝีมือของเขายังพัฒนาขึ้นให้สูงล้ำราวกับว่าเป็นท่วงทำนองแห่งโบราณกาลได้ขนาดนี้”
“ก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆว่าดนตรีนั้นไร้ที่สิ้นสุด ตอนนี้แค่ฟังฉันยังรู้สึกได้เลยว่าเขาได้บรรลุในจุดคอขวดของเขาได้อีกครั้งแล้ว

ตอนนี้ฉันว่าเขานั้นอยู่ในระดับที่ประสาทรับรู้นั้นสามารถได้ยินได้แม้แต่เสียงใบไม้ล่วงหล่นแล้วแน่ๆ จึงเป็นธรรมดาหากเขาสามารถบรรลุประสาทรับรู้ได้ ความสามารถทางดนตรีของเขาก็จะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง” กูเย่วพูดออกมา
“ก้าวหน้าไปอีกขั้นเหรอ” กู่หยุน หลี่หยวน และคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็ทำหน้านิ่งในทันที แต่เดิมนั้นซูจิ้งก็อยู่ในระดับราชันย์ที่ทุกคนอย่างยิ่งกว่าจะบรรลุจนไปถึงได้ แต่หากบอกว่าเขานั้นบรรลุไปอีกขั้นแล้วตอนนี้เขานั้นสมควรจะอยู่ในขั้นไหนกัน
แน่นอนว่ากู่เย่วนั้นไม่ได้เข้าใจผิดไปแม้แต่น้อย ซูจิ้งนั้นในตอนนี้เพิ่งจะเริ่มก้าวเข้าสู่ระดับขั้นในตำนานที่เรียกว่า หัวใจแห่งราชันย์เรียบร้อยแล้ว

แม้แต่เย่หยินจูเองที่ว่าพัฒนาด้านกู่จิ้งเร็วแล้วก็ยังก้าวข้ามชั้นบางๆที่ราวกับกระดาษกั้นนี้ไปไม่ได้เช่นเดียวกัน และเป็นจริงอย่างที่กู่เย่วว่าไว้นั่นก็คือหากไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่เสียงใบไม้ที่หล่นร่วง ก็ไม่มีทางเลยที่จะก้าวเข้าสู่หัวใจแห่งราชันย์นี้ได้

“สวัสดียามเย็นนะทุกคน” หลังจากซูจิ้งเล่นเพลงของตัวเองจบแล้ว เขาได้ยืนขึ้นและกล่าวคำทักทายออกมาอย่างเรียบง่าย
น้ำเสียงของเขานั้นแฝงเอาไว้ด้วยท่วงที่ทำนองอย่างอบอุ่นจนแม้แต่ผู้ชมที่อยู่ห่างไกลก็ยังรู้สึกได้ในทันที
ซูจิ้งได้พูดต่อว่า “คอนเสริตในวันนี้นั้น ฉันจัดขึ้นมาเพื่อต้องการตอบแทนเหล่าผู้มีความสัมพันธ์อันดี เพื่อนๆ และเหล่าแฟนคลับที่แสนน่ารักของฉัน
ตอนแรกฉันเองก็ไม่คิดว่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางด้านการบันเทิงแบบนี้เลยจริงๆแต่ฉันเองก็นึกอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆที่จะใช้ในการตอบแทนทุกคนทีอยู่ที่นี่ได้

ฉันต้องขอขอบคุณจริงๆนะ ที่ทุกคน คอยสนับสนุนฉันมาเป็นอย่างดีและยาวนาน คอยปกป้องและสนับสนุนฉันเรื่อยมา คอยเป็นปากเป็นเสียงแทนฉันในช่วงเวลาที่ฉันนั้นยากที่จะออกมาตอบโต้ สิ่งที่ฉันพอจะตอบแทนทุกคนได้นั้นก็มีเพลงบทเพลงเพียงไม่กี่เพลงของฉันเท่านั้น”
เมื่อพูดจบลง ซูจิ้งก็ได้เริ่มบรรเพลงของตัวเองต่ออีกครั้ง ในครั้งนี้เขาได้บรรบทเพลงเก่าๆอย่าง เพลง รวบรวมจิต,ฟีนิกซ์คู่รัก,ชนะสิบทิศ,ปิติสดุดี,ระบำดวงจันทร์, ห่านป่าร่วงหล่น ,การกลับมา และท่วงทำนองแห่งพระเจ้า
ต่อจากนั้น มู่หรงเซียนเอ๋อ ก็ได้ออกมาบรรเลงเพลงคู่กับซูจิ้งอย่าง หลงลืมบึงน้อยในแอ่งน้ำใหญ่ และณ ชั่วขณะจิต ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นบรรเลงคู่กับหยินหนิงหนิงในเพลง ฝากข้อความถึงเพื่อนเก่า ทำให้บรรยากาศภายในคอนเสริตนี้มีชีวิตชีวาจนยากเกินกว่าจะอธิบายได้
ถึงแม้เหล่าผู้ชมทุกคนจะผ่านงานคอนเสริตมามากมายก็จริง แต่เมื่อเทียบกับงานคอนเสริตของซูจิ้งแล้วแทบจะเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จะให้บอกความรู้สึกออกมาตรงๆก็คงจะพูดได้แค่ว่าอยู่กันคนละระดับชั้นก็เท่านั้นเอง
เหตุผลที่กล่าวมาแบบนี้ก็เพราะว่า คอนเสริตของซูจิ้งนั้นไม่ได้มีเสียงโหวกเหวกโวยวายวี๊ดว้ายกระตู้วู้แบบคอนเสริตทั่วไป โดยหลักแล้วก็มีแต่เสียงกู่จิ้ง เสียงร้องเพลง และเสียงผู้ชมที่เอ่ยปากชมออกมาเบาๆอย่างจริงใจแค่นั้น

ในตอนเริ่มงานคอนเสริตนั้นที่ซูจิ้งได้เล่นกู่จิ้งด้วยตัวเองเพื่อเปิดงานนั้นไม่ใช่เพราะว่าเขานึกอยากจะเล่นเท่านั้น แต่ที่เขาออกมาเล่นเองนั้นเป็นเพราะว่าต้องการชำระล้างจิตใจของผู้คนที่ชมคอนเสริตนี้ ให้ความคิดร้ายๆหายไป และหลงเหลือไว้แต่หัวใจที่สนุกสนานไปกับท่วงทำนองก็เท่านั้น

และในตอนนี้เอง ณ กลางเวที ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “ในคำคืนนี้ นอกจากเซียนเอ๋อและหนิงหนิงของพวกเราแล้ว ในวันนี้มีเพื่อนของพวกเรามากมายที่ยินดีที่จะมาร่วมกันมอบความสนุกให้กับทุกคน เริ่มจากคนแรกที่ฉันได้เชิญมา ก็คือ นาหลันเฟย”
“ห้ะ นาหลานเฟยก็มาที่นี่ด้วยเหรอ” มู่หรงเซียนเอ๋อที่ได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งไปไม่ได้
“แต่ว่าตอนอยู่หลังฉาก พวกเราก็ไม่เห็นเธอเลยนะ” หยินหนิงหนิงพูดออกมา
ทั้งสองหลังจากร้อนเพลงจบแล้วก็ได้เข้าไปนั่งยังที่นั่งของผู้ชมคอนเสริตเรียบร้อยแล้ว
ก่อนการแสดงนั้น ทั้งสองไม่เห็นนาหลันเฟยที่หลังฉากเลยสักนิด จะมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คงเป็นเธอนั้นจะมาช่วยร้องเพลงผ่านทางการสตรีมเท่านั้น
แต่ในตอนนั้นเอง ทุกคนที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีก็ทำได้แต่นิ่งอึ้งไปเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นก็คือ มีแผ่นอะไรบางอย่างต้องอยู่กลางเวที และในตอนนั้นเอง อยู่ๆนาหลันเฟยที่อยู่ในชุดเดรสลายกุหลาบ ก็ค่อยปรากฎอยู่ที่กลางเวที

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด