Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 1093 หน่วยดับเพลิงก็ยัง…

 

“ปีนึง อาจิ้ง นี่เป็นเรื่องตลกระดับประเทศรึไงกัน” หลินฮ่าวถามออกมาด้วยท่าทีฉงนสนเท่ห์แบบสุดๆ ถึงแม้ว่าไฟในตะเกียงนี้จะสุดยอดมากพอที่จะต้านทานวิธีการมากมายจนไม่ได้ดับก็ตาม

แต่ตอนนี้ทั้งเหล่านักผจญเพลิงและนักวิทยาศาสตร์ต่างก็สนใจแล้วนะ ตะเกียงนี่จะทำได้อักสักเท่าไหร่กัน ยิ่งปล่อยไว้นานก็ยิ่งมีโอกาสจะขายหน้านา….แค่วันเดียวนี่ฉันก็ว่านานพอแล้วล่ะ

อีกอย่าง น้ำมันในตะเกียงนั่นก็ช่างน้อยนิดนัก มองยังไงก็ไม่น่าจะพ้นวันเลยนะ แต่ปีนึงนี่ฉันว่าไม่ไหวหรอก

“พี่สาม ตอนพูดลิ้นพี่พันกันใช่รึเปล่าอ่ะ” เสี่ยวรุยเองอดไม่ได้ที่จะถามย้ำออกมาอีกครั้ง

“ไม่ได้พันหรอกน่า ฉันบอกว่าปีนึงจริงๆ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“นี่แฟนของเธอเอาจริงเหรอเนี่ย” แทนที่จะถามซูจิ้ง เฉียนหยินหนิงเลือกที่จะถามฉือชิงแทน

“เขาจริงจังในคำพูดเสมอแหล่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะว่าฉันเองก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตะเกียงนั่นเลยนะ” ฉือชิงพูดออกมาในขณะที่มองไปยังซูจิ้งด้วยรอยยิ้ม

 

จากความเข้าใจของเธอที่มีต่อซูจิ้งนั้น เมื่อเห็นท่าทีของเขาแล้วบอกได้เลยว่าเขานั้นพูดจริงอย่างจริงจังทุกประการ เพียงแต่ว่ามันดูน่าเหลือเชื่อเกินไปก็เท่านั้นเอง

“ถ้าอยู่ได้ถึงปีก็ดีเลยนะสิ ลานกิจกรรมของที่นี่จะได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวระดับโลกได้แน่ๆ” เจียงหวางพูดออกมา

เพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งเองในตอนนี้ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นหันไปคุยกันกินอาหารเที่ยงกันไปจนในที่สุดมื้อเที่ยงเสร็จสิ้นแต่ลานกิจกรรมก็ยังคงมีผู้คนคับคั่งกันอยู่และยังคงพยายามท้าทายดวงไฟในตะเกียงน้อยๆอยู่เนืองๆ

แต่ซูจิ้งนั้นไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่เกิดขึ้นอีกต่อไป ต่อกลับเชิญชวนทุกคนให้ไปยังชายหาดของเมืองฉิงหยุนกันจะสนุกกว่า

ถึงแม้พวกเพื่อนร่วมรุ่นของซูจิ้งจะตัดจากการดับไฟนี้แล้วทั้งๆที่ยังไม่ได้ทำอะไรก็ตาม แต่เขาเองก็ยังอยากเห็นว่าใครมีความสามารถพอที่จะดับไฟในตะเกียงนี้ลงได้เช่นเดียวกัน

แต่ด้วยการที่ครั้งนี้ หัวเรือได้กลายเป็นหน้าที่ของซูจิ้งไปแล้ว พวกเขาจึงเลือกที่จะตามไปแต่โดยดี อีกอย่าง พวกเขาก็ไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหนกว่าจะรู้ผล

 

แต่ในตอนนั้นเอง ในขณะที่ทุกคนกำลังจะลงบันไดเพื่อเตรียมตัวที่จะออกไป ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้เห็นนักผจญเพลิงสามคนได้ขอทางเข้ามา

เมื่อมองไปยังต้นทางที่ทั้งสามเข้ามาก็ได้เห็นรถดับเพลิงจอดอยู่ที่เกือบสุดสายตา โดยทั้งสามเดินมาเพื่อขอให้เปิดทางให้ และเหล่าผู้ชมในงานแถลงก็ได้เปิดทางให้แต่โดยดี และในตอนนั้นเองก็ได้มีนักผจญเพลิงถือสายดับเพลิงเข้ามากลางงาน

“แม่จ้าววววว นักดับเพลิงมาจริงๆด้วย”

“รอเดี๋ยวก่อนได้รึเปล่า ขอแค่ตอนที่นักดับเพลิงดับไฟในตะเกียงนั่นแล้วก็ได้”

“ใช่แล้วล่ะ ฉากนี้ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆหรอกนะ”

เสี่ยวรุย ฉือเล่ย หลินฮ่าว และเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆเองในตอนนี้ต่างก็ยื้อซูจิ้งไว้พร้อมๆกันในทันที เพราะว่าเขาอยากรู้จริงๆว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก่อนที่จะจากไป แม้แต่เหล่าคนที่มาร่วมงานแถลงเองในตอนนี้ก็ดูตื่นเต้นกันไปหมด

 

“น่าสนุกจริงๆ ไหนดูสิว่าแค่ไฟในตะเกียงดวงน้อยๆนี่จะสู้กับน้ำจากสายดับเพลิงได้รึเปล่า”

“นี่มันก็มากเกินไปจริงๆนะเนี่ย พวกเขาใช้สายดับเพลิงตั้งสามสายเลยนะ”

“โฮ่ ฉันก็นึกว่านักผจญเพลิงจะต้องคอยเฝ้าระวังเพื่อเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายซะอีก ไม่คิดเลยว่าจะออกมาร่วมสนุกแบบนี้ได้”

ในตอนนี้เอง นักผจญเพลิงเจ็ดถึงแปดคนในชุดผจญเพลิงเต็มพิกัดได้เดินเข้ามา ตามมาด้วยชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มาในชุดกึ่งเครื่องแบบ เพราะว่าเขานั้นอยากให้คนที่เห็นจดจำเขาได้ว่าเขาคือใคร

เขาได้เดินไปยังพิธีกรสาวก่อนที่จะชกไมค์จากมีเธอพร้อมพูดอธิบายสถานการณ์ออกมา

กลายเป็นว่านักผจญเพลิงชุดนี้ไม่ได้โดดงานมาร่วมสนุกแต่อย่างใด พวกเขานั้นเป็นเจ้าหน้าที่ที่อยู่ในระหว่างการฝึก และพวกเขาในตอนนี้กำลังตระเวนฝึกลงภาคสนามจริงเท่านั้นเอง

แน่นอนว่าเครื่องฉีดน้ำทั้งสามเครื่องนี้เองก็เป็นตัวสำรองที่มีแรงน้ำต่ำและเหมาะสมกับการฝึกซ้อมเท่านั้น และที่มาในวันนี้นั่นก็เพราะพวกเขานั้นเห็นว่านี่เป็นโอกาสอันดีที่จะได้ฝึกซ้อมในสนามจริงๆและได้ฉีดน้ำจริงๆโดยไม่มีคนที่เดือดร้อนอะไรมาก

นั่นก็เพราะว่าหากเป็นฝึกซ้อมปกตินั้น พวกเขาจะไม่มีทางได้รับความรู้สึกจริงๆที่ว่าต้องเจอเพลิงที่ไม่มีทางดับได้แม้แต่น้อย ไหนจะผู้คนที่พลุกพล่านประดุจดั่งเมื่อต้องผจญเพลิงในสถานการณ์จริงแบบนี้ไม่มีอะไรเหมาะสมไปมากกว่าที่นี่อีกแล้ว

 

เมื่อพูดจบ นักผจญเพลิงในชุดเต็มเครื่องแบบก็ได้เคลื่อนไหวในทันที โดยพวกเขาได้เริ่มกระโดดลงมาจากรถ พร้อมทั้งนำม้วนสายฉีดน้ำดับเพลิงออกมาวาง หลังจากนั้นก็ได้ประกอบหัวสายเข้าไปแล้วช่วยกันลากสายดับเพลิงไปยังที่หน้าตะเกียงในทันที ก่อนที่พวกเขาจะลากสายมาไว้เพื่ออีกหน่อยแล้วนำหัวฉีดน้ำดับเพลิงมาวางไว้ในตำแหน่งที่พอเหมาะ ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอยู่ค่อนข้างห่าง แต่แน่นอนว่าเป้าหมายก็คือตะเกียงน้ำมันนั่น

“ขอลองดูหน่อยแล้วกันว่าเจอน้ำแล้วไม่ดับจริงรึเปล่า”

“แรงดันน้ำจากหัวฉีดน้ำดับเพลิงนี่มันแรงมากเลยนะ ถึงแม้ก่อนหน้านี้เทน้ำลงไปหนึ่งถังแล้วยังไม่ดับก็จริง แต่ด้วยแรงดันน้ำขนาดนี้ อย่าว่าแต่ไฟเลย แม้แต่ตะเกียงก็ไม่เหลือแน่ๆ”

 

ทุกคนในตอนนี้ต่างก็พูดคุยเรื่องนี้กันไปทั่ว ในขณะเดียวกัน นักผจญเพลิงในตอนนี้พวกเขาได้ทำการดึงคันโยกที่หัวสายเรียบร้อยแล้ว

น้ำแรงดันสูง ได้ถูกฉีดตรงไปยังไส้ตะเกียงโดยตรง และด้วยการที่พวกเขานั้นได้ยืนอยู่ระยะที่ค่อนข้างห่าง(ตามหลักการฝึกซ้อม) ทำให้ผู้คนโดยรอบสัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่สิต้องบอกว่าโดนฉีดไปด้วยถึงจะถูก

 

ฉากนี้เองก็ทำให้ทุกคนถึงกับตกใจจนเหวอออกมาในทันที แม้แต่ซูจิ้งเองก็ไม่เว้น เขานั้นคิดเพียงว่าจะมีคนมาสาดน้ำใส่ตะเกียงนี่ก็เท่านั้น ไม่คิดว่าพวกนักผจญเพลิงจะบ้าจี้กับเขาไปด้วยขนาดนี้

ถึงแม้ว่าตะเกียงนี้จะค่อนข้างมีความพิเศษในตัวครงที่ก้นของมันนั้นติดหนึบเหนี่ยวแน่นแบบสุดๆก็ตาม

แต่เมื่อต้องเจอกับปืนฉีดน้ำแรงดันสูงขนาดนี้เขาก็หวั่นใจว่าต่อให้หนึบยังไงก็มีแต่พื้นผิวที่มันเกาะด้วยมีหวังต้องโดนดึงหลุดออกไปทั้งยวงแหงๆ

หากว่านำมันในตะเกียงนั้นหกออกไปล่ะก็ต้องกลายเป็นปัญหาแน่ๆ เพราะว่ามันมีโอกาสที่จะโดนไฟจากไส้ตะเกียงและลุกลามแบบไม่มีวันจบสิ้นอย่างแน่นอน

ด้วยการที่น้ำนั้นถูกฉีดด้วยแรงดันสูงทำให้มันท่วมไส้ตะเกียงจนมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากสายน้ำ ขนาดที่ว่าทุกคนนั้นถ่างตามองจนไม่อยากจะกระพริมด้วยซ้ำ แต่ก็ยังไม่ออกว่าไส้ตะเกียงอยู่ตรงไหนกันแน่

“จบแล้วล่ะ ไฟบนตะเกียงน่าจะดับเรียบร้อยแล้ว”

“หืม โดนน้ำพัดขนาดนี้นายเห็นด้วยเหรอว่ามันดับไปแล้วจริงๆ”

“ต่อให้ไม่เห็นแต่มันก็ควรไปอย่างนั้นนี่นา ด้วยน้ำแรงดันสูงขนาดนั้นฉันไม่เชื่อหรอกว่าไฟในตะเกียงน้ำมันนั่นจะลุกต่อไปได้น่ะ”

 

หลังจากฉีดน้ำไปสักพักใหญ่ เมื่อนักผจญเพลิงผู้มีหน้าที่คุมหัวดับเพลิงมั่นใจแล้วว่าไฟดับดีแล้ว เขาก็ได้ดันคันโยกหัวน้ำในทันที

ความจริงแล้วการที่พวกเขาต้องมาที่นี่นั้นค่อนข้างรู้สึกกดดันเลยทีเดียว นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นล้วนแล้วแต่จะอยู่ในขั้นฝึกงานทุกคนไป ถึงจะบอกว่านี่เป็นการฝึกซ้อม

แต่ด้วยการที่พวกเขาต้องมาเล่นใหญ่จัดเต็มเพียงเพื่อดับไฟในตะเกียงแบบนี้ก็ทำให้พวกเขาต่างก็รู้สึกสาบแช่งออกมาไม่ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อน้ำจากหัวฉีดน้ำดับเพลิงค่อยๆอ่อยลงจนหยุดไปนั้น ในตอนนี้ทุกคนสามารถที่จะเห็นได้แล้วว่าไฟของตะเกียงน้ำมันนี้ดับลงแล้วหรือไม่

 

แต่ตามสามัญสำนึกทั่วๆไปแล้ว ไม่ว่าใครที่เห็นต่างก็ต้องคิดว่าไฟจากตะเกียงยังไงก็ดับไปแล้วแน่ๆ

แต่อย่างไม่คาดคิด ถึงแม้ว่าในตอนนี้พวกเขาจะเห็นเพียงสีส้มดวงน้อยๆที่อยู่ในน้ำก็ตาม เพียงไม่นานสีส้มดวงน้อยๆก็ค่อยกลับลุกโชนจนเห็นเป็นเปลวเพลิงอีกครั้ง ทั้งๆที่ยังมีน้ำท่วมไส้ตะเกียงอยู่

“โอ้…มาย…โก๊ชชชชชชช มันต้องไม่ใช่แบบนี้สิ”

“มันต้องพลาดเป้าแน่ๆ ทำไมพวกเขาไม่เข้าไปฉีดใกล้ๆกันล่ะ”

“ทำไมยังไม่ดับอีกล่ะ ไฟผีงั้นเหรอ”

เหนือกว่าผู้ชมเหล่านี้ก็ยังมีนักผจญเพลิงที่ต่างนิ่งอึ้งไปตามๆกัน พร้อมทั้งที่เริ่มรู้สึกว่าความคิดของพวกเขานั้นช่างอ่อนด้อยไปเลยจริงๆ และบทเรียนจากการที่ได้ดูถูกดวงไฟน้อยๆดวงนี้ ได้เป็นบทเรียนสอนใจพวกเขาไปจนวันตาย

ซูจิ้งเองในตอนนี้ที่เห็นก็อดจะใจชื้นขึ้นมาไม่ได้ นั่นก็เพราะไฟตะเกียงนี้นั้นยังคงลุกโชนอยู่เช่นเดิม และที่ดีที่สุดก็คือ น้ำมันในตะเกียงยังคงอยู่เท่าเดิมไม่หายไปไหน

ในขณะที่ทุกคนกำลังอึ้งๆกันนั้น นักผจญเพลิงเองก็ดูเหมือนจะยังไม่ยอมแพ้ พวกเขาได้ลองฉีดน้ำต่ออีกสามสิบวินาที แต่ผลนั้นก็ยังคงเหมือนเดิม จนในที่สุด คนที่มีหน้าที่ถือสายนั้น ก็ได้ทำการวอร์ไปหารถดับเพลิง รายงานสถานการณ์ พร้อมทั้งแจ้งให้เตรียมน้ำยาดับเพลิงอีกสองชุดในทันที

เอาจริงๆพวกเขาเองก็ไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะต้องใช้น้ำยาพิเศษอีกสองชุดนี้มาดับเพลิงจริงๆนอกจากการทดลองฉีดเพราะหมดอายุเลยสักนิด

ไม่นานถังน้ำยาพิเศษก็ได้ถูกติดตั้งไปยังรถดับเพลิง ถังหนึ่งคือโฟมดับเพลิง และอีกถังหนึ่งก็คือผงดับเพลิง

ในการใช้โฟมดับเพลิงนั้นปกติแล้วรถดับเพลิงที่จะฉีดโฟมดับเพลิงนี้จำเป็นต้องติดอุปกรณ์เสริมมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปั๊มน้ำ ถังน้ำ ถังโฟม เครื่องตีโฟม หัวฉีดโฟม และอุปกรณ์อื่นๆอีกมากมาย

 

นอกจากนั้นโฟมนี้สามารถดับเพลิงได้แม้จะเป็นการโรยลงมาจากอากาศก็ตาม

โฟมเหล่านี้จะมีหน้าที่ในการดึงดูดออกซิเจนออกมาจากอากาศและช่วยในการลดอุณหภูมิ นอกจากนั้นยังไร้ควัน จึงเหมาะที่สุดในการดับไฟที่เกิดจากน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ประเภทปิโตรเคมี

และด้วยการที่โฟมนี้สามารถผสมน้ำได้จึงเป็นปกติที่รถดับเพลิงที่อยู่ใจเขตนิคมอุตสาหกรรมนั้นต้องมีทุกคัน

สำหรับผงดับเพลิงนั้น ก็คือผงที่ถูกอัดลงไปในถังพิเศษพร้อมทั้งมีอุปกรณ์จำเพาะในการใช้งาน

ผงดับเพลิงนี้โดยส่วนใหญ่แล้วใช้ในการป้องกันการลุกลามของไฟและใช้ดับไฟในบริเวณที่เข้าไปไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่นท่อลำเลียงสารเคมีที่มีไฟลุกไหม้อยู่ภายในท่อ แน่นอนว่านี่เองก็เป็นอีกหนึ่งสารดับเพลิงที่รถดับเพลิงในเขตโรงงานอุตสาหกรรมต้องมี

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่น้ำยาทั้งสองชนิด ได้ฉีดไปยังเปลวไฟในตะเกียงแล้วก็ตาม แต่ยังไงซะ เปลวไฟน้อยๆก็ยังลุกไหม้ และเผาไหม้ทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อการลุกไหม้ของมันให้มอดไหม้จนหมดอยู่ดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 1018 ดื่มชา

ในขณะที่สมาร์ทโฟนกาลเวลากำลังมียอดขายที่พุ่งสูงทะยานฟ้า ซูจิ้งได้รับโทรศัพท์สายหนึ่งจากเมืองหลวง ที่ปลายสายเป็นเสียงของชายวัยกลางคนที่ค่อนข้างจะสงบ
ที่เขาโทรมานั้นเป็นเพราะต้องการแจ้งสถานการณ์บางอย่างให้ซูจิ้งได้รับทราบเอาไว้ หลังจากนั้นซูจิ้งได้พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหาของสถานการณ์และสั่งให้ชายคนนี้ดำเนินการบางอย่างอยู่สักพัก

หลังจากนั้นเขาได้โทรออกไปอีกหลายสายโดยปลายทางนั้นอยู่ที่เมืองหลวง สายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสายของคนใหญ่คนโตที่หากมีคนทั่วไปได้ยินเพียงน้ำเสียงล่ะก็คนเหล่านั้นอาจจะตกใจจนสลบล้มไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากซูจิ้งพูดคุยกับคนเหล่านี้เสร็จสิ้น หวังซวนจี้ได้โทรหาซูจิ้งโดยพูดว่า “อาจิ้ง ต่อแต่นี้นายต้องวางตัวดีๆหน่อยนะ อีกไม่นานน่าจะมีคนใหญ่คนโตเชิญนายไปดื่มน้ำชาด้วยกัน บอกได้เลยว่าช่วงนี้นายน่าจะต้องวุ่นวายสักหน่อยล่ะนะ”

“ไม่มีปัญหาครับคุณลุง เรื่องนี้แค่นี้ผมจัดการได้” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“หืม แล้วนายจะจัดการยังไงล่ะนั่น อย่าบอกนะว่านายทำอะไรลงไปอีกล่ะเนี่ย ระวังระวังหน่อยนา เรื่องในครั้งนี้สำคัญยิ่งกว่าเรื่องกิจการยาสูบอย่างมาก
บอกได้เลยว่าเครื่องในครั้งนี้ใหญ่หลวงยิ่งนักทั้งเรื่องอวัยวะเทียมและระบบอัจฉริยะ โดยเฉพาะเจ้าระบบอัจฉริยะนั่นถ้าลุงเข้าใจไม่ผิดมันสามารถทำอะไรได้หลายอย่างแม้แต่ทางการทหาร นายคิดว่าภาครัฐจะยอมปล่อยเรื่องนี้ให้รอดพ้นหูรอดพ้นตาไปได้งั้นรึ” หวังซวนจี้พูดออกมาอย่างห่วงใย

“เรื่องนี้ผมรู้ดีครับ แน่นอนว่าตัวผมเองก็เตรียมการไว้ก่อนอยู่แล้ว ลุงหวังไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด
ตอนนี้ผมเองก็ได้ซื้อตั๋วเครื่องบินเพื่อที่จะเตรียมตัวไปยังเหมืองหลวงเป็นการส่วนตัวในวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว”
ซูจิ้งพูดออกมาราวกับไม่ใส่ใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่นัก หากเป็นเมื่อครึ่งปีก่อนเขาเองคงต้องเป็นกังวลอยู่บ้าน แต่ยังไงซะด้วยพลังของเขาในตอนนี้

แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องสนต่อสิ่งไดอีก
นอกจากนี้ยังมีพวกระดับสูงที่คอยช่วยเหลือเขาอย่างเต็มที่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าต่อให้มันดูเป็นเรื่องใหญ่ขนาดไหนแต่กับเขานั้นก็แค่เรื่องที่ทำให้เสียเวลาเท่านั้นเอง
เอาจริงๆต่อให้เขาไม่ไปก็ยังมีวิธีการอื่นในการจัดการได้อยู่แล้ว อย่างเช่นการใช้พลังวิญญาณผนวกกับเหรียญตราเทวฑูต ไหนจะวิชาที่ได้จากตำราวิถีมังกรและพระธาตุนั่นอีก แค่ของเหล่านี้ก็ไม่มีใครบนโลกหล้าเทียบเคียงเขาได้อย่างแน่นอน

ถ้าให้พูดตรงๆล่ะก็หากว่าโลกนี้ไม่มีความอยุติธรรม ความเกลียดชัง การเล่นพักเล่นพวก หรือพวกวายร้ายเหล่านั้น เขาเองก็ไม่ได้อยากจะใช้วิธีการพวกนี้สักเท่าไหร่นัก
ถึงแม้ว่าเรื่องในครั้งนี้อาจต้องมีการทำอะไรเกินเลยไปบ้างเพราะมันเกี่ยวข้องกับตัวเขาโดยตรงแต่หากเลี่ยงได้เขาเองก็อยากจะเลี่ยงอยู่ดี

นั่นก็เพราะว่าเขานั้นอยากจะอัพเกรดสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อความปลอดภัยของโลกใบนี้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่เลือกวิธีการอย่างการล้วงความลับ ขมขู่ หรือแม้แต่สะกดจิตควบคุมผู้คนก็ตาม

เช้าวันถัดมา รถลินคอนยาวพิเศษได้เข้ามาจอดยังสนามบินเมืองจงหยุน ในตอนนั้นซูจิ้งและหวังจ้าวได้ก้าวลงมาจากรถคันดังกล่าว
หวังจ้าวนั้นมาที่นี่เพื่อส่งซูจิ้งเพียงเท่านั้น ถึงแม้จะบอกว่าแค่มาส่งแต่เขาเองก็แสดงท่าทีประหม่าออกมาไม่ได้เช่นเดียวกัน

แต่ความประหม่านี้ก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใดเพราะว่าหากเป็นเรื่องปกติเขานั้นก็ยังพอใช้อำนาจของตัวเองจัดการได้อย่างง่ายดาย แต่เรื่องในครั้งนี้มันใหญ่มากแม้แต่พ่อของเขาก็ยังยื่นมือเข้ามายุ่งไม่ได้

“เฮ้ นายแน่ใจนะว่าไม่อยากให้ฉันไปด้วยจริงๆ” หวังจ้าวถามออกมา
“ให้พี่ไปก็คงแปลกแล้วล่ะ ตอนนี้ที่นี่ต้องการพี่มากกว่าผมนา ตอนนี้สมาร์ทโฟนกาลเวลากำลังอยู่ในจุดรุ่งจนทุกคนอิจฉา หากมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างนี้แล้วตัดสินใจได้ไม่ดีพออาจล้มได้อย่างง่ายดาย
เอาน่า ยังไงซะพี่มีโอกาสอีกหลังครั้งที่จะไปด้วยกันอย่างแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เฮ้อออ ก็ได้ ต่อให้ฉันไปในครั้งนี้ฉันก็ช่วยอะไรนายไม่ได้อยู่ดี ว่าแต่นายแน่ใจแล้วใช่ไมใหมว่าเรื่องในครั้งนี้นายรับมือไหวน่ะ
เอาจริงๆนะหากรัฐบาลอยากได้เทคโนโลยีนี้จริงๆล่ะก็นายก็ให้พวกนั้นไปเถอะ ยังไงซะพวกเรานั้นก็ยังได้เงินจากทางอื่นมากมายอยู่แล้ว” หวังจ้าวพูดออกมา

“เอาจริงๆฉันก็ไม่ว่าหรอกนะหากรัฐบาลจะเอาไปใช้น่ะ ยังไงซะหากเป็นเรื่องนี้ฉันเองก็อยากให้เประเทศจีนเข็งแกร่งอยู่แล้ว เพราะยังไงซะที่นี่ก็ยังประเทศของเรา หากว่ามอบให้แล้วใช้เพื่อการนี้จริงล่ะก็ฉันไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

เพียงชั่วพริบตา สองวันก็ล่วงเลยผ่านไป วันนี้เป็นวันที่ซูจิ้งกลับมาจากเมืองหลวง หวังซวนจี้และหวังจ้าวเองก็ประหลาดใจในทันทีที่ได้ยินเรื่องราวจากซูจิ้ง
รัฐบาลเลือกที่จะเป็นหุ้นส่วนกับซูจิ้ง แถมไม่ใช่การเป็นหุ้นส่วนแต่ในนามแล้วควบคุมทุกสิ่งอย่างแต่เป็นการเป็นหุ้นส่วนอย่างแท้จริง

การที่ซูจิ้งไปในครั้งนี้เอาจริงๆแล้วกลุ่มทุนห้วงเวลาแทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยเลยแม้แต่น้อย รัฐบาลได้เชิญซูจิ้งให้เป็นที่ปรึกษากิติมาศักดิ์ให้กับรัฐบาลในด้านต่างๆ อย่างเช่นด้านการบินและการทหาร
และแน่นอนว่าหากมีการพัฒนาในด้านไหนก็ตามที่ซูจิ้งใช้เทคโนโลยีของตัวเองในการพัฒนา รัฐบาลยินดีที่จะจ่ายเงินเป็นค่าธรรมเนียมพร้อมทั้งออกค่าใช้จ่ายต่างๆที่จำเป็น
เพียงแค่เงินที่ได้จากการเป็นที่ปรึกษาในครั้งนี้สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้ซูจิ้ง และนี่ยังไม่รวมถึงว่าซูจิ้งไม่จำเป็นต้องส่งมอบเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ของเขาให้แต่อย่างใด หากว่าเขานั้นไม่อนุญาต

หวังซวนจี้ หวังจ้าว หวังเจิ้ง และหวังจุ่น ที่ได้ยินเรื่องราวจากปากของซูจิ้งต่างก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
ตอนนี้พวกเขานึกกันไม่ออกเลยจริงๆว่าซูจิ้งนั้นมีอำนาจมากมายขนาดไหนอยู่ในมือแล้ว
แน่นอนว่าเรื่องนี้นอกจากคนสำคัญของตระกูลหวังแล้วยังมีอีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รู้เรื่องนี้ แม้แต่คนในสี่ตระกูลใหญ่เองก็ยังมีคนแค่นับหัวได้เท่านั้นที่รู้เรื่อง
เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องลับสุดยอดของประเทศจริงๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ปัญหาอย่างได้คลี่คลายลงไปโดยปริยาย แต่กลับโลกภายนอกนั้นไม่มีใครเลยที่จะรู้ว่ามีสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นในประเทศมาก่อน

มีบางคนที่รู้เรื่องนี้ในตอนแรกนั่นต่างก็คิดว่าซูจิ้งต้องถูกภาครัฐเชิญไปดื่มชาเพื่อหาโอกาสตัดเนื้อเถือหนังเพื่อให้ส่งมอบทุกอย่างให้
ใครจะไปคิดว่าเรื่องจะกลับกลายเป็นเชิญดื่มชาเพื่อส่งมอบเงืนทองและประเทศให้แบบนี้

เมื่อซูจิ้งกลับไปถึงบ้าน เขาก็กลับเข้าไปคลุกอยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาเพื่อกิจวัตรที่ห่างหายไปนานนั่นก็คือการจัดการขยะของเขา
อย่างแรกที่เขาทำนั้นคือการเข้าไปตรวจสอบขยะฯกองกระดาษที่เสี่ยวไป๋ซ่อมเอาไว้ เขานั้นดึงข้อมูลทุกอย่างออกจากกระดาษจนกระทั่งเขาพบอะไรบางอย่างที่ทำให้ดวงตาของเขาต้องส่องประกาย

เขาคิดอะไรบ้างอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่พบเจอ เขาได้รีบออกไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขาและตรงไปยังห้องวิจัยเครื่องยนต์ที่เขาได้เจอก่อนหน้านี้
เมื่อเข้าไปถึงเขาก็ได้ถามออกมาทันทีว่า “เป็นยังไงบ้าง”
การวิจัยเครื่องยนต์นี้แม้แต่หวังจ้าวเองก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ซูจิ้งมีข้อตกลงกับภาครัฐและการทหารแล้วยิ่งจะให้รู้ไม่ได้เข้าไปใหญ่

เหตุผลนั่นก็คือเขานั้นมีเรื่องอื่นที่สำคัญยิ่งกว่าการเอาเทคโนโลยีของเครื่องยนต์นี้ไปใช้ในการพัฒนาประเทศ แน่นอนว่าเขานั้นต้องการใช้เครื่องยนต์นี้ด้วยตัวเอง
“อย่าเรียกว่าคืบหน้าดีกว่าครับ เรายังไม่ค่อยเข้าใจวิธีการของมันสักเท่าไหร่เลย” เหล่านักวิจัยผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานต่างก็ต้องยอมแพ้และยอมรับความจริงกับซูจิ้ง
พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักวิจัยด้านพลังงานชั้นนำในสายพลังงานเรียกได้ว่าแค่เอ่ยชื่ออย่างน้อยคนในวงการต้องรู้จัก
แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น แต่การวิจัยสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นก็ไม่ได้คืบหน้าไปไหนเลยแม้แต่น้อย
ในตอนแรกที่เห็นหากไม่มีใครมาทดสอบเครื่องยนต์นี้ให้พวกเขาดูล่ะก็ พวกเขานั้นคิดว่ามันเป็นแค่แท่นตีเหล็ก

พวกเขาในตอนนี้รู้เพียงว่าเครื่องยนต์ที่อยู่ตรงหน้าของเขานั้นคือสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำยุคเพียงเท่านั้น
ตอนที่ซูจิ้งชวนเขาให้มาทำงานด้วยนั้น พวกเขาได้ลองเสนอเงินเดือนที่สูงกว่าเดิมสองสามเท่าเพื่อจะเปลี่ยนงานแต่ซูจิ้งกลับตอบตกลงอย่างง่ายดาย
ด้วยเครื่องยนต์ที่อยู่ต่อหน้าของพวกเขานี้ พวกเขารู้สึกละอายจริงๆที่ในตอนนั้นกล้าเรียกเงินเดือนแพงไปขนาดนั้น
“ลองดูนี่หน่อยสิว่าพอจะทำความเข้าใจได้รึเปล่า” ซูจิ้งได้ส่งกระดาษชุดหนึ่งให้นักวิจัย
“นี่…” เหล่านักวิจัยได้เห็นต่างก็ถึงกับชะงักงัน พวกเขาค่อยๆเปิดดูภาพวาดที่ถูกวาดเอาไว้ในกระดาษอย่างช้าๆและละเอียดละออ
เมื่อมาถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็หรี่ตามองและมีสายตาที่เบิกกว้าง หลังจากนั้นก็มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรแต่ก็แสดงความตื่นเต้นออกมาแทบจะพร้อมๆกัน
หนึ่งในนั้นได้หันมาพูดกับซูจิ้งว่า “นี่เครื่องภาพวาดเครื่องยนต์”

“อืม ฉันก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันแต่มันไม่เหมือนกับเครื่องยนต์ตัวนี้น่ะฉันเลยไม่แน่ใจ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ผมบอกได้เลยว่าเทคโนโลยีที่ใช้นั้นโดยพื้นฐานแล้วเป็นเทคโนโลยีเดียวกันอย่างแน่นอน”
“สุดยอด รีบศึกษาภาพวาดนี่เร็ว หัวหน้า ถ้าหัวหน้ามีเจ้านี่ล่ะก็น่าจะรีบเอาออกมานะครับ” ซูจิ้งก็ทำได้เพียงยิ้มรับออกมา เขาเองก็อยากจะบอกออกมาจริงๆว่าถ้ารู้ว่ามีก็คงรีบเอามาให้แล้ว

ในห้วงเวลาฯสุดยอดทหารจ้าวนักรบนั้น หุ่นยนต์เกราะเบาแต่ละรุ่นนั้นมีความเหมาะสมกับเครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะที่แตกต่างกันไป
และแน่นอนว่าเครื่องยนต์ที่มาจากตัวกำเนิดพลังงานระดับต่ำนั้นไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนหุ่นยนต์เกราะเบาได้อย่างแน่นอน ต่อให้เป็นรุ่นที่ต่ำที่สุด พลังงานที่ต้องใช้ในหุ่นยนต์ก็ต้องใช้พลังงานไม่น้อยเลยเช่นเดียวกัน
แต่กับเครื่องยนต์ที่อยู่ตรงหน้าของเขานี้ถือได้ว่าโชคดีอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าเครื่องยนต์ที่เขาได้มานั้นเป็นเครื่องยนต์ที่เรียกได้ว่าธรรมดาสามัญอย่างมากในห้วงเวลาฯนั้น
ดีที่ภาพวาดที่เขาได้มาเองก็มีความคล้ายคลึงกับเครื่องยนต์เช่นนี้ด้วย ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาเองก็คิดว่าต่อให้ได้ภาพวาดเครื่องยนต์มาก็คงจะเปล่าประโยชน์อยู่ดี

“เอาล่ะ ในเมื่อได้ตัวช่วยแล้วผมก็คงต้องให้พวกคุณทำงานหนักกันหน่อยล่ะนะ อ้อ บอกไว้ก่อนนะว่าหากพวกคุณพัฒนาและทำการผลิตเครื่องยนต์นี้จนขายได้ล่ะก็
พวกคุณเองก็จะได้รับเงินส่วนแบ่งด้วยเช่นเดียวกับนักวิจัยในกลุ่มอวัยวะเทียมและระบบปัญญาประดิษฐ์ที่อยู่ห้องข้างๆเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าตอนนี้พวกเขานั้นมีเงินมากจนมีแต่คนอิจฉาไปหมดแล้ว
แต่ผมก็ว่าพวกคุณน่าจะพอได้ยินมาบ้างตอนที่พวกนั้นมาขิงให้พวกคุณฟังแล้วล่ะนะ”ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องห่วงครับหัวหน้า พวกเราจะพยายามให้ดีที่สุดครับ” เหล่าสมาชิกนักวิจัยด้านพลังงานในตอนนี้ต่างก็หึกเหิม ดวงตาเปล่งประกาย และมีท่าทีตื่นเต้นกันไปหมด
ที่พวกเขานั้นมีความรู้สึกแบบนี้แล้วไม่ใช่เป็นเพราะเรื่องเงินแต่อย่างใด พวกเขานั้นล้วนแล้วแต่ภูมิใจที่ตัวเองจะได้มีโอกาสเป็นหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการผลักดันงานวิจัยเทคโนโลยีล้ำยุคที่จะขับเคลื่อนโลกได้แบบนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+