Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 663

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 663 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ซื้อฟาร์มม้า

ซูจิ้งและเฉิงหนานได้พูดคุยเรื่องรายละเอียดในการร่วมงานกัน ซึ่งผลออกมาคือธุรกิจเกือบทั้งหมดของเขาจะให้เฉิงหนานเป็นคนจัดการ

เฉิงหนานพอรู้เข้าถึงกับดีใจจนเนื้อเต้น เพียงเธอพูดออกมาซูจิ้งก็ยอมทำตามที่เธอพูดหมดทุกอย่าง ความเชื่อใจนี้มากกว่าตอนที่เธอทำงานให้ตระกูลหวังอย่างสุดกู่ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดยังไงดี จะบอกว่าซูจิ้งเป็นคนโง่ดีหรือจะบอกว่าซูจิ้งไม่มีศาสตร์ในการทำงานกับคนดี อย่างไรก็ตามตัวนั้นเธอก็มีความตั้งใจอันแรงกล้าอยู่แล้วว่า จะช่วยซูจิ้งในการจัดการงานทุกอย่าง และทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ให้สมกับที่เขาเชื่อใจเธอ

 

มีสิ่งหนึ่งที่เฉิงหนานไม่มีทางรู้ก็คือซูจิ้งนั้นได้ใช้พลังจิตของเขากับเธอเรียบร้อยแล้ว  เขาได้อ่านกระแสความคิดของเธอแล้วตัดสินใจได้ว่าเธอเชื่อถือได้อย่างแน่นอน อีกทั้งในระหว่างที่คุยงานกัน  เขายังแอบสะกดจิตเธอนิดหน่อยเพื่อไม่ให้เธอเปลี่ยนใจทีหลัง หากเธอต้องเจอสภาพงานหนักทั้งหมดที่ต้องเผชิญเมื่อร่วมงานกับเขาแล้ว

ซูจิ้งยังคุยกับหวังจ้าวเพื่อที่จะเลื่อนตำแหน่งให้เฉิงหนาน โดยเขาอยากให้เฉิงหนานเป็นผู้จัดการงานทั่วไปของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ เพราะหวังจ้าวเองนั้นก็มีงานยุ่งวุ่นวายมากจนจัดการได้ไม่เต็มความสามารถ โดยเขาจะให้เฉิงหนานเข้าไปช่วยในการจัดการงานด้านอุตสาหกรรมเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเธอทำได้อย่างดีและมีความสามารถมากพออยู่แล้ว ตอนแรกหวังจ้าวแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก แต่ซูจิ้งก็ยังพยายามเกลี้่ยกล่อมเขาอยู่ดี หวังจ้าวนั้นไม่ค่อยเชื่อใจเฉิงหนานนัก แต่เขาเชื่อใจซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะว่าเขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ อีกทั้งถ้าลองให้ซูจิ้งเชื่อใจเฉิงหนานแล้วก็แสดงว่าเขาต้องมีเหตุผลดีๆ อย่างแน่นอน ต่อให้จัดการไม่ได้พวกเขาก็แค่ดึงตัวเฉิงหนานออกจากงานส่วนนั้นแค่นั้นเอง

ในไม่ช้า เฉิงหนานได้ช่วยซูจิ้งในการจัดการงานต่างๆ ที่ได้รับมาอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบอุตสาหกรรม การกำหนดนโยบายและแนวทางการพัฒนางานในแต่ละด้าน รวมถึงการจัดทำแผนด้านการเงินแบบไม่เป็นทางการให้แก่เขาเพื่อไม่ให้เงินในบัญชีลดลงเกินดุล หลังจากที่เขาเห็นก็ทำได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางนึกในใจว่าในที่สุดเขาก็หามืออาชีพได้ซะที

ในความจริงแล้วเฉิงหนานเองก็ค่อนข้างทึ่งกับการลงทุนของซูจิ้ง นั่นก็เพระว่าทุกอย่างที่ซูจิ้งตัดสินใจลงทุนนั้นล้วนแล้วแต่ให้ผลกำไรทั้งนั้น แต่จะมากหรือน้อยนี่ก็อีกเรื่องนึงเพราะซูจิ้งไม่ถนัดในการจัดการด้านธุรกิจ ถ้าหากมีการจัดการที่ดีพอละก็ ธุรกิจของเขายังสามารถพัฒนาต่อยอดเติบโตได้มากกว่าเดิม และยังสร้างโอกาสทางธุรกิจที่คุ้มค่าต่อการลองสำรวจหาโอกาสดังกล่าวอย่างแน่นอน

 

ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เกิดขึ้นได้ทำให้ทั้งสองทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข

กว่าซูจิ้งจะได้กลับบ้านหลังเสร็จงานก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อเขาเดินเข้าไปที่สวน เขาก็พบว่ามีคนอยู่ในสวนของเขาแล้วนั่นก็คือ ฉือชิง หยางเว่ย ลู่ชิงหยา และหลิวฉิง เขาก็พอเข้าใจได้ว่าลู่ชิงหยากับหยางเว่ยมาได้ยังไง เป็นเพราะว่าวันนี้ทั้งสองไปช่วยงานในวันเปิดร้านของฉือชิงจะชวนมาบ้านซึ่งก็ไม่แปลก แต่หลิวฉิงนี่สิมาทำอะไร

 

ทุกคนต่างตกตะลึงกับความสวยงานในสวนของซูจิ้ง ลู่ชิงหยาถึงกับอยากจะกรี๊ดซ้ำๆ ออกมาเลยด้วยซ้ำเมื่อเธอเห็นความสวยงามของสวนสวรรค์แห่งนี้ ด้วยการที่ไม่กี่วันก่อนซูจิ้งได้ฝึกพลังภายในของเขา เขาได้ลองใช้มันกับต้นไม้ในสวนของตัวเองเพื่อฝึกฝนจนทำให้เกิดสวนสวรรค์แห่งนี้ขึ้น พวกมันดูเหมือนงานศิลป์มากกว่าสวนต้นไม้จนทำให้ลู่ชิงหยาที่เรียนในด้านการตกแต่งสวนยังหลงใหล หลงใหลมาจนถึงกับต้องถ่ายรูปไปอวดอาจารย์ของเธอดู เมื่ออาจารย์ของเธอเห็นก็ไม่ได้บอกว่ามันดูดีหรือแย่ บอกแค่ว่าจะรีบบินมาทันทีที่มีโอกาส

สิ่งที่ทำให้ลู่ชิงหยาฉงนมากที่สุดก็คือเธอเองก็ได้มาที่นี่บ่อยๆ ในตอนนั้นทั้งต้นหลิว ต้นมอลเบอร์รี่ ต้นไผ่ ฯลฯ ต้นไม้พวกนี้ตอนที่เธอเคยเห็นพวกมันไม่ได้ดูดีขนาดนี้ พวกมันเติบโตได้อย่างสมบูรณ์มากกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นอย่างผิดตา ไม่ใช่แค่ดูสมบูรณ์แต่รูปทรงต่างๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอพยายามถามฉือชิงดูแล้วว่าทำได้ยังไง แต่ฉือชิงก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกันเพราะคนดูแลสวนนี้คือซูจิ้ง

 

“อาจิ้ง ในที่สุดนายก็มาซักที ฉันเอือมกับการตอบคำถามชิงหยาแล้วอ่ะ ถ้านายไม่กลับมาหล่ะกันฉันต้องแย่แน่ๆ” ทันทีที่ฉือชิงเห็นซูจิ้ง เธอรีบเข้ามาอ้อนทันทีพร้อมรอยยิ้มเหนื่อยอ่อนจากบาดแผล(คำถามมากมาย)ที่ลู่ชิงหยาได้สร้างไว้กับเธอ

 

“มาซักที ฉันมองหานายที่ร้านทั้งวันเลยนะ ฉันอยากจะถามอะไรนายซักหน่อยน่ะ” ลู่ชิงหยาหัวเราะจนตัวสั่นเล็กน้อยหลังจากเห็นฉือชิงที่ได้ยินเสียงเธอจากด้านหลังแล้วรีบไปหลบหลังซูจิ้ง พอเธอหยุดหัวเราะก็ได้ยิงคำถามออกมาทันที

 

“ซูจิ้ง นายทำยังไงต้นไม้ในสวนถึงได้เปลี่ยนไปจนดูดีขนาดนี้”

“นิสัยของผู้หญิงเองยังเปลี่ยนไปได้ตั้ง 18 ครั้งเลย(สุภาษิตจีน) ทำไมต้นไม้จะเปลี่ยนไปบ้างไม่ได้หล่ะ” ซูจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

 

“ฉันถามจริงๆ นะ นายช่วยสอนเราสองคนจัดสวนได้รึเปล่า” ลู่ชิงหยาออกมาด้วยท่าทางออดอ้อนน่ารักน่าเอ็นดู

 

“ฉันก็ขอตอบจริงๆ เหมือนกันนะว่าฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ฉันแค่ดูแลพวกมันอย่างดีแค่นั้นเอง การที่พวกมันดูดีขนาดนี้ได้ยังไงนี่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรพวกมันนอกจากดูแลปกติเลยนะ” ซูจิ้งพูดพลางยักไหล่

 

เขาไม่ได้บอกความจริงให้ลู่ชิงหยาฟังก็เพราะว่าไม่มีทางที่เขาจะสอนเธอในการเรียนรู้เวทมนต์สัมผัสของใบไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิได้แน่นอนอยู่แล้ว

 

“ฉันก็คิดไว้แล้วเชียว” ลู่ชิงหยาคิดว่าอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เธอคิดว่าสิ่งที่พิเศษที่ทำให้ต้นไม้เปลี่ยนแปลงไปก็คือสภาพแวดล้อมมากกว่า ด้วยสภาพที่เหมือนสวนสวรรค์ในบริเวณนี้ทำให้ต้นไม้โตขึ้นอย่างสมบูรณ์และสวยงามอย่างมาก มันต้องเป็นเรื่องของฮวงจุ้ยอย่างแน่นอน เธอทำได้เพียงแค่อิจฉาซูจิ้งและฉือชิง ถ้าเธอได้อยู่ในสวนแห่งนี้ต้องมีความสุขมากแน่ๆ ถ้าเธอไม่กลัวว่าจะเป็นเข้าไปวุ่นวายในโลกแห่งความรักของทั้งสองคนล่ะก็ เธอคงย้ายมาอยู่สักวันสองวันเรียบร้อยแล้ว

 

“ฉันอิจฉานายจริงๆ ฉันอยากให้สวนของฉันสวยอย่างนี้บ้างจัง” หยางเว่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา

 

“ลูกพี่จิ้งครับ ทำยังไงผมถึงจะเปลี่ยนสวนที่บ้านให้กลายเป็นอย่างนี้ได้บ้าง ผมเองก็ลองพยายามเลียนแบบดูแล้วนะแต่ก็ยังไม่เหมือนกันเลย ” หลิวฉิงแสดงสีหน้าสลดออกมา เขานั้นได้มีโอกาสมีบ้านของตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความประทับใจในตัวซูจิ้ง เขาจึงได้เลียนแบบการตกแต่งบ้านและสวนตามบ้านหลังนี้ ถึงจะดูเหมือนกันแค่ไหนแต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอยู่ดี

 

“มันก็ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยแต่ละคนมากกว่าอ่ะนะว่าจะแต่งบ้านและสวนยังให้กลายเป็นสวนสวรรค์ของเจ้าของบ้าน ว่าแต่…นายมาที่นี่เพราะเรื่องการแต่งสวนเนี่ยนะ” ซูจิ้งถามด้วยรอยยิ้ม

 

“เปล่าหรอก วันนี้มาเรื่องม้าแข่งน่ะ ผมขอถามหน่อยว่า ม้าแข่งของฉินซูหลานนี่ใช่ของลูกพี่รึเปล่า” หลิวฉิงถามออกมา

 

“ใช่แล้วหล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ

 

“ว่าแล้วเชียว” หลิวฉิงแสดงท่าทางดีใจที่เดาถูกออกมา ก่อนจะทำหน้าตาที่ดูดีขึ้นมาหน่อยพร้อมพูดว่า “พี่จิ้ง พี่ทำฉันหมดตัวเลยนะ ถ้าฉันรู้ว่าม้าของเขาเป็นม้าที่พี่ให้ไปหล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันพนันม้ารอบนั้นไปที่ตัวอื่นแน่นอนเลย ฉันจะทุ่มลงไปที่ม้าของพี่แบบหมดหน้าตักด้วยซ้ำ ว่าแต่ทำไมพี่ถึงใจดีให้ม้าหมอนั่นไปได้หล่ะ”

 

“ฉันก็แค่ให้เขาเป็นคนจัดการเฉยๆ น่ะ แล้วเขาก็ดันเป็นคนหาม้าแข่งเท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

 

“คราวหน้าถ้าพี่ต้องการหาคนดูแลเรื่องม้าแข่งละก็ให้ผมทำดีกว่า ผมมีความรู้เรื่องม้าแข่งมากกว่าเขาเป็นร้อยเท่าเลยนะ แล้วก็ผมได้ยินมาว่าพี่อยากจะซื้อฟาร์มม้าใช่รึเปล่า พอดีผมรู้จักคนที่อยากจะขายฟาร์มม้าอยู่ ฉินซูหลานไม่รอบรู้เท่าผมแน่นอน เขาไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้หรอก” หลิวฉิงเอามือทุบไปที่หน้าอกตัวเองอย่างมั่นใจพร้อมพูดต่อว่า

 

“เรื่องที่พูดไปก่อนหน้านี้อาจจะเกินจริงไปหน่อย เอาเป็นว่าผมเองนั้นก็รู้เรื่องม้าแข่งไม่น้อยกว่าหลินซูหลานอย่างแน่นอน” อีกความหมายนึงก็พอจะพูดได้ว่าเขาและฉินซูหลานนั้นมีความชอบคล้ายกัน ทั้งเรื่องแข่งรถ แข่งสัตว์ ว่าง่ายๆ ก็คือเกมการพนันทั้งหลายแหล่ ถ้าพวกเขาไม่เคยสาบานว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตเรื่องนี้กันละก็ บอกได้เลยว่าต้องเป็นคู่หูขั้นซี้ปึ้กอย่างไม่ต้องสงสัย

 

“จริงรึ ว่าแต่ฟาร์มม้าที่ว่ามันอยู่ไกลจากที่นี่แค่ไหนหล่ะ” ซูจิ้งพูดพร้อมสายตาที่ส่องประกาย

 

“ไม่ไกลนะ ประมาณไม่เกิน 100 กม. จากที่นี่ ที่นั่นก็มีม้าแข่งอยู่แล้วประมาณ 60 – 70 ตัวได้ และพวกเขาก็เลี้ยงพวกมันเป็นอย่างดีด้วย พวกเขาฝึกไว้ใช้สำหรับเป็นม้าฝึกซ้อมให้คนขี่ม้า แต่ว่าพอทำอย่างนั้นแล้วไม่ค่อยทำเงินเท่าไหร่เลยอยากขายต่อ” หลิงฉิงตอบ

 

“นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลย ขอบคุณที่มาบอกฉันนะ” ซูจิ้งกล่าวขอบคุณอย่างหมดใจ

 

“ฮ่า ฮ่า มันเป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว ว่าแต่พี่ยังอยากได้ตัวแทนเรื่องม้าแข่งอยู่อีกรึเปล่า ถ้าพี่อยากได้อย่าไปให้ฉินซูหลานเลยนะ ผมขอเป็นคนทำเอง” หลิวฉิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นที่จะพูดเรื่องนี้ออกมาหลังจากเห็นท่าทางยินดีของซูจิ้งก่อนหน้านี้ พร้อมสำทับตัวเองว่าเรื่องนี้เขาทำได้ดีกว่าฉินซูหลานแน่นอน

 

“ฮ่า ฮ่า ถ้านายอยากเป็นตัวแทนของฉันจริงล่ะก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะให้ม้าวิเศษกับนายไปเลย” ซูจิ้งตอบออกมา

 

“จริงหรอ” ตอนนี้ตาของหลิวฉิงร้อนแรงประดุจดั่งจะฉายแสงออกมาได้ เขารีบพูดต่อทันที “ถ้าเป็นไปได้ผมขอตัวที่ไม่แพ้ตัวที่ฉินซูหลานได้ไปนะ”

 

“อย่าว่าแต่จะไม่แพ้เลย ตัวที่จะให้นายยังดีกว่าด้วยซ้ำ มันคือม้าแข่งอย่างแท้จริง ฉันสามารถฝึกใหม่ให้เป็นม้าแข่งสำหรับนายโดยเฉพาะเลยด้วยซ้ำ” ซูจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เหตุผลที่เขาอยากซื้อฟาร์มม้านั้นก็ง่ายๆ นั่นคือเขาต้องการใช้ชิ้นส่วนจากมังกรทั้งหลายที่เขาได้มาที่ทิ้งขยะจากห้วงเวลาฯ ในการสร้างม้าพันธุ์ชั้นเลิศออกมา ส่วนจะเพื่อใช้ในการแข่งหรือขายค่อยว่ากันอีกที เพราะปล่อยชิ้นส่วนพวกนั้นไว้เฉยๆ ก็เปล่าประโยชน์

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด