Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 926

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 926 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 926 สุริยะบัพพา

 

หลังจากซูจิ้งได้ทำการตรวจสอบร่างกายของเจ้าหนูผู้หิวโหยด้วยกระแสจิตจนพบว่ามีแมลงสีขาวเพรียวเกาะอยู่ในช่องปากของหนู เขาก็ได้ใช้การสะกดจิตในทันที ไม่นานนักแมลงตัวนั้นก็ค่อยๆคลานออกมาจากปากของหนูแล้วลงมายืนนิ่งๆอยู่บนพื้น

“นี่?” ซูจิ้งประหลาดใจในทันทีที่เจ้าแมลงตัวหลังจากกินข้าวและข้าวโพดไปขนาดนั้นแต่ก็ยังตัวเท่าเดิม แต่กลับกัน ตัวมันนั้นใสกระจ่างมากขึ้นจนราวกับว่าเป็นก้อนแสงเลยก็ว่าได้จนราวกับว่ามันไม่เหมือนกับแมลงแม้แต่น้อย

ยิ่งไปว่านั้นตัวมันเองยังปล่อยพลังวิญญาณออกมาจนเขาจับได้เลยทีเดียว

“แมลงตัวนี้ ไม่ใช่ว่ามันดูดซับสารอาหารที่ได้จากหนูนี่หรอกนะ นี่คือมันโตขึ้นแล้วใช่รึเปล่า” ในตอนนี้ซูจิ้งเองก็พลางนึกไปถึงแมลงตัวอื่นหรือแม้แต่เจ้างูจิ๋วนั่นที่เทียบความแข็งแกร่งทางจิตกับตัวเขาแล้วช่างอ่อนแอนัก ทำให้เขานั้นสามารถสะกดจิตและยังฝึกได้

แต่กับเจ้าแมลงตัวนี้นั้นต่างกันออกไป ความแข็งแกร่งทางจิตของมันนั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจนทำให้ซูจิ้งเองก็นึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน

 

ซูจิ้งได้ลองให้ข้าวเจ้าหนูที่โดนแมลงนี่เกาะกินอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหนูนั่นก็กินไม่มากเท่าไหร่แล้วมันก็อิ่มจนพุงกาง ไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มสักที

เห็นดังนั้นซูจิ้งก็ได้ลองให้หนูตัวอื่นกินแมลงนี่ดู ทันใดนั้น เจ้าหนูที่กินแมลงตัวนี้เข้าไปก็ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตจอมเขมือบในทันที

เจ้าหนูที่กินเจ้าหนูตัวเพรียวนี่เข้าไปนั้นพวกมันเพียงแค่ยากอาหารเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น และเหมือนจะไม่มีผลกระทบอื่นต่อร่างกายเลยแม้แต่น้อย

เจ้าแมลงนี่สมควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกปรสิต แต่มันไม่เหมือนกับแมลงปรสิตทั่วไปเพราะว่าเจ้าตัวนี้ไม่ทำอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่

เมี่อมันพบว่าสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่กำลังจะขาดอาหาร มันก็จะหยุดดูดซับสารอาหารเพื่อให้สิ่งมีชีวิตที่มันอาศัยอยู่นั้นฟื้นสภาพร่างกายขึ้นมา

เมื่อร่างกายของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่แข็งแรงดี ตัวมันก็จะส่งพลังบางอย่างไปกระตุ้นให้ร่างที่มันอาศัยอยากอาหารขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นมันก็จะปล้นสารอาหารที่ร่างกายที่มันอาศัยมาอย่างง่ายดาย

ตัวมันนั้นเหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไรระบบการเผาผลาญของร่างกายแม้แต่น้อย แต่เพียงแค่เร่งกระบวนการย่อยและดูดซับสารอาหารเท่านั้น นี่เท่ากับว่าพวกมันบังคับให้ร่างที่มันอาศัยอยู่เป็นเครื่องมือที่ใช้หาอาหารให้มัน

 

“เจ้าแมลงตัวนี้น่าสนใจแหะ เสียอย่างเดียวมันไม่น่าใช้ปกป้องใครได้อย่างแน่นอน” ซูจิ้งไม่มีทางเลือกได้แต่โยนเจ้าแมลงตัวนี้เข้ากระเป๋ากักอสูรไป

ตอนนี้เขาตั้งชื่อให้แมลงสองตัวนี้ตามลักษณะและพิษของมัน ตัวหนึ่งเรียกว่ากู่ชิ(แมลงพิษงู/แมลงงู) ส่วนอีกตัวเรียกว่า กู่ดาเว่ย (แมลงพิษพุงโต/แมลงพุงโต)

ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตออกมาเพื่อตรวจสอบหนูทดลองของเขาที่ได้กินแมลงไปก่อนหน้านี้อีกครั้งเพื่อดูว่าจะมีตัวไหนมีอาการผิดปกติอีกรึเปล่า แต่ก็ดูเหมือนว่าแมลงถึงตัวที่ถูกกินไปนั้นจะตายและถูกย่อยไปหมดแล้ว

แบบนี้พอจะตีไปได้แล้วว่าแมลงเหล่านี้เป็นเพียงแมลงธรรมดาเท่านั้น ต่อให้ไม่มีพิษอะไรแต่เขาก็ยังไม่วางใจจึงได้ลองให้แมลงที่เหลือกับหนูที่ยังไม่ได้กลายเป็นตัวทดลองอีกครั้ง

เมื่อมั่นใจได้ว่าเป็นแมลงธรรมดาเขาก็จะนำเข้าระบบกำจัดต่อไป นั่นก็เพราะหากปล่อยทิ้งไว้แล้วเผลอจนพวกมันแพร่กระจายออกไป โลกนี้อาจเกิดวิกฤตสูญพันธุ์ได้อย่างง่ายดายทีเดียว

“อืมมมมม คงต้องให้หลัวฉือหลินและไป๋ฮิตูทำหน้าที่บอดี้การ์ดไปอีกสักพักเลยแหะจนกว่าฉันจะหาวิธีเหมาะๆได้ เดี๋ยวเรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกัน” ซูจิ้งพลางนึกถึงเรื่องนี้ในขณะที่กำลังกำจัดขยะห้วงเวลาฯที่เหือต่อ

 

ขยะห้วงเวลาฯกองกระดาษนั้นส่วนไหนที่ดีๆซูจิ้งก็อ่านไปหมดแล้ว อีกบางส่วนเองเสี่ยวไป๋ก็กำลังซ่อมแซมอยู่

แน่นอนว่าเมื่อเขาได้รู้แล้วว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าในทะเลสาบนางฟ้า กระดาษพวกนี้สำหรับเขาแล้วถือได้ว่ามีค่าอันดับต้นๆเลยทีเดียว มีเพียงขยะกองนี้เท่านั้นที่เขาจะไม่รีบร้อนแต่อย่างใด

ในระหว่างที่รอเสี่ยวไป๋ซ่อมเอกสารต่างๆอยู่นั้น ซูจิ้งได้ตรงไปยังขยะห้วงเวลาฯกองโลหะแล้วเริ่มจัดการพวกมันในทันที ซูจิ้งได้จัดการแยกเอาดาบหักขึ้นสนิมเก็บเอาไว้ก่อน

ดูเหมือนว่าในขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะไม่มีพวกเครื่องรางของขลังที่มีค่าพอที่จะเสียเวลาซ่อมแซมแต่อย่างใด เอาจริงๆต่อให้เจอก็เท่านั้น เพราะเขาเชื่อว่าด้วยพลังของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้น่าจะยังไม่สามารถซ่อมแซมเครื่องของขลังพวกนี้ได้ง่ายๆ

เมื่อซูจิ้งพลางคิดไปอย่างนั้นเขาก็พลันย้อนนึกไปก่อนหน้านี้ที่เขาได้เจอกับพัดที่ดูเข้าท่าเข้าทางอยู่อันหนึ่งเขาจึงลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมดู

หลังจากซ่อมแซมแล้วเจ้าของขลังชิ้นนี้ได้กลายเป็นของธรรมดาไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ ไม่มีความสามารถเสริม เหลือเพียงแค่ลวดลายบนพัดที่คล้ายกับลวดลายบนด้ามของกระจกบรอนซ์ย้อนเวลานั่น

 

สี่งที่ต่างกันอีกอย่างก็คือเรื่องของพลัง พัดนี่ไม่เหมือนกับกระจกที่ก่อนหน้านี้ยังมีพลังงานบางอย่างเหลืออยู่ มันเหมือนกับว่าเจ้าพัดนี่ไม่เพียงแค่เสียหาย แต่มันนั้นสูญเสียพลังของมันไปแล้ว ตัวพลังที่ว่ามานี้อยู่นอกเหนือจากความสามารถสแตนด์ของเสี่ยวไป๋จะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้

หลังจากซูจิ้งได้วุ่นอยู่กับการจัดการขยะห้วงเวลาฯโลหะอยู่พักใหญ่นั้น เขาก็ได้พบดาบที่มีขนาดใหญ่มาก รูปร่างของมันแปลกตา ขนาดของมันใหญ่พอๆกับม้าป่าเลยทีเดียว นอกจากน้ำหนักของมันจะมากแล้ว มันยังขึ้นสนิมและและดูๆไปแล้วก็ไม่น่ามีอาคมอะไรพวกนั้นอยู่ที่ดาบ

ซูจิ้งเองก็เกือบจะโยนดาบนี้ทิ้งไปแล้วเหมือนกัน แต่ในขณะที่โยนนั้น เขาได้เห็นภาษาสันสกฤต​ทั้งหมดเก้าตัวอยู่ที่สันดาบและเปล่งแสงสีขาวอยู่

ซูจิ้งได้มองจ้องไปยังตัวอักษรภาษาสันสกฤตทั้งเก้าคำนิ่งไปสักพัก จนกระทั่งอยู่ๆหนังตาของซูจิ้งก็ได้กระตุกถี่ยิบในทันทีก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า

 

“อักษรภาษาสันสกฤตเก้าคำนี่ ไม่ใช่ว่านี่คือบทสวดของสุริยะบัพพาหรอกนะ” อักษรภาษาสันสกฤตทั้งเก้านี้จริงๆแล้วก็ไม่ได้มีความพิเศษอะไรเลย ต้องบอกว่าสำหรับในห้วงเวลาฯที่มันจากมา ถือได้ว่าไร้ค่าแบบสุดๆ

ถึงแม้ว่าจะแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งเต๋า แต่ก็ถือได้ว่าน้อยนิดมากจนสามารถเพิ่มการบ่มเพาะพลังวิญญาณของตนเอง และกดข่มพลังวิญญาณของสัตว์ประหลาดได้เท่านั้น

ซูจิ้งนั้นไม่ได้ลองการที่จะกดข่ม หรือเลี้ยงสัตว์ประหลาดแต่อย่างใด ตอนนี้เขาเพียงต้องการใช้ในการบ่มเพาะพลังวิญญาณของเขาเท่านั้นเอง และเจ้าตัวอักษรทั้งเก้าคำนี้เองก็มีความเหมาะสมอย่างมากกับเขาในตอนนี้

“เดี๋ยวนะ ก่อนที่ฉันจะดีใจไปเก้อๆ ฉันต้องลองใช้มันดูก่อนสิ”

ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาก็ได้จัดการท่องคำสันสกฤตทั้งเก้าในทันที และจดจำพวกมันเอาไว้ในจิตใจ และเริ่มทำการบ่มเพาะในห้วงจิตสำนึกของเขาในทันที

อาจเป็นเพราะว่าเขานั้นได้บ่มเพาะวิถีแห่งใต้หล้า พระสูตรหัวใจและพระพุทธ วิถีแห่งมังกร และตำราต่างๆทำให้เขานั้นสามารถเข้าถึงคาถาสุริยะบัพพานี้ได้ในทันที

หลังจากทำการบ่มเพาะไปสักพัก เขาสามารถรู้สึกได้ทันทีเลยว่าจิตใจของเขาราวกับมีแสงสว่างอยู่ภายในใจ กำลังภายในที่แท้จริงเองก็เหมือนจะก่อรูปขึ้นมามากกว่าแต่ก่อน ในขณะที่ตัวซูจิ้งในตอนนี้บังเกิดแสงส่องสว่างขึ้นมา

ถึงแม้ว่าแสงที่ฉาบร่างของซูจิ้งนี้จะไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยสักนิดก็ตาม แต่กับสายตาของผู้คนบนโลกนั้นแสงที่ฉาบตัวซูจิ้งราวกับว่าเขานั้นเป็นหลอดไฟที่ให้แสงจ้าหลอดหนึ่ง

แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดสิ่งใดต่อซูจิ้งอยู่ดี หากว่าเขาต้องการจะลองใช้คาถานี้จริงๆล่ะก็ เขาต้องยัดเยียดให้สัตว์เลี้ยงของเขานั้นท่องจำคาถานี้ให้ได้เช่นเดียวกัน

 

ตอนนี้ซูจิ้งนั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้ในการฝึกพลังของเขาหลักๆด้วยกันสามอย่าง นั่นก็คือเหรียญตราเทวทูต พระธาตุ เวทมนต์ฯและคาถาสุริยะบัพพาส่วนเวทฯสัมผัสแห่งใบไม้นั้นไม่ได้ช่วยเขาฝึกฝนสักเท่าไหร่จึงไม่ได้นับรวมไว้ด้วย

อุปกรณ์ทั้งสามอย่างนี้ถึงแม้ว่าจะมีผลต่อการฝึกฝนของเขาเหมือนกันแต่วิธีการใช้งานของพวกมันนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เหรียญตราเทวฑูตก่อนที่เขาจะใช้ได้จะต้องปล่อยให้เหรียญตราดูดซับแรงศรัทธาและความประทับใจที่คนอื่นมีต่อเขา

แถมมันยังช่วยให้เขานั้นได้รับความรู้สึกศรัทธาและประทับใจแบบถาวรในกรณีเขานั้นดูดซับพลังจากเหรียญตราต่อหน้าคนอื่นจนต้องคุกเข่าแสดงท่าทางศรัทธาไปตามๆกัน

ถึงแม้เมื่อเขาเสร็จสิ้นกระบวนการดูดซับจนทำให้คนๆนั้นกลับมาสู่สภาพปกติแล้ว แต่ในใจลึกๆของคนพวกนั้นก็ยังมีเขาอยู่ในใจอยู่ดี

อย่างที่สอง พระธาตุ พระธาตุนี้ถึงแม้จะเป็นวัตถุทางพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แต่ตัวมันเองนั้นก็ทำให้ผู้คนรอบข้างได้รับผลจากการที่เขาใช้มันเหมือนกัน

และอย่างที่สามนั่นก็คือคาถาสุริยะบัพพาที่เขาเพิ่งจะได้รับมานี้ แน่นอนว่าเจ้านี้ก็ช่วยให้เขาฝึกฝนพลังภายในแท้จริงได้ และต่อจากนี้เขาเองก็จะฝึกเวทมนต์นี้ให้บ่อยยิ่งขึ้น

และอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าหากซูจิ้งนั้นอยากได้สัตว์เลี้ยงที่มีภูมิปัญญาสูง เขาเองก็ต้องทำให้สัตว์เลี้ยงนั้นเข้าร่วมฝึกฝนกับเขาด้วยเช่นเดียวกัน

“ลองดูอีกทีแล้วกัน”

ซูจิ้งได้กลับไปยังระบบนิเวศเสมือนอีกครั้ง อย่างแรกที่เขาทำนั้นคือการเข้าไปสะกดจิตผึ้งเหล่านั้น หลังจากนั้นได้ปลดปล่อยพลังวิญญาณของตัวเองเพี่อกล่อมเกลาจิตใจของพวกมัน ตามด้วยการใช้คาถาสุริยะบัพพา

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เขาได้หยุดท่องคาถา และปลดปล่อยผึ้งออกจากการสะกดจิต ตอนนี้เหล่าผึ้งนั้นยังไม่ไปไหน เหมือนกับว่าพวกมันนั้นยังอยู่ในภวังค์จากคาถาสุริยะบัพพา พระธาตุ จนทำให้สมองพวกมันนั้นเริ่มเข้าใจสิ่งง่ายๆได้แล้ว

“ฉันไม่เชื่อว่าฉันจะทำไม่ได้หรอกโว้ย”

ซูจิ้งได้ลองใช้อย่างอื่นต่อไป เขาได้นำพระธาตุและทำการท่องคาถาสุริยะบัพพาจนเกิดเป็นรัศมีแห่งพระพุทธเจ้าขึ้นมา และนี่เองก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในการกล่อมเกลาจิตใจของผึ้งพวกนี้ด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นยั่งทำให้พวกมันรู้จักความสงบในใจอีกด้วย

 

ซูจิ้งใช้เวลาหมดไปกว่าหนึ่งวัน เขาลองทำซ้ำไปซ้ำมาวนไปวนมาตั้งแต่เช้าจรดเย็น พาลไปจนค่ำ ทำจนกระทั่งเขาเผลอง่วงจนหลับไปอยู่ตรงนั้น

จนในที่สุดเหมือนจิตใจของผึ้งเหล่านี้จะตอบรับความหวังของซูจิ้งจนได้ นั่นก็เพราะในตอนนี้ ตัวของมันเกิดแสงขึ้นมาแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด