Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 901

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 901 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 901 ตายตาหลับ

 

“โคตรหอม” พนักงานคนหนึ่งที่อยู่ในร้านพูดออกมาด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใน ต่อให้กลิ่นของสุกี้ที่พวกเขาขายกันอยู่นั้นจะตลบอบอวลอยู่ในร้านอยู่แล้ว

แต่พวกเขาก็ยังได้กลิ่นหอมหวนที่ลอยมาตามลมได้อย่างชัดเจน กลิ่นหอมหวนชวนอร่อยที่ชวนหิวยิ่งกว่ากลิ่นสุกี้ในร้านเสียอีก

 

“ซูจิ้งคนนี้ฝีมือสมคำล่ำลือจริง ไม่แปลกใจเลยที่เขาได้รับความนิยมขนาดนี้”

“เพียงแค่กลิ่นอาหารที่ทำจากฝีมือของเขานั้นก็ดึงดูดผู้คนได้มากมายขนาดนี้แล้ว ฉันว่าอาหารที่เขาทำต้องน่ากินแน่ๆเลย”

“ไม่ใช่แค่กินอาหารนะ กลิ่นข้าวที่เขาทำเองก็หอมมากๆเลย ฉันว่าข้าวที่เขาหุงนี่ต้องสุดยอดแน่นอน”

“ผู้จัดการครับ ระหว่างกลิ่นนี้กับกลิ่นที่ผู้จัดการพูดถึงนี่กลิ่นไหนหอมกว่ากันครับ”

 

เมื่อเหล่าพนักงานในร้านไม่ได้ยินเสียงคำตอบของผู้จัดการของพวกเขาจึงได้หันกลับไปดูที่ๆผู้จัดการของเขายืนอยู่ก่อนหน้านี้

แต่ทุกคนต่างก็เห็นผู้จัดการของเขานิ่งอึ้งไป สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้ามราวกับได้เห็นคนรักที่หายสาบสูญไปมาอยู่ตรงหน้า

ก่อนที่ใครจะตั้งตัวได้ ชายหน้าจีนคนนั้นได้พุ่งตรงไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามในทันทีโดยไม่สนรถราที่วิ่งกันขวักไขว่เลยสักนิด ภาพนี้ทำให้เหล่าพนักงานในร้านต่างตกตะลึงและมองหน้ากันก่อนที่จะมีบริกรสองคนรีบตามออกไปในทันทีที่ตั้งสติได้

 

ทันทีที่ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆคนนั้นได้เข้ามาในร้านเขาก็ตกตะลึง ฉากที่เขาเห็นก็คือซูจิ้งนั้นกำลังทำกับข้าวอยู่แต่การทำกับข้าวของเขานั้นราวกับกำลังเล่นอยู่กับมังกรเพลิงและนกไฟที่ลอยไสวสยายปีกราวกับเล่นอยู่กับซูจิ้งก็ไม่ปาน

ผู้จัดการคนนั้นพลางนึกในใจว่านี่น่ะนะการทำอาหาร นี่มันเวทย์มนต์ชัดๆ กลายเป็นว่าภาพที่เขาเห็นนั้นไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอะไรเลยสักนิด มันเป็นของจริง เขาดมกลิ่นลึกๆอีกครั้ง คราวนี้น้ำลายของเขาไหลย้อยออกมาที่มุมปากพลางพูดออกมาว่า “กลิ่นนี้มัน เป็นไปได้ไง”

 

“เกิดอะไรขึ้นครับผู้จัดการ กลิ่นนี้มันไม่ดีเหรอ” บริการชายกับหญิงที่ตามมาเพราะเป็นห่วงได้ถามออกมา

“ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่กลิ่นมันเหมือนกับกลิ่นที่ฉันเล่าให้ฟังไงว่าได้กลิ่นสุดยอดอาหารตอนฉันกลับไปบ้านน่ะ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆแสดงใบหน้าตกตะลึงในขณะจ้องมองไปที่ซูจิ้งตาไม่กระพริบ

 

เขาเองก็ไม่อยากยอมรับในฝีมือของซูจิ้งเลยสักนิด และแทบจะไม่เชื่อเลยว่าซูจิ้งนั้นคือคนที่ทำสุดยอดอาหารที่เขาได้กลิ่นในวันนั้น ขนาดเขาเห็นการทำอาหารของซูจิ้งอยู่ตรงหน้าและกลิ่นที่ลอยออกมาจากอาหารของซูจิ้งขนาดนี้แล้วก็ตาม

“เหมือนกันอย่างกับแกะ นี่ผู้จัดการจะบอกว่าฝีมือการทำอาหารของซูจิ้งอยู่ในระดับปรมาจารย์อย่างนั้นหรอ” บริกรชายที่ตามมานั้นพูดออกมา

“เดี๋ยวนะ บ้านของผู้จัดการอยู่ใกล้โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจงหยุนนี่นา ฉันจำได้ว่าพ่อแม่ของซูจิ้งเป็นครูอยู่ที่นั่นและอาศัยอยู่ในห้องเช่าที่อยู่แถวธนาคารต้าเฉิงนะ

 

ฉันว่าเขาคงไปทำกับข้าวให้ที่บ้านกินแน่ๆ กลิ่นข้าวสวยที่คุณได้กลิ่นในวันนั้นก็น่าจะเป็นเขาเองที่ทำ” บริกรหญิงพูดออกมา

“จะเป็นไปได้ยังไงกัน ธนาคารต้าเฉิงอยู่ห่างจากบ้านฉันหนึ่งกิโลเมตรเลยนะ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆพูดออกมาด้วยความตกตะลึง

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันนั้น ซูจิ้งก็ได้ทำอาหารจานสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยและข้าวเองก็สุกได้ที่พอดีราวกับว่าซูจิ้งกะเวลาเอาไว้แล้ว

พนักงานของร้านอาหารที่ช่วยซูจิ้งนำอาหารมาจัดเรียงบนโต๊ะนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกใหญ่ๆในขณะที่ยก

นั่นก็เพราะว่ากลิ่นอันหอมหวนที่ลอยมาแตะจมูกอยู่ตลอดเวลาแต่เขากลับไม่สามารถจะกินได้ นี่ช่างเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะทรมานเลยจริงๆ

อีกทั้งข้าวสีน้ำเงินของซูจิ้งที่หุงขึ้นหม้อดีแล้วนะช่างสวยใสราวกับเม็ดหยกก็ไม่ปาน เพียงแค่เห็นก็ทำให้ท้องของเหล่าพนักงานร้องลั่นเลยทีเดียว

 

เตียนจงยี่ได้ตักข้าวเข้าปากไปในทันทีที่จานข้าวมาเสริฟอยู่ตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจกับข้าวแต่อย่างใด เพียงเขากินเข้าไปคำแรกและเคี้ยวไปเพียงสองสามคำ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า

“อาหย่อย ยะเจ้า อึ๊ก ข้าวนี้อร่อยโคตร สุดยอดข้าวเลยแท้ๆ นี่ผมสามารถข้าวเปล่าๆได้สองสามชามเลยนะเนี่ย”

“มันอร่อยจริงๆนะพี่สาม พี่ต้องเพาะพันธุ์ข้าวนี้ให้มากๆเลยนะ ข้าวนี้สุดยอดจริงๆ” เสี่ยวรุยพูดออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันด้วยความตื่นเต้น

นอกจากเรื่องรสชาติแล้ว ทั้งคู่ยังรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของข้าวนี่อีกอย่างนั่นก็คือหลังจากที่สองกินข้าวเข้าไปแล้ว พวกเขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่กำลังแพร่กระจายอาจจากท้องของตนเองจนลามไปทั่วร่างกายจนทำให้ร่างกายรู้สึกสบายและกระปรี้กระเปร่า

 

“ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความสดชื่นที่แพร่ซ่านไปทั่วร่างกายได้เลยนะ นี่ผมคิดไปเองรึเปล่า” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยท่าทางแปลกๆ

“ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นนะ”

“ข้าวนี่ส่งผลดีต่อร่างกายน่ะ ดีๆพอๆกับโสมเลยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ห้ะ” เตียนจองยี่และเสี่ยวรุยได้อุทานออกมาพร้อมกัน แม้แต่คนที่มุงดูอยู่รอบๆเพียงได้ยินก็ทำตาโตในทันที พวกเขานั้นตามกลิ่นมาที่นี่เพราะอยากเห็นว่าอาหารอะไรที่กลิ่นหอมหวนได้ขนาดนี้

ในขณะที่กำลังดื่มด่ำกลับกลิ่นอยู่นั้นกลับได้ยินเรื่องที่ไม่คาดฝันไปซะได้ จะเป็นไปได้ยังไงเพียงแค่ข้าวเนี่ยนะจะมีสารอาหารมากยิ่งกว่าโสม

“คุณซู เดี๋ยวเรามาคุยกันเรื่องนี้อีกทีหลังกินเสร็จแล้วดีกว่าครับ” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น เขารู้ดีกว่าใครว่าซูจิ้งนั้นไม่เคยโกหกเลยสักครั้งเดียว หากเขาพูดอะไรออกมาย่อมเป็นตามคำพูดของเขาจริงๆ

ข้าวสีน้ำเงินนี้นอกจากอร่อยแล้วยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ยากจะหยั่งถึง ช่างเป็นพันธุ์ข้าวที่สุดยอดจริงๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ให้ความสนใจข้าวนี้เป็นพิเศษ

และเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อยที่ได้รับเพียงส่วนแบ่งเพียงสิบเปอร์เซนต์ นั่นก็เพราะว่าราคาที่ขายข้าวนี้นั้นสมควรจะมากกว่าข้าวธรรมดานับสิบเท่าร้อยเท่าอย่างแน่นอน ข้าวนี้สมควรได้รับความนิยมอย่างสูง

 

“คุณซู ผมขอเสียมารยาทที่พูดแทรกครับ อะไรคือข้าวสีน้ำเงินอย่างนั้นหรือครับ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆคนนั้นอยากรู้จนต้องขอแทรกถามออกมา

“อ๋อไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่ข้าวพันธุ์ใหม่ที่ผมเพาะพันธุ์ขึ้นมาน่ะ” ซูจิ้งตอบกลับมาอย่างสุภาพ

“นี่แสดงว่ามีเพียงคุณที่มีข้าวนี้หรือครับ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆถามออกมาด้วยเสียงล่ะห้อย

“ก็แค่ตอนนี้แหล่ะครับ ผมกำลังวางแผนที่จะผลิตจนพอขายได้อยู่น่ะ เมื่อถึงเวลานั้นคุณอยากจะลองกินดูค่อยซื้อเอาละกัน ผมว่าน่าจะอีกไม่กี่เดือนหรอกครับ” ซูจิ้งพูดออกมา

“ขอถามอีกข้อครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณได้ไปทำอาหารกลางวันแถวๆโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจงหยุนรึเปล่า” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆถามออกมาอย่างสงสัย

 

“ใช่ครับ” ซูจิ้งหันกลับไปมองชายวัยกลางคนหน้าตาจีนแท้ๆที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงสัย เขามองเพื่อดูว่าคนตรงหน้านั้นต้องการอะไรกันแน่

“เป็นคุณเองจริงๆสินะที่ทำให้เกิดกลิ่นหอมหวนชวนหิวข้าวในตอนนั้น” ชายหน้าจีนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด

“ฮ่าฮ่า แสดงว่าคุณเองก็มีโอกาสได้อยู่แถวนั้นด้วยสินะ ไม่แปลกใจเลยจริงๆ วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมลองหุงข้าวสีน้ำเงินด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าเป็นครั้งแรกน่ะ ขนาดเด็กยังทำได้ง่ายๆเลยนะ ไม่ต้องอาศัยฝีมือทำกับข้าวอะไรเลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“นั่น…” ตอนนี้ชายหน้าจีนแท้ๆได้มองไปยังข้าวสีน้ำเงินที่กำลังแผ่หลาอยู่ในจานข้าวจนต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึก เขาเองก็อยากจะลองกินสักคำแต่ก็อายเกินกว่าที่จะเอ่ยปากขอ

 

“ลองดูสักคำก็ได้ครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาได้หยิบชามเปล่าขึ้นมาและเติมข้าวสีน้ำเงินไปจนเต็มชาม

ชายหน้าจีนแท้ๆถึงกับโก้งโค้งรับด้วยความเกรงใจ ด้วยกลิ่นอันเย้ายวนของข้าวสีน้ำเงินที่อยู่ตรงหน้าทำให้ศักดิ์ศรีของเขานั้นปลิวหายไปในทันที

 

ชายหน้าจีนได้ตักข้าวเปล่าเข้าปากจนเต็มแก้มสองข้าง เขาเคี้ยวข้าวพลางทำดวงตาที่สื่อถึงความรู้สึกอึ้งและทึ่งอยู่ ทุกๆคำที่เขาเคี้ยวนั้นรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของข้าวแต่ละเม็ด

ด้วยท่าทางของเขาในตอนนี้ทำให้ทุกคนต่างอิจฉา แม้แต่ลูกน้องของเขาที่วิ่งตามมาก็ยังอิจฉาจนน้ำตาไหลริน

ชายหน้าจีนแท้ๆได้เขมือบข้าวลงไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะวางและตะเกียบอย่างเป็นระเบียบ และโค้งพร้อมยื่นชามข้าวคืนอย่างสุภาพและพูดกับซูจิ้งว่า

 

“คุณซู ก่อนหน้านี้ผมได้กล่าววาจาดูถูกฝีมือการทำอาหารของคุณไปต้องขอโทษด้วย เป็นผมเองที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อาหารมื้อนี้อร่อยมากจริงๆ อร่อยที่สุดในชีวิตนี้ของผมเลย ความสามารถของคุณนั้นสุดยอดจริงๆ”

ชายหน้าจีนคนนี้ได้รู้สึกโดยหัวใจเลยทีเดียว ความรู้สึกของเขาไม่ใช่ความรู้สึกในเชิงตกใจ แต่เป็นความรู้สึกอร่อยจนประทับใจเสียมากกว่า

ด้วยฝีมือการทำอาหารแต่ละอย่างของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าเป็นสุดยอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าวสีน้ำเงินนี้เลยที่อร่อยสุดๆทั้งๆที่ไม่ต้องกินกับอะไรก็อร่อย แต่เมื่อกินด้วยไปแล้วก็อร่อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จนตราตรึงในใจของเขาแล้วจริงๆ ในขณะเดียวกันนั้นชายหน้าจีนก็ได้รู้สึกละอายในสิ่งที่ตัวเองทำก่อนหน้าทันทีที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นลง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด