Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 884

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 884 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 884 ลือเลื่องไปทั่วหล้า

 

รูปปั้นที่ถูกทุกคนดูแคลนมาก่อนหน้าแต่ในตอนนี้กลายเป็นที่จับตามองไปแล้ว นั่นก็เพราะว่ารูปปั้นและของบางส่วนเหล่านี้คือหลักฐานการคงอยู่ของแอตแลนติสที่ว่ากันนั่นเอง

นี่คือเหตุผลที่ว่าความวุ่นวายก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องเล็กๆไปเลยเมื่อเรื่องนี้ได้พิสูจน์ออกมา

“พระเจ้า เมืองแอตแลนติสนั่นอ่ะนะ จริงดิ”

“ไม่ใช่ข่าวปลอมหรอกเหรอ”

“ตอนนี้ผู้เชื่ยวชาญหลายๆคนได้ไปตรวจสอบดูแล้ว และพวกเขาต่างก็ยืนยันว่าทั้งรูปปั้น อ่างน้ำ และรูปภาพนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีอายุไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปีก่อน ซึ่งมันพอๆกับเรื่องเล่าที่เขาลือกันว่าแอตแลนติสได้จมแล้วหายไปในช่วงเดียวกันเลย”

“เห็นเขาว่าการทดสอบครั้งสุดท้ายเจาะจงไปที่หนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยปีก่อนนะ”

“แม่…เอ๊ยถ้าเป็นของจริงล่ะก็แสดงว่ามันมีค่ามากเลยนะ”

“อย่าพูดว่ามีค่ามากดีกว่า ควรจะพูดว่าประเมินค่าไม่ได้ถึงจะถูก”

“ไม่แปลกใจเลยที่ว่าพี่จิ้งไม่ยอมขายทั้งๆที่ราคาพุ่งทะละไปถึงห้าสิบล้านหยวน”

“เหอะ อย่าว่าแต่ห้าสิบล้านเลย ห้าร้อยล้านก็ยังไม่ควรจะขายซะด้วยซ้ำ”

“ฉันได้ยินมาด้วยว่าซูจิ้งนั้นไม่ได้แปลกใจเลยเมื่อทราบอายุของของเหล่านั้นว่ามีอายุหนึ่งหมื่นสองพันปี เขานั้นดูเหมือนจะรู้มานานแล้ว

พอลองนึกๆดูแล้วเขาต้องใจถึงขนาดไหนกันถึงได้กล้าวางของล้ำค่าขนาดนั้นในสวนฟางหลิน”

“เฮ้เฮ้ฉันเองก็อยากจะถามเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ใครกันนะที่ว่าพี่จิ้งต้องยอมตัดใจเลหลังขายของแบบถูกๆน่ะ”

 

แฟนคลับของซูจิ้งในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะออกมาเบ่งแทนตัวซูจิ้งเอง เล่นเอาพวกที่ออกมาว่าร้ายก่อนหน้านี้ถึงกับหุบปากคุกเข่าขอขมาแทบจะในทันที

นั่นก็เพราะว่าเรื่องที่ของสามชิ้นเป็นของจากเมืองแอตแลนติสออกมาแบบนี้มันก็เท่ากับยืนยันได้แล้วว่ารูปปั้นมีค่ามากกว่าห้าสิบล้านหยวน ไม่สิห้าร้อยล้านหยวนก็ไม่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย

ทำยังไงได้ล่ะ เป็นพวกนี้เองที่เสนอหน้าเห่าหอนออกมาก่อน ถ้าไม่ออกหน้าถลำตัวเล่นใหญ่ซะขนาดนั้นก็ไม่ต้องมาเสียหน้าเจ็บใจขนาดนี้ พวกนั้นได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น ดูสิว่าจะมากล้าว่าร้ายพี่ซูจิ้งอีกรึเปล่า

ตอนนี้แม้แต่วีนัสไร้แขนที่นำมาเทียบค่ากันก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถเอามาเทียบคุณค่าได้เลยไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านศิลปะ หรือประวัติศาสตร์

จะมาเทียบกันได้ยังไงในเมื่องานชิ้นหนึ่งมีค่าแต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ แต่กับอีกชิ้นหนึ่งคือหลักฐานการคงอยู่ของดินแดนที่สาบสูญ

นอกจากนั้นรูปปั้นวีนัสไร้แขนนี้ยังเป็นเพียงแค่ของแตกหัก แต่กับรูปปั้นนางฟ้านั้นกลับสมบูรณ์ครบถ้วน ถึงในความเป็นจริงแล้วก่อนหน้านี้จะแตกยับมาก่อนก็ตาม

เป็นไปได้เหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นอาจจะนำรูปปั้นนี้มาวางไว้ที่สวนฟางหลินก็เพื่อการโฆษณา แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามแต่

ในเมื่อตอนนี้มีการพิสูจน์ทราบจนแน่ใจแล้วว่ารูปปั้นนี้มีอายุกว่าหนึ่งหมื่นสองพันกปีล่ะก็ อย่าว่าแต่โดนกระแนะกระแหนเลย แค่คนพวกนั้นจะพูดผิดหูออกมาก็ยังไม่กล้าอีกต่อไป

 

“พี่ฉิง พี่ฉิง มีเรื่องเกิดขึ้นหล่ะ” ณ ร้านเสิ้อผ้าหลงเตงอินเตอร์เนชั่นแนล(ร้านของฉือชิง) มีพนักงานคนหนึ่งได้เล่นมือถือในขณะที่เข้าห้องน้ำจะไปเห็นข่าวของซูจิ้งเข้าจนเธอรีบกุลีกุจอออกมาว่าฉือชิงในทันที หลังจากนั้นทั้งฉือชิง ตงเจี๋ยและคนอื่นๆเองต่างก็ทำหน้ามึนตึงกันไปหมด

“อาจิ้ง…” หวังซือหยาตอนนี้ตกตะลึงทันทีเมื่อเห็นข่าว ตอนที่เธอได้รับรู้การคงอยู่ของสมบัติของซูจิ้งแต่ละชิ้นก่อนหน้านี้ยังไม่เคยประหลาดใจเท่านี้มาก่อนเลย

นี่ซูจิ้งไปเจอหลักฐานการคงอยู่ของดินแดนในตำนานนั่นจริงๆอย่างนั้นหรือเนี่ย

“อาจิ้ง นี่สินะเหตุผลของนาย” หวังจ้าวที่เห็นก็ได้เขาใจในทันทีว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องการจะเป็นผู้ปรับปรุงสวนฟานหลิงแห่งนี้ด้วยตัวเอง เขานั้นเพียงแค่อยากจะโฆษณาเฉยๆ แต่ดันเป็นการโฆษณาที่โคตรน่าสะพรึงเลยจริงๆ

 

ในตอนนี้ผู้ว่าการเมืองกงหลิงหมิงและผอ.สำนักงานโยธาเองที่เป็นผู้สนับสนุนซูจิ้งนั้น เมื่อรู้ข่าวนี้ทั้งสองก็พูดไม่ออกเช่นเดียวกัน

ตอนแรกพวกเขานั้นก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการปรับปรุงสวนฟางหลินนี้เลยจริงๆ และตอนนี้ยิ่งกลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้อีกเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็คิดว่าไม่มีอะไรเลยรึไงที่หมอนี่ทำแล้วจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่เนี่ย

และกับใครก็ตามที่คิดร้ายและจ้องหวังหาประโยชน์ทางธุรกิจในสิ่งที่ซูจิ้งหามาได้นั้นเมื่อเห็นข่าวนี้ต่างก็ต้องคุกเข่าขอยอมแพ้ในทันที

พวกเขาได้เตรียมการไว้อย่างหนักแน่นไม่ว่าซูจิ้งนั้นจะมีช่องทางธุรกิจแนวไหนออกมาแต่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะออกมาแนวนี้ไปได้ แถมเมื่อผลการตรวจสอบออกมาจากผู้เชี่ยวชาญแบบนี้แล้วพวกเขาได้แต่ยอมแพ้ไป

กับของที่ได้ชื่อว่าเป็นหลักฐานการคงอยู่ของดินแดนที่สาบสูญแบบนี้ ทุกคนได้แต่มองห่างๆอย่างอิจฉา แน่นอนสิว่าใครจะไปหาหลักฐานของอารยธรรมยุคโบราณแบบนี้ได้ง่ายๆกัน

 

ณ สนามบิน ทั้งอลันและแอนนาต่างมานั่งเฝ้ารอด้วยสีหน้าอันห่อเหี่ยว ทีมผู้เชี่ยวชาญของพิพิธภัณฑ์ของพวกเขาจากอเมริการอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้มาถึงหนึ่งในที่สุด เมื่อหัวหน้าทีมได้เห็นอลันและแอนนาพวกเขาได้พูดออกมาในทันทีว่า “รีบพาเราไปยังสวนฟางหลินอะไรนั่นเร็วๆสิ”

“เอ่ออออ…ผมเกรงว่าตอนนี้ต่อให้ไปถึงเราจะไม่สามารถซื้อรูปปั้นนั่นได้แล้วล่ะ” อลันพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ

“เอาน่า ยังไงซะหากว่าเราประเมินแล้วมันมีค่าจริงๆ สองร้อยล้านเราก็ยอมจ่าย” ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานพูดออกมา

“อย่าว่าแต่สองร้อยล้านเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นห้าร้อยล้านหยวนหรือมากกว่า ก็สมควรจะซื้อไม่ได้แล้ว” อลันพูดออกมาพลางส่ายหัวทำให้คนในทีมที่พึ่งจะลงเครื่องมากันต่างพากันงงไปหมด

ตอนนี้เองอลันได้เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงและตื่นเต้นกันจนออกนอกหน้า พวกเขายังคงมุ่งตรงไปยังสวนฟางหลินกันอยู่ดี แต่ตอนนี้คนกลับมากขึ้นก่อนหน้านี้หลายเท่า

พวกเขาในตอนนี้ทำได้เพียงมองจากระยะไกลเท่านั้น พอมานึกถึงว่ารูปปั้นนี้คือหลักฐานทางโบราณคดีอันแสนล้ำค่าอย่างอารยธรรมที่สาบสูญเมืองแอตแลนติสนั้น พวกเขาทำได้เพียงบ่นอุบออกมาว่า “ถ้าฉันรู้อย่างนี้นะฉันจะเสนอราคาสองร้อยล้านหยวนตั้งแต่แรกแล้ว หากเป็นราคานี้เขาคงยอมขายให้เรา”

“ผมเกรงว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ จากสถานการณ์ดูเหมือนว่าคุณซูจะรู้คุณค่าของรูปปั้นนี้อยู่แล้วด้วย แม้แต่ผมกับแอนนาเองก็สมควรจะมีส่วนในแผนการของเขาด้วยเหมือนกัน” อลันพูดออกมาพลางส่ายศรีษะของเขา

เขาเองก็พึ่งจะรู้ตัวก็ตอนที่มีการพิสูจน์ทราบแล้วว่ารูปปั้นนี้มีอายุถึงหนึ่งหมื่นสองพันปีแต่ซูจิ้งยังคงนิ่งไม่สะทกสะท้อนแต่อย่างใด

ความจริงหากเขาจะโกรธในเรื่องนี้ก็สามารถจะทำได้ แต่มันก็เหมือนกับที่ผอ.หวังว่าเขาเอาไว้ ที่ว่าเขานั้นไม่บริสุทธิ์ใจตั้งแต่เสนอราคาเริ่มต้นที่สองหมื่นหยวนเพื่อซื้อรูปปั้นนี้กลับไปอเมริการแล้ว

นี่คือเหตุผลที่เขานั้นไม่สามารถเรียกร้องอะไรไม่ได้ เพียงแค่เขานั้นยังได้เห็นรูปปั้นนี้ใกล้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีพอแล้ว เพราะในอนาคตดีไม่ดีเขาเอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นรูปปั้นนี้ใกล้ๆแบบนี้อีกแล้ว

 

ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทันทีที่มีคนที่นั่นรู้ข่าวต่างก็เกิดความโกลาหลในทันที

“ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่ต้องเป็นแค่การชวนเชื่อเฉยๆแน่ๆ”

“แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะก็มันมีค่าเสียยิ่งกว่าวีนัสอีกนะ”

“ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องรีบไปเมืองจีน หากว่านี่เป็นของจริงล่ะก็ ฉันจะนำมันกลับมาที่นี่โดยทุ่มทั้งหมดเท่าที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้จะทุ่มได้”

“หากว่านี่คือรูปปั้นแห่งดินแดนที่สาบสูญนั้นจริงล่ะก็ มันต้องไม่ทางตกอยู่ในเงื้อมมือจีนอย่างแน่นอน”

 

ชาวอิตาลีเองก็ตกใจเหมือนกันเมื่อเห็นข่าวนี้

“แอตแลนติสออกมาแล้ว”

“รูปปั้นนั้นสวยงามจริงๆ”

“หากนี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็ งานชิ้นนั้นจากทรงคุณค่ากว่าวีนัสมากเลยนะ”

“แถมนี่ยังเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษางานศิลป์ของดินแดนแอตแลนติสเลยนะ เรื่องนี้ถือได้ว่าสำคัญที่สุด”

“ไปเมืองจีนกันเดี๋ยวนี้เลย”

 

ตอนนี้นานาประเทศไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น บริเตน โรม หรือก็คือทั่วทั้งโลกในตอนนี้ต่างก็ตกตะลึงกันไปทั่ว ผู้เชี่ยวชาญของแต่ละประเทศต่างก็ตรงมาที่จีนในทันที แต่นี่ก็ต้องมีคนเกินครึ่งต้องตีตั๋วกลับบ้านไป

นั่นก็เพราะซูจิ้งนั้นเริ่มรำคาญเลยนำรูปปั้นกลับมาจากสวนฟางหลิน และไล่คนที่มาเพื่อจะขอซื้อกลับบ้านไปเหลือไว้แต่เพียงคนที่ต้องการจะศึกษา ค้นคว้า และวิจัยจริงๆเท่านั้น

ตอนนี้นานาประเทศได้ตั้งทีมวิจัยเฉพาะกิจที่รวบรวมนักวิจัยจากนานาชาติมาเพื่อทำการตรวจสอบ วิจัย และเรียนรู้สิ่งต่างๆที่สามารถทำได้จากรูปปั้น อ่างน้ำ และภาพเขียน

 

ในที่สุดแล้วทุกผู้เชี่ยวชาญต่างก็ยืนยันแล้ว่าของทั้งสามชิ้นนี้มีอายุกว่าหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยปี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขานั้นยังได้พยายามใช้ของทั้งสามสิ่งนี้มาเชื่อมเข้ากับตำนานต่างๆที่เกี่ยวกับดินแดนที่สาบสูญนี้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จนสามารถอธิบายอารยธรรมแอตแลนติสแบบคร่าวๆได้ ซึ่งของเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ซูจิ้งเองก็ไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่ในโลกใบนี้เหมือนกัน

เอาจริงๆถ้าไม่นับเรื่องอายุของของแต่ละชิ้นที่มีอายุหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยล้านปีนี่หลักฐานแต่ละอย่างนี้คือเลื่อนลอยแบบสุดๆ

แต่เอาจริงกับเรื่องแอตแลนติสนี้ขอแค่มีหลักฐานที่อายุหนึ่งหมื่นสองพันปีก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะที่พวกเขาอยากได้คำตอบมากที่สุดนั่นก็คือคำตอบที่ว่าดินแดนแอตแลนติสนั้นมีอยู่จริงๆรึเปล่าเท่านั้นเอง

 

ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกต่างก็คลั่งเกี่ยวกับรูปปั้นนี้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวเน็ต ลูกเล็กเด็กแดง โรงเรียน ท้องถนน แทบจะบอกได้ว่าทุกๆที่ในตอนนี้ต่างก็ตื่นเต้นและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของรูปปั้นนางฟ้านี้กันทั่วทุกมุมโลกเลยทีเดียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด