Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1135

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 1135 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 1135 ทราบซึ้งรสพระธรรม

หลังจากเห็นชุดของซูจิ้ง เหล่าผู้ชมในช่องสตรีมต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก
“เอาจริงดิ ทำไมพี่จิ้งถึงใส่ชุดนักบวชล่ะ”
“ไม่ใช่ว่า….เขาจะสวดมนต์ให้เราฟังหรอกนะ”
“ไม่ใช่น่า ต่อให้พี่จิ้งนั้นรู้ลึกซึ้งในพุทธศาสนายังไงก็ตาม แต่กับเรื่องนี้เท่านั้นที่ฉันไม่สนใจ ฉันสนแค่เพลงกู่จิ้ง กีฬาเอกสตรีม ฝึกสัตว์ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ศาสนา….”
“เฮ้ ดูดีๆสิ พี่จิ้งเขาวางกู่จิ้งไว้ข้างหน้าอยู่นะ”
“เอ้อ ก็จริงแหะ นี่แสดงว่าพี่จิ้งน่าจะเล่นกู่จิ้งให้ฟัง…..แล้วทำไมเขาถึงใส่ชุดนักบวชล่ะ”
“อย่าพึ่งด่วนตัดสินใจไป ชุดนักบวชของพี่จิ้งดูมีลวดลายนะ ถึงเขาจะยังไม่ได้โกนหัว แต่มันก็ส่งเสริมให้เขาดูหล่อเท่ยังไงก็ไม่รู้ เอาจริงๆนี่ทำให้เขาดูเป็นนักบวชที่สง่างามกว่านักบวชทั่วไปซะอีก”

ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจในทันที ขณะเดียวกันทุกคนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นซูจิ้งที่ดูราวกับนักบวชแห่งพุทธที่งามสง่าได้ยังไงก็ไม่รู้
ทั้งๆที่ซูจิ้งนั้นยังหนุ่มแน่น มีคู่หมั้นที่งดงาม พร้อมทักษะที่มากมาย แล้วคนอย่างนี้จะรู้ซึ้งในพุทธศาสนาได้อย่างไร
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ขอต้อนรับสู่ช่องสตรีมของฉัน พอดีวันนี้ฉันได้เข้าใจในพุทธและเปิดโลกทัศน์อีกนิดหน่อยนะ ก็เลยคิดที่จะแบ่งปันประสบการณ์นี้กับทุกคน ด้วยการที่ตอนนี้คนยังเข้ามาดูไม่มากนักฉันเลยว่าจะนั่งคุยกันไปก่อน เดี๋ยวพอคนดูถึงสักสามล้านคนฉันค่อยเริ่มก็แล้วกัน”

ผู้ชมทุกคนที่ได้ยินต่างก็รู้สึกอึ้งกันไปหมด เพียงแค่เข้าใจในศาสนามากขึ้นถึงกับต้องสตรีมเลยเหรอ แล้วนี่….เขาจะคุยอะไรกันล่ะ ศาสนางั้นเหรอ
ผู้ชมอดไม่ได้ที่จะถามคำถามต่างๆออกมาไม่หยุด แต่ซูจิ้งเองก็ทำเพียงเลี่ยงตอบในสิ่งที่จะต้องโกหก และไม่ได้พูดคุยอะไรมากมายนัก
เพียงไม่นาน ผู้ชมในห้องสตรีมก็พุ่งสูงขึ้นกว่าสามล้านแล้ว ตอนนี้เอง ซูจิ้งได้วางมือหนึ่งลงบนกู่จิ้งจนทำให้เกิดเสียงหนึ่งขึ้นมา และเพียงเสียงหนึ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างก็เงียบงันในทันที

พวกเขาแม้จะยังไม่รู้ว่าซูจิ้งต้องการอะไรก็ตาม แต่ด้วยท่วงทำนองต่างๆที่ซูจิ้งเล่นออกมานั้นได้ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบราวกับกำลังจัดระเบียบความคิด แต่เพียงซูจิ้งได้เปิดปากร้องเพลงออกมาเท่านั้น ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างกันในทันที
อย่างน้อยๆ ทุกคนนั้นเขาใจเป็นอย่างดีว่ากู่จิ้งและพุทธศาสนานั้นสามารถเชื่อมโยงกันได้ แต่ที่ทุกคนยังไม่เข้าใจก็คือการเล่นกู่จิ้งพร้อมทั้งท่องบทสวดไปด้วยนี่ใช้ได้ด้วยเหรอ
แต่ไม่ทันที่ทุกคนจะหายสนใจ เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงบทสวดที่ตอนนี้กลายเป็นบทเพลงของเพลงที่กู่จิ้งเล่นอยู่นี้ ทุกคนต่างก็รู้ได้ในทันทีว่าบทเพลงนี้ไม่ใช่ธรรมดาแม้แต่น้อย

มันให้ความรู้สึกราวกับเป็น บทสวดจักรวาลสิบทิศ เลยทีเดียวแต่มันแฝงเอาไว้ด้วยความลึกล้ำที่มากกว่านับพันเท่า
ในตอนแรกทุกคนนั้นต่างก็รู้สึกว่าพี่จิ้งของพวกเขาแค่เล่นกู่จิ้งอย่างเดียวก็ดีอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะสวดมนต์ออกมาด้วยทำไมกัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ฟังดีๆแล้วก็พบว่าบทสวดมนต์นี้ช่างเข้ากับกู่จิ้งได้อย่างน่าประหลาด ต่อให้เป็นคนที่ไม่อยากที่จะฟังบทสวดก็อดไม่ได้ที่จะต้องรับฟัง และยิ่งฟังนานเท่าไหร่ ทุกคนก็รู้สึกดีขึ้นจนอยากจะฟังต่อ ยิ่งฟังยิ่งอยาก ยิ่งอยากก็ยิ่งฟัง เรียกได้ว่าทุกคนนั้นเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพียงนี้อย่างสมบูรณ์และยากจะถอนตัวแล้ว

ณ วัดหลานเร่อ โจวฮงหยวนที่พึ่งจะเสร็จกิจประจำวันเขาจึงพึ่งจะได้เห็นข้อความจากไมโครบลอกของซูจิ้ง เขาได้ลองเข้าไปดูในห้องสตรีมของซูจิ้ง ความจริงนั้นเขาเองก็แค่อยากรู้เฉยๆว่าซูจิ้งนั้นจะทำอะไร แต่เมื่อได้ยินบทเพลงและคำร้องของซูจิ้งแล้ว สายตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งสายตาที่เปล่งประกายออกมา ยิ่งเขาฟังเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตื่นเต้นเท่านั้น ยิ่งเขาฟังมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งทราบซึ้งในรสพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น

ณ ห้องส่งของบิ๊กวีของเว่ยป๋อ นักข่าวคนหนึ่งได้ยินมาว่าซูจิ้งนั้นกำลังสตรีมอยู่ และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าไปดู
เขาเองได้ยินมามากมายเกี่ยวกับซูจิ้งคนนี้และเขาก็คิดว่านี่คือข่าวชั้นดีสำหรับเขา แต่เพียงเมื่อเขาเข้าไปดูก็พบว่าซูจิ้งกำลังเล่นกู่จิ้งประกอบการสวดมนต์อยู่ นี่แทบจะทำให้เขานั้นปิดช่องสตรีมของซูจิ้งลงในทันที นั่นก็เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงก็ตาม การสตรีมบทสวดมนต์แบบนี้ไปก็ไม่มีทางจะได้รับความนิยมอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม นักข่าวก็พบว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป นั่นก็เพราะไม่เพียงพวกเขานั้นจะหลงลืมเรื่องหาข่าว พวกเขายังฟังราวกับได้รับความชำระล้างได้เลย

เว่ยเสี่ยวหยวน ซูฉือ เฉิงหนาน และคนอื่นๆที่ได้ยินว่าซูจิ้งนั้นทำการสตรีมต่างก็พูดกันไม่ออก ก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้ถามวิธีที่จะทำให้ตัวเขาเด่นดังได้ไม่นาน และในที่สุดเขานั้นก็มาทำการสตรีมแบบนี้ นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานั้นจะรีบไปทำไม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นซูจิ้งในชุดนักบวชแปลกๆ ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาในทันที
อย่างไรก็ตาม เพียงเมื่อทุกคนได้เห็นซูจิ้งที่ได้เล่นกู่จิ้งพร้อมสวดมนต์ รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนต่างก็เปลี่ยนเป็นสำนึกผิดในบัดดล

ในตอนนี้เหล่าผู้ชมที่กำลังดูการสตรีมอยู่นั้นอยู่ในอาการเมามายและดื่มด่ำไปกับบทเพลงของซูจิ้ง แม้แต่คนที่เข้ามาช่วงครึ่งหลังของการสตรีมก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
สติของทุกคนนั้นร่วงหล่นสู่ภวังค์ ในภวังค์แห่งนี้ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงความสงบในจิตวิญญาณของตัวเอง ด้วยบทเพลงแห่งนิจนิรันดรทำให้ทุกคนที่ร่วงหล่นอยู่ในภวังค์นั้นได้เข้าสู่การตามหาจิตใจของตนเอง
ซูจิ้งใช้เวลากว่าห้านาทีจนเล่นเพลงนี้จบลง ช่องสตรีมนี้ยังอยู่ในภาวะเงียบงันราวกับยังไม่มีคนตื่นจากภวัง หลังจากผ่านไปเจ็ดถึงแปดวินาที บางคนจึงเริ่มกล่าวทักออกมาในช่องสตรีม และไม่นาน ทุกคนต่างก็เข้ามาแสดงความเห็นของตัวเองออกมาอย่างตื่นเต้น

“โชคดีที่ได้ฟัง นี่สมควรเป็นบทเพลงแห่งพุทธศาสนาสินะ”
“มหัศจรรย์จริงๆ ฉันเข้าสู่ภวังค์เลยนะ”
“เอ๋ นี่แสดงว่าฉันไม่ได้ตาฝาดไปสินะ ตอนแรกฉันก็นึกว่าตัวเองนึกไปคนเดียวซะอีก นี่ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นเหมือนกันหรอกเหรอเนี่ย”

ณ อพาร์ทเมนต์ธรรมดาแห่งหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบปี เธออยู่ในชุดประโปรงสั่งตัดกำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ดูนู่นดูนี่อยู่
สาวน้อยคนหนึ่งที่อายุประมาณสิบปีคนหนึ่งกำลังถูกพื้นด้วยความขยันขันแข็ง ร่างกายของเธอตัวเล็กและผอมแห้ง แขนของเธอนั้นพอๆกับที่จับไม้ถูพื้นเลยก็ว่าได้ นี่ทำให้เธอนั้นเหนื่อยกับเรื่องนี้จริงๆ
นี่คือครอบครัวธรรมดา หญิงสาวคนนี้คือแม่เลี้ยงของสาวน้อยคนนี้ หญิงสาวคนนี้ไม่ชอบสาวน้อยคนนี้อย่างมาก ยามที่เธออารมณ์เสีย เธอมักระบายอารมณ์กับเด็กน้อยคนนี้บ่อยๆ

แม้สาวน้อยจะเคยบอกต่อพ่อของเธอแล้วแต่พ่อของเธอกลับทำเป็นตาบอดมองไม่เห็นไม่รับฟัง
ในตอนนี้ หญิงสาวได้กดเข้าไปฟังบทเพลงแห่งนิจนิรันดรของซูจิ้ง เธอได้ฟังเพลงนี้จนจบและนิ่งไปนานก่อนที่จะหันไปดูเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังเหนื่อยอ่อนพร้อมเหงื่อที่โทรมกาย
หัวใจของหญิงสาวรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนี้อยู่ๆเธอก็มีความคิดว่าในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่ง ถึงแม้จะต่างสายเลือดแต่เธอกลับปล่อยให้สาวน้อยคนนี้ตกอยู่ในสภาพยากลำบากได้ยังไงกัน
ถึงแม้จะไม่ใช่เชื้อสายของเธอแต่เธอก็เป็นเชื้อสายของคนที่เธอรักไม่ใช่เหรอ ขนาดเธอทำเรื่องไม่ดีไปขนาดนั้นแล้วเด็กสาวยังเรียกเธอว่าแม่อยู่ทุกวันเลย ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดและนอบน้อมขนาดนี้แล้ว….ฉันยัง….รังแก….ลูกของฉันได้ยังไง ช่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ
“หยุนน้อย มานี่” หญิงสาวพูดออกมา

“แม่อย่าเพิ่งโกรธนะคะ เดี๋ยวหนูจะรีบทำให้เสร็จเดี๋ยวนี้ อีกนิดเองค่ะ” สาวน้อยที่คิดว่าแม่ของเธอกำลังจะโกรธเพราะว่าเธอทำความสะอาดช้าได้รีบพูดออกมาด้วยท่าทีสั่นกลัว
เมื่อเห็นสาวน้อยหวาดวิตกยิ่งทำให้หญิงสาวผู้นี้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น ผิดจนไม่รู้จะรู้สึกยังไงแล้ว เธอตรงไปใช้มือลูบศีรษะของสาวน้อย ก่อนที่เธอจะพาไปยังห้องน้ำ ก่อนที่จะใช้มีไปแตะน้ำแล้วนำมาลบหน้าของสาวน้อยไปทั่วพร้อมพูดว่า “เสี่ยวหยุน ก่อนหน้านี้แม่ทำไม่ดีกับลูกมามากนัก ช่างทำตัวไม่สมกับเป็นแม่แต่เธอเลยจริงๆ แม่จะไม่เรื่องไม่ดีกับลูกอีกแล้วนะ ยกโทษให้แม่ด้วยนะ ตอนนี้ลูกไม่ต้องทำความสะอาดแล้วล่ะ ตอนนี้ลูกก็อาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวที่เหลือแม่จะจัดการเอง หลังจากนั้นเดี๋ยวแม่จะทำอาหารอร่อยๆให้ลูกกิน แต่ว่าต้องรอกินพร้อมพ่อนะ”

“ค่ะ” สาวน้อยถึงแม้จะตอบรับอย่างงงๆเพราะว่าเธอไม่เคยได้รับความรู้สึกแบบนี้จากแม่เลี้ยงของเธอมาก่อน แต่เธอนั้นรู้สึกว่ามันอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

ในเวลาเดียวกัน ที่ครอบครัวอื่นๆหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังการสตรีมต่างๆอยู่ หญิงสาวที่อายุประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปีคนหนึ่งกำลังล้างผักและทำกับข้าวอยู่ มือและเท้าของเธอนั้นสั่นไม่หยุด หญิงสาวอายุวัยกลางคนคนนั้นเป็นลูกสะใภ้ของเธอเอง
นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นระหว่างลูกเลี้ยงและแม่เลี้ยง บางครอบครัวนั้นลูกเลี้ยงถูกรังแก บางครอบครัวนั้นฝ่ายที่รังแกนั้นกลับเป็นลูกเลี้ยงหรือไม่ก็ลูกสะใภ้ได้เหมือนกัน สำหรับครอบครัวนี้เป็นเหตุการณ์ในอย่างหลัง

เมื่อลูกชายของหญิงชราคนนี้เติบโตขึ้น เขานั้นก็ได้หลงลืมบุญคุณที่เธอได้ชุบเลี้ยงเขามา และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกสะใภ้ของเธอเริ่มรังแกเธอ
แต่ในตอนนี้ หญิงสาววัยกลางคนนั้น หลังจากได้ฟังบทเพลงแห่งนิจนิรันดรจบลง เธอค่อยๆเข้าไปในครัว มองแม่สามีของตนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำครัวอย่างร้อนรน
ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เธอกลับรู้สึกผิดอย่างมากจนพูดอะไรไม่ออก เธอจึงค่อยๆเข้าไปช่วยหญิงชราผู้นี้อย่างเงียบๆ
หญิงชราที่เห็นหญิงวัยกลางคนผู้นี้มาช่วยเธอเองนั้น เธอนิ่งอึ้งจนต้องหยุดมือไปพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเริ่มทำครัวต่อพร้อมรอยยิ้มและดวงตาที่เปียกชื้น

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในส่วนชนบทของเมืองๆหนึ่ง รสกระบะคันหนึ่งที่กำลังแล่นอยู่ ที่หลังกระบะนั้นมีหมาสามตัวที่อยู่ในสภาพปางตายและมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ และมีอีกสองคนอยู่ในพื้นที่นั่งคนขับและที่นั่งร่วม
พวกเขานั้นเป็นคนที่คอยไล่จับสุนัขไปขายและนี่ก็เพิ่งจะจับมาได้หลายตัว ด้วยการที่ในบริเวณชนบทแบบนี้ผู้คนมักจะเลี้ยงสุนัขแบบปล่อยจึงทำให้พวกเขานั้นแอบไปจับมาได้อย่างง่ายดาย
ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆที่สิวอยู่ทั่วใบหน้า เขากำลังใส่หูฟังพร้อมกับฟังการสตรีมหนึ่งอยู่ เขานั้นพึ่งจะฟังเพลง บทเพลงแห่งนิรันดรจบลงไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อยู่ๆชายหนุ่มคนนี้ก็ได้ร้องไห้ออกมา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด