Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 810

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 810 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 810 เสี่ยวไจ๋ถูกลงโทษ

 

หลังจากข่าวที่ว่าเสี่ยวไจ๋ไปไล่กระทืบเหล่าสำนักคาราเต้และเทควันโดที่รวมตัวกันท้าทายซูจิ้งส่งออกไป

เหล่าสำนักคาราเต้และเทควันโดสำนักที่เหลือรอดอยู่ตอนนี้ก็หวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรกันอีกแล้ว

หากพวกเขาทำอะไรออกไปล่ะก็คงไม่แคล้วถูกลูกศิษย์เพียงในนามของซูจิ้งกวาดล้างอย่างแน่นอน ต้องถามว่าถ้าโดนเองกับตัวยังไงก็ต้องมีหวาดกันบ้าง

 

ชื่อเสียงของเสี่ยวไจ๋ยังคงพุ่งขึ้นไม่หยุด รวมถึงนิกายปีศาจวัวก็ได้รับผลผลอยได้ไปด้วยเช่นกัน

เพราะด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้มีคนต่างพากันเข้าขอเข้าร่วมนิกายมากยิ่งขึ้น และแสดงความประสงค์ต้องการเรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งหมดทุกคน

แน่นอนว่าคนพวกนี่ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของซูจิ้ง

 

สำหรับซูจิ้งแล้วเขาเองก็ได้ผลพลอยได้ไม่น้อยจากแรงศรัทธาที่ส่งไปยังเหรียญตราเทวฑูตและที่มากที่สุดก็คือค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกันอันดับในรายการดาราก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง ชื่อของซูจิ้งในตอนนี้จากเดิมที่อยู่ในอันดับ 70 ของดาราระดับสองก็ได้พุ่งไปเป็นอันดับสามสิบในทันที

เหตุการณ์นี้ต่างก็ทำให้คนในวงการดาราทำได้แต่จ้องมองเขม็งกันจนตาจะบอดก็ไม่ปาน

 

สำหรับการขึ้นระดับขั้นกลางของอันดับดาราชั้นสองนี้ได้สำหรับคนในวงการบันเทิงนี้ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ซูจิ้งกลับไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่น้อย แค่เพียงส่งลูกศิษย์แต่ในนามออกไปชื่อเสียงของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจรวด

เอาจริงๆตอนที่ซูจิ้งออกมาทำนู่นที่นี่ ชื่อเสียงของเขายังไม่สู้เท่ากับการอยู่เบื้องหลังแบบนี้เลย ไม่สิต้องบอกว่ากลับได้ชื่อเสียงมากกว่าเดิมอย่างน่าสะพรึง คนในโลกนี้คงไม่มีใครหยุดเขาได้แล้ว

 

ซูจิ้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาโจวฮงหยวน ความจริงเขานั้นต้องการที่จะพบเสี่ยวไจ๋และมอบของตอบแทนให้กับเขา เพราะครั้งนี้ถือว่าเสี่ยวไจ๋นั้นได้ลงแรงไปไม่น้อยเลย

เพราะตอนที่เขาดูวิดีโอเขาก็ได้เห็นว่าเสี่ยวไจ๋เองก็โดนโจมตีไปไม่น้อยเช่นกัน นึกๆไปแล้วต่อให้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแต่มันก็อาจจะส่งผลเสียต่อการฝึกตนในอนาคตของเสี่ยวไจ๋ได้

แต่เขาโทรไปหาเสี่ยวไจ๋แล้วแต่ไม่รับสาย เขาเลยต้องโทรหาโจวฮงหยวนแทน

“คุณโจว เสี่ยวไจ๋กลับไปจำวัดรึยังครับ” ซูจิ้งถามออกมา

“ก็กลับมาแล้วล่ะ แต่…” โจวฮงหยวนเองก็อยากพูดออกมาแต่เขาก็พูดไม่ออก

“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งถึงกับงงในทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดของโจวฮงหยวน

“เสี่ยวไจ๋น่าจะกำลังโดนลงโทษอยู่น่ะ ปรมาจารย์เชิงหยานนั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เสี่ยวไจ๋นับถือคุณเป็นอาจารย์ก็จริง และท่านเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ต่อให้เป็นพระรูปอื่นก็ตาม

 

แต่การที่เสี่ยวไจ๋ไม่ได้ขออนุญาตก่อนที่จะออกไปท้าประลองด้วยตัวเองแบบนี้ นอกจากจะเป็นการผิดกฎของวัดแล้วยังถือได้ว่าเป็นการให้เกิดความไม่สงบสุขต่อสังคม”

“เสี่ยวไจ๋เองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จีนคนหนึ่ง พวกคุณจะทำตัวใจกว้างกันหน่อยไม่ได้รึไงกัน” ซูจิ้งถามออกมา

 

“เรื่องนี้เจ้าอาวาสและเจ้าคณะคนอื่นเองก็กำลังพูดคุยกันอยู่ ดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างจะตึงเครียดเลยล่ะ

พวกเขาเองก็รู้สึกดีกับคุณไม่น้อยที่ยอมให้พวกเรายืมหัวใจพระสูตรและพระพุทธแก่ทางวัด เพราะเห็นแก่หน้าคุณในตอนนี้เขาเลยยังไม่กล้าจะลงโทษเสี่ยวไจ๋น่ะ แต่ก็ไม่น่าจะนานนักนะ”

 

“ดูเหมือนจะเป็นเพราะผมเป็นต้นเหตุสินะ งั้นผมเองก็ต้องมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน ผมจะไปและคุยกับเจ้าอาวาสด้วยตัวเอง” ซูจิ้งพูดออกมา

“พวกเขาในตอนนี้กำลังอยู่ในหอพระธรรมวินัยและผมเองก็เข้าไปไม่ได้ ต่อให้คุณมาเองก็น่าจะไม่น่าช่วยอะไรนะ เรื่องนี้คุณทำอะไรไม่ได้หรอก” โจวฮงหยวนพูดออกมา

 

“ยังไงผมก็จะไป” หลังจากวางสายไป ซูจิ้งได้ขับรถบรรทุกตรงไปยังวัดหลานเล่อ เขาจอดรถที่หน้าประตูและน้ำองค์พระอจละออกมา

เขาวางองค์พระอจละลงบนพื้น หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการนั่งขัดสมาธิข้างพระพุทธรูปก่อนที่จะพนมมือและท่องบทสวดมนต์ออกมา

 

ตอนที่ซูจิ้งเข้ามาจอดหน้าประตูนั้น พระบางส่วนก็เห็นแล้วว่าเป็นซูจิ้ง

พวกเขาต่างก็ประหลาดใจแล้วมามองดูกันว่าเขานั้นต้องการจะทำอะไร

แต่ตอนที่พวกเขานั้นเห็นองค์พระอจละที่ซูจิ้งนำมานั้น พวกเขาได้หยุดเพราะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง และไม่กล้าจะทำอะไรต่อไป ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ด้วยซ้ำ

 

“พระพุทธองค์ ในศานาพุทธเรามีพระปางแบบนี้ด้วยหรอ”

“นี่ไม่ใช่พระอจละหรอกรึ”

“ทำไมฉันรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นช่างดูเหมือนพระโพธิสัตว์นักล่ะ ว่าแต่เขามาทำอะไรที่นี่”

“ฉันก็ยังคิดอยูว่าหัวใจพระสูตรนั้นมาจากไหนกันแน่ บางคนถึงขนาดคิดว่าซูจิ้งนั้นเขียนขึ้นมาเองด้วยซ้ำ เหมือนมาเห็นภาพในตอนนี้คุณซูยิ่งดูเหมือนมีแสงพระธรรมอยู่เบื้องหลังเข้าไปใหญ่”

ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก

เหล่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมเยียนวัดในตอนนี้ต่างก็คุกเข่าสวดมนต์สักการะกันหมด

ส่งผลให้เหล่าพระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ อดไม่ได้ที่จะทำตามในไมช้า ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่บรรยายได้ยาก

 

หากจะกล่าวในมุมมองของพระ ก็คงจะเหมือนตอนที่พระสงฆ์ได้พบเจอกับพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกก็ไม่ปาน

ไม่ว่าใครก็ตามที่มายังวัดแห่งนี้และต้องการเข้าไปยังภายในวัดหรือแม้แต่ออกมาจากวัด

พวกเขาต่างก็ถูกพลังพุทธนุภาพของพระอจละองค์นี้ต้องยอมคุกเข่าลงไปทั่วทุกคน จนตอนนี้พวกเขาต่างก็รายล้อมพระอจละองค์นี้จนกลายเป็นวงกลมไปแล้ว

 

“หลวงพ่อครับ เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว” พระองค์หนึ่งวิ่งเข้ามายังหอพระธรรมวินัย ซึ่งในขณะนี้ภายในหอพระธรรมวินัยนั้นนอกจากเจ้าอาวาสแล้วยังมีปรมาจารย์เชิงหยาน และคณะสงฆ์นั่งรายรอบกันอยู่ โดยมีเสี่ยวไจ๋ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น

“เสี่ยวฮุ่ย เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” เจ้าอาวาสถามออกมา

“ประสกซูมาที่นี่และนั่งลงอยู่ที่หน้าประตู ทำให้เหล่าผู้มาเยี่ยมชมวัดต่างนั่งลงคำนับครับ”

 

หลังจากได้ยินแล้ว เจ้าอาวาสถึงกับนิ่งอึ้งในทันที สายตาของปรมาจารย์เชินหยานเองก็ได้ส่องประกายออกมาเล็กน้อย เสี่ยวไจ๋ที่กำลังคุกเข่าพร้อมก้มหน้าอยู่นั้นถึงกับยกหัวหันไปมองในทันที

“แล้วนักท่องเที่ยวจะคุกเข่าคำนับกันทำไม” เจ้าอาวาสถามออกมา

“นั่นก็เพราะว่าประสกซูได้นำพระอจละมาด้วย และตอนนี้เขาเองก็ดูเหมือนจะมีแสงแห่งธรรมเป็นประกายออกมาด้วยครับ”

เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชินหยาน และพระในคณะสงฆ์ท่านอื่นๆต่างหันไปมองหน้ากันอยู่พักใหญ่

ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ลุกขึ้นและรีบเดินไปยังประตูวัดในทันทีโดยมีเสี่ยวไจ๋ เสี่ยวฮุ่ย และพระรูปอื่นๆเดินตามไปติดๆ

โจวฮงหยวนและพระสงฆ์ที่อยู่บริเวณอื่นของวัด เมื่อได้ยินเรื่องราวต่างก็ตรงไปยังประตูหน้ากันในทันที

เมื่อพวกเขาไปถึงก็พบองค์พระอจละตั้งอยุ่ที่หน้าประตูพร้อมทั้งซูจิ้งที่กำลังนั่งขัดสมาธิพร้อมทำการสวดมนต์อยู่

ทันทีที่พวกเขาเห็นแสงพระธรรมที่อยู่ด้านหลังของซูจิ้ง พวกเขาทำได้นิ่งเงียบกันอยู่นานจนในที่สุดเจ้าอาวาสจึงได้พนมมือก่อนที่จะพูดออกมาว่า “อมิตตาพุทธ”

 

หากว่าพวกเขานั้นไม่ใช่ผู้ฝึกฝนสมาธิขั้นสูงมาก่อนล่ะก็ พวกเขาเองก็คงจะไม่ต่างจากเหล่าพระและผู้เยี่ยมชมวัดทีกำลังลงไปคุกเข่าอยู่ในตอนนี้

ยิ่งเป็นคนที่ศึกษาในพระพุทธศาสนามากเท่าไหร่ คนพวกนั้นก็จะยิ่งตกอยู่ในพุทธนุภาพของพระอจละองค์นี้มากเท่านั้น

และภาพในตอนนี้เหมือนกับว่าพวกเขาต่างก็ฝันกลายเป็นจริงโดยทำให้เห็นแสงแห่งธรรมเป็นบุญตาสักครั้งในชีวิตจนได้

ภาพที่เปรียบได้ดั่งเรื่องเล่าโบราณแบบนี้ไม่ใครคาดคิดหรอกว่าจะถูกทำให้เกิดขึ้นได้จากเด็กหนุ่มอายุประมาณ 23-24 ปี ที่ยังไม่ได้บวชเรียนเป็นพระแต่ประการใด

 

เจ้าอาวาสและพระภิกษุรูปอื่นได้แหวกฝ่าฝูงชนเข้าไปก่อนที่จะมาอยู่ตรงหน้าซูจิ้งแล้วเอ่ยถามออกมาว่า “ประสกซูมาที่นี่เพื่อที่จะคุยอย่างนั้นหรือ”

“ประสกซู หรือจะให้อาตมาเรียกว่าผู้ที่ช่วยเปิดดวงตาแห่งธรรมให้อาตมาดีกันล่ะ”

“ดูเหมือนว่าสำหรับในทางพระพุทธศาสนาแล้วประสกซูดูเหมือนจะแตกฉานมากกว่าพวกอาตมาเป็นยิ่งนัก

ทั้งที่จริงๆแล้วประสกซูก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีท่าว่าจะสนใจ หรือประพฤติตัวเหมือนชาวพุทธแม้แต่น้อย

อาตมาคิดว่าประสกสมควรจะยึดมั่นพระพุทธศาสนาอยู่ไว้ในใจมากกว่าแสดงออกมาภายนอก

ในเมื่อประสกซูน่าจะไม่ชอบเมื่อถูกเรียกว่าผู้เปิดดวงตาธรรม งั้นขออาตมาเรียกประสกซูเช่นเดิมก็แล้วกัน”

 

เจ้าอาวาสกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม ท่าทีสงบนิ่ง แต่ก็ยังคงจ้องมองไปยังองค์พระอจละที่ซูจิ้งนำมาตาไม่กระพริบ จนในที่สุด เจ้าอาวาสเองก็ต้องคุกเข่าลง

ซูจิ้งพูดออกมาว่า “ดูเหมือนว่าท่านเจ้าอาวาสจะกำลังตัดสินโทษของลูกศิษย์ของท่านรูปหนึ่งที่มีนามว่าเสี่ยวไจ๋ใช่หรือไม่

ตัวผมเองก็รู้ว่าไม่ควรจะเข้ามารบกวนพวกท่านในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ผมเลยเลือกที่จะนั่งรออยู่ตรงนี้และสวดมนต์ฆ่าเวลารอพวกท่านไปพลางๆเท่านั้นเอง”

 

ประมาจารย์เชิงหยานและโจวฮงหยวนต่างก็หัวเราะออกมา ในขณะที่คนและพระรอบข้างต่างก็พูดอะไรไม่ออก

เพียงเพราะซูจิ้งไม่ถูกชวนให้เข้าไปเลยนั่งรอด้านนอก ว่ามาอย่างนี้เหล่าพระสงฆ์จะทำอะไรได้กัน

พวกเขารู้ในทันทีว่าซูจิ้งต้องการสื่อถึงอะไร เขาเพราะต้องการช่วยเสี่ยวไจ๋เท่านั้นเอง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด