Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 811

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 811 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 811 สมาธิ

 

เจ้าอาวาสและพระรูปอื่นๆต่างก็รู้สึกดีต่อซูจิ้งจิงได้เชิญเขาเข้าไปในวัดหลานเล่อ

เมื่อพวกเขาเห็นว่าซูจิ้งไม่ได้คิดจะขยับพระอจละไปไหน พระลูกวัดคนอื่นจึงได้ตัดสินใจยกพระขึ้นรถและค่อยๆเข็นเข้าไป

พวกเขาค่อยๆเข็นอย่างช้าๆประดุจหอยทากเพราะกลัวว่าองค์พระจะเสียหาย

ผู้เข้าเยี่ยมชมวัดทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้ค่อยๆลุกขึ้นและเดินตามไปอย่างช้าๆ

 

หลังจากเข้ามาในวัดได้แล้ว เหล่าพระลูกวัดก็ได้ห้ามเหล่าผู้เยี่ยมชมวัดเข้าไป เจ้าอาวาสนามซูหยุนได้ถามให้แน่ใจว่า “ประสกซู อาตมายังไม่ทราบเลยว่าประสกมายังวัดและนั่งรอที่หน้าประตูวัดด้วยเหตุผลประการใดกัน มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”

 

“เพื่อความยุติธรรม” ซูจิ้งโพล่งออกมาในทันที

“หึหึ ความยุติธรรมเรื่องใดเล่า” เจ้าอาวาสเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“เพื่อเป็นการเผยแพร่เกียรติประวัติและรักษาเกียรติยศของศิลปะการต่อสู้จีนเอาไว้ พระเสี่ยวไจ๋จึงได้ก้าวออกไปประจันหน้ากับพวกเทควันโดและคาราเต้อย่างกล้าหาญ

 

สิ่งนี้ที่ว่าเป็นเรื่องดีทั้งต่อทางพระพุทธศาสนาและประเทศจีน

ถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศมันก็เปรียบได้ดั่งเรื่องในบ้านของพวกเรา

และในเมื่อเป็นเรื่องของประเทศแล้ววัดหลานเล่อก็สมควรจะเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน

การที่พระเสี่ยวไจ๋ออกไปป้องกันการรุกรานจากต่างประเทศที่เป็นเกียรติยศขนาดนี้ แล้วทำไมพระเสี่ยวไจ๋ถึงยังต้องโดนลงโทษอยู่อีก”

 

“อะไรที่ทำให้ประสกซูคิดว่าที่พูดออกมานั้นมีเหตุมีผลพอแล้ว และอะไรที่ทำให้ประสกซูคิดว่าพวกเราไปอนุญาตให้เสี่ยวไจ๋ไปร่วมประลองยุทธ์กัน”

เจ้าอาวาสหัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า “ในตอนแรกพวกอาตมานั้นสนับสนุนเรื่องการเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้จีนอย่างเต็มที่

แต่อย่างไรก็ตามหากไม่มีกฎ พวกอาตมาก็คงไม่ได้ต่างจากเหล่าอันธพาลสามัญทั่วไป

เหล่าพระเองก็มีสมควรต้องมีกฎเช่นเดียวกัน ก่อนที่เสี่ยวไจ๋จะไปท้าประลองกฎของเรานั้นบังคับให้เสี่ยวไจ๋ต้องทำก่อนในในสองข้อนี้คือ หนึ่ง เสี่ยวไจ๋ต้องขออนุมัติจากอาจารย์ของเขาก่อนจะทำการใดๆ

สอง หากนี่เป็นเรื่องของวัดหลานเล่อก็ยังพอ แต่นี่กลับเป็นเรื่องของประสกซูความจริงแล้วไม่สมควรจะเข้าไปยุ่งแม้แต่น้อย”

 

ซูจิ้งเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้เงียบไปซักพัก คำพูดของเจ้าอาวาสนี้เปรียบได้ดั่งเข็มที่จิ้มเข้ามายังซูจิ้ง จนเห็นเลือดซิบออกมา

เขาเองก็รู้ว่าปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะตัวของเขาเอง ไม่ควรจะให้เสี่ยวไจ๋ออกหน้าแทนแต่อย่างใด

การที่เสี่ยวไจ๋ออกไปอย่างนี้ก็สมควรจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นการลงโทษ

แต่ยังไงซะเขานั้นก็จะไม่ยอมให้เสี่ยวไจ๋ต้องโดนรับโทษโดยที่เขาไม่ทำอะไรอย่างแน่นอน

“ประสกซู ทำไมพวกเราไม่มานั่งลงและคุยกันดีๆเรื่องนี้สักหน่อยล่ะ

หากประสกสามารถทำให้อาตมาเชื่อได้ว่าเสี่ยวไจ๋สามารถเป็นพระภิกษุที่ดีกว่าอาตมาได้

และยังสามารถเดินอยู่ในเส้นทางแห่งพุทธศาสนาได้ล่ะก็ต่อให้ทำตัวอย่างนี้ก็ตาม อาตมาจะไม่ลงโทษเขาแม้แต่น้อย”  เจ้าอาวาสพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

ปรมาจารย์เชิงหยานและคณะสงฆ์ต่างก็ประหลาดใจในคำพูดของเข้าอาวาส

แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็เข้าใจ ความจริงแล้วพวกเขาเองนั้นต่างก็กำลังคุยกันอยู่ว่าจะทำยังไงกับเสี่ยวไจ๋ดี

เพราะหากเข้าไปเรื่องของคนอื่น พวกเขายังตัดสินใจลงโทษได้อย่างง่ายดาย แต่นี่เป็นเรื่องของซูจิ้งที่เป็นคนให้พวกเขายืมหัวใจพระสูตรและพระพุทธมา ทำให้พวกเขาตัดสินโทษได้ลำบาก

นอกจากนี้เจ้าอาวาสยังเห็นว่าทั้งหัวใจพระสูตรและพระพุทธที่ซูจิ้งให้ยืมมา ไหนจะองค์พระอจละและบทสวดมนต์ก่อนหน้านี้ แทบไม่ต้องหยั่งเชิงอะไรอีกแล้วว่าซูจิ้งคนนี้ได้มีความรู้ในทางพุทธศาสนาเหนือล้ำกว่าใครในวัด อาจจะเหนือล่ำกว่าใครในโลกเท่าที่เจ้าอาวาสซูหยุนรู้จักมาเลยก็ว่าได้

นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจ้าอาวาสคิดว่าสมควรต้องจัดการเรื่องนี้อย่างดีเป็นพิเศษ

 

“จะให้ผมไปนั่งสนทนาธรรมสู้กับเจ้าอาวาสผมคงไม่ไหว แล้วอีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นนี้หากจะบอกว่าเป็นเรื่องทางโลกล่ะก็ การไปยุ่งย่ามกับผู้หญิงนี่สิถึงจะเรียกว่าเรื่องทางโลก

แต่หากเจ้าอาวาสต้องการจะลองเปรียบฝีมือกับผมจริงๆ ผมขอเสนอเป็นการทำสมาธิเปรียบกันดีกว่า ดูสิว่าใครจะนั่งได้นานกว่ากัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

หลังจากได้ยินดังนั้น ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยวน เสี่ยวไจ๋ เสี่ยวฮุ่ย และพระรูปอื่นๆที่ได้ยินต่างก็อึ้งกันไปหมด

ซูจิ้งต้องการเปรียบกันเรื่องทำสมาธิเนี่ยนะ เขาไม่รู้รึไงว่าเจ้าอาวาสนั้นสามารถนั่งสมาธิได้นานแค่ไหน เขานั่งนิ่งเป็นหินได้ทั้งวันเลยด้วยซ้ำ

“ตกลง” เจ้าอาวาสยิ้มรับอย่างมีความสุขก่อนที่จะชี้ไปยังอาสนะที่อยู่ตรงหน้าของเขา

ซูจิ้งก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนที่จะตรงยังอาสนะและทำการนั่งขัดสมาธิปิดตาและอยู่นิ่งๆไม่ไหวติงแต่ประการใด

พระรูปอื่นๆเองที่อยู่รอบๆต่างก็ไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาโดยการเป็นการเปรียบกันเรื่องนั่งสมาธิ แถมยังเกิดขึ้นในทันทีซะอีก เมื่อเวลาผ่านไปเหล่าผู้คนต่างก็ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย สามเณรบางคนยังอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอยู่ในใจว่ามีเรื่องให้ทำตั้งเยอะตั้งแยะไม่ทำกลับมานั่งสมาธิเนี่ยนะ ดูซิว่าจะทำได้นานแค่ไหน

 

เหล่าผู้เยี่ยมชมวัดที่ถูกกั้นเอาไว้ด้านนอกเอง พวกเขาหลังจากได้ยินสนทนาและเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้กัน

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆเขาก็นั่งลงไปกับพื้นแถมยังไม่พูดอะไรเลยล่ะ”

“ฉันได้ยินว่าเจ้าอาวาสกำลังลงโทษเสี่ยวไจ๋แต่ซูจิ้งไม่เห็นด้วยจึงได้ประลองการทำสมาธิเพื่อใช้ตัดสินแทน”

“อะไรคือการแข่งกันนั่งสมาธิ”

“มันก็คือการดูว่าใครนั่งได้นานกว่ากัน”

“ฟังแล้วน่าเบื่อจริงๆ ฉันไปดีกว่า”

“ซูจิ้งมีโอกาสชนะด้วยหรอ ต่อให้เขาเข้าใจธรรมะดีแค่ไหนก็ตาม แต่คู่ต่อสู้ของเขาคือเจ้าอาวาสเลยนะ”

“ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูเรื่องไซอิ๋วเลยแหะ มันมีฉากที่พระถั๋งซัมจั๋งนั่งสมาธิเปรียบกับเซียนตนไหนซักคนหนึ่ง แล้วพวกของเซียนออกมาก่อกวนจนไซอิ๋วต้องแอบช่วยเหลือจนสุดท้ายกลายเป็นว่าไซอิ๋วต้องประลองเวทมนต์กับพวกปีศาจแทน

ซูจิ๋งจะต้องทำอะไรบางอย่างเป็นแน่ อย่างการปล่อยแมลงออกมากัดเจ้าอาวาสอะไรแบบนั้น”

“ความคิดนายนี่โคตรชั่วร้ายอ่ะ แต่ฉันชอบนะ”

ตอนนี้ที่ด้านนอกก็ได้มีเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ และด้านในเองก็วุ่นวายไม่น้อยเช่นเดียวกัน

เสี่ยวไจ๋ เสี่ยวฮุ่ย โจวฮงหยวน และพระรูปอื่นที่คิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูจิ้งนั้นจะมีโอกาสชนะทำให้พวกเขาอยู่กันไม่สุขเลยทีเดียว

ตอนนี้ปรมาจารย์เชิงหยานเองก็เตรียมที่จะให้ทุกคนออกไปจากที่นี่ ตามการคาดการณ์ของเขานั้นซูจิ้งไม่แน่จะแพ้ได้ง่ายๆขนาดนั้นอย่างแน่นอน

 

ในตอนนี้ทุกคนที่กำลังมองไปยังซูจิ้งต่างก็ตกตะลึงในสิ่งที่เห็น บางคนถึงกับใช้มือขยี้ตาเลยก็มี แม้แต่ปรมาจารย์เชิงหยานและคณะสงฆ์รูปอื่นเองก็ทำได้เพียงยืนขึ้นมองด้วยความตกตะลึงไม่ต่างกัน

 

ผู้เยี่ยมชมวัดที่อยู่ด้านนอกต่างเริ่มสั่งเกตุเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ เมื่อพวกเขามองไปยังต้นเหตุแล้วต่างก็ทำหน้าโง่งมใส่กัน

สิ่งที่พวกเขาเห็นกันอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ต่อให้พวกเขาไม่ได้ตั้งใจมองแต่ก็ยากที่จะปล่อยให้ละสายตาไป

 

ภาพที่เห็นก็คือหิน หินจริงๆ พวกเขาหินตรงที่ซูจิ้งนั่งกลายเป็นหินที่มีรูปร่างเป็นซูจิ้ง พวกเขาต้องมองใกล้ๆถึงจะเห็นเป็นซูจิ้งจริงๆ

ในกรณีของเจ้าอาวานนั้นเขาแค่นั่งนิ่งจนคล้ายหินเท่านั้น แต่สำหรับซูจิ้งแล้วซูจิ้งนั้นทำให้ตัวเองกลายเป็นหินได้เลย

 

“เป็นไปได้ยังไงกัน” ปรมาจารย์เชิงหยานและคนอื่นๆต่างก็งงกันเป็นไก่ตาแตก พร้อมความเชื่อแต่อย่างใด สิ่งที่ซูจิ้งทำให้พวกเขาเห็นแต่ละอย่างในตอนนี้เทียบได้กับการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเลยด้วยซ้ำ

“ห้ะ” เจ้าอาวานลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียง เป็นธรรมดาที่เขานั้นไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้เพราะรู้สึกได้ว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น แถมเขาเองก็ยังต้องประหลาดใจไม่น้อยไปกว่าพระรูปอื่นในสิ่งที่เห็น

ถ้าว่ากันตามปกติแล้วในตอนนี้ถือได้ว่าเจ้าอาวาสได้แพ้การแข่งขันเรียบร้อยแล้ว ในชั่วขณะที่เขาลืมตา เขาเองก็ยังต้องมองซูจิ้งอย่างละสายตาไม่ได้ หลังจากจ้องไปซักพักเขาก็ได้พนมมือก่อนจะกล่าวออกมาว่า

 

“อามิตตาพุทธ อาตมาแพ้แล้ว”

“ว่าไงนะ เจ้าอาวาสยอมรับความพ่ายแพ้แล้วงั้นรึ”

“ฉันมองเห็นซูจิ้งกลายเป็นหินไปแล้วนะ ตาฉันต้องลายไปแล้วแหงๆ”

เหล่าพระที่พรรษายังไม่แก่หล้าและเหล่าผู้เยี่ยมชมวัดที่อยู่ภายนอกต่างก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

พวกเขาต่างก็คิดว่าการเปรียบเชิงกันในเรื่องการทำสมาธิสมควรที่จะใช้เวลานานกว่าจะรู้ผล

บางคนถึงขนาดที่ว่าพอได้ยินว่าจะแข่งกันทำอะไรแล้วกำลังจะเดินออกไปด้วยซ้ำ พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าอาวาสจะยอมแพ้ในทันที

เรียกได้ว่าจบแบบไม่ทันรู้ตัวกันเลยทีเดียว

 

“เจ้าอาวาสซูหยุน การประลองเพิ่งจะเริ่มขึ้นเอง ทำไมถึงยอมแพ้เร็วนักล่ะครับ” ซูจิ้งเปิดตา เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว่าง

“อาตมามั่นใจได้เลยว่าแพ้แน่นอน อาตมาเชื่อว่าประสกสามารถนั่งได้สามวันสามคืนได้โดยไม่ขยับเลยใช่หรือไม่”

เจ้าอาวาสได้มองไปยังดัวงตาของซูจิ้ง เขามาสามารถซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป เขาถามกลับไปว่า “อาตมาพอจะทราบได้หรือไม่ว่าประสกทำได้อย่างไร”

“ผมเพียงแค่ศึกษาทั้งในทางพุทธ เต๋า และขงจื๊อ” มันเป็นการยากที่ซูจิ้งจะบอกความจริงไปได้ว่าเขานั้นได้ฝึกในวิถีแห่งใต้หล้า ซึ่งเป็นตำราของพระอาจารย์ผูถีจูซือ ผู้เป็นอาจารย์ของหงอคง

สามวันสามคืนหรอโทษทีเถอะ ถ้าเขาจะนั่งจริงล่ะก็คงต้องเป็นเจ็ดวันเจ็ดคืนเป็นอย่างน้อย

 

เมื่อปีก่อนเขานั้นไม่ค่อยได้ฝึกวิถีแห่งใต้หล้านี้ซักเท่าไหร่ เขาจริงลองตั้งใจฝึกแบบจริงจังดูซักหนหนึ่ง

กลายเป็นว่ายิ่งเขาฝึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพบความจริงที่ว่าวิชานี้สุดยอดอย่างแท้จริง

นั่นก็เพราะว่าพลังวิญญาณของเขานั้นได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วขนาดที่ว่าแม้แต่วิถีแห่งมังกรก็ยังเทียบไม่ได้

นอกจากนั้นเขายังรู้สึกได้เลยว่าเขาสามารถผนวกวิธีการฝึกวิถีแห่งใต้หล้าเขากับวิถีแห่งมังกรได้โดยไม่มีความขัดแย้งต่อกัน

นั่นก็เพราะตอนที่เขาทำความเข้าใจกับตำราวิถีมังกรนั้น เขารู้สึกได้ทันทีว่าตำรานี้เหมือนเป็นการฝึกที่เพิ่มเติมจากการฝึกวิถีแห่งใต้หล้า

และนี่เองก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่เขานั่งสมาธิที่หน้าประตูทำไมถึงได้ดูทรงภูมิปัญญานัก

นั่นก็เพราะเขาเปิดใช้งานตำราทั้งสองพร้อมกัน ส่งผลให้พลังวิญญาณของเขานั้นดูมีความศักดิ์สิทธิ์ ทรงพลัง จนสามารถเห็นเป็นแสงออกมา

และด้วยเหตุนี้ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจถึงวิธีการฝึกวิถีแห่งมังกรเพิ่มมากขึ้นอีกนิดหน่อย

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด