Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 863

Now you are reading Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ Chapter 863 at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

GGS:บทที่ 863 ของดีจากเผ่าเอลฟ์

 

สิ่งที่ซูจิ้งดึงออกมาจากขยะห้วงเวลาฯกองหินนั่นก็คือหัวของรูปแกะสลักที่แตกไปครึ่งหนึ่ง

หัวรูปปั้นนี้ถึงจะแตกหายไปครึ่งหนึ่งแล้วแต่ส่วนที่เหลือก็ยังดูมีคุณค่าทางงานศิลป์มากมายยิ่ง

นั่นก็เพราะว่าทั้งรูปลักษณ์และระดับของงานแกะสลักนี้ต่อให้ส่วนสำคัญหายไปแล้วแต่ก็ยังทำให้จินตนาการออกได้ว่าเป็นภาพด้านของสาวงาม

ซูจิ้งได้เคยเห็นงานแกะสลักหิน(ร่างที่ถูกคำสาปของเมดูซ่า)ดีๆมาแล้วหนหนึ่งจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ

เหตุผลที่รูปสลักนั่นดูดีและสมจริงประดุจดั่งมีชีวิตนั่นก็เพราะว่ามันคือคนจริงๆที่ถูกทำให้กลายเป็นหิน

แต่เมื่อเทียบกับงานแกะสลักหินที่อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เขาสัมผัสถึงความรู้สึกของศิลปะอย่างแท้จริงที่แฝงมากับงานแกะนี้ซึ่งให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามาก

งานแกะสลักหิน(ร่างที่ถูกคำสาปของเมดูซ่า)อันนั้น ถึงมาจะไม่ได้สมบูรณ์แต่ก็ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย ราคาที่เขาขายได้นั้นถือได้ว่าสูงสุดฟ้า

แต่เมื่อนำไปเทียบกับรูปปั้นวีนัสไร้แขนที่โด่งดังแล้ว ราคาที่นักสะสมเสนอไว้ยังสูงกว่าของเขามากพอควรอยู่ดี

 

แต่ก่อนที่ซูจิ้งจะเลิกสนใจหัวรูปปั้นครึ่งซีกนี้ เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ออกมาจัดการซ่อมแซมไว้ก่อน

เสี่ยวไป๋ที่ในตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมกระดาษทั้งหลายนั้นได้รีบมาหาซูจิ้งทันทีที่เขาเรียก

มันได้เริ่มซ่อมแซมหัวรูปแกะสลักหินครึ่งซีกนี้ในทันที ด้วยการที่มันเห็นว่าซูจิ้งกำลังเฝ้ามองอยู่ทำให้มันเองรู้สึกว่าต้องทำงานให้หนักเอาหน้าซะหน่อยเลยออกแรงไปเต็มที่

ไม่นานเศษชิ้นส่วนของรูปแกะสลักนี้ได้ลอยออกจากกองขยะหิน และได้ลอยเข้ามาต่อเขากับรูปแกะสลักหินครึ่งซีกนี้และเชื่อมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงนาที ใบหน้าของหญิงสาวที่สมบูรณ์ ผมยาว และมีหูเรียวยาวสองข้าง

ตอนแรกซูจิ้งเองก็นึกว่าการซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว แต่กลายเป็นว่าไม่นานนักชิ้นส่วนอื่นก็ค่อยดันตัวเองออกมาจากกองหิน

ชิ้นส่วนเหล่านั้นค่อยๆลอยมาเชื่อมต่อก็ร่างกาย ด้วยการที่ชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่ได้แตกละเอียดมากมาย

แต่ก็หนักเกินกว่าที่จะเคลื่อนย้ายมาเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็วทำให้กระบวนการซ่อมแซมนี้ใช้เวลาไปประมาณสิบนาที

จนในที่สุดรูปปั้นแกะสลักหินก็ได้เสร็จสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และเมื่อแน่ใจว่าไม่ชิ้นส่วนใดลอยออกมาอีกแล้ว เสี่ยวไป๋ก็หงายหลังลงไปนอนหลับด้วยความเหนื่อยล้าในทันที

 

ซูจิ้งได้มองไปยังรูปแกะสลักหินที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัยอยู่ในใจ พลางนึกไปถึงงานแกะสลักหินที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ

รูปปั้นนั้นมันดูสมจริงและดูมีชีวิตเพราะว่าพวกรูปปั้นเหล่านั้นคือคนจริงๆที่ถูกสาปให้เป็นหิน

แต่กับงานแกะสลักหินที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น เมื่อนำไปเทียบกันแล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าดูดี ไม่สิต้องเรียกว่าสวยงามอย่างสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้

สมบูรณ์แบบจนไม่อยากเบือนหน้าไปมองอย่างอื่นเลยก็ว่าได้ นี่เองคงเป็นสิ่งที่เรียกว่าความแตกต่างกันระหว่างงานศิลป์ที่ดูสมจริง และงานศิลป์ของนางในฝัน ถือว่าเอามาเปรียบกันไม่ได้จริงๆ

“สูงสง่า สง่างาม และขนาดเท่าตัวจริง นี่มันงานแกะสลักภูตรึเปล่านะ” ซูจิ้งนั้นรู้สึกประหลาดในพอสมควร

ชนเผ่าเอลฟ์ในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนนั้นไม่เหมือนเอลฟ์ในห้วงเวลาฯอื่นๆ พวกเขานั้นเป็นชนเผ่าที่มีสัดส่วนดี สวยงาม และชาญฉลาด

พวกเขานั้นมีดีในด้านงานกวี ร้องเพลง แกะสลัก เล่นดนตรี สร้างสิ่งของ ฯลฯ หรือจะกล่าวโดยรวมก็คือทำได้ดีในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นงานศิลป์เลยก็ว่าได้

พวกเขานั้นมีสติปัญญาที่สูงล้ำกว่าชนเผ่ามนุษย์ ไม่แก่ ไม่ป่วย และมีอายุยืนนานราวกับเป็นอมตะ มีเพียงไฟ เหล็กแหลมคม และความโศกเศร้าเท่านั้นที่สามารถพรากชีวิตของพวกเขาไปได้

จึงไม่แน่แปลกอะไรที่ทุกๆคนในเผ่าเอลฟ์นั้นจะมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว ถ้ามนุษย์มีอายุยืนนานจนสามารถมีเวลาพอจะฝึกฝนบางสิ่งได้ด้วยเวลาร้อยปี ความสามารถของมนุษย์เองคงไม่ต่างกัน

แล้วก็สามารถเป็นคนที่มีความรู้มากมายได้โดยการเรียนรู้นับพันปีก็เป็นไปได้ไม่ยากอะไรนัก

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเอลฟ์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดในงานฝีมือต่างๆได้ แม้แต่งานแกะสลักหินเองก็ไม่ต่างกัน

หากเป็นพวกเขาล่ะก็ งานแกะสลักหินอย่างวีนัสไร้แขนนั่นสามารถสร้างได้หลายร้อยตัวอย่างแน่นอน

เขานั้นรู้สึกหลงใหลในรูปแกะสาวงามที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างมาก หากว่างานพวกนี้มาจากเผ่าเอลฟ์จริงล่ะก็

งานแกะสลักหินนี้ก็สมควรจะไม่ใช่งานศิลป์อย่างแน่นอน รูปแกะสลักนี้สมควรเป็นของรูปปั้นตกแต่งธรรมดาเหมือนดังรูปปั้นต่างๆที่อยู่ตามสวนสาธารณะหรือข้างถนนบนโลกใบนี้

 

ซูจิ้งยังคงรื้อขยะห้วงเวลาฯกองหินนี้ต่อไป สักพักเขาพบงานแกะสลักหินที่น่าจะเป็นงานของช่างแกะสลักหินชั้นยอดชิ้นหนึ่ง

ถึงแม้มันจะแตกไปแล้วก็ตามแต่มันก็แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสที่จะเจองานแกะสลักสาวงามนี้อยู่อีกในขยะฯกองหินกองนี้

 

ซูจิ้งได้ทำการคัดแยกขยะกองหินทั้งหมดจนสามารถคัดแยกเป็นกองๆตามประเภทที่เขาพอจะแยกได้เพื่อที่จะรอให้เสี่ยวไป๋ซ่อมให้เขา

น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่มีชิ้นส่วนอื่นลอยออกมา เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะยังถูกแกะไม่เสร็จดีแล้วโยนทิ้งมา เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้กับเรื่องนี้ทำได้เพียงให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมเท่าที่จะเป็นไปได้ ดีกว่าปล่อยทิ้งไปเฉยๆ

ความจริงแล้วเขานั้นอยากจะซ่อมแซมพวกมันให้เสร็จในทันทีที่เจอด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่พลังของเสี่ยวไป๋นั้นอ่อนแอไปหน่อย ไม่สามารถซ่อมแซมได้ต่อเนื่องมากนัก

เขาเองได้แต่คิดว่าอยากจะหาวิธีเพิ่มพลังให้เสี่ยวไป๋อยู่เหมือนกัน ไม่ก็จัดต้องทีมซ่อมแซมแบบเสี่ยวไป๋ขึ้นมาสักทีม สำหรับเขาแล้วการที่ได้เสี่ยวไป๋มานี่ถือได้ว่าโชคดีและได้ประโยชน์อย่างแท้จริงเลยทีเดียว

 

ซูจิ้งได้จัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป โดยครั้งนี้เขาได้จัดการขยะกองไม้ หลังจากเขาได้ทำการรื้อจนกระจุยกระจายไปแล้ว

เขาได้พบกับไม้ชิ้นใหญ่ยักษ์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสามเมตรและมีความยาวกว่าห้าไม่ก็หกเมตรเห็นจะได้ ไม้นี้ยังมีกิ่งก้านสาขาอยู่ แต่ที่แปลกตาที่สุดนั่นก็คือมีใบไม้สีทอง

ซูจิ้งเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป เขาเองได้ทำการตรวจสอบท่อนไม้ใหญ่ท่อนนี้อย่างระมัดระวัง ยิ่งเขาตรวจสอบมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น

เขาได้ทดลองเลือกกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากมันมาก้านหนึ่งโดยได้ลองพยายามที่จะหักมันออกมาดู โดยกิ่งที่เขาเลือกนี้มีขนาดเพียง2เซนติเมตรเท่านั้น

เขาได้ลองใช้แรงที่สามารถหักกิ่งไม้ขนาด10เซนติเมตรได้สบายๆ แต่เจ้ากิ่งนี้กับเพียงแค่โค้งงอเท่านั้น พอเขาปล่อยกิ่งนี้มันก็ดีดตัวเองเข้าที่มันเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ซูจิ้งนั้นรู้สึกประหลาดใจจนต้องพูดออกมาว่า “เจ้านี่มันต้นเมรอนไม่ใช่เหรอเนี่ย”

ต้นเมรอนสำหรับในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั้น เป็นต้นไม้พื้นถิ่นของเกาะอิริเซีย ดินแดนแห่งนิรันด์ ต่อมาได้ถูกนำออกไปจากเกาะโดยนูมานอล

ต้นไม้ที่ถูกนำออกไปนั้นได้รับการดูแลโดยราชินีเอลฟ์คาลันเดีย และต่อมาได้ถูกขนามนามป่าที่เต็มไปด้วยต้นเมรอนนี้ว่าป่าทองคำ

ใบไม้ของต้นเมรอนนี้จะกลายเป็นสีเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และผลัดใบในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงใบไม้ผลินี้ใบไม้สีทองของต้นเมรอนจะปลุกคลุมผิวดินจนเหลืองอร่าม และในระหว่างนั้นต้นเมรอนก็จะค่อยๆผลิใบใหม่เริ่มตั้งแต่สีเขียว เงิน จนกลายเป็นสีทองในที่สุด

ต้นเมรอนนี้สุดท้ายก็ได้กระจายไปอยู่แทบทุกทวีปในมิดเดิ้ลเอิร์ธ ยกเว้นที่หุบเขาแห่งเชร์เท่านั้นที่ไม่มีต้นไม้นี้เนื่องจากราชินีเอลฟ์ดันไปมอบเมล็ดพันธุ์ให้แซมวิสการ์ดเนอร์เป็นของขวัญแล้วเขานั้นดันเก็บดีไปนิดนึง

 

ซูจิ้งในตอนนี้รู้สึกดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็เพราะว่าเขานั้นได้นึกถึงธนูขององค์ชายเอลฟ์ที่สายธนูทำมาจากเส้นผมของสาวชาวเอลฟ์ แต่ตัวคันศรนั้นทำมาจากแก่นของต้นเมรอนนี่เอง

นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าชายองค์นั้นยิงเป้าร้อยครั้งเข้าเป้าร้อยครั้ง ยิงธนูนัดเดียวได้นกสามตัว และยิงธนูนัดเดียวทะลุกะโหลกหัวช้างแมมม็อธตัวยักษ์ได้อย่างง่ายดาย

 

ก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้อ่านตัวอักษรบางอย่างจากเสื้อผ้าของเอลฟ์ที่เขาเจอ หลังจากนั้นเขาได้เส้นผมของภูต ตามมาด้วยไม้เมรอนนี่อีก ตอนนี้เขามีความมั่นใจแล้วว่าสามารถที่จะสร้างธนูภูตได้อย่างแน่นอน

ตอนนี้ที่เขาต้องการขาดไปเพียงอย่างเดียวก็คือวิธีการทำลูกธนู หากเขารู้วิธีและสามารถทำได้ล่ะก็ เมื่อเขาใช้ธนูภูตนี่เมื่อไหร่ แน่นอนว่าอานุภาพของมันต้องมหาศาลด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันเปี่ยมล้นอย่างแน่นอน

 

ถึงแม้ว่าในตอนนี้กำแพงมิติของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้นั้นจะแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญต่อภยันตรายทั้งหลายได้อย่างไม่ต้องกังวลก็ตาม

แต่ซูจิ้งก็รู้ดีว่าในอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน และอะไรก็อาจจะเกิดขึ้นทั้งนั้น ใครจะไปรู้อยู่อาจจะมีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังพอขนาดที่แตะแล้วกำแพงมิติพังเลยก็ได้

ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากในตอนนี้ธุรกิจทั้งหลายของเขาในตอนนี้ได้เด่นสะดุดตาจนอาจทำให้คนหลายๆคนต้องสูญเสียธุรกิจของตัวเองไป แล้วจะมีอะไรรับกันว่าคนเหล่านั้นจะไม่หาทางเล่นงานเขากันล่ะ

เขาแน่ใจในตอนนี้ต้องมีหลายกลุ่มที่กำลังเฝ้ารอโอกาสเล่นงานเขาอย่างแน่นอน ต่อให้ยังดูสงบนิ่งอยู่ แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขานั้นยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะกล้าเล่นงานเขาก็เท่านั้นเอง

ยิ่งไปกว่านั้นหากเขานั้นยังคงพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆอย่างนี้ล่ะก็ เรื่องอาจลุกลามไปถึงระดับประเทศเลยก็ได้ หากเรื่องเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นแล้วก็คงยากที่จะบอกว่าปลอดภัยได้อีกต่อไป

 

ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขานั้นจะดูทรงพลัง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไร้เทียมทาน ต่อให้คนทั่วไปเล่นงานเขาไม่ได้ อาวุธทั่วไปเล่นงานเขาไม่ได้

แต่ถ้าหากอีกฝ่ายมีทั้งกองทัพ จรวด ระเบิด ปืนกล รถถัง หรือแม้แต่อาวุธจำพวกคลื่นความร้อนล่ะ

แน่นอนว่าหากเขาต้องเผชิญหน้ากับของพวกนั้นแล้ว ตัวเขาเพียงคนเดียวไม่มีทางสู้ไหวอย่างแน่นอน

และหากเขามีเพียงตัวคนเดียวจริงก็คงแค่หนีหายไป แต่นี้เขานั้นมีทั้งครอบครัว เพื่อน และคนที่รักอยู่ จะให้หนีโดยทิ้งคนพวกนี้ไว้น่ะรึ ไม่มีทาง

ในตอนนี้นั้นการกลายเป็นขุมพลังอันแข็งแกร่งให้ได้นั้นถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก เขาเองก็พยายามไม่ไปก่อกวนใครก่อนและสั่งสมความแข็งแกร่งนี้ไปเรื่อยๆ

เขาเองก็ได้แต่หวังว่ากว่าทุกคนจะรู้ตัวเรื่องเขานั้น ก็ขอให้เป็นตอนที่ไม่มีใครสักคนบนโลกใบนี้ต่อกรเขาได้แล้วก็พอ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด