กระบี่จงมา 877.2 ต่างคนต่างมีท่าเรือ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 877.2 ต่างคนต่างมีท่าเรือ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจิ้งจวี​จงเคย​รับปาก​ชุย​ฉาน​ว่า​จะช่วย​ปกป้อง​มรรคา​ให้​ศิษย์​น้อง​เล็ก​ของ​เขา​ระยะทาง​หนึ่ง​

หาก​นี่​ยัง​ไม่ใช่การปกป้อง​มรรคา​อีก​ แล้ว​แบบ​ไหน​จึงจะใช่?

ชุยตง​ซาน​เอ่ย​อย่าง​อัดอั้น​ “คน​บางคน​ก็​ดีแต่​รังแก​ที่​อาจารย์​ข้า​อายุ​น้อย​ ขอบเขต​ไม่สูง”

เจิ้งจวี​จงหยุด​เดิน​

ไม่ถือสา​ที่​ชุยตง​ซาน​พูดจา​กระทบกระเทียบ​ ก็​แค่​รู้สึก​ว่า​คำพูด​ประโยค​นี้​ของ​ชุยตง​ซาน​พูด​เหมือน​คนอ่อนแอ​เกินไป​

คนอ่อนแอ​ไม่ใช่ว่า​ร่างกาย​บอบบาง​ มือ​เท้า​ไร้​กำลัง​ ไม่ใช่มนุษย์​ธรรมดา​ใน​สายตา​ของ​คน​บน​ภูเขา​ แล้วก็​ไม่ใช่คนกลาง​ภูเขา​ใน​สายตา​ของ​ผู้ฝึก​ตน​บน​ยอดเขา​

แต่​เป็น​คน​ที่​เวลา​เจอ​เรื่อง​อะไรก็ตาม​แต่​ มักจะ​ชอบ​หา​ข้ออ้าง​ เป็น​เพราะ​นิสัยใจคอ​ของ​คน​คน​นั้น​อ่อนแอ​เกินไป​

ชุยตง​ซาน​ชูสอง​มือขึ้น​ “ถือว่า​ข้า​ผายลม​ก็แล้วกัน​”

น้อย​ครั้ง​นัก​ที่​ต้อง​สะอึก​อึ้ง​พูดไม่ออก​เช่นนี้​

ใคร​ให้​เจ้าคน​ที่อยู่​ข้าง​กาย​ก็​คือ​เจิ้งจวี​จงเล่า​

อาจารย์​ผู้​มีพระคุณ​ที่​ถ่ายทอด​มรรคา​ให้​กับ​เจิ้งจวี​จงอย่าง​เฉินจั๋ว​หลิว​คน​พิฆาต​มังกร​ ต่อให้​เขา​ยินดี​ออก​กระบี่​ แต่​ก็​ไม่แน่​เสมอไป​ว่า​จะปกป้อง​อาณาเขต​ของ​หลง​โจว​ได้​อย่าง​ครอบคลุม​ขนาด​นี้​

ใน​ความเห็น​ของ​ชุยตง​ซาน​ คน​ที่​คู่​ควรจะ​ถูก​เรียก​ว่า​เป็น​ผู้​บรรลุ​มรรคา​ที่​มีพร้อมทั้ง​ป้องกัน​และ​โจมตี​อย่าง​แท้จริง​ มีน้อย​จน​นับ​นิ้ว​ได้​ เจ้านคร​จักรพรรดิ​ขาว​ยึด​ครองตำแหน่ง​หนึ่ง​ใน​นั้น​ไป​ได้​อย่าง​มั่นคง​

ชุยตง​ซาน​สอด​สอง​มือ​ไว้​ใน​ชาย​แขน​เสื้อ​ ถามว่า​ “ใน​เมื่อ​เรื่องราว​ก็​ยุติ​ลง​แล้ว​ ยัง​จะเดินเล่น​อยู่​ที่นี่​อีก​หรือ​?”

เจิ้งจวี​จงกล่าว​ “ข้า​กำลัง​รอ​ทาง​หนี​ที​ไล่​อย่าง​ที่สอง​ของ​เฉิน​ผิง​อัน​อย่าง​ห​ลี่​ซีเซิ่ง แต่​เฉิน​ผิง​อัน​ก็​ยัง​ใจอ่อน​เกินไป​ ทั้ง​ไม่ยินดี​จะขอร้อง​ข้า​ แล้วก็​ไม่ยินดี​จะถ่วงเวลา​การ​ฝึก​ตน​ของ​ห​ลี่​ซีเซิ่ง ก็​เลย​ได้​แต่​ทำการค้า​กับ​ข้า​แทน​”

คน​ผู้​หนึ่ง​ที่​ตบะ​และ​ศักยภาพ​ไม่สามารถ​ใช้ขอบเขต​สูงต่ำ​ ไม่สามารถ​ใช้หลักการ​ทั่ว​ไปมา​ประเมิน​ได้​

หลิ่ว​ชื่อ​เฉิงผู้​เป็น​ศิษย์​น้อง​เคย​นำ​ความ​ของ​ห​ลี่​ซีเซิ่งมาบอกต่อ​แก่​ตน​

เจิ้งจวี​จงจึงรอคอย​อย่างยิ่ง​ที่จะ​ได้​เล่น​หมากล้อม​กับ​ห​ลี่​ซีเซิ่ง

ชุยตง​ซาน​ถาม “หาก​อาจารย์​ของ​ข้า​ขอร้อง​ท่าน​ จะเป็น​อย่างไร​?”

เจิ้งจวี​จงกล่าว​ “ยัง​จะเป็น​อย่างไร​ ข้า​ไม่มีทาง​ตอบ​ตกลง​”

จู่ๆ ซิ่ว​ไฉเฒ่าคน​หนึ่ง​ก็​มาโผล่​ด้านหลัง​คน​ทั้งสอง​ เอา​มือหนึ่ง​กดหัว​ชุยตง​ซาน​แล้ว​ผลัก​ออก​ไป​ด้าน​ข้าง​ ยื่นมือ​มาคว้า​แขน​เจิ้งจวี​จงเอาไว้​ หัวเราะ​ฮ่าๆ เอ่ย​ว่า​ “อาจารย์​เจิ้ง อาจารย์​เจิ้ง โปรด​หยุด​ก่อน​ ไป​ กลับ​ไป​ดื่ม​ชากัน​”

เจิ้งจวี​จงหยุด​เดิน​ ส่าย​หน้ายิ้ม​เอ่ย​ “อาจารย์​เห​วิน​เซิ่ง ชาคง​ไม่ดื่ม​แล้ว​”

ซิ่ว​ไฉเฒ่าพูด​ด้วย​สีหน้า​จริงจัง​ “อาจารย์​เจิ้งโปรด​ไว้หน้า​ข้า​ด้วย​!”

อุตส่าห์​พูดจา​ตรงไปตรงมา​ขนาด​นี้​แล้ว​ ก่อนหน้า​นั้น​เร่งร้อน​เดินทาง​มายัง​ภูเขา​ลั่วพั่ว​ แอบ​ฟังมาตลอดทาง​ ในที่สุด​ซิ่ว​ไฉเฒ่าก็​อด​ทนไม่ไหว​แล้ว​ แน่นอน​ว่า​เจิ้งจวี​จงย่อม​รู้ดี​อยู่​แก่​ใจ ก็​แค่​ไม่ได้​เปิดโปง​เท่านั้น​

เจิ้งจวี​จงสะอึก​อึ้ง​พูดไม่ออก​

เป็นเรื่อง​ที่​ไม่เคย​เกิดขึ้น​มาก่อน​

ซิ่ว​ไฉเฒ่าขยุ้ม​ชาย​แขน​เสื้อ​ของ​เจิ้งจวี​จงเอาไว้​แน่น​ เอ่ย​เสียง​บา​ “คน​ฉลาด​ไย​ต้อง​ทำให้​คนดี​ลำบากใจ​ด้วย​เล่า​”

ชุยตง​ซาน​เงียบงัน​ไม่พูดไม่จา​ เอาแต่​มอง​ใบ​หน้าด้าน​ข้าง​ของ​ซิ่ว​ไฉเฒ่าอย่าง​เหม่อลอย​

เจิ้งจวี​จงหัวเราะ​ หันไป​มอง​ทาง​โต๊ะ​ พยักหน้า​เอ่ย​ “น้ำชา​ของ​ภูเขา​ลั่วพั่ว​ไม่เลว​เลย​จริงๆ​ ถ้าอย่างนั้น​ข้า​ก็​จะใช้ทรัพย์สิน​ของ​คนอื่น​มาสร้าง​ประโยชน์​ให้​กับ​ตัวเอง​ เชิญเห​วิน​เซิ่งดื่ม​ชา?”

ซิ่ว​ไฉเฒ่าลาก​เจิ้งจวี​จงเดิน​กลับ​ไป​ หัวเราะ​ร่า​เอ่ย​ว่า​ “ประเสริฐ​ยิ่ง​แล้ว​!”

ทว่า​ชุยตง​ซาน​กลับ​ยัง​ยืน​อยู่​ที่​เดิม​

ซิ่ว​ไฉเฒ่าหันมา​ถลึงตา​ใส่ “มัว​ยืน​อึ้ง​อยู่​ทำไม​ รีบ​ไป​ริน​น้ำชา​เข้า​สิ เจ้านี่​ตาไม่มีแวว​เอา​เสีย​เลย​ แย่​กว่า​หมี่​ลี่​น้อย​ตั้ง​หนึ่ง​แสน​แปด​พัน​ลี้​!”

ชุยตง​ซาน​เค้น​รอยยิ้ม​ออกมา​ แล้ว​วิ่ง​ตุปัดตุเป๋​ไป​แย่ง​หน้าที่​ยก​น้ำ​ส่งชาที่​โต๊ะ​

ซิ่ว​ไฉเฒ่าใช้เสียง​ใน​ใจเอ่ย​กับ​เจิ้งจวี​จง “ขอบคุณ​มาก​”

ยาม​ที่​ขอร้อง​คนอื่น​ต้อง​หน้าหนา​ ตอนที่​ขอบคุณ​คนอื่น​ต้อง​หน้าบาง​

เจิ้งจวี​จงมอง​แผ่น​หลัง​ของ​เด็กหนุ่ม​ชุด​ขาว​แล้ว​ใช้เสียง​ใน​ใจตอบ​ว่า​ “เห​วิน​เซิ่งไม่ต้อง​ขอบคุณ​ อันที่จริง​ข้า​เอง​ก็​มีใจเห็นแก่ตัว​ เขา​จะไม่ใช่ลูกศิษย์​คน​แรก​ของ​สาย​เห​วิน​เซิ่งก็ได้​ แต่​เขา​จำเป็นต้อง​เป็น​ซิ่ว​หู่​คน​ใหม่​ที่​แข็งแกร่ง​ยิ่งกว่า​เดิม​”

ซิ่ว​ไฉเฒ่าไม่ยอมรับ​และ​ไม่ปฏิเสธ​ “วันหน้า​ข้า​จะต้อง​ไป​เป็น​แขก​ที่​นคร​จักรพรรดิ​ขาว​บ่อยๆ​ แน่นอน​”

เจิ้งจวี​จงยิ้ม​กล่าว​ “เห​วิน​เซิ่งขาด​สุรา​ ข้า​สามารถ​ให้​คน​เอา​ไป​ส่งให้​ที่​ศาล​บุ๋น​ได้​”

เห็นได้ชัด​ว่า​เป็น​คำเตือน​ว่า​เจ้าซิ่ว​ไฉเฒ่าอย่า​ได้​ไป​ที่นั่น​เลย​

ซิ่ว​ไฉเฒ่ากระทืบเท้า​พูด​บ่น​ “จะมาเกรงใจ​ข้า​ทำไม​ ห่างเหิน​กัน​เกินไป​แล้ว​นะ​!”

……

ใต้​หล้า​สี่แห่ง​ ฤดูกาล​มีความต่าง​ มีใบไม้​ร่วง​ ร้อน​ ใบไม้​ผลิ​ หนาว​เหมือนกัน​พอดี​ ต่าง​ก็ได้​ครอบครอง​กัน​อย่าง​ละ​ฤดูกาล​

ห้า​นคร​สิบสอง​หอ​เรือน​ของ​ป๋า​ยอ​วี้​จิง ห้า​นคร​ใน​นั้น​แบ่ง​ออก​เป็น​นคร​ชิงชุ่ย​ นคร​ห​ลิง​เป่า​ นคร​หนัน​หัว​ นคร​เสิน​เซียว​ นคร​อวี้​ก่า​ง

ด้านใน​นคร​ชิงชุ่ย​มีที่ตั้ง​เก่า​ของ​หุบเขา​หา​น​กู่​ สระ​เหมี่ยว​ฉือ​ ป่า​ท้อ​ของ​นคร​เสิน​เซียว​ รวมไปถึง​ ‘สถานที่​เมฆขาว​ก่อกำเนิด​’ ล้วน​เป็น​สถานที่​ที่​ทิวทัศน์​งดงาม​มีชื่อเสียง​เลื่องลือ​ไป​ทั้ง​ใต้​หล้า​

รอง​เจ้านคร​ของ​นคร​ทั้ง​ห้า​ จำนวน​มีตั้งแต่​หนึ่ง​ถึงสอง​สามคน​ ไม่เท่ากัน​ ล้วน​ขึ้นอยู่กับ​ความพอใจ​ของ​เจ้านคร​ อย่าง​นคร​หนัน​หัว​ก็​มีมาก​ถึงสามคน​ บิน​ทะยาน​หนึ่ง​คน​เซียน​เห​ริน​สอง​คน​ หาก​ศิษย์​พี่​อวี๋​โต้​ว​ไม่ห้าม​ไว้​ ลู่​เฉิน​ก็​สามารถ​เพิ่ม​รอง​เจ้านคร​ได้​อีก​สอง​ถึงสามคน​ ถึงขั้น​จะยอม​แหก​กฎ​ให้​ขอบเขต​หยก​ดิบ​รับหน้าที่​เป็นรอง​เจ้านคร​ด้วยซ้ำ​ไป​

ป๋า​ยอ​วี้​จิงมีแค่​หนึ่ง​นคร​กับ​สอง​หอ​เรือน​เท่านั้น​ที่​มีความเคยชิน​ใน​การข้าม​ปี​พอๆ กับ​ขนบธรรมเนียม​ของ​ล่าง​ภูเขา​ นคร​ชิงชุ่ย​ที่​มีอีก​ชื่อว่า​ ‘นคร​อวี้​หวง​’ และ​ยังมี​หอ​อวิ๋นสุ่ย​กับ​หอ​หลิน​หลา​ง

เด็กน้อย​สอน​เขียน​ยันต์​ท้อ​ นักพรต​มอบให้​กลับคืน​ทุกปี​

ไม่หลับ​ไม่นอน​เพื่อ​เฝ้าคืน​ โลก​มนุษย์​มีอายุ​เพิ่ม​อีก​หนึ่ง​ปี​ ขอพร​ให้​กับ​ใต้​หล้า​ ทุก​บ้าน​ทุก​ครอบครัว​ราบรื่น​ปลอดภัย​ มีความสุข​สมหวัง​

สำหรับ​ผู้ฝึก​ตน​ที่​ไม่รู้​ร้อน​รู้​หนาว​แล้ว​ อันที่จริง​นี่​คือ​ปัญหา​ที่​ไม่ใหญ่​ไม่เล็ก​อย่างหนึ่ง​ กลอน​คู่​ที่​ต้อง​ติด​ก่อน​วัน​ปีใหม่​ พอ​ถึงเทศกาล​หยวน​เซียว​ก็​ต้อง​เอา​ลง​

อีก​ทั้ง​ยัง​ต้อง​วาด​ยันต์​ท้อ​ แขวน​ไว้​ตามที่​ต่างๆ​ โชคดี​ที่​เคยชิน​จน​กลาย​เป็นธรรมชาติ​ไป​แล้ว​ จึงกลายเป็น​ว่า​ดีขึ้น​มาหน่อย​ แล้ว​นับประสาอะไร​กับ​ที่​คน​ที่​มีความสุข​ที่สุด​ยังคง​เป็น​พวก​นักพรต​น้อย​ที่​อายุ​ไม่มาก​ทั้งหลาย​ ไม่เพียงแต่​ครึกครื้น​สนุกสนาน​ ประเด็นสำคัญ​คือ​ยัง​ได้​ซอง​แดง​มาอีก​กอง​ใหญ่​ จับกลุ่ม​แวะเวียน​ไป​ตาม​บ้าน​ต่างๆ​ ไป​สวัสดี​ปีใหม่​กับ​พวก​ผู้อาวุโส​ทั้งหลาย​ ได้เงิน​เกล็ด​หิมะ​สอง​สามเหรียญ​มาจาก​ตรงนี้​ ได้​อีก​สามสี่เหรียญ​จาก​ตรงนั้น​ บางครั้ง​ยัง​ได้​ซอง​แดง​ซอง​ใหญ่​ที่​บรรจุ​เงินร้อน​น้อย​ไว้​หนึ่ง​ถึงสอง​เหรียญ​อีกด้วย​ เอา​มารวมกัน​แล้วก็​กลายเป็น​เงิน​ยา​สุ้ย​ก้อน​ไม่เล็ก​เลย​

เรื่อง​ที่​มีความสุข​ที่สุด​ก็​หนี​ไม่พ้น​ได้​เจอ​กับ​เจ้าลัทธิ​ลู่​ที่​ใจกว้าง​แล้ว​ ให้​ที​ก็​เป็น​เงิน​ยา​สุ้ย​สอง​เหรียญ​เงินร้อน​น้อย​หรือไม่​ก็​เงิน​ฝน​ธัญพืช​ เห็น​ใคร​คน​นั้น​ก็ได้​ ทุกๆ​ วัน​ที่หนึ่ง​ของ​ปีใหม่​ ขอ​แค่​เจ้าลัทธิ​ลู่​ไม่ได้​ไป​ฟ้านอก​ฟ้า หรือไม่​ได้​ออกจาก​บ้าน​เดินทางไกล​ มือซ้าย​ก็​จะให้​ซอง​แดง​เล็ก​ มือขวา​ให้​ซอง​แดง​ใหญ่​ บอก​ให้​พวก​นักพรต​น้อย​เข้าแถว​เรียง​กัน​ เจ้าลัทธิ​ลู่​จะถามพวก​นักพรต​น้อย​หนึ่ง​คำถาม​ ตำรา​ลัทธิ​เต๋า​ คัมภีร์​ หาก​ตอบ​ถูก​ก็​จะให้​ซอง​ที่​บรรจุ​เงิน​ฝน​ธัญพืช​ ตอบ​ไม่ถูก​ก็ได้​แค่​เงินร้อน​น้อย​ อันที่จริง​คำถาม​ล้วน​ง่าย​มาก​

น่าเสียดาย​ที่​ปลายปี​ของ​ปี​นี้​ เจ้าลัทธิ​ลู่​ไม่ได้​อยู่​ที่​ป๋า​ยอ​วี้​จิง พวก​นักพรต​น้อย​กลุ่ม​หนึ่ง​มาสุมหัว​กัน​ ทุกคน​ร่วมกัน​วางแผน​ ปรึกษา​กัน​ไว้​เรียบร้อย​แล้ว​ ไม่ว่า​จะอย่างไร​ก็​ต้อง​ให้​เจ้าลัทธิ​ลู่​เอา​ซอง​แดง​มาชดเชย​ให้จงได้​ ติดหนี้​ได้​แต่​ไม่อาจ​ติดเงิน​

เจีย​งอ​วิ๋น​เซิงอยู่​ใน​สถานที่​ที่​เล่าลือ​กัน​ว่า​เป็น​สถานที่​ก่อกำเนิด​เมฆขาว​ทุก​ก้อน​บน​โลก​มนุษย์​พึมพำ​ว่า​ “ดู​จาก​ท่าทาง​แล้ว​ ใต้​หล้า​เปลี่ยว​ร้าง​คง​เละ​เป็น​โจ๊ก​หม้อ​หนึ่ง​แล้ว​” จากนั้น​ ‘นักพรต​น้อย​’ ที่​เฝ้าประตู​ของ​ภูเขา​ห้อย​หัว​มานาน​หลาย​ปี​คน​นี้​ก็​สังเกตเห็น​ว่า​บน​ม่าน​ฟ้าพลัน​มีประตู​ใหญ่​บาน​หนึ่ง​โผล่​ขึ้น​มา ถึงกับ​ถูก​แสงกระบี่​บังคับ​ฟัน​เปิด​

เห็นภาพ​เหตุการณ์​นี้​แล้ว​ ใน​ป๋า​ยอ​วี้​จิงก็​มีเหล่า​เซียน​ซือ​และ​เต้า​กวาน​พา​กัน​จับกลุ่ม​พุ่ง​ทะยาน​ตรง​ไป​ราวกับ​กลุ่ม​หิ่งห้อย​

บริเวณ​ใกล้เคียง​กับ​ประตู​ใหญ่​ที่​ถูก​หนิง​เหยา​ใช้กระบี่​ฟัน​เปิด​

เต้า​กวาน​สอง​กลุ่ม​ของ​ใต้​หล้า​มืด​สลัว​ต่าง​ก็​ขี่​ลม​ทะยาน​ตัว​หยุดนิ่ง​ แบ่งแยก​ขอบเขต​ชัดเจน​ เพราะ​แค่​เห็น​ขี้หน้า​กัน​ก็​รังเกียจ​แล้ว​

ฝั่งหนึ่ง​คือ​เต้า​กวาน​ที่​รับ​ตำแหน่ง​ตาม​ระบบ​ระเบียบ​ของ​ป๋า​ยอ​วี้​จิง

อีก​ฝ่าย​หนึ่ง​คือ​กองกำลัง​ตระกูล​เซียน​ที่​เป็น​ผู้นำ​ของ​แต่ละ​เขต​อย่าง​พวก​อาราม​เสวียน​ตู​ใหญ่​ ตำหนัก​สุ้ยฉู​ ภูเขา​ไฉ่โซว​

ฝ่าย​หลัง​ขยับ​ไป​รวมตัวกัน​อยู่​กับ​นักพรต​ผู้เฒ่า​ซุน​คล้าย​ตั้งใจ​คล้าย​ไม่ได้​เจตนา​ คุมเชิง​กับ​ผู้ฝึก​ตน​ของ​ป๋า​ยอ​วี้​จิงอยู่​ไกลๆ​ สอง​ฝ่าย​วางท่า​ว่า​จะเป็นน้ำ​บ่อ​ที่​ไม่ยุ่ง​กับ​น้ำ​คลอง​

นอกจากนี้​ยังมี​ผู้ฝึก​ตน​กระจัดกระจาย​อีก​บางส่วน​ที่​ไม่เข้ากับ​ทั้งสองฝ่าย​ ส่วนใหญ่​ล้วน​เป็น​ผู้ฝึก​ตน​อิสระ​แห่ง​ป่า​เขา​ที่​ไม่ได้​อยู่​ใน​ทำเนียบ​ที่​ถูกต้อง​ของ​ลัทธิ​เต๋า​ หรือไม่​ก็​เป็น​พวก​ที่​ฝึก​วิชา​นอกรีต​ซึ่งไม่ได้รับ​การ​ยอมรับ​จาก​ป๋า​ยอ​วี้​จิง

ทั้ง​สามฝ่าย​ต่าง​ก็​อยาก​เป็น​พยาน​ใน​ภาพ​เหตุการณ์​อัน​ยิ่งใหญ่​ของ​การ​ ‘ย้าย​ดวงจันทร์​’ ครั้งนี้​กับ​ตา​ตัวเอง​ เพราะ​ถูก​กำหนด​มาแล้ว​ว่า​จะต้อง​ถูก​บันทึก​ลง​ใน​ตำรา​ประวัติศาสตร์​ สืบทอด​กัน​ไป​อีก​พันปี​หมื่น​ปี​

ป๋า​ยอ​วี้​จิงมีเต้า​กวาน​กลุ่ม​หนึ่ง​ที่​ใส่ใจเรื่อง​นี้​มาก​ที่สุด​

พวกเขา​ขอบเขต​ไม่สูง แต่​ฐานะ​โดดเด่น​ ถูก​ขนานนาม​ให้​เป็น​ ‘ขุนนาง​ประวัติศาสตร์​บน​ภูเขา​’ ทำหน้าที่​เรียบเรียง​ ‘ตำรา​ประวัติศาสตร์​’ ที่​ถูกต้อง​ของ​ป๋า​ยอ​วี้​จิงและ​ตลอดทั้ง​ใต้​หล้า​โดยเฉพาะ​

คล้ายคลึง​กับ​ฉี่จวี​จู้ของ​ราชวงศ์​ล่าง​ภูเขา​ที่​บันทึก​ทุก​การกระทำ​ของ​เต้า​กวาน​ใน​หนึ่ง​ใต้​หล้า​เอาไว้​ ไม่ว่า​จะเป็น​การกระทำ​ที่​ดี​หรือ​ร้าย​ ล้วน​ไม่มีข้อห้าม​ที่​ต้อง​หลีกเลี่ยง​การ​เอ่ย​นาม​ของ​ผู้สูงศักดิ์​

คำสั่ง​ทุก​ฉบับ​ที่​ป๋า​ยอ​วี้​จิงป่าวประกาศ​แก่​ใต้​หล้า​ เต้า​กวาน​ของ​ห้า​นคร​สิบสอง​หอ​เรือน​จะเป็น​ผู้​ถ่ายทอด​ให้​แก่​ใต้​หล้า​รับรู้​ การเปลี่ยนแปลง​ของ​ราชวงศ์​ใหญ่​แห่ง​ต่างๆ​ ล่าง​ภูเขา​ อากาศ​สี่ฤดูกาล​ นิมิต​มงคล​ของ​แปด​ทิศ​ การ​เพิ่ม​และ​ลด​สำมะโนครัว​ของ​เต้า​กวาน​แต่ละ​แคว้น​ การใช้งาน​การละทิ้ง​อาราม​เต๋า​น้อย​ใหญ่​ ล้วน​มีพวก​ ‘ขุนนาง​ประวัติศาสตร์​’ กลุ่ม​นี้​เป็น​ผู้บันทึก​รายละเอียด​ อีก​ทั้ง​นอกจาก​เจ้าลัทธิ​สามท่าน​ของ​ป๋า​ยอ​วี้​จิงแล้ว​ ไม่ว่า​ใคร​ก็​ไม่มีคุณสมบัติ​ที่จะ​ได้​เปิด​อ่าน​ตำรา​ประวัติศาสตร์​เล่ม​นี้​

แต่​นักพรต​ซุน​ได้​ให้​คำวิจารณ์​ไว้​ประโยค​หนึ่ง​ จรด​พู่กัน​เขียน​อย่าง​ไหล​ลื่น​ แต่​พลัง​อำนาจ​กลับ​อ่อนแอ​ ไม่กล้า​พูด​ถ้อยคำ​ไพเราะ​และ​ถ้อยคำ​ที่​ไม่น่าฟัง​อย่าง​แท้จริง​ เปลือง​น้ำหมึก​เสียเปล่า​

จากนั้น​ก็​แนะนำ​ให้​พวกเขา​ย้าย​จาก​ป๋า​ยอ​วี้​จิงไป​อยู่​อาราม​เสวียน​ตู​ รับรอง​ว่า​นับแต่นี้ไป​จรด​พู่กัน​ย่อม​ราวกับ​มีบุปผา​ผลิบาน​ ภาพ​บรรยากาศ​ได้​เปลี่ยน​ใหม่​แน่นอน​

จนถึง​ตอนนี้​เจ้าลัทธิ​อวี๋​แห่ง​ป๋า​ยอ​วี้​จิงก็​ยัง​ไม่ได้​ออก​โองการ​ ยิ่ง​ไม่ได้​เผย​กาย​ด้วยตัวเอง​ แน่นอน​ว่า​ย่อม​ไม่มีใคร​ลงมือ​ไป​ชักนำ​ดวงจันทร์​ดวง​นั้น​ย้าย​มายัง​ใต้​หล้า​มืด​สลัว​โดยพลการ​

แล้ว​นับประสาอะไร​กับ​ที่​ลงมือ​โดยพลการ​ เสี่ยงอันตราย​ทำ​เรื่อง​นี้​ก็​ไม่ใช่การกระทำ​ที่​ฉลาด​เอา​เสีย​เลย​

ปราณ​กระบี่​ที่​ประตู​ใหญ่​ไม่เพียงแต่​เฉียบคม​ ยังมี​การเข่นฆ่า​ระหว่าง​ห​ลี่​เซิ่งกับ​ป๋า​ย​เจ๋อ​ หาก​ไม่ทัน​ระวัง​ถูก​หอบ​เข้าไป​เกี่ยวข้อง​ ก็​ต้อง​มีจุดจบ​ที่​กาย​ดับ​มรรคา​แหลก​สลาย​

ต่อให้​มีความกล้า​ก็​ไม่แน่​เสมอไป​ว่า​จะมีศักยภาพ​มาก​พอที่จะ​สอด​มือ​เข้า​แทรก​

ด้านนอก​ป๋า​ยอ​วี้​จิง คน​ที่​มีทั้ง​ความกล้า​และ​มีทั้ง​ฝีมือ​ ตอนนี้​ยังมี​แค่​สามคน​

คน​หนึ่ง​คร้าน​จะขยับตัว​ อีก​คน​หนึ่ง​ไม่ยินดี​จะเผย​กาย​เร็ว​เกินไป​นัก​

และ​ยังมี​อีก​คน​หนึ่ง​ที่​ไม่อยาก​จะเผย​ตัว​ใน​ที่สาธารณะ​ มีหน้า​มีหน้า​ตาเกิน​คนรัก​ของ​ตัวเอง​

ก็​คือ​นักพรต​ซุน​ กับ​นักพรต​หญิง​สอง​คน​ที่อยู่​ห่าง​ข้าง​กาย​ไป​ไม่ไกล​ อายุ​ของ​พวก​นาง​ต่าง​ก็​ไม่ถือว่า​น้อย​แล้ว​

นักพรต​ซุน​แห่ง​อาราม​เสวียน​ตู​ใหญ่​ลูบ​หนวด​ยิ้ม​ “ข้า​ก็​ว่าแล้ว​เชียว​ว่า​ทำไม​ถึงไม่เห็น​หน้า​ลู่​เหล่า​ซาน​ที่​หน้าหนา​มานาน​แล้ว​ ที่แท้​ก็​ออกจาก​บ้าน​ไป​เดินเล่น​ (ใช้กับ​สัตว์เลี้ยง​/จูงสัตว์เลี้ยง​เดินเล่น​) อีกแล้ว​นี่เอง​”

นักพรต​ซุน​ทอดถอนใจ​ไม่หยุด​ เมื่อครู่นี้​มอง​ปราด​ๆ ได้​เห็น​กวาน​ดอกบัว​บน​ศีรษะ​ของ​สหาย​น้อย​เฉิน​ รวมไปถึง​เจ้าลัทธิ​ลู่​ที่อยู่​ด้านใน​ซึ่งพยายาม​โบกไม้โบกมือ​ให้​ตน​ เขา​ลูบ​หนวด​ยิ้ม​ “จำต้อง​ยอมรับ​ว่า​ คราวนี้​เจ้าสามสร้าง​คุณ​ความชอบ​ไว้​ไม่เล็ก​เลย​ หาก​เปลี่ยน​ข้า​ไป​เป็น​ผู้​ไร้​เทียมทาน​ที่​แท้จริง​คน​นั้น​จะต้อง​ให้อาหาร​ร้อน​ๆ แก่​ศิษย์​น้อง​เล็ก​หลาย​ๆ คำ​ใหญ่​เชียว​ล่ะ​”

มอบ​ฉายา​ให้​สหาย​เปล่าๆ​ เติม​อิฐ​เพิ่ม​กระเบื้อง​ ปัก​บุปผา​ลง​บน​ผ้าแพร​ หาก​นักพรต​ซุน​เรียก​ตัวเอง​ว่า​เป็น​อันดับ​สอง​ใน​ใต้​หล้า​ก็​ไม่มีใคร​กล้า​บอ​กว่า​ตัวเอง​คือ​ปรมาจารย์​ยอด​ฝีมือ​อันดับ​หนึ่ง​อีกแล้ว​

“สหาย​น้อย​เฉิน​ที่​เรียก​ได้​ว่า​เป็น​เพื่อนสนิท​รู้ใจ​ของ​ผิน​เต้า​คน​นั้น​ ท่วงท่า​องอาจ​ผึ่งผาย​ เสน่ห์​เฉิดฉาย​ยิ่งกว่า​วันวาน​เสีย​อีก​ ดู​จาก​ภาพ​บรรยากาศ​แห่ง​ทรัพย์​สินบน​ร่าง​ของ​เขา​แล้ว​ ดู​ท่าจะ​กลับ​ไป​ทำ​อาชีพ​เก่า​ ได้​กำไร​เป็นกอบเป็นกำ​อีกแล้ว​?”

เพราะ​ถึงอย่างไร​การกระทำ​ ‘แบก​บ่อ​จาก​บ้านเกิด​’ (เปรียบเปรย​ถึงการ​ผลัด​ที่​นาคา​ที่อยู่​ เร่ร่อน​ไกล​บ้าน​ ในที่นี้​หมายถึง​ตอนที่​เฉิน​ผิง​อัน​แบก​ฝ้าเพดาน​ออก​ไป​จาก​พื้นที่​มงคล​ใน​อดีต​) อย่าง​จริง​แท้​แน่นอน​ครานั้น​ก็​ไม่ใช่ว่า​ใคร​ก็​ทำได้​

คราวก่อน​เดินทางไกล​ไป​ต่างบ้านต่างเมือง​ ได้รับ​ลูกศิษย์​ที่​ได้รับ​การ​บันทึก​ชื่อ​สอง​คน​มาจาก​อุตรกุรุทวีป​ของ​ใต้​หล้า​ไพศาล​

คือ​จาน​ฉิงท่าน​โหว​น้อย​จาก​แคว้น​เป่ยถิง​ และ​ตี๋​หยวน​เฟิงที่​สวม​รอง​เท้าสาน​ถือ​ไม้เท้า​ไม้ไผ่​ตลอด​การ​เดินทาง​

เดิมที​หลิ่ว​กุ้ย​เป่า​แห่ง​จวน​ไฉ่เชวี่ย​ก็​สามารถ​กลาย​มาเป็น​ลูกศิษย์​ผู้สืบทอด​ของ​เจ้าอาราม​ผู้เฒ่า​ได้​ แต่กลับ​คลาด​กัน​ไป​

หาก​พูดตาม​คำกล่าว​ของ​นักพรต​ซุน​ก็​คือ​คนแก่​อายุ​มาก​แล้​วจะ​ต้อง​คบค้าสมาคม​กับ​คน​รุ่นเยาว์​ให้​มาก​ๆ จะได้​เพิ่ม​ความ​สดใส​มีชีวิตชีวา​ ขัดเกลา​เอา​ความ​แก่​ชรา​ทิ้ง​ไป​

เพียงแต่​เรื่อง​ของ​การ​ถ่ายทอด​มรรคา​ ตัว​เจ้าอาราม​ผู้เฒ่า​เอง​ไม่ได้​ใส่ใจมาก​นัก​ ถึงอย่างไร​ศิษย์​ลูกศิษย์​หลาน​ใน​อาราม​ก็​มีเยอะ​อยู่แล้ว​ เรื่อง​การ​ถ่ายทอดวิชา​ความรู้​ยังมี​น้ำอดน้ำทน​ดี​ยิ่งกว่า​เขา​ จึงมอบ​จาน​ฉิงและ​ตี๋​หยวน​เฟิงไป​ให้​กับ​ลูกศิษย์​ที่​อายุ​มาก​สอง​คน​ นักพรต​เฒ่าให้เหตุผล​ว่า​ เพื่อให้​สยบ​ใจคน​ได้​ ไม่ให้​ใน​ศาล​บรรพ​จารย์​มีความเห็น​ต่าง​ใดๆ​ ระหว่าง​พวก​เจ้าศิษย์​พี่​ศิษย์​น้อง​ก็​ควร​ไปมาหาสู่​กัน​ให้​สนิทสนม​มากขึ้น​ ไม่อย่างนั้น​ปี​ๆ หนึ่ง​พบ​หน้า​กัน​แค่​ไม่กี่​ครั้ง​ก็​ไม่เข้าท่า​เอา​เสีย​เลย​

สวี​เจวี้ยน​เจ้าสำนัก​หนุ่ม​ของ​สำนัก​ต้า​เฉา ทุกวันนี้​เป็น​ผู้ฝึก​ตน​ผี​ขอบเขต​หยก​ดิบ​

เขา​จับมือ​กับ​คนรัก​ทะยาน​ลม​มาตลอดทาง​ ฝ่าย​หลัง​คือ​นักพรต​หญิง​ขอบเขต​บิน​ทะยาน​ขั้นสูง​สุดคน​หนึ่ง​ มีนาม​ว่า​เฉาเก​อ​ ฉายา​คือ​ฟู่คาน​

และ​นาง​ก็​ยิ่ง​เป็น​บรรพ​จารย์​เปิด​ภูเขา​ของ​ภูเขา​เหลี่ยง​จิง

สำนัก​ใหญ่​ฝ่าย​ลัทธิ​เต๋า​ที่​แค่​เห็น​หน้า​กัน​ก็​ต้อง​ต่อสู้​กัน​เอาเป็นเอาตาย​สอง​แห่ง​นี้​ ใน​ประวัติศาสตร์​ต่าง​ก็​เคย​ก่อตั้ง​สำนัก​เบื้องล่าง​กัน​มาก่อน​ ผล​ปรากฏ​ว่าต่าง​ก็​ถูก​สำนัก​ฝ่ายตรงข้าม​ทำลาย​จน​ไม่เหลือ​อยู่แล้ว​ นี่​แสดงให้เห็น​ว่า​ความแค้น​ระหว่าง​สอง​สำนัก​นั้น​ยิ่งใหญ่​แค่​ไหน​

ดังนั้น​นักพรต​ซุน​จึงต้อง​ออกหน้า​ด้วยตัวเอง​ เอ่ย​ถ้อยคำ​จาก​ใจจริง​อย่าง​คน​สุขุม​และ​มีประสบการณ์​

ใต้​หล้า​นี้​ไม่มีเรื่อง​ใด​ที่​การ​แต่งงาน​เชื่อม​สัมพันธ์​คลี่คลาย​ไม่ได้​!

พอ​คำพูด​นี้​เอ่ย​ออ​อก​ไป​ ตลอดทั้ง​ใต้​หล้า​ก็​พา​กัน​ชื่นชม​สรรเสริญ​ไม่หยุด​

ยังคง​เป็น​เจ้าอาราม​ซุน​ที่​พูดจา​ได้​มีระดับ​ มีน้ำหนัก​

เล่าลือ​กัน​ว่า​เจ้าอาราม​ผู้เฒ่า​ดื่มเหล้า​มงคล​ใน​งานเลี้ยง​แต่งงาน​ครั้งนั้น​แล้ว​ พอ​กลับ​มาถึงอาราม​บ้าน​ตัวเอง​ก็​ไปหา​แม่นาง​น้อย​คน​หนึ่ง​ที่​ลำดับ​อาวุโส​ต่ำสุด​และ​อายุ​ยัง​น้อย​มาก​ เจ้าอาราม​ผู้เฒ่า​เอ่ย​สั่งสอน​นาง​ด้วย​ความปรารถนาดี​ บอ​กว่า​พยายาม​ให้​มาก​เข้า​ โตมา​ให้​หน้าตา​งดงาม​เข้า​ไว้​ วันหน้า​พยายาม​ให้​เจ้าลัทธิ​ลู่​กลาย​มาเป็น​เขย​ที่​แต่ง​เข้า​อาราม​บ้าน​เรา​ให้ได้​

แม่นาง​น้อย​พยักหน้า​รับ​อย่าง​แรง​ เปี่ยมล้น​ไป​ด้วย​ความมั่นใจ​

ก็​อาจารย์​ปู่​พูด​แล้ว​นี่​นา​ บอ​กว่า​เจ้าคน​บ้ากาม​ที่​ชื่อว่า​ลู่​เฉินคน​นั้น​หลงรัก​นาง​ตั้งแต่​แรกเห็น​ ทุกๆ​ สอง​วัน​สามวัน​จะต้อง​ปีน​กำแพง​มาแอบมอง​ตน​

แล้ว​นับประสาอะไร​กับ​ที่​เจ้าอ้วน​เยี่ยน​ก็​เอ่ย​ประโยค​ที่​เป็น​ข้อยืนยัน​ได้​ ดังนั้น​นี่​จึงไม่ใช่ว่า​นาง​คิด​เหลวไหล​ไป​เอง​

เจ้าอ้วน​เยี่ยน​ที่อยู่​ใน​อาราม​ทำการค้า​ได้​เจริญรุ่งเรือง​มาก​ ลำพัง​แค่​ตราประทับ​ร้อย​เซียน​กระบี่​เล่ม​หนึ่ง​ ยอดขาย​ก็​มากมาย​น่าดู​ชม ส่วน​ราคา​น่ะ​หรือ​ ออกจะ​แพง​ไป​สักหน่อย​

ผ่าน​ไป​ไม่นาน​ก็​มีตำรา​ตราประทับ​สอง​ร้อย​เซียน​กระบี่​ที่​จัดพิมพ์​อย่าง​ประณีต​งดงาม​ แล้ว​ยังมี​คำนำ​ของ​ป๋า​ย​เห​ย่​วางขาย​อีก​ แบ่ง​ออก​เป็น​สอง​เล่ม​ เล่น​บน​และ​เล่ม​ล่าง​ ตราประทับ​สอง​เล่ม​ เล่ม​บน​ขาย​แยก​ ราคา​สอง​เหรียญ​เงินร้อน​น้อย​ เล่ม​ล่าง​ขาย​แยก​ราคา​สามเหรียญ​เงินร้อน​น้อย​ หรือว่า​คำนำ​จาก​ป๋า​ย​เห​ย่​ไม่มีค่า​พอ​สำหรับ​เงินร้อน​น้อย​หนึ่ง​เหรียญ​?

ตำรา​สอง​เล่ม​ขาย​รวมกัน​สามเหรียญ​เงินร้อน​น้อย​ คนโง่​เท่านั้น​ถึงจะไม่ซื้อ​สอง​เล่ม​

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด