กระบี่จงมา 437.2 ระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รับรู้ในข้อหนึ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 437.2 ระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รับรู้ในข้อหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันมีสีหน้ากลัดกลุ้ม รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ทว่าคำพูดเหล่านี้กลับได้แต่เก็บกลั้นอยู่ในท้อง ไม่มีใครรับฟัง

จิตของเฉินผิงอันกระตุกเล็กน้อย

ครุ่นคิด

แล้วก็เอาถ่านดำก้อนหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ

เขาวาดวงกลมวงใหญ่ไว้บนท่าเรือ

จากนั้นก็ค้อมตัวยืนอยู่กลางวงกลม ค่อยๆ วาดเส้นตรงเส้นหนึ่ง เท่ากับว่าแบ่งวงกลมวงหนึ่งออกเป็นสองส่วน

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างเส้นนั้น หัวคิ้วขมวดแน่น หยุดนิ่งอยู่นานไม่ได้ขีดเขียนต่อ

นักบัญชีที่สีหน้าอิดโรยได้แต่ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลงมาดื่มเหล้าวิหคครวญหนึ่งอึกเพื่อให้ตัวเองสดชื่นขึ้น

แล้วถึงได้เขียนคำว่าดีและเลวลงไปยังด้านบนและด้านล่างของเส้นนั้น

คืนนี้ บนตัวอักษรคำว่า ‘หนึ่ง’ ของเส้นทางหัวใจที่เคยหยุดเดิน ไม่ยินดีคิดลึก แล้วก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะไปสืบเสาะค้นหา เฉินผิงอันจะเดินก้าวออกไป

เหมือนกับปีนั้นที่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะของตรอกหนีผิงก้าวเดินไปบนสะพาน

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น เขียนสี่คำว่า ‘ใช้ผู้คนเป็นหลัก’ ลงไปเบาๆ ระหว่างสองตัวอักษรดีและเลว ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ตอนนี้คงคิดได้แค่นี้ก่อน”

เฉินผิงอันหลับตาลง ดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก พอลืมตาขึ้นก็ลุกขึ้นยืน ก้าวใหญ่ๆ ไปถึงริมขอบครึ่งหนึ่งของวงกลมที่มีคำว่า ‘ดี’ แล้ววาดเส้นเฉียงเส้นหนึ่งให้ไปถึงอีกฝั่งของครึ่งวงกลมที่มีคำว่าเลวจนเสร็จในรวดเดียว แล้วจึงขยับเท้า วาดเส้นเฉียงจากล่างขึ้นบนอีกเส้นหนึ่ง

สุดท้ายวงกลมหนึ่งวงก็ถูกเฉินผิงอันแบ่งออกเป็นหกส่วน จุดตัดมีเพียงจุดที่อยู่ใจกลางวงกลมเท่านั้น

หลังจากนั้นก็เหมือนสติปัญญาของเฉินผิงอันถูกเปิดโล่ง เขาเดินเร็วๆ ไปยังแถบครึ่งวงกลมที่มีตัวอักษร ‘ดี’ อยู่บนแนวเส้นตรง ในพื้นที่ที่แบ่งออกเป็นสามส่วนนี้ เฉินผิงอันใช้ถ่านในมือตวัดเขียนตัวอักษรอย่างว่องไวพลางพึมพำกับตัวเองว่า “หากจะบอกว่านี่คือจิตใจดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ที่แสวงหาความดี อีกทั้งยังเป็นจิตใจที่หนักแน่นที่สุด สติปัญญายากที่จะแปรเปลี่ยน ถ้าอย่างนั้นคนบนโลกที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้ ความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เคยเรียนหนังสือไม่รู้ตัวอักษรมาก่อน หากสอนว่า ‘เรือนทองมีอยู่ในตำรา ธัญพืชนานาหาได้จากหนังสือ’ ‘ปลูกฝังคุณธรรมให้แก่ตนเอง ครอบครัวจึงแข็งแกร่ง ครอบครัวแข็งแกร่งจึงสามารถปกครองใต้หล้า’ นั่นก็คือความรู้ที่ดีที่สุด เพราะฟังเข้าหู ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้อริยะท่านใดคอยใช้หลักการเหตุผลมาพูดเกลี้ยกล่อม เพราะคนประเภทนี้ยินดีฟัง แล้วก็ยินดีนั่งลงรับฟัง เมื่อลุกขึ้นก็พร้อมปฏิบัติตาม ไม่ว่าวิถีทางโลกจะทุกข์ยากขมขื่นแค่ไหนก็ยังสามารถรักษาจิตใจอันดั้งเดิมของตัวเองเอาไว้ได้!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ถอยกลับไปยังพื้นที่ตรงกลางของแถบครึ่งวงกลมคำว่าเลวซึ่ง ‘เป็นปฏิปักษ์’ กับพื้นที่อีกฝั่งที่มีตัวอักษรซึ่งถูกเขียนด้วยถ่านจนเต็ม

ทรุดตัวลงนั่งยอง แล้วก็ใช้ถ่านตวัดวาดพรวดๆ พลางพึมพำเบาๆ เหมือนเดิม “สันดานมนุษย์เดิมนั้นชั่วร้าย คำว่าชั่วร้ายนี้ไม่ใช่คำในเชิงลบไปเสียทั้งหมด แต่เป็นการบรรยายถึงนิสัยสันดานอีกแบบหนึ่งในใจคน นั่นก็คือเมื่อเกิดมาก็สามารถสัมผัสถึงหนึ่งนั้นของโลกมนุษย์ได้แล้ว จึงไปแย่งชิงมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่เหมือนฝ่ายแรก ส่วนในเรื่องของความเป็นความตาย นอกเหนือจากที่จะฝากฝังไว้กับสามอมตะของลัทธิขงจื๊อหรือการสืบทอดควันธูปของลูกหลานแล้ว เมื่ออยู่ที่นี่ ‘ข้า’ ก็คือฟ้าดินทั้งแห่ง ข้าตายฟ้าดินก็ตาย ข้าอยู่ฟ้าดินก็มีชีวิต ข้าที่เป็นส่วนเฉพาะบุคคลนี้ น้ำหนักของ ‘หนึ่ง’ เล็กนี้ไม่ด้อยกว่า ‘หนึ่ง’ ใหญ่ของตลอดทั้งฟ้าดินเลย ตอนนั้นจูเหลี่ยนอธิบายว่าเหตุใดถึงไม่ยอมสังหารคนคนเดียวเพื่อช่วยคนทั้งใต้หล้า ก็คือหลักการนี้! และนี่ก็ไม่ใช่ความหมายในเชิงลบ เป็นเพียงแค่นิสัยสันดานของมนุษย์เท่านั้น แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน แต่ข้าก็เชื่อว่ามันเคยผลักดันให้วิถีทางโลกเดินไปเบื้องหน้าได้เช่นกัน”

“คนที่สภาพจิตใจร่วงลงมาตรงพื้นที่นี้แล้ว ‘ผลิดอกออกผล’ ในช่วงเวลาที่คับขันบางอย่างถึงจะสามารถพูดประโยคทำนองว่า ‘ข้าตายไปแล้วยังต้องสนใจไปไยว่าน้ำจะท่วมเทียมฟ้า’ ‘ข้ายอมทำผิดต่อคนใต้หล้า’ ‘ฟ้ามืดแต่หนทางยาวไกล ข้าก็ได้แต่เดินถอยหลังกลับ’ ออกมาจากปากได้ แต่สันดานที่ดูเหมือนว่าหมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนมีกันนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลับกลายมาเป็นรากฐานในการหยัดยืนของ ‘มนุษย์’ อย่างพวกเรา อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดคน ‘ไม่ดี’ มากมายเพียงนั้นถึงสามารถฝึกตนเป็นเทพเซียนได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ถึงขั้นยังมีชีวิตที่ดีกว่าคนดี เพราะฟ้าดินให้กำเนิดหมื่นสรรพสิ่งโดยไม่มีความลำเอียง จึงไม่อาจใช้ความดีเลวของ ‘มนุษย์’ มาตัดสินความเป็นความตายได้เสมอไป”

หลังจากดื่มเหล้าไปอีกอึกใหญ่

เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเดินไปยังมุมขวาสุดของครึ่งวงกลมด้านบน “จิตใจของพื้นที่นี้ไม่หนักแน่นมั่นคงเหมือนคนทางฝั่งขวามือที่เป็นเพื่อนบ้าน จิตใจของพวกเขาค่อนข้างจะเอนเอียงไม่หยุดนิ่ง แต่กระนั้นก็ยังโอนเอียงเข้าหาความดี ทว่าก็ยังเปลี่ยนแปลงไปได้เพราะคน สถานที่ เวลา และการเปลี่ยนแปลงสารพัดหลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้อริยะสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักคอยพร่ำสอนว่า ‘หยกไม่เกลาไม่เป็นรูปร่าง คนไม่เรียนรู้ไม่รู้ความ’ คอยตักเตือนว่า ‘คนกระทำสวรรค์มองดู’ คอยเกลี้ยกล่อมว่า ‘ชาตินี้ทำกรรมดีชาติหน้าได้ดีตอบแทน ชาตินี้ทุกข์ชาติหน้าสุข’”

เฉินผิงอันเขียนมาถึงตรงนี้ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้อีก เขาเดินมาหยุดอยู่ใกล้กับสองตัวอักษร ‘ดีเลว’ ที่อยู่ใกล้กันตรงใจกลางของวงกลม แล้วใช้ถ่านเขียนเพิ่มไปอีกสองประโยค ด้านบนเขาเขียนคำว่า ‘เต็มใจเชื่อว่าคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ได้ ‘ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ’ ไปเสียทุกคน’ ส่วนด้านล่างเขียนคำว่า ‘ไม่ว่าการทุ่มเทใด หากไม่ได้รับการตอบแทนกลับมาด้วยสิ่งที่จับต้องได้จริง นั่นก็เท่ากับว่าสูญเสียผลประโยชน์ของหนึ่งอย่างคำว่า ‘ข้า’ แล้ว’

เฉินผิงอันเก็บถ่าน พึมพำว่า “หากสัมผัสได้ถึงความเสียหาย จุดลึกในใจของคนผู้นี้ก็จะเกิดข้อกังขาและร้อนใจอย่างยิ่ง แล้วก็จะเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา คิดว่าจะต้องทวงคืนมาจากเรื่องอื่นให้จงได้ แล้วก็ต้องช่วงชิงมาให้ได้มากกว่าเดิมด้วย นี่จึงอธิบายได้ว่าเหตุใดทะเลสาบซูเจี่ยนถึงได้วุ่นวายขนาดนี้ ทุกคนต่างก็กำลังดิ้นรนกันอย่างยากลำบาก นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่ข้าคิดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ทำไมเมื่อคนมากมายขนาดนั้นถูกจุดใดจุดหนึ่งของวิถีทางโลกต่อยหนึ่งหมัด แล้วจะต้องต่อยเตะใส่วิถีทางโลกให้ได้มากกว่า โดยที่ไม่สนใจสักนิดว่าคนอื่นจะเป็นหรือตาย แล้วก็ไม่ได้ทำไปเพียงเพราะต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ก็เหมือนกู้ช่าน ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ดีแล้ว แต่ก็ยังเดินตามเส้นทางสายนี้จนกลายมาเป็นคนที่สามารถพูดคำว่า ‘ข้าชอบฆ่าคน’ ออกมาจากปากได้ ไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แต่ยังเป็นเพราะร่องคันดินในผืนนาหัวใจของกู้ช่านที่ตัดสลับกันได้ถูกแยกออกจากกันเพราะทางสายนี้ เมื่อเขามีโอกาสได้ไปสัมผัสกับฟ้าดินที่ใหญ่มากกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นหลังจากที่ข้ามอบหนีชิวน้อยให้เขา เขาได้มาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน กู้ช่านก็จะไปฉกชิงเอาหนึ่งที่เป็นของคนอื่นมาให้ได้มากกว่า หนึ่งที่ว่านี้อาจจะเป็นเงินทองหรือชีวิตก็ได้หมด ไม่เลือกเลยแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันเดินมาหยุดตรงฝั่งซ้ายมือสุดของวงกลมครึ่งบน “จิตใจของคนในพื้นที่นี้ไร้ระเบียบมากที่สดุ อยากจะทำดีแต่กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร มีใจอยากทำชั่วแต่ก็ไม่กล้าพอ ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะรู้สึกว่า ‘อ่านตำราไปก็ไร้ประโยชน์’ ‘หลักการเหตุผลทำให้ข้าเสียหาย’ แม้ว่าจะอยู่ในครึ่งวงกลมนี้ แต่กลับง่ายที่จะหันมากระทำชั่ว ด้วยเหตุนี้บนโลกถึงได้มี ‘วิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางท่าภูมิฐาน’ มากมายถึงเพียงนั้น แม้แต่ศาสดาพุทธในพระคัมภีร์ก็ยังเป็นกังวลกับการมาถึงของยุคธรรมปลาย คนที่อยู่ตรงนี้จะไหลไปตามกระแส มีชีวิตอย่างยากลำบาก หรืออาจถึงขั้นยากลำบากมากที่สุด ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดถึงความดีของหลักการเหตุผลบนโลกกับกู้ช่าน อิสระเสรีที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งอยู่ที่ว่าสามารถปกป้องคนกลุ่มนี้ได้ ให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวว่าคนกลุ่มที่อยู่ในวงกลมครึ่งล่างจะทำตัวกำเริบเสิบสานไร้ยำเกรง

แล้วตนเองจะต้องเผชิญกับหายนะที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ ไม่ต้องกลัวว่าทรัพย์สมบัติที่ต้องขยันเหนื่อยยากกว่าจะเก็บหอมรอมริบมาได้จะถูกเผาผลาญจนสิ้นภายในค่ำคืนเดียว ต่อให้ไม่ต้องใช้เหตุผล ไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลอะไรมากมาย หรือแม้กระทั่งไม่ต้องมีเหตุผลในบางครั้ง เพียงแค่สั่นคลอนเก้าอี้ไม้ตัวที่ลัทธิขงจื๊อสร้างขึ้นซึ่งเดิมทีได้รูปได้ทรง สี่ด้านแปดทิศล้วนมั่นคง ก็ล้วนสามารถทำให้คนเหล่านี้มีชีวิตที่ดีได้”

เฉินผิงอันลุกขึ้นขยับเท้ามาหยุดอยู่ตรงฝั่งขวามือสุดของวงกลมครึ่งล่างที่อยู่ตรงข้ามกัน แล้วจรดก้อนถ่านเขียนลงไปอย่างเชื่องช้าว่า “‘จิตใจของคนที่อยู่ที่นี่ เจ้าพูดว่าวางมีดลงก็บรรลุธรรม รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงจะประเสริฐกับกลุ่มคนที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ติดกันนั้น ก็มีแต่จะเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าเท่านั้น’

แม้ว่าวงกลมครึ่งล่างยังเหลือพื้นที่ว่างอีกแถบใหญ่ทางซ้ายมือสุด แต่เฉินผิงอันกลับหน้าซีดขาวแล้ว เขาถึงกับมีลางว่าจะหมดเรี่ยวหมดแรง หลังจากดื่มเหล้าไปอึกใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ถ่านไม้ที่ถืออยู่ในมือถูกเสียดสีจนเหลือแค่ขนาดเท่าเล็บมือแล้ว เฉินผิงอันสงบจิตใจให้มั่นคง ปลายนิ้วของเขาสั่นสะท้าน เขียนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เขาฝืนดึงแรงเฮือกหนึ่งขึ้นมา ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก อยากจะทรุดตัวลงไปนั่งเขียนต่อ ต่อให้เขียนได้แค่ตัวเดียวก็ยังดี แต่เพิ่งจะก้มตัวลง ขาก็อ่อนยวบจนลงนั่งแปะอยู่บนพื้นแล้ว

มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนพื้นอย่างไม่มีพิธีรีตอง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกางนิ้วออก ถ่านไม้ที่เหลืออยู่อีกไม่มากกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ส่วนเขาก็ทิ้งตัวนอนหงายอยู่ตรงท่าเรือทั้งอย่างนั้น

“ลัทธิขงจื๊อเสนอคำว่าความเห็นอกเห็นใจ ลัทธิพุทธเลื่อมใสคำว่าจิตใจเมตตาปราณี แต่โลกที่พวกเราอยู่ใบนี้ คิดจะทำเช่นนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้ตลอดเวลาเลย กลับกันคำกล่าวว่า ‘จิตใจอันบริสุทธิ์’ ที่หย่าเซิ่งเป็นผู้กล่าวขึ้นมาก่อน กับคำว่า ‘ย้อนกลับคืนสู่รากฐาน หวนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง’ ของมรรคาจารย์เต๋า กลับดูเหมือนว่าจะยิ่ง…”

เฉินผิงอันฝืนลุกขึ้นยืน ก้าวถอยออกมาจากวงกลมที่ยังเขียนตัวอักษรด้วยถ่านได้ไม่เต็มวง จ้องเขม็งไปยังวงกลมวงใหญ่ สุดท้ายเส้นสายตาหยุดนิ่งที่ใจกลางของวงกลม หยุดนิ่งอยู่บนสองคำว่า ‘ดีเลว’ ที่ตนเขียนไปแรกเริ่มสุด

เฉินผิงอันที่ร่างโงนเงนยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ราวกับว่าจะคว้าจับทั้งวงกลมอย่างไรอย่างนั้น

แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแทบไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่

สิ่งที่เขาเป็นตอนนี้ เรียกได้ว่าลืมตนไปอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ต้องพูดถึงดีเลวก็ได้ใช่ไหม? พูดถึงแค่ความต่างระหว่างคนกับเทพ? นิสัยสันดาน? ไม่อย่างนั้นวงกลมวงนี้ก็ยากที่จะหยัดยืนได้มั่นคงอย่างแท้จริง”

“นี่ก็จำเป็นต้อง…ขยับขึ้นไปเบื้องบนอีกหน่อย? ไม่ใช่ติดอยู่กับหลักการเหตุผลในตำรา ยึดติดกับแค่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อ คิดแค่จะขยับขยายวงกลมนี้ให้กว้างออกไปอย่างเดียว? แต่ต้องขยับขึ้นสูงไปอีกนิด?”

“หากเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดไว้ก่อนหน้านี้เลย ไม่ใช่ว่าธรณีประตูของหลักการเหตุผลบนโลกแบ่งแยกสูงต่ำ แต่เป็นการเดินวนรอบวงกลมวงนี้ คอยหันไปมองดูว่าจิตใจคนมีแบ่งแยกซ้ายขวา ขณะเดียวกันก็ไม่ได้บอกว่าใจคนที่ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกันแล้วจะต้องแบ่งแยกสูงต่ำ ต้องต่างกันราวฟ้ากับเหว เป็นเหตุให้สิ่งที่อริยะของสามลัทธิทำ เรื่องที่เรียกว่าจูงใจคนให้ทำความดีนั้น ก็คือการ ‘เคลื่อนภูเขาคว่ำมหาสมุทร’ ต่อใจคนที่อยู่ในพื้นที่ต่างกัน ชักนำให้ไปยังพื้นที่ที่พวกเขาต้องการให้ไป”

“หากใช่ งั้นก็ยังไม่ต้องมองในจุดสูงก่อน ไม่เดินบนทางราบรอบวงกลม เพียงแค่อาศัยลำดับขั้นตอน ย้อนถอยกลับก้าวหนึ่งเพื่อมาดู แล้วก็ยังไม่ต้องพูดถึงจิตดั้งเดิมของแต่ละคน พูดถึงแค่แก่นแท้ของวิถีทางโลก ความรู้ของลัทธิขงจื๊อนั้นกำลังขยับขยายและทำให้อาณาเขต ‘ที่จับต้องได้จริง’ มั่นคงขึ้น ส่วนลัทธิเต๋าก็กำลังยกระดับโลกใบนี้ให้สูงขึ้น  ให้พวกเราสามารถอยู่สูงเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่”

เฉินผิงอันหลับตาลง หยิบไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่ด้านบนสลักตัวอักษรของผู้รอบรู้คนหนึ่งซึ่งเก่าแก่เรียบง่าย แต่กลับงดงามน่าประทับใจ ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าความคิดนี้ประหลาด แต่กลับทะลุปรุโปร่ง ทว่าตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู ขอแค่สืบสาวให้ลึกลงไป มันกลับแฝงสัจธรรมบางส่วนของลัทธิเต๋าเอาไว้ “เทน้ำหนึ่งอ่างลงบนพื้น เศษหญ้าลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ มดตัวหนึ่งพักพิงเศษหญ้าคิดว่าเป็นทางตัน ครู่หนึ่งเมื่อน้ำแห้ง ถึงได้ค้นพบว่าเส้นทางทอดยาวกว้างใหญ่ ไม่มีที่ใดที่ไปไม่ได้”

“สิ่งที่ลัทธิเต๋าปรารถนาก็คือไม่ต้องการให้คนบนโลกอย่างพวกเราเป็นอย่างมดที่สติปัญญาต่ำต้อย จะต้องมองโลกจากจุดที่สูงยิ่งกว่าเดิม จะต้องแตกต่างจากสัตว์และต้นไม้ใบหญ้า”

“ส่วนลัทธิพุทธนั้น…”

เฉินผิงอันยื่นมือสองข้างมาวาดวงกลมหนึ่งวง “ผสานกับคำว่ากว้างขวางของลัทธิขงจื๊อ คำว่าสูงของลัทธิเต๋า ผสานรวมโลกนับแสนใบให้กลายเป็นหนึ่งอย่างที่ไม่มีช่องโหว่”

สุดท้ายเฉินผิงอันพึมพำ “นี่จะถือว่าข้าพอจะรู้จักหนึ่งนั้นนิดๆ แล้วหรือไม่?”

เสียงตึงดังขึ้น นักบัญชีที่ใช้เรี่ยวแรงและจิตใจทั้งร่างจนหมดสิ้นล้มหงายตึงลงไปด้านหลัง เขาหลับตาลง น้ำตาไหลเต็มหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดหน้า ส่วนฝ่ามืออีกข้างยกขึ้นสูง เส้นสายตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตามองทะลุร่องนิ้วออกไปด้วยความสะลืมสะลือ เหมือนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ จิตใจอ่อนระโหยอย่างถึงที่สุด ทว่าส่วนลึกในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความชื่นบาน เขาพึมพำเบาๆ ว่า “เมฆดำบนฟ้าเคลื่อนหาย แสงจันทร์สุกใสส่องนภา ใครหนาประดับประดาไว้ ที่แท้รูปโฉมของแผ่นฟ้า สีสันของมหาสมุทร ก็สะอาดบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้”

เฉินผิงอันหลับตาลงแล้วค่อยๆ หลับไป มุมปากยังแต้มยิ้ม พึมพำเสียงแผ่วเบา “ที่แท้หากไม่แบ่งแยกความดีเลวของใจคน คิดเช่นนี้ก็ทำให้ยิ้มได้เหมือนกัน”

ในขณะที่เฉินผิงอันนอนหลับฝันหวานไม่สนใจใครอยู่กลางวงกลมใหญ่ที่ไม่ทันได้ลบตัวอักษรถ่านไม้บนท่าเรือเกาะชิงเสียเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนนั้นเอง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

มีบุรุษชุดเขียวที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความอิสระเสรีไร้พันธนาการ กับสตรีชุดเขียวมัดผมหางม้าที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งงดงามเพริศพริ้ง ได้มาถึงท่าเรือแห่งนี้แทบจะเวลาเดียวกัน

คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน แม้แต่จะสบตากันก็ยังไม่มี

บัณฑิตที่ไม่ได้ยกพู่กันเขียนจดหมายตอบกลับตอนอยู่ศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง แต่เลือกที่จะมาต่างถิ่นต่างแดนด้วยตัวเองผู้นั้นหยิบถ่านไม้ก้อนนั้นของเฉินผิงอันขึ้นมา เขานั่งยองอยู่ตรงตำแหน่งทางซ้ายมือสุดของวงกลมด้านล่าง คิดจะเขียนตัวอักษรลงไป แต่ก็ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย กลับกันในดวงตายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ภูเขาสูงอยู่ตรงหน้า หรืออดีตวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาอย่างข้า ยังได้แต่เดินอ้อมไปเท่านั้น?”

ส่วนสตรีชุดเขียวผู้นั้นกลับยืนอยู่นอกวงกลมตำแหน่งสุดปลายด้านหนึ่งของเส้นตรง กำลังกินขนมชิ้นใหม่ที่ซื้อมาจากนครลวี่ถงทะเลสาบซูเจี่ยน เสียงที่พูดจึงอู้อี้ “การแบ่งระหว่างเทพและคนยังขาดอีกเล็กน้อยที่ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด”

บัณฑิตถือถ่านไม้ไว้ในมือ เงยหน้าขึ้น กวาดตามองรอบด้าน จุ๊ปากพูด “ช่างสมกับคำว่าเมื่อเรื่องราวพัฒนาไปถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดก็ควรปลุกความกล้า เมื่อดื่มเหล้าจนอารมณ์ฮึกเหิมความกล้าก็เพิ่มพูนจริงๆ”

หญิงสาวชุดเขียวก็เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ขอแค่มโนธรรมในใจไม่มัวหมอง หมื่นกฎเกณฑ์ก็ล้วนสว่างไสว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาถึงได้หันหน้าไปมองสตรีชุดเขียวมัดผมหางม้าที่กำลังแทะขนมคำเล็กๆ ผู้นั้น “เจ้าอย่าได้ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งเฉินผิงอันตอนเขาหลับสนิทเชียวนะ แต่หากแม่นางคิดจะทำจริงๆ ข้าจงขุยสามารถหันหลังให้ได้ นี่เรียกว่าวิญญูชนช่วยทำเรื่องดีของคนอื่นให้เป็นจริง!”

และเมื่อได้ยินประโยคนี้ นางถึงได้หันมามองเขา พูดอย่างสงสัยว่า “เจ้าชื่อจงขุย? เจ้าคน…ผีผู้นี้ ค่อนข้างจะประหลาด ข้ามองเจ้าแล้วก็ไม่เข้าใจ”

จงขุยเอื้อมมือข้ามไหล่ชี้ไปยังนักบัญชีที่ส่งเสียงกรนสนั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่าผู้นั้น “ก็มีแต่เจ้าหมอนี่นี่แหละที่เข้าใจข้า ข้าก็เลยมานี่ไงล่ะ”

จงขุยมองทะเลสาบซูเจี่ยนที่ในสายตาของเขาแล้วแตกต่างไปจากสายตาของคนบนโลกอย่างสิ้นเชิง แล้วพึมพำว่า “บนโลกจะมีแค่ข้าจงขุยที่เป็นวิญญูชนคนเดียวได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นวิถีทางโลกจะกลายเป็นหลุมอาจมที่ใหญ่สักแค่ไหนกัน?”

หร่วนซิ่วพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากช่วยเขา แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าได้อยู่ต่อเพื่อช่วยเขาเลย มีแต่จะทำให้เสียเรื่อง”

จงขุยถาม “จริงรึ?”

หร่วนซิ่วถามกลับ “เจ้าเชื่อข้า?”

จงขุยพยักหน้ารับ

หร่วนซิ่วกินขนมหมดก็ปัดมือแล้วจากไป

จงขุยคิดแล้วก็วางถ่านไม้ชิ้นนั้นกลับลงไปที่เดิม พอลุกขึ้นยืนก็เขียนตัวอักษรแปดตัวลงบนกลางความว่างเปล่าทิ้งไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ แล้วเขาก็จากไปอีกคน ย้อนกลับไปยังใบถงทวีป

จงขุยบัณฑิตที่ไม่ใช่วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาอีกต่อไปเดินทางมาอย่างยินดี แล้วก็กลับไปด้วยความยินดี

แปดคำที่เขาทิ้งไว้ก็คือ ‘ทุกเรื่องล้วนเหมาะสม ไม่ต้องกังวลสิ่งใด’

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 437.2 ระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รับรู้ในข้อหนึ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 437.2 ระบายความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา รับรู้ในข้อหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉินผิงอันมีสีหน้ากลัดกลุ้ม รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ทว่าคำพูดเหล่านี้กลับได้แต่เก็บกลั้นอยู่ในท้อง ไม่มีใครรับฟัง

จิตของเฉินผิงอันกระตุกเล็กน้อย

ครุ่นคิด

แล้วก็เอาถ่านดำก้อนหนึ่งออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ

เขาวาดวงกลมวงใหญ่ไว้บนท่าเรือ

จากนั้นก็ค้อมตัวยืนอยู่กลางวงกลม ค่อยๆ วาดเส้นตรงเส้นหนึ่ง เท่ากับว่าแบ่งวงกลมวงหนึ่งออกเป็นสองส่วน

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างเส้นนั้น หัวคิ้วขมวดแน่น หยุดนิ่งอยู่นานไม่ได้ขีดเขียนต่อ

นักบัญชีที่สีหน้าอิดโรยได้แต่ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลงมาดื่มเหล้าวิหคครวญหนึ่งอึกเพื่อให้ตัวเองสดชื่นขึ้น

แล้วถึงได้เขียนคำว่าดีและเลวลงไปยังด้านบนและด้านล่างของเส้นนั้น

คืนนี้ บนตัวอักษรคำว่า ‘หนึ่ง’ ของเส้นทางหัวใจที่เคยหยุดเดิน ไม่ยินดีคิดลึก แล้วก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะไปสืบเสาะค้นหา เฉินผิงอันจะเดินก้าวออกไป

เหมือนกับปีนั้นที่เด็กหนุ่มสวมรองเท้าแตะของตรอกหนีผิงก้าวเดินไปบนสะพาน

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่บนพื้น เขียนสี่คำว่า ‘ใช้ผู้คนเป็นหลัก’ ลงไปเบาๆ ระหว่างสองตัวอักษรดีและเลว ก่อนจะพึมพำกับตัวเองว่า “ตอนนี้คงคิดได้แค่นี้ก่อน”

เฉินผิงอันหลับตาลง ดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึก พอลืมตาขึ้นก็ลุกขึ้นยืน ก้าวใหญ่ๆ ไปถึงริมขอบครึ่งหนึ่งของวงกลมที่มีคำว่า ‘ดี’ แล้ววาดเส้นเฉียงเส้นหนึ่งให้ไปถึงอีกฝั่งของครึ่งวงกลมที่มีคำว่าเลวจนเสร็จในรวดเดียว แล้วจึงขยับเท้า วาดเส้นเฉียงจากล่างขึ้นบนอีกเส้นหนึ่ง

สุดท้ายวงกลมหนึ่งวงก็ถูกเฉินผิงอันแบ่งออกเป็นหกส่วน จุดตัดมีเพียงจุดที่อยู่ใจกลางวงกลมเท่านั้น

หลังจากนั้นก็เหมือนสติปัญญาของเฉินผิงอันถูกเปิดโล่ง เขาเดินเร็วๆ ไปยังแถบครึ่งวงกลมที่มีตัวอักษร ‘ดี’ อยู่บนแนวเส้นตรง ในพื้นที่ที่แบ่งออกเป็นสามส่วนนี้ เฉินผิงอันใช้ถ่านในมือตวัดเขียนตัวอักษรอย่างว่องไวพลางพึมพำกับตัวเองว่า “หากจะบอกว่านี่คือจิตใจดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ที่แสวงหาความดี อีกทั้งยังเป็นจิตใจที่หนักแน่นที่สุด สติปัญญายากที่จะแปรเปลี่ยน ถ้าอย่างนั้นคนบนโลกที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้ ความรู้ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก หรือแม้กระทั่งคนที่ไม่เคยเรียนหนังสือไม่รู้ตัวอักษรมาก่อน หากสอนว่า ‘เรือนทองมีอยู่ในตำรา ธัญพืชนานาหาได้จากหนังสือ’ ‘ปลูกฝังคุณธรรมให้แก่ตนเอง ครอบครัวจึงแข็งแกร่ง ครอบครัวแข็งแกร่งจึงสามารถปกครองใต้หล้า’ นั่นก็คือความรู้ที่ดีที่สุด เพราะฟังเข้าหู ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้อริยะท่านใดคอยใช้หลักการเหตุผลมาพูดเกลี้ยกล่อม เพราะคนประเภทนี้ยินดีฟัง แล้วก็ยินดีนั่งลงรับฟัง เมื่อลุกขึ้นก็พร้อมปฏิบัติตาม ไม่ว่าวิถีทางโลกจะทุกข์ยากขมขื่นแค่ไหนก็ยังสามารถรักษาจิตใจอันดั้งเดิมของตัวเองเอาไว้ได้!”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ถอยกลับไปยังพื้นที่ตรงกลางของแถบครึ่งวงกลมคำว่าเลวซึ่ง ‘เป็นปฏิปักษ์’ กับพื้นที่อีกฝั่งที่มีตัวอักษรซึ่งถูกเขียนด้วยถ่านจนเต็ม

ทรุดตัวลงนั่งยอง แล้วก็ใช้ถ่านตวัดวาดพรวดๆ พลางพึมพำเบาๆ เหมือนเดิม “สันดานมนุษย์เดิมนั้นชั่วร้าย คำว่าชั่วร้ายนี้ไม่ใช่คำในเชิงลบไปเสียทั้งหมด แต่เป็นการบรรยายถึงนิสัยสันดานอีกแบบหนึ่งในใจคน นั่นก็คือเมื่อเกิดมาก็สามารถสัมผัสถึงหนึ่งนั้นของโลกมนุษย์ได้แล้ว จึงไปแย่งชิงมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองไว้ให้ได้มากที่สุด ไม่เหมือนฝ่ายแรก ส่วนในเรื่องของความเป็นความตาย นอกเหนือจากที่จะฝากฝังไว้กับสามอมตะของลัทธิขงจื๊อหรือการสืบทอดควันธูปของลูกหลานแล้ว เมื่ออยู่ที่นี่ ‘ข้า’ ก็คือฟ้าดินทั้งแห่ง ข้าตายฟ้าดินก็ตาย ข้าอยู่ฟ้าดินก็มีชีวิต ข้าที่เป็นส่วนเฉพาะบุคคลนี้ น้ำหนักของ ‘หนึ่ง’ เล็กนี้ไม่ด้อยกว่า ‘หนึ่ง’ ใหญ่ของตลอดทั้งฟ้าดินเลย ตอนนั้นจูเหลี่ยนอธิบายว่าเหตุใดถึงไม่ยอมสังหารคนคนเดียวเพื่อช่วยคนทั้งใต้หล้า ก็คือหลักการนี้! และนี่ก็ไม่ใช่ความหมายในเชิงลบ เป็นเพียงแค่นิสัยสันดานของมนุษย์เท่านั้น แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน แต่ข้าก็เชื่อว่ามันเคยผลักดันให้วิถีทางโลกเดินไปเบื้องหน้าได้เช่นกัน”

“คนที่สภาพจิตใจร่วงลงมาตรงพื้นที่นี้แล้ว ‘ผลิดอกออกผล’ ในช่วงเวลาที่คับขันบางอย่างถึงจะสามารถพูดประโยคทำนองว่า ‘ข้าตายไปแล้วยังต้องสนใจไปไยว่าน้ำจะท่วมเทียมฟ้า’ ‘ข้ายอมทำผิดต่อคนใต้หล้า’ ‘ฟ้ามืดแต่หนทางยาวไกล ข้าก็ได้แต่เดินถอยหลังกลับ’ ออกมาจากปากได้ แต่สันดานที่ดูเหมือนว่าหมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินล้วนมีกันนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลับกลายมาเป็นรากฐานในการหยัดยืนของ ‘มนุษย์’ อย่างพวกเรา อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งในนั้น นี่จึงอธิบายได้ว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดคน ‘ไม่ดี’ มากมายเพียงนั้นถึงสามารถฝึกตนเป็นเทพเซียนได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ถึงขั้นยังมีชีวิตที่ดีกว่าคนดี เพราะฟ้าดินให้กำเนิดหมื่นสรรพสิ่งโดยไม่มีความลำเอียง จึงไม่อาจใช้ความดีเลวของ ‘มนุษย์’ มาตัดสินความเป็นความตายได้เสมอไป”

หลังจากดื่มเหล้าไปอีกอึกใหญ่

เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเดินไปยังมุมขวาสุดของครึ่งวงกลมด้านบน “จิตใจของพื้นที่นี้ไม่หนักแน่นมั่นคงเหมือนคนทางฝั่งขวามือที่เป็นเพื่อนบ้าน จิตใจของพวกเขาค่อนข้างจะเอนเอียงไม่หยุดนิ่ง แต่กระนั้นก็ยังโอนเอียงเข้าหาความดี ทว่าก็ยังเปลี่ยนแปลงไปได้เพราะคน สถานที่ เวลา และการเปลี่ยนแปลงสารพัดหลากหลาย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้อริยะสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักคอยพร่ำสอนว่า ‘หยกไม่เกลาไม่เป็นรูปร่าง คนไม่เรียนรู้ไม่รู้ความ’ คอยตักเตือนว่า ‘คนกระทำสวรรค์มองดู’ คอยเกลี้ยกล่อมว่า ‘ชาตินี้ทำกรรมดีชาติหน้าได้ดีตอบแทน ชาตินี้ทุกข์ชาติหน้าสุข’”

เฉินผิงอันเขียนมาถึงตรงนี้ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้อีก เขาเดินมาหยุดอยู่ใกล้กับสองตัวอักษร ‘ดีเลว’ ที่อยู่ใกล้กันตรงใจกลางของวงกลม แล้วใช้ถ่านเขียนเพิ่มไปอีกสองประโยค ด้านบนเขาเขียนคำว่า ‘เต็มใจเชื่อว่าคนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ได้ ‘ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ’ ไปเสียทุกคน’ ส่วนด้านล่างเขียนคำว่า ‘ไม่ว่าการทุ่มเทใด หากไม่ได้รับการตอบแทนกลับมาด้วยสิ่งที่จับต้องได้จริง นั่นก็เท่ากับว่าสูญเสียผลประโยชน์ของหนึ่งอย่างคำว่า ‘ข้า’ แล้ว’

เฉินผิงอันเก็บถ่าน พึมพำว่า “หากสัมผัสได้ถึงความเสียหาย จุดลึกในใจของคนผู้นี้ก็จะเกิดข้อกังขาและร้อนใจอย่างยิ่ง แล้วก็จะเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา คิดว่าจะต้องทวงคืนมาจากเรื่องอื่นให้จงได้ แล้วก็ต้องช่วงชิงมาให้ได้มากกว่าเดิมด้วย นี่จึงอธิบายได้ว่าเหตุใดทะเลสาบซูเจี่ยนถึงได้วุ่นวายขนาดนี้ ทุกคนต่างก็กำลังดิ้นรนกันอย่างยากลำบาก นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่ข้าคิดไว้ก่อนหน้านี้ว่า ทำไมเมื่อคนมากมายขนาดนั้นถูกจุดใดจุดหนึ่งของวิถีทางโลกต่อยหนึ่งหมัด แล้วจะต้องต่อยเตะใส่วิถีทางโลกให้ได้มากกว่า โดยที่ไม่สนใจสักนิดว่าคนอื่นจะเป็นหรือตาย แล้วก็ไม่ได้ทำไปเพียงเพราะต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ก็เหมือนกู้ช่าน ทั้งๆ ที่เห็นกันอยู่ว่าเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้ดีแล้ว แต่ก็ยังเดินตามเส้นทางสายนี้จนกลายมาเป็นคนที่สามารถพูดคำว่า ‘ข้าชอบฆ่าคน’ ออกมาจากปากได้ ไม่เพียงแต่สภาพแวดล้อมของทะเลสาบซูเจี่ยนที่ทำให้เขาเป็นเช่นนี้ แต่ยังเป็นเพราะร่องคันดินในผืนนาหัวใจของกู้ช่านที่ตัดสลับกันได้ถูกแยกออกจากกันเพราะทางสายนี้ เมื่อเขามีโอกาสได้ไปสัมผัสกับฟ้าดินที่ใหญ่มากกว่าเดิม ยกตัวอย่างเช่นหลังจากที่ข้ามอบหนีชิวน้อยให้เขา เขาได้มาเยือนทะเลสาบซูเจี่ยน กู้ช่านก็จะไปฉกชิงเอาหนึ่งที่เป็นของคนอื่นมาให้ได้มากกว่า หนึ่งที่ว่านี้อาจจะเป็นเงินทองหรือชีวิตก็ได้หมด ไม่เลือกเลยแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันเดินมาหยุดตรงฝั่งซ้ายมือสุดของวงกลมครึ่งบน “จิตใจของคนในพื้นที่นี้ไร้ระเบียบมากที่สดุ อยากจะทำดีแต่กลับไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร มีใจอยากทำชั่วแต่ก็ไม่กล้าพอ ดังนั้นจึงเป็นการง่ายที่จะรู้สึกว่า ‘อ่านตำราไปก็ไร้ประโยชน์’ ‘หลักการเหตุผลทำให้ข้าเสียหาย’ แม้ว่าจะอยู่ในครึ่งวงกลมนี้ แต่กลับง่ายที่จะหันมากระทำชั่ว ด้วยเหตุนี้บนโลกถึงได้มี ‘วิญญูชนจอมปลอมที่แสร้งวางท่าภูมิฐาน’ มากมายถึงเพียงนั้น แม้แต่ศาสดาพุทธในพระคัมภีร์ก็ยังเป็นกังวลกับการมาถึงของยุคธรรมปลาย คนที่อยู่ตรงนี้จะไหลไปตามกระแส มีชีวิตอย่างยากลำบาก หรืออาจถึงขั้นยากลำบากมากที่สุด ก่อนหน้านี้ที่ข้าพูดถึงความดีของหลักการเหตุผลบนโลกกับกู้ช่าน อิสระเสรีที่แท้จริงของผู้แข็งแกร่งอยู่ที่ว่าสามารถปกป้องคนกลุ่มนี้ได้ ให้พวกเขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวว่าคนกลุ่มที่อยู่ในวงกลมครึ่งล่างจะทำตัวกำเริบเสิบสานไร้ยำเกรง

แล้วตนเองจะต้องเผชิญกับหายนะที่ไร้ต้นสายปลายเหตุ ไม่ต้องกลัวว่าทรัพย์สมบัติที่ต้องขยันเหนื่อยยากกว่าจะเก็บหอมรอมริบมาได้จะถูกเผาผลาญจนสิ้นภายในค่ำคืนเดียว ต่อให้ไม่ต้องใช้เหตุผล ไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผลอะไรมากมาย หรือแม้กระทั่งไม่ต้องมีเหตุผลในบางครั้ง เพียงแค่สั่นคลอนเก้าอี้ไม้ตัวที่ลัทธิขงจื๊อสร้างขึ้นซึ่งเดิมทีได้รูปได้ทรง สี่ด้านแปดทิศล้วนมั่นคง ก็ล้วนสามารถทำให้คนเหล่านี้มีชีวิตที่ดีได้”

เฉินผิงอันลุกขึ้นขยับเท้ามาหยุดอยู่ตรงฝั่งขวามือสุดของวงกลมครึ่งล่างที่อยู่ตรงข้ามกัน แล้วจรดก้อนถ่านเขียนลงไปอย่างเชื่องช้าว่า “‘จิตใจของคนที่อยู่ที่นี่ เจ้าพูดว่าวางมีดลงก็บรรลุธรรม รู้ผิดแล้วแก้ไขจึงจะประเสริฐกับกลุ่มคนที่เป็นเพื่อนบ้านอยู่ติดกันนั้น ก็มีแต่จะเป็นเพียงคำพูดที่ว่างเปล่าเท่านั้น’

แม้ว่าวงกลมครึ่งล่างยังเหลือพื้นที่ว่างอีกแถบใหญ่ทางซ้ายมือสุด แต่เฉินผิงอันกลับหน้าซีดขาวแล้ว เขาถึงกับมีลางว่าจะหมดเรี่ยวหมดแรง หลังจากดื่มเหล้าไปอึกใหญ่ก็ลุกขึ้นยืนอย่างโงนเงน ถ่านไม้ที่ถืออยู่ในมือถูกเสียดสีจนเหลือแค่ขนาดเท่าเล็บมือแล้ว เฉินผิงอันสงบจิตใจให้มั่นคง ปลายนิ้วของเขาสั่นสะท้าน เขียนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว เขาฝืนดึงแรงเฮือกหนึ่งขึ้นมา ยกแขนขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผาก อยากจะทรุดตัวลงไปนั่งเขียนต่อ ต่อให้เขียนได้แค่ตัวเดียวก็ยังดี แต่เพิ่งจะก้มตัวลง ขาก็อ่อนยวบจนลงนั่งแปะอยู่บนพื้นแล้ว

มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้บนพื้นอย่างไม่มีพิธีรีตอง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งกางนิ้วออก ถ่านไม้ที่เหลืออยู่อีกไม่มากกลิ้งหลุนๆ ไปบนพื้น ส่วนเขาก็ทิ้งตัวนอนหงายอยู่ตรงท่าเรือทั้งอย่างนั้น

“ลัทธิขงจื๊อเสนอคำว่าความเห็นอกเห็นใจ ลัทธิพุทธเลื่อมใสคำว่าจิตใจเมตตาปราณี แต่โลกที่พวกเราอยู่ใบนี้ คิดจะทำเช่นนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะสามารถทำทั้งสองอย่างนี้ได้ตลอดเวลาเลย กลับกันคำกล่าวว่า ‘จิตใจอันบริสุทธิ์’ ที่หย่าเซิ่งเป็นผู้กล่าวขึ้นมาก่อน กับคำว่า ‘ย้อนกลับคืนสู่รากฐาน หวนกลับไปเป็นทารกอีกครั้ง’ ของมรรคาจารย์เต๋า กลับดูเหมือนว่าจะยิ่ง…”

เฉินผิงอันฝืนลุกขึ้นยืน ก้าวถอยออกมาจากวงกลมที่ยังเขียนตัวอักษรด้วยถ่านได้ไม่เต็มวง จ้องเขม็งไปยังวงกลมวงใหญ่ สุดท้ายเส้นสายตาหยุดนิ่งที่ใจกลางของวงกลม หยุดนิ่งอยู่บนสองคำว่า ‘ดีเลว’ ที่ตนเขียนไปแรกเริ่มสุด

เฉินผิงอันที่ร่างโงนเงนยื่นมือออกมาข้างหนึ่ง ราวกับว่าจะคว้าจับทั้งวงกลมอย่างไรอย่างนั้น

แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแทบไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่

สิ่งที่เขาเป็นตอนนี้ เรียกได้ว่าลืมตนไปอย่างสิ้นเชิง

“ไม่ต้องพูดถึงดีเลวก็ได้ใช่ไหม? พูดถึงแค่ความต่างระหว่างคนกับเทพ? นิสัยสันดาน? ไม่อย่างนั้นวงกลมวงนี้ก็ยากที่จะหยัดยืนได้มั่นคงอย่างแท้จริง”

“นี่ก็จำเป็นต้อง…ขยับขึ้นไปเบื้องบนอีกหน่อย? ไม่ใช่ติดอยู่กับหลักการเหตุผลในตำรา ยึดติดกับแค่ความรู้ของลัทธิขงจื๊อ คิดแค่จะขยับขยายวงกลมนี้ให้กว้างออกไปอย่างเดียว? แต่ต้องขยับขึ้นสูงไปอีกนิด?”

“หากเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว นี่ไม่ใช่อย่างที่ข้าคิดไว้ก่อนหน้านี้เลย ไม่ใช่ว่าธรณีประตูของหลักการเหตุผลบนโลกแบ่งแยกสูงต่ำ แต่เป็นการเดินวนรอบวงกลมวงนี้ คอยหันไปมองดูว่าจิตใจคนมีแบ่งแยกซ้ายขวา ขณะเดียวกันก็ไม่ได้บอกว่าใจคนที่ไม่ได้อยู่ตำแหน่งเดียวกันแล้วจะต้องแบ่งแยกสูงต่ำ ต้องต่างกันราวฟ้ากับเหว เป็นเหตุให้สิ่งที่อริยะของสามลัทธิทำ เรื่องที่เรียกว่าจูงใจคนให้ทำความดีนั้น ก็คือการ ‘เคลื่อนภูเขาคว่ำมหาสมุทร’ ต่อใจคนที่อยู่ในพื้นที่ต่างกัน ชักนำให้ไปยังพื้นที่ที่พวกเขาต้องการให้ไป”

“หากใช่ งั้นก็ยังไม่ต้องมองในจุดสูงก่อน ไม่เดินบนทางราบรอบวงกลม เพียงแค่อาศัยลำดับขั้นตอน ย้อนถอยกลับก้าวหนึ่งเพื่อมาดู แล้วก็ยังไม่ต้องพูดถึงจิตดั้งเดิมของแต่ละคน พูดถึงแค่แก่นแท้ของวิถีทางโลก ความรู้ของลัทธิขงจื๊อนั้นกำลังขยับขยายและทำให้อาณาเขต ‘ที่จับต้องได้จริง’ มั่นคงขึ้น ส่วนลัทธิเต๋าก็กำลังยกระดับโลกใบนี้ให้สูงขึ้น  ให้พวกเราสามารถอยู่สูงเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เหลืออยู่”

เฉินผิงอันหลับตาลง หยิบไม้ไผ่แผ่นหนึ่งที่ด้านบนสลักตัวอักษรของผู้รอบรู้คนหนึ่งซึ่งเก่าแก่เรียบง่าย แต่กลับงดงามน่าประทับใจ ตอนนั้นแค่รู้สึกว่าความคิดนี้ประหลาด แต่กลับทะลุปรุโปร่ง ทว่าตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู ขอแค่สืบสาวให้ลึกลงไป มันกลับแฝงสัจธรรมบางส่วนของลัทธิเต๋าเอาไว้ “เทน้ำหนึ่งอ่างลงบนพื้น เศษหญ้าลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำ มดตัวหนึ่งพักพิงเศษหญ้าคิดว่าเป็นทางตัน ครู่หนึ่งเมื่อน้ำแห้ง ถึงได้ค้นพบว่าเส้นทางทอดยาวกว้างใหญ่ ไม่มีที่ใดที่ไปไม่ได้”

“สิ่งที่ลัทธิเต๋าปรารถนาก็คือไม่ต้องการให้คนบนโลกอย่างพวกเราเป็นอย่างมดที่สติปัญญาต่ำต้อย จะต้องมองโลกจากจุดที่สูงยิ่งกว่าเดิม จะต้องแตกต่างจากสัตว์และต้นไม้ใบหญ้า”

“ส่วนลัทธิพุทธนั้น…”

เฉินผิงอันยื่นมือสองข้างมาวาดวงกลมหนึ่งวง “ผสานกับคำว่ากว้างขวางของลัทธิขงจื๊อ คำว่าสูงของลัทธิเต๋า ผสานรวมโลกนับแสนใบให้กลายเป็นหนึ่งอย่างที่ไม่มีช่องโหว่”

สุดท้ายเฉินผิงอันพึมพำ “นี่จะถือว่าข้าพอจะรู้จักหนึ่งนั้นนิดๆ แล้วหรือไม่?”

เสียงตึงดังขึ้น นักบัญชีที่ใช้เรี่ยวแรงและจิตใจทั้งร่างจนหมดสิ้นล้มหงายตึงลงไปด้านหลัง เขาหลับตาลง น้ำตาไหลเต็มหน้า ยื่นมือข้างหนึ่งมาเช็ดหน้า ส่วนฝ่ามืออีกข้างยกขึ้นสูง เส้นสายตาที่พร่ามัวไปด้วยน้ำตามองทะลุร่องนิ้วออกไปด้วยความสะลืมสะลือ เหมือนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ จิตใจอ่อนระโหยอย่างถึงที่สุด ทว่าส่วนลึกในหัวใจกลับเต็มไปด้วยความชื่นบาน เขาพึมพำเบาๆ ว่า “เมฆดำบนฟ้าเคลื่อนหาย แสงจันทร์สุกใสส่องนภา ใครหนาประดับประดาไว้ ที่แท้รูปโฉมของแผ่นฟ้า สีสันของมหาสมุทร ก็สะอาดบริสุทธิ์ถึงเพียงนี้”

เฉินผิงอันหลับตาลงแล้วค่อยๆ หลับไป มุมปากยังแต้มยิ้ม พึมพำเสียงแผ่วเบา “ที่แท้หากไม่แบ่งแยกความดีเลวของใจคน คิดเช่นนี้ก็ทำให้ยิ้มได้เหมือนกัน”

ในขณะที่เฉินผิงอันนอนหลับฝันหวานไม่สนใจใครอยู่กลางวงกลมใหญ่ที่ไม่ทันได้ลบตัวอักษรถ่านไม้บนท่าเรือเกาะชิงเสียเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มาอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนนั้นเอง

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่

มีบุรุษชุดเขียวที่ยังคงเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของความอิสระเสรีไร้พันธนาการ กับสตรีชุดเขียวมัดผมหางม้าที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งงดงามเพริศพริ้ง ได้มาถึงท่าเรือแห่งนี้แทบจะเวลาเดียวกัน

คนทั้งสองไม่ได้พูดอะไรกัน แม้แต่จะสบตากันก็ยังไม่มี

บัณฑิตที่ไม่ได้ยกพู่กันเขียนจดหมายตอบกลับตอนอยู่ศาลบรรพจารย์ภูเขาไท่ผิง แต่เลือกที่จะมาต่างถิ่นต่างแดนด้วยตัวเองผู้นั้นหยิบถ่านไม้ก้อนนั้นของเฉินผิงอันขึ้นมา เขานั่งยองอยู่ตรงตำแหน่งทางซ้ายมือสุดของวงกลมด้านล่าง คิดจะเขียนตัวอักษรลงไป แต่ก็ยังลังเลตัดสินใจไม่ได้ ทว่าเขาไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดเลยแม้แต่น้อย กลับกันในดวงตายังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ภูเขาสูงอยู่ตรงหน้า หรืออดีตวิญญูชนแห่งสำนักศึกษาอย่างข้า ยังได้แต่เดินอ้อมไปเท่านั้น?”

ส่วนสตรีชุดเขียวผู้นั้นกลับยืนอยู่นอกวงกลมตำแหน่งสุดปลายด้านหนึ่งของเส้นตรง กำลังกินขนมชิ้นใหม่ที่ซื้อมาจากนครลวี่ถงทะเลสาบซูเจี่ยน เสียงที่พูดจึงอู้อี้ “การแบ่งระหว่างเทพและคนยังขาดอีกเล็กน้อยที่ไม่ได้อธิบายอย่างละเอียด”

บัณฑิตถือถ่านไม้ไว้ในมือ เงยหน้าขึ้น กวาดตามองรอบด้าน จุ๊ปากพูด “ช่างสมกับคำว่าเมื่อเรื่องราวพัฒนาไปถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดก็ควรปลุกความกล้า เมื่อดื่มเหล้าจนอารมณ์ฮึกเหิมความกล้าก็เพิ่มพูนจริงๆ”

หญิงสาวชุดเขียวก็เอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งว่า “ขอแค่มโนธรรมในใจไม่มัวหมอง หมื่นกฎเกณฑ์ก็ล้วนสว่างไสว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้เขาถึงได้หันหน้าไปมองสตรีชุดเขียวมัดผมหางม้าที่กำลังแทะขนมคำเล็กๆ ผู้นั้น “เจ้าอย่าได้ฉวยโอกาสแต๊ะอั๋งเฉินผิงอันตอนเขาหลับสนิทเชียวนะ แต่หากแม่นางคิดจะทำจริงๆ ข้าจงขุยสามารถหันหลังให้ได้ นี่เรียกว่าวิญญูชนช่วยทำเรื่องดีของคนอื่นให้เป็นจริง!”

และเมื่อได้ยินประโยคนี้ นางถึงได้หันมามองเขา พูดอย่างสงสัยว่า “เจ้าชื่อจงขุย? เจ้าคน…ผีผู้นี้ ค่อนข้างจะประหลาด ข้ามองเจ้าแล้วก็ไม่เข้าใจ”

จงขุยเอื้อมมือข้ามไหล่ชี้ไปยังนักบัญชีที่ส่งเสียงกรนสนั่นเหมือนเสียงฟ้าผ่าผู้นั้น “ก็มีแต่เจ้าหมอนี่นี่แหละที่เข้าใจข้า ข้าก็เลยมานี่ไงล่ะ”

จงขุยมองทะเลสาบซูเจี่ยนที่ในสายตาของเขาแล้วแตกต่างไปจากสายตาของคนบนโลกอย่างสิ้นเชิง แล้วพึมพำว่า “บนโลกจะมีแค่ข้าจงขุยที่เป็นวิญญูชนคนเดียวได้อย่างไร ถ้าอย่างนั้นวิถีทางโลกจะกลายเป็นหลุมอาจมที่ใหญ่สักแค่ไหนกัน?”

หร่วนซิ่วพูดด้วยสีหน้าเฉยชา “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากช่วยเขา แต่ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าได้อยู่ต่อเพื่อช่วยเขาเลย มีแต่จะทำให้เสียเรื่อง”

จงขุยถาม “จริงรึ?”

หร่วนซิ่วถามกลับ “เจ้าเชื่อข้า?”

จงขุยพยักหน้ารับ

หร่วนซิ่วกินขนมหมดก็ปัดมือแล้วจากไป

จงขุยคิดแล้วก็วางถ่านไม้ชิ้นนั้นกลับลงไปที่เดิม พอลุกขึ้นยืนก็เขียนตัวอักษรแปดตัวลงบนกลางความว่างเปล่าทิ้งไว้ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ แล้วเขาก็จากไปอีกคน ย้อนกลับไปยังใบถงทวีป

จงขุยบัณฑิตที่ไม่ใช่วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาอีกต่อไปเดินทางมาอย่างยินดี แล้วก็กลับไปด้วยความยินดี

แปดคำที่เขาทิ้งไว้ก็คือ ‘ทุกเรื่องล้วนเหมาะสม ไม่ต้องกังวลสิ่งใด’

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+