กระบี่จงมา 190 ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 190 ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
บทที่ 190 ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง
โดย

เว่ยป้อแค่เล่าเรื่องให้ฟังพอประมาณแล้วก็หยุด ไม่ยอมเปิดเผยไปมากกว่านี้ อักษรภาพยังต้องเว้นช่องว่าง การพูดคุยก็เหมือนกัน

ชายชุดขาวบังคับลมทะยานไปกลางอากาศ ล่องลอยอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ

หลังออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว เว่ยป้อก็ชะลอความเร็วลง เอื้อมมือคว้าไอเมฆขึ้นมาปั้นเหมือนปั้นลูกหิมะ เพิ่มน้ำหนักให้มันไปเรื่อยๆ ก่อนจะใช้สองมือโอบไว้ก้อนเมฆที่ปั้นเข้าด้วยกันแล้วบีบอัดอย่างแรง สุดท้ายกลางฝ่ามือของเว่ยป้อก็ปรากฎเป็นลูกกลมสีขาวขนาดเท่าไข่ห่านหนึ่งลูก เขาที่อยู่กลางอากาศมองหาหนึ่งในต้นกำเนิดลำคลองหลงซวีของเมืองเล็ก แล้วโยนมันเข้าไปในธารน้ำที่อยู่กลางภูเขาเบาๆ ลูกกลมสีขาวหล่นลงไปด้านใน เพียงไม่นานก็มีปลาดำตัวหนึ่งกลืนมันลงไปในท้อง แล้วปลาตัวนั้นก็ว่ายตามกระแสน้ำไปยังเบื้องล่าง ออกจากภูเขา ผ่านหินหลังควาย สะพานหินโค้ง ร้านตีเหล็ก จากนั้นก็มาถึงน้ำตกอันเป็นจุดตัดระหว่างลำคลองหลงซวีกับแม่น้ำเถี่ยฝู ครั้นจึงร่วงดิ่งลงเบื้องล่างตามกระแสน้ำที่ไหลแรงอย่างรวดเร็ว

กระแสน้ำไหลเชี่ยวไปพร้อมกับกาลเวลาที่ไหลผ่าน ริมตลิ่งแม่น้ำเถี่ยฝู บนกิ่งต้นหลิวเก่าแก่ที่ยื่นพ้นจากลำต้นมาอยู่เหนือน้ำ เทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูนามว่าหยางฮวากำลังนั่งหลับตาทำสมาธิ เทพแม่น้ำหญิงที่สวมหน้ากากบดบังใบหน้าพลันลืมตา ยื่นมือออกมากวักหนึ่งครั้ง ปลาดำที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างลิงโลดก็ถูกนางคว้ามาไว้ในมือ นางใช้นิ้วข้างหนึ่งเป็นใบมีดกรีดลงตรงท้องปลาดำ แล้วก็ได้เห็นลูกกลมสีขาวที่เปี่ยมล้นไปด้วยปราณวิญญาณลูกนั้น นางปาดปลายนิ้วเบาๆ เย็บท้องปิดให้กับปลาดำที่นำ ‘จดหมาย’ มาให้ก่อน พอปลาตัวนั้นหลุดจากฝ่ามือของนางลงสัมผัสกับน้ำ ปลาดำก็เริงร่าผิดปกติ เกล็ดทั่วร่างคล้ายจะส่องประกายระยิบระยับมากกว่าเดิม

หยางฮวาก้มหน้าลงมองลูกกลมสีขาวกลางฝ่ามือตัวเอง ด้านในลูกกลมนี้มีปราณของรากเมฆเป็นเส้นๆ ซึ่งล้ำค่าอย่างยิ่งสอดแทรกอยู่ด้วย ไม่ว่าจะสำหรับเทพลำคลองหรือเทพแม่น้ำก็ล้วนถือเป็นของบำรุงชิ้นใหญ่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งน้ำและภูเขาก็มีอาหารเลิศรสเป็นของตัวเองเหมือนกัน พวกแก่นน้ำ รากเมฆ ฯลฯ ล้วนเกิดจากการรวมตัวกันของโชคชะตาแห่งภูเขาและแม่น้ำจนกลายมาเป็นของที่จับต้องได้จริง เก็บแก่นแท้ที่ดีเอาไว้ นี่ก็เหมือนที่แท่นสังหารมังกรมีความหมายต่ออาวุธเทพ เหมือนที่หินดีงูมีความหมายต่อเผ่าพันธุ์เจียวและมังกรที่หลงเหลืออยู่นั่นเอง

หยางฮวาเงยหน้ามองไป ท่ามกลางเมฆหมอกพอจะมองเห็นบุรุษชุดขาวที่ยืนอยู่บนยอดกลุ่มเขา ใบหูข้างหนึ่งห้อยห่วงกลมสีทอง

ก่อนหน้านี้นางที่อยู่ที่นี่เห็นกับตาตัวเองว่าคนผู้นี้ขี่งูดำที่มีตบะธรรมดาทวนกระแสน้ำเข้าไปยังภูเขาใหญ่พร้อมกับสวี่รั่วจอมยุทธ์สำนักโม่หนึ่งในผู้พิทักษ์ประตูของต้าหลี แต่หยางฮวาคิดไม่ถึงว่าเว่ยป้อผู้นี้จะเลื่อนขั้นพรวดกลายไปเป็นเทพแห่งขุนเขาเหนือของต้าหลีทันที แถมระดับขั้นยังเหนือกว่านางไปไกล

หยางฮวาไม่รู้ว่าทำไมเว่ยป้อต้องแสดงความเป็นมิตรกับตน เพราะฐานะไม่มั่นคงจึงคิดจะซื้อใจคนงั้นหรือ?

หยางฮวาแค่นเสียงเย็นไม่หยุด กำหมัดแน่น บีบลูกกลมสีขาวในมือให้แตกอย่างไม่ลังเล ปราณวิญญาณทั้งหมดจึงพากันไหลเข้าไปในกายนาง เส้นผมปลิวไสว น้ำในแม่น้ำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก่อตัวเป็นลูกคลื่นราวกับจะแสดงความยินดีกับตบะที่เพิ่มขึ้นของเจ้านาย

เว่ยป้อดึงสายตาที่มองไปยังแม่น้ำเถี่ยฝูกลับคืนมา ครั้นจึงกลับภูเขาพีอวิ๋นถิ่นฐานของเขา

ระหว่างที่ทะยานเวหาผ่านภูเขาลูกต่างๆ บางครั้งก็มีเสียงผู้ฝึกลมปราณทักทายมาจากเบื้องล่าง หากเป็นเมื่อก่อนเว่ยป้อมักจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม แต่วันนี้เขาไม่มีอารมณ์นั้น

เขามาที่สะพานเหล็กขึงเส้นหนึ่งที่แขวนอยู่ระหว่างยอดเขาของภูเขาสองลูก งานก่อสร้างยังไม่เสร็จดี ความกว้างนั้นมากพอให้รถม้าสองคันขับผ่านได้ ต่อให้ลมที่พัดผ่านช่องเขาจะกระโชกแรงแค่ไหนก็ได้แค่ทำให้สะพานโยกน้อยๆ เท่านั้น ลมพัดแรงเท่าไหร่ ระดับการแกว่งของสะพานขึงมีมากหรือน้อย ช่างและอาจารย์ด้านกลไกที่เป็นผู้ฝึกลมปราณของสำนักโม่ซึ่งรับผิดชอบสร้างสะพานล้วนมีข้อกำหนดที่เข้มงวด ไม่มีทางแอบอู้งานหรือตัดลดวัสดุเด็ดขาด ไม้ชิงอูที่ใช้ปูเป็นพื้นสะพานแน่นหนาทนทานอย่างถึงที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างโจมตีอย่างเต็มกำลังครั้งหนึ่ง อย่างมากสุดก็ได้แค่แทงให้ผิวสะพานเป็นรูหนึ่งรูเท่านั้น ส่วนเส้นเหล็กที่ใช้ขึงก็ยิ่งหลอมมาจากเหล็กกล้าชั้นเยี่ยม

เพราะอย่างไรซะเมื่ออยู่ด้านล่างภูเขา ร้านเก่าแก่ดั้งเดิมก็ต้องอยู่มานานถึงร้อยปี กว่าจะได้ป้ายอักษรทอง (ป้ายที่ใช้สีทองทาเพื่อแสดงถึงความรุ่งเรือง และมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก มักใช้อวดอ้างกับผู้คน) แต่บนภูเขาที่ชีวิตอมตะยาวนานนั้น ต้องผ่านเวลาห้าร้อยปีขึ้นไปถึงจะกล้าบอกว่าตัวเองคือร้านเก่าแก่

เมื่อเทพภูเขาชุดขาวผู้นี้เดินอยู่บนสะพานสีดำสนิทจึงแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างเด่นชัด และยิ่งทำให้คนรู้สึกปลงอนิจจังด้วยรู้สึกถึงความ ‘ยิ่งใหญ่ดุจขุนเขาสูงส่ง’ ของบุรุษผู้นี้

เว่ยป้อหยุดเดิน ใช้มือข้างหนึ่งพยุงราวสะพาน แหงนหน้าขึ้นมอง

เขารู้ว่าที่ตัวเองสามารถเลื่อนขั้นกลายมาเป็นเทพแห่งขุนเขาเหนือได้นั้น อย่างน้อยโชควาสนาครึ่งหนึ่งก็มาจากชายฉกรรจ์สวมงอบพกดาบไม้ไผ่คนนั้น

เพราะต้าหลีค้นพบว่าหลังจากที่ตนได้พบกับคนผู้นั้นถึงสามารถทำลายพันธนาการ เปลี่ยนจากเทพแห่งผืนดินที่สภาพตกต่ำกลับคืนมาเป็นเทพภูเขาแห่งภูเขาฉีตุนอีกครั้ง

เป็นคุณความชอบของดาบไม้ไผ่ที่ฟาดลงมาครั้งนั้น ตัวเว่ยป้อเองก็เพิ่งจะเข้าใจหลังจากผ่านเหตุการณ์มานานมากแล้ว เมื่อเวลาผันผ่าน เว่ยป้อถึงค่อยๆ ตระหนักได้ว่าร่างทองนี้ของตนไม่ธรรมดา

ถ้วยหนึ่งใบสามารถบรรจุน้ำหนึ่งอ่างได้งั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ได้ ต่อให้เขาจะเคยเป็นเทพแห่งขุนเขาเหนือของแคว้นสุ่ยเสินมาก่อน เดิมทีก็เป็นองค์เทพชั้นสูงที่รับควันธูปได้ไม่น้อยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าภายหลังถูกเซียนที่วางหมากใช้วิชาอภินิหารมาพันธนาการเอาไว้ก็เท่านั้น แต่หากคิดจะรับควันธูปและปราณวิญญาณทั้งหมดจากทั่วแถบทิศเหนือของต้าหลี ตอนที่เพิ่งออกมาจากภูเขาฉีตุน เว่ยป้อคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่ประมาณตนเกินไป อาจไม่ถึงขั้นเป็นมดแดงที่คิดเขย่าต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่ถือค้อนตีเหล็กซึ่งสักวันต้องทำให้ตัวเองเจ็บตัว ทำร้ายพลังชีวิตต้นกำเนิดของตัวเองแน่นอน

แต่ว่าตอนนี้ เว่ยป้อกลับสามารถควบคุมภูเขาทั้งสามสิบกว่าลูกได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ขยับมือ

ดังนั้นเว่ยป้อจึงยินดีที่จะมอบความเป็นมิตรของตนให้แก่เฉินผิงอันให้มากที่สุด ยินดีที่จะพาเขาเดินไปทั่วแม่น้ำและภูเขา เหมือนเป็นการแปะลายเซ็นเทพขุนเขาเหนือของต้าหลีไว้บนร่างเด็กหนุ่ม

หนึ่งเพราะเฉินผิงอันไม่ใช่คนน่ารังเกียจ สองเพื่อตอบแทนบุญคุณอาเหลียง สามมีความเป็นไปได้ว่าอาเหลียงจะกลับมายังโลกมนุษย์อีกครั้ง

เหตุผลข้อที่สามสำคัญที่สุด

เว่ยป้อกลัวว่าวันใดที่อาเหลียงกลับคืนมายังใต้หล้าแห่งนี้จริงๆ แล้วรู้สึกว่าตนจัดการได้ไม่เหมาะสมมากพอ หนึ่งดาบไม้ไผ่บนภูเขาฉีตุนที่เคยทำให้ขอบเขตของตนทะยานไกลเป็นหมื่นลี้ก็อาจจะทำให้ตนกลับคืนสภาพเดิมบนภูเขาพีอวิ๋นก็ได้ หากเป็นเว่ยป้อตอนที่ยังอยู่ภูเขาฉีตุน อาจจะไม่สนใจอะไรมากนัก แต่เว่ยป้อในตอนนี้กลับทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว

เพราะเด็กสาวที่ฝึกตนอยู่ในตำหนักฉางชุนแห่งต้าหลีผู้นั้น

เว่ยป้อหันไปมองทางทิศเหนือ มองไปยังทิศเหนือของต้าหลีที่อยู่ห่างไกล เขาหรี่ตาลง พึมพำเบาๆ “ต้องมีชีวิตที่ดี ชีวิตนี้อย่าได้ไปชอบบัณฑิตอีก บัณฑิตมักทรยศคนที่ลุ่มหลงในรักมากที่สุด”

……

นอกเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว ได้ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นห่างไปไกลสุดขอบฟ้า เด็กชายชุดเขียวก็อยากกินหินดีงูธรรมดาเพื่อใช้ระงับความตื่นตกใจ

เด็กชายชุดเขียวกัดหินดีงูพลางไพล่นึกไปถึงท่าทางเศร้าสร้อยของเฉินผิงอันตอนที่หันกลับมามองเรือนไม้ไผ่ก่อนหน้านี้ก็อดจุ๊ปากพูดไม่ได้ “นึกไม่ถึงว่านายท่านของพวกเราจะร้องไห้ด้วย ช่างเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวยิ่งนัก แค่ฟังเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนก็ซาบซึ้งใจถึงเพียงนี้ เชื่อว่าวันหน้าเมื่อนายท่านอยู่ในยุทธภพต้องมีชีวิตที่ตระการตามากแน่ เมื่อพบเจอความอยุติธรรมระหว่างทางก็แผดเสียงคำรามใส่ ช่วยเหลือแม่นางน้อยแล้วนางก็ตอบแทนด้วยร่างกาย นายท่านขยับร่างทีเดียวก็แปลงกายเป็นปลาขาวน้อยท่ามกลางลูกคลื่น…”

เด็กชายชุดเขียวจินตนาการถึงยุทธภพของเฉินผิงอันบรรเจิดไปไกล ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดี พอคิดถึงภาพที่คนดื้อรั้นและน่าเบื่ออย่างเฉินผิงอันถูกจอมยุทธ์หญิงในยุทธภพโถมตัวเข้ากอดก็รู้สึกว่าตลกมากจริงๆ

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูยังคงจมจ่อมอยู่กับความตื่นตะลึงก่อนหน้านี้ สีหน้าของนางซับซ้อน ในใจกระวนกระวายไม่เป็นสุข หันไปพูดกับเด็กชายชุดเขียวเบาๆ “เจ้าว่าใต้หล้าของเผ่าปีศาจอำมหิตโหดร้ายขนาดนั้น ทำไมทางฝ่ายของใต้หล้าไพศาลพวกเราถึงยังสามารถอยู่ร่วมกับเทพเซียนบนภูเขาอย่างสงบสุข? ทำไมผู้ฝึกลมปราณถึงไม่สังหารพวกเราให้สิ้นซาก?”

เด็กชายชุดเขียวคิดแล้วก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คงเป็นเพราะรู้สึกว่าพวกเราคือขี้หมาที่กองอยู่ข้างทาง จะเหยียบก็รังเกียจว่ารองเท้าจะสกปรกกระมัง”

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่นางก็คิดหาเหตุผลมาโน้มน้าวตัวเองไม่ได้ จึงได้แต่เก็บความกังวลและความไม่สบายใจนี้ไว้ในใจก่อนชั่วคราว

เว่ยป้อจากไปแล้ว แต่เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นเดินกลับเรือนไม้ไผ่ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กเพียงลำพัง ลมภูเขาต้นฤดูไม้ใบผลิยังคงหนาวเย็น พัดพาให้เส้นผมตรงจอนหูของเด็กหนุ่มปลิวไสวอย่างอิสระเสรี

ก่อนจะจากไปเว่ยป้อกล่าวยิ้มๆ ว่า “ได้ยินว่าอาเหลียงกำลังตามหากระบี่เล่มหนึ่งที่คู่ควรกับพลังของเขา”

เฉินผิงอันจำได้อย่างชัดเจนว่าตอนที่พบเจอกันครั้งแรกริมแม่น้ำเถี่ยฝู มีคนใช้มือข้างหนึ่งจับประคองงอบ มืออีกข้างตบลงบนด้ามดาบไม้ไผ่เบาๆ เอ่ยด้วยประโยคที่น่าสงสัยว่าเป็นการคุยโวว่า “ตอนนี้ยังหากระบี่ที่เหมาะกับข้าไม่เจอ ดังนั้นจึงได้แต่ใช้มันมาแทนที่ ทำให้คนใช้ดาบใต้หล้าอับอายก่อนชั่วคราว”

แล้วเว่ยป้อก็พูดอีกว่า “มีคนบอกว่าเขาที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสามขั้นสูง กระบี่ที่เอามาใช้ตอนสู้ศึกกับปีศาจใหญ่ไม่ถือว่าดีที่สุด เพียงแต่ว่าเขาใช้มาจนชินแล้ว จึงตัดใจเปลี่ยนใหม่ไม่ลง หลังจากที่มันแตก เขาก็จำเป็นต้องเปลี่ยนเล่มใหม่ เปลี่ยนมาใช้กระบี่ที่ดียิ่งกว่าเดิม!”

“ลองจินตนาการดู หากสามารถหาอาวุธที่อาเหลียงคิดว่าเหมาะมือที่สุดเจอ หรือถึงขั้นหากระบี่บางเล่มที่สามารถช่วยเพิ่มพลังการต่อสู้ให้กับเจ้านายได้อีกหนึ่งขอบเขต เล่มเดียวก็พอแล้ว ขอแค่เลื่อนขอบเขตได้หนึ่งขอบเขตก็พอ เพราะนั่นจะทำให้เขามีพลังการต่อสู้เป็นขอบเขตสิบสี่ขั้นสูงสุด! ในฐานะผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่าต่อให้เผชิญหน้ากับบุรพาจารย์สามลัทธิ จะมรรคาจารย์เต๋า ศาสดาพุทธ หรือปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ล้วนรบด้วยได้!”

“ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เมื่อพบดาบเล่มนั้นแล้ว อาเหลียงในเวลานั้นจะเป็นแบบไหนกันแน่?”

หลังกล่าวประโยคนี้จบ เว่ยป้อก็จากไปอย่างคนที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและความเลื่อมใส ประหนึ่งเนินเขาน้อยที่แหงนมองยอดเขาใหญ่โตตระหง่านง้ำ

ตอนที่เข้าไปในม้วนภาพวาดของผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง เฉินผิงอันเคยฟันกระบี่ออกไปหนึ่งครั้ง

ตอนนี้เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่า อาเหลียงต้องทอดทิ้งอะไรไป

คืนนั้นที่ฝนตก เฉินผิงอันเดินลงจากภูเขาไปพร้อมอาเหลียง

“เจ้าเอาของชิ้นหนึ่งที่ข้าคิดว่าเป็นของในกระเป๋าตัวเองไป”

“หากวันหน้าเจ้าไม่มีปัญญาสลักสองสามตัวอักษรไว้ที่นั่น ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้ายังไง”

ตอนนั้นเฉินผิงอันยังไม่เข้าใจว่าคำพูดที่ชายฉกรรจ์สวมงอบเอ่ยออกมาอย่างสบายๆ นั้น หมายความว่าอะไร เพราะอาเหลียงพูดอย่างไม่ใส่ใจ เด็กหนุ่มจึงไม่เคยรู้น้ำหนักที่แท้จริงของมัน

ตอนนั้นเด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่า กระบี่เล่มนั้นมีดีแค่ไหน

ไม่รู้เลยว่า อาเหลียงแข็งแกร่งมากเท่าไหร่

หากเฉินผิงอันรู้เรื่องพวกนี้ตั้งแต่ก่อนจากกัน ถ้าอย่างนั้นก่อนที่อาเหลียงจะจากไป เขาจะต้องถามพี่สาวเทพเซียนที่จำแลงกายมาจากวิญญาณกระบี่ท่านนั้น ถามนางว่าจะเปลี่ยนเจ้านายคนใหม่ได้หรือไม่ บุรุษที่ชื่อว่าอาเหลียงคนนั้น เป็นมือกระบี่คนหนึ่ง เป็นคนที่ดีมากๆ

อาเหลียงไม่พูด เด็กหนุ่มไม่รู้

อาเหลียงจากไปแล้ว เด็กหนุ่มถึงเพิ่งจะรู้

อาเหลียงที่เป็นเช่นนี้

ช่างโง่ยิ่งนัก

เขาอาศัยอะไรมาด่าว่าตนเป็นคนดีเกินเหตุ?

เฉินผิงอันเหม่อลอยอยู่นานกว่าจะลุกขึ้นยืน เขาเดินไปทางเรือนไม้ไผ่ เด็กชายชุดเขียวจึงถามขึ้นเบาๆ “นายท่าน ท่านไม่เป็นไรใช่ไหม? ตกใจเรื่องที่เว่ยป้อเล่าให้ฟังหรือ? ไม่ต้องกลัวหรอกนะ ภูเขาห้อยหัว กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาเหลียง เซียนกระบี่ปีศาจใหญ่อะไรพวกนั้น อยู่ห่างไกลจากพวกเรานับแสนนับล้านลี้ ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังไม่ต้องกลัว พวกอริยะลัทธิขงจื๊อไม่ได้ร้ายกาจแค่ปากอย่างเดียวเท่านั้น ความสามารถในการต่อสู้ก็ไม่เลวเหมือนกัน อีกอย่างต่อให้มือกระบี่ที่ชื่อประหลาดผู้นั้นจะร้ายกาจแค่ไหนก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเราแม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง คนแบบนี้ต้องมีสามเศียรหกกร ดุร้ายป่าเถื่อน เห็นเทพฆ่าเทพ เห็นเซียนสังหารเซียนแน่นอน ต่อให้มีโอกาสได้พบคนแบบนี้ ข้าก็ไม่อยากพบหรอก น่ากลัวเกินไป คาดว่าแค่เขาจามสักทีหนึ่งก็คงก่อให้เกิดพายุลมกรดพัดพวกเราจนเนื้อหายเหลือแต่กระดูกตั้งอยู่เป็นโครงเลยกระมัง…”

เฉินผิงอันตบศีรษะเด็กชายชุดเขียวที่บ่นพึมพำพลางกล่าวยิ้มๆ “ข้าไม่เป็นไร”

เขาเดินขึ้นไปบนชั้นสอง จับกระบี่ไม้ไหวเล่มนั้น เดินลงมายังระเบียงใต้ชายคาแล้วชูมือขึ้นสูงต่อท้องฟ้า พูดในใจตัวเองสองประโยคว่า

“ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”

“ตกลงตามนี้”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด