กระบี่จงมา 279.2 วรยุทธ์ไร้ที่สอง หมัดสูงเหนือนอกฟ้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 279.2 วรยุทธ์ไร้ที่สอง หมัดสูงเหนือนอกฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หนิงเหยาหันหน้ากลับไป ไม่ได้มองเฉินผิงอันอีก นางกอดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ในอ้อมอก มองไปยังสนามรบหมื่นปีที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ผงกศีรษะรับด้วยสายตาแน่วแน่ “ข้าไม่กล้ารับรองว่าจะต้องไม่ตายแน่ๆ แต่ข้าจะพยายามเอาชีวิตอยู่รอดต่อไปให้ได้”

แล้วจู่ๆ หนิงเหยาก็คลี่ยิ้ม “เฉินผิงอัน เจ้ารีบเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่งในใต้หล้าเร็วๆ เข้าเถอะ!”

เฉินผิงอันเกาหัว “ข้าเองก็รับรองไม่ได้เหมือนกัน แต่ข้าจะพยายามทำให้ได้!”

เฉินผิงอันเดินมานั่งข้างกายหนิงเหยา

ไหล่ของพวกเขาแอบอิงพิงกัน

หนิงเหยาเขินอายเล็กน้อยจึงชนกลับไปเบาๆ คล้ายอยากจะให้เขาถอยห่างออกไป แต่เฉินผิงอันกลับขยับเข้ามาใกล้ครั้งแล้วครั้งเล่า

ไหล่ของเฉินผิงอันจึงส่ายกลับไปกลับมาอยู่แบบนี้

สุดท้ายคนทั้งสองนั่งมองไปทางทิศใต้ด้วยกันเงียบๆ

ไหล่ข้างหนึ่งแบกความหวังของอาจารย์ฉีและพี่สาวเทพเซียนเอาไว้

ไหล่อีกข้างแบกความคาดหวังของหญิงสาวผู้เป็นที่รัก

แม้จะไม่มีกิ่งหลิ่วห้อยระย้าและนกน้อยบินล้อมวน ไม่มีแสงตะวันอบอุ่นและภูเขาเขียวน้ำใส

แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าแบบนี้ดีมาก ดีจนดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

……

เผยเปย เฉาสือสองอาจารย์และลูกศิษย์เดินเคียงกันไปบนหัวกำแพงช้าๆ เฉาสือหันกลับไปมองยังทิศทางที่ตั้งของกระท่อมแวบหนึ่งแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม้ว่ารากฐานขอบเขตที่สามของเขายังค่อนข้างห่างชั้นจากของข้าอยู่มาก แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าเขาเฉินผิงอันมีหวังที่จะติดตามมาด้านหลังข้า”

เทพีแห่งการต่อสู้กล่าวยิ้มๆ “นี่ถือเป็นคำจารณ์ที่สูงมากแล้ว”

เฉาสือถาม “อาจารย์ ท่านคิดว่าอย่างไร?”

นางส่ายหน้าเบาๆ “ข้าคิดอย่างไรไม่สำคัญ ต้องดูว่าหลังจากนี้เจ้ากับเฉินผิงอันจะเดินกันไปอย่างไร การเลื่อนขอบเขตของพวกเจ้าจะช้าหรือเร็ว รากฐานแต่ละขอบเขตหนาหรือบาง สุดท้ายวิถีวรยุทธ์สูงหรือต่ำ แน่นอนว่าใครมีชีวิตอยู่ได้ยาวนานกว่าถึงจะสำคัญที่สุด”

เฉาสือพยักหน้ารับแล้วถามว่า “อาจารย์ หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น ท่านจะมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่?”

เรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายเช่นนี้ นางกลับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบทั่วไปหากพยายามลดการเผาผลาญพลังต้นกำเนิดให้เหลือน้อยที่สุด ลดการเข้าร่วมศึกใหญ่ที่อาจทิ้งต้นตอโรคร้ายยากที่จะกำจัด ก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ประมาณสามร้อยปี ข้าน่าจะอยู่ได้มากกว่านั้นอีกสักสองร้อยปี แต่สองร้อยปีที่เพิ่มมานี้ก็สามารถทำอะไรได้มากมายแล้ว”

เฉาสือถอนหายใจ “สุดท้ายก็ยังเป็นผู้ฝึกลมปราณที่มีชีวิตอยู่ได้นานกว่า”

เผยเปยไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธในเรื่องนี้ นางถามว่า “เกี่ยวกับเฉินผิงอัน เจ้ายังมีความคิดเห็นอะไรอีกหรือไม่?”

เฉาสือส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”

เผยเปยกำชับ “ก่อนจะเลื่อนสู่ขอบเขตเจ็ด เจ้าสามารถออกจากราชวงศ์ต้าตวนไปอยู่ที่อื่นได้ แต่ห้ามไปเยือนทวีปอื่นเด็ดขาด”

“ข้าทราบแล้ว”

เฉาสือรู้สึกว่ายังไงก็ได้ เพราะศัตรูที่แท้จริงบนวิถีวรยุทธ์ของเขาก็มีแค่ตัวเขาเองเท่านั้น

เทพีแห่งการต่อสู้ร่างสูงใหญ่จากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ นางยื่นมือมาลูบศีรษะของเฉาสือ

เฉาสือกล่าวอย่างอ่อนใจ “อาจารย์ ท่านอย่าเอาแต่มองข้าเป็นเด็กสิ”

ก่อนที่จะลงจากหัวกำแพง เผยเปยหันกลับไปมองกระท่อมหลังนั้นแล้วถอนสายตากลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมคลี่ยิ้ม

คิดๆ ดูแล้ว ฝึกยุทธ์เต็มตัวที่อยู่รุ่นเดียวกับเฉาสือก็น่าสงสารไม่น้อยเลย

ผู้ที่เคารพเลื่อมใสเขาก็เหมือนคนที่ยืนมองภูเขาสูง และได้แต่แหงนมองอยู่อย่างนั้นไปชั่วชีวิต

คนที่อิจฉาริษยาเขา รู้สึกได้แค่ว่าฝีมือห่างชั้นกันไกลจนมองไม่เห็นฝุ่น คนที่เคียดแค้นเขา มองเขาเป็นศัตรูก็ได้แต่คันยิบๆ อยู่ในหัวใจ

เผยเปยคาดหวังอย่างยิ่งที่จะได้เห็นยอดเขาสูงสุดในลำดับสุดท้ายของลูกศิษย์ตัวเอง

เพราะถึงอย่างไรวรยุทธ์ก็ไร้ที่สอง!

……

เฉินผิงอันอยู่บนหัวกำแพงเมืองมาเกือบสิบวันแล้ว วันนี้หนิงเหยามาหาอีกครั้ง บอกว่าที่บ้านมีแขกคนสำคัญมาเยี่ยมเยียน จำเป็นต้องให้นางออกหน้า

เฉินผิงอันจึงเดินนิ่งเลียบหัวกำแพงเมืองต่อไปอีกครั้ง เดินออกไปได้ประมาณสิบกว่าลี้ก็สังเกตเห็นว่าเบื้องหน้ามีแม่นางน้อยสวมชุดสีดำตัวโคร่งคนหนึ่งยืนอยู่ นางมัดผมแกละดูซุกซุน ร่างส่ายโงนเงนราวกับว่านาทีถัดมาอาจจะร่วงลงไปจากหัวกำแพง คล้ายว่ากำลังงีบหลับ? ทำเอาเฉินผิงอันที่มองเห็นอกสั่นขวัญแขวน ต้องอดทนที่จะไม่ไปช่วยจับประคองแม่นางน้อยผู้ประมาทเลินเล่อคนนั้น เพราะการเดินทางไกลสองครั้งทำให้เฉินผิงอันเติบโตขึ้นไม่น้อย เขารู้มานานแล้วว่าแคว้นไฉ่อี ภูเขาห้อยหัว รวมไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ทั้งสามสถานที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงร้องเรียกหนึ่งที แสร้งทำเป็นเอ่ยสอบถามโดยใช้ภาษาถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่หนิงเหยาสอนให้ซึ่งพูดไม่คล่องนัก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้เฒ่าที่อาศัยอยู่ในกระท่อมคือใคร?”

แม่นางน้อยไม่ได้สนใจเฉินผิงอัน ยังคงโล้ชิงช้าอยู่บนหัวกำแพงเมือง

เฉินผิงอันหยุดเดินในระยะห่างที่ตัวเองคิดว่าเหมาะสม มองประเมินนางก็เห็นว่าบนใบหน้าอ่อนเยาว์ยังมีขี้มูกยืด นางกำลังหลับอยู่จริงๆ

ประมาทยิ่งนัก

เฉินผิงอันรู้สึกว่านางน่าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง

วินาทีนั้นเด็กหญิงผมแกละที่ยืนไม่มั่นคงก็ร่วงดิ่งลงไปข้างล่าง

เฉินผิงอันเตรียมจะพุ่งตัวออกไปคว้าข้อเท้าของแม่นางน้อยตามจิตใต้สำนึก

แต่กลับมีฝ่ามือข้างหนึ่งยื่นมากดไหล่ของเฉินผิงอันจนเขากระดุกกระดิกไม่ได้ พอหันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่าทางฝั่งซ้ายมือมีผู้เฒ่าผมขาวหน้าตาใจดีคนหนึ่งยืนอยู่ ผู้เฒ่าที่ร่างสูงเพรียว ปักปิ่นหยกสีขาวไว้บนมวยผมพูดกับเฉินผิงอันด้วยรอยยิ้มว่า “ไอ้หนู ฟังจากน้ำเสียงของเจ้าแล้ว น่าจะเป็นคนต่างถิ่นกระมัง? หวังดีคือเรื่องที่ดี แต่เมื่ออยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องจำไว้เรื่องหนึ่งว่า อย่าสร้างปัญหาให้คนอื่น และยิ่งไม่ควรสร้างปัญหาให้ตัวเอง”

ผู้เฒ่าชี้ไปยังทิศทางที่แม่นางน้อย ‘ร่วงหล่น’ “และใต้เท้าอิ่นกวานท่านนี้ก็คงไม่ต้องการให้เจ้าช่วยเหลือ นางคือเซียนกระบี่ที่สังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางไปมากที่สุดตลอดเวลาหนึ่งพันปีมานี้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากจะพูดถึงคนที่เผ่าปีศาจเคียดแค้นมากที่สุด ใต้เท้าอิ่นกวานก็สามารถอยู่ในลำดับต้นๆ ได้เลย หากเจ้ากล้าแตะต้องแม้แต่ปลายชายเสื้อของนาง เกรงว่าคงต้องตายเป็นแน่ เว้นเสียจากว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าจะยอมลงมือช่วยเหลือ”

เฉินผิงอันกุมหมัดขอบคุณ

ผู้เฒ่าเอ่ยยิ้มๆ “ข้าผู้อาวุโสแซ่ฉี หากเจ้าไม่ถือสา เรียกข้าว่าปู่ฉีหรือผู้อาวุโสฉีก็ได้ วันนี้ทางทิศใต้มีความเคลื่อนไหวผิดปกติเล็กน้อย ข้าเพิ่งเดินลาดตระเวนหัวกำแพงกับสหายเสร็จไปรอบหนึ่งพอดี คาดว่าใต้เท้าอิ่นกวานมาที่นี่ก็เพราะรู้สึกสนใจ คาดหวังให้อีกฝ่ายเปิดฉากโจมตี”

ผู้เฒ่าพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยเสริมอีกประโยคว่า “อย่าเรียกข้าว่าปู่ฉีดีกว่า เรียกแค่ผู้อาวุโสฉีก็พอ หาไม่แล้วข้าก็รู้สึกว่าเป็นการเอาเปรียบเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเกินไป แบบนั้นคงไม่เหมาะ”

เพิ่งจะขาดคำของเขา ผนังกำแพงเบื้องใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็เกิดเสียงดังอื้ออึงระลอกหนึ่ง

คาดว่าน่าจะเป็นเสียงกระเทือนตอนที่ใต้เท้าอิ่นกวานมัดผมแกละผู้นั้นกระแทกลงพื้น

ผู้เฒ่าเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าจะมีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าคอยช่วยดูแล และใต้เท้าอิ่นกวานก็อยู่ด้วย แต่เจ้าควรระวังตัวไว้ดีกว่า ทหารไม่หน่ายกลยุทธ์ เผ่าปีศาจอาจจะบุกมาโจมตีเมื่อไหร่ก็ได้ เอาล่ะ เจ้าทำธุระของตัวเองต่อเถอะ”

ผู้เฒ่าก้าวออกไปหนึ่งครั้งก็ห่างไปสิบกว่าลี้ แล้วก็เหมือนกบที่กระโดดแตะผิวน้ำไปเรื่อยๆ แบบนี้ เพียงชั่วพริบตาร่างของผู้เฒ่าก็หายวับไป

เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากหัวกำแพง หมุนตัวย้อนกลับไปที่กระท่อม

ผู้เฒ่าแซ่ฉี

ใต้เท้าอิ่นกวานที่สังหารเผ่าปีศาจห้าขอบเขตกลางไปนับไม่ถ้วน

เฉินผิงอันได้ยินเสียงที่ยากจะฟังเข้าใจดังขึ้นเป็นระลอกจากแผ่นดินทางทิศใต้ มันไม่ใช่เสียงแหลมบาดแก้วหู แต่เป็นเสียงประเภทที่ว่าไม่ดังมาก แต่กลับทำให้คนรู้สึกสะอิดสะเอียน เฉินผิงอันจึงรีบเดินเข้าไปใกล้หัวกำแพง ทอดสายตามองออกไป

จากนั้นเขาก็เห็นว่าท่ามกลางหุบเขาแคบยาวไร้ที่สิ้นสุดนอกกำแพงเมืองแห่งนั้นมี…สิ่งหนึ่งที่ในมุมมองของเฉินผิงอันซึ่งยืนอยู่บนหัวกำแพงมองไปยังสิ่งนั้น ก็เหมือนกับคนที่ก้มหน้าลงมองไส้เดือนตัวหนึ่งที่อยู่ในดินห่างไปไม่ไกล

เฉินผิงอันจินตนาการได้เลยว่า ร่างจริงของไส้เดือนตัวนั้นต้องน่าหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดแน่ๆ

แล้วเฉินผิงอันก็เห็นว่าตรงทิศทางที่ใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่ร่วงลงไปก่อนหน้านี้มีรัศมีแสงสีขาวหิมะขนาดมหึมาระเบิดแตก แล้วกลิ้งหลุนๆ เข้าหาปีศาจใหญ่ตนนั้นเหมือนไข่มุกเม็ดหนึ่ง

ต่อมาฝุ่นก็คลุ้งตลบไปทั่วหุบเขาเล็กแคบ พวกเขาต่อสู้กันจนฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงาย

ประมาณหนึ่งก้านธูปให้หลัง ‘แม่นางน้อย’ ชุดดำมัดผมแกละก็ย้อนกลับเข้ามาที่กำแพงเมือง นางยืนอยู่บนหัวกำแพงเมืองห่างจากเฉินผิงอันไปไม่ไกล อ้าปากกว้าง ยื่นสองนิ้วสอดเข้าปากไปโยกฟันซี่หนึ่งอย่างแรง สุดท้ายดูเหมือนจะตัดใจถอนฟันซี่นั้นไม่ลง จึงได้แต่หันไปถ่มเลือดใส่ลงบนทางเดินม้า นางที่หงุดหงิดเล็กน้อยเดินอาดๆ อยู่บนหัวกำแพงเมือง ทางเดินม้าถูกเท้าของนางกระแทกจนสั่นสะเทือน

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ปลูกกระท่อมเฝ้ากำแพงเมืองมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบได้ เขาช่วยอธิบายให้เฉินผิงอันฟังด้วยรอยยิ้ม “สำหรับนางแล้ว การที่ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ก็เท่ากับว่าตัวเองพ่ายแพ้ ดังนั้นจึงค่อนข้างหงุดหงิด เวลานี้ใครก็ห้ามไปยุ่งกับนาง ไม่อย่างนั้นจะซวยเอาได้ เมื่อก่อนก็มีแต่อาเหลียงที่ชอบหยอกเย้านาง ชอบราดน้ำมันลงบนกองไฟ หรือไม่ก็เพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ แล้วก็จะถูกนางซ้อมเป็นประจำ ตอนนี้อาเหลียงไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว คาดว่านางคงเหงากระมัง เพราะอันที่จริงแล้วปีศาจใหญ่ที่โชคร้ายตัวนั้นก็แค่มาโผล่หน้ามาให้เห็นเป็นพิธีเท่านั้น”

เซียนกระบี่ผู้เฒ่าพาเฉินผิงอันเดินไปทางกระท่อมด้วยกัน จู่ๆ เขาก็เอ่ยว่า “เพราะเหตุผลบางอย่าง เจ้าคือข้อยกเว้น ดังนั้นข้าจึงพูดกับเจ้ามากสักหน่อย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไร

ม่านราตรีของคืนนี้แผ่ปกคลุมลงมา เฉินผิงอันออกจากกระท่อมหลังเล็กที่เฉาสือสร้างขึ้นมานั่งดื่มเหล้าอยู่บนหัวกำแพงทางทิศเหนือ มองไปยังนครใหญ่ยักษ์ที่แสงไฟสว่างจ้า

มองไปยังทิศทางที่ตั้งของบ้านหนิงเหยา

แล้วก็มีคนตบไหล่ข้างซ้ายหนึ่งที หันหน้าไปมองทางซ้าย หนิงเหยากลับมานั่งอยู่ทางฝั่งขวามือของเขาแล้ว

มาบนหัวกำแพงเมืองครั้งนี้ นางเอาของกินบางส่วนมาด้วย ของกินวางไว้ในกระท่อม หิ้วเหล้าไหหนึ่งออกมา เฉินผิงอันยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งให้ หนิงเหยาจึงช่วยเทเหล้าใส่ในน้ำเต้าให้เขา

พอไหเหล้าว่างเปล่า หนิงเหยาก็โยนมันออกไปนอกกำแพงเมือง หล่นลงพื้นก็ไม่เกิดเสียง ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ไหเหล้าเล็กๆ ใบเดียว ไม่ใช่ใต้เท้าอิ่นกวานก่อนหน้านี้

หนิงเหยาดื่มเหล้าแล้วก็เริ่มนั่งเหม่อ

เฉินผิงอันจึงนั่งเหม่อเป็นเพื่อนนาง

หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ ว่า “จะมีเหตุผลหรือไม่ อันที่จริงไม่เกี่ยวกับว่าคนคนหนึ่งจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่เลยสักนิด”

หนิงเหยายื่นมือชี้ไปยังเมือง “ที่นั่น คนเหล่านั้นมีพรสวรรค์ดีเยี่ยม ดังนั้นขอแค่พวกเขาฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อภายใต้กฎเกณฑ์ ใครก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเขาได้ พอถึงเวลาลงสนามรบที่อยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมือง คนประเภทนี้ก็จะยังคงเป็นวีรบุรุษผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ปราณกระบี่พุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆ เจาะทะลวงกองทัพใหญ่ของเผ่าปีศาจด้วยความห้าวหาญไร้เทียมทาน ต่อให้เป็นคนที่เคียดแค้นพวกเขาก็จำต้องยอมรับว่า มีหรือไม่มีพวกเขา แตกต่างกันอย่างมาก”

หนิงเหยาแกว่งน้ำเต้าบรรจุเหล้า “ข้าเคยไปเยือนหลายสถานที่ของใต้หล้าไพศาล เคยเห็นคนมาหลายรูปแบบ คนบางคนแค่เลือกมาเกิดในครรภ์ที่ดีก็ได้ร่ำรวยมีเกียรติ ไม่ต้องกังวลกับการกินการอยู่ไปชั่วชีวิต ทว่าวันๆ พวกกเขาเอาแต่บ่นว่าชีวิตน่าเบื่อหน่าย บอกว่าตัวเองมีชีวิตยากลำบาก”

นางยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่คืนให้เฉินผิงอัน ถามว่า “เรื่องหยุมหยิมพวกนี้น่าเบื่อมาก ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก คนอื่นมีชีวิตอยู่อย่างไร ต่างคนต่างก็มีเหตุผลเป็นของตัวเอง อะไรที่ไม่ถูกใจพวกเราก็ไม่ได้หมายความต้องผิดเสมอไป ขอแค่คนที่ไม่ชอบใช้เหตุผลไม่ได้มีชีวิตที่ดี ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่าจะเป็นยังไงก็ได้”

หนิงเหยาพูดเสียงขุ่น “บังเอิญชะมัด เพราะมีชีวิตที่ไม่ค่อยดีจริงๆ”

“หา?”

เฉินผิงอันเริ่มตั้งใจขบคิดปัญหาข้อนี้อย่างจริงจัง

หนิงเหยาหันหน้ามามองเฉินผิงอันที่กำลังตั้งใจครุ่นคิดแล้วก็หัวเราะอย่างอดไม่ได้ “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเปื่อย เจ้าเอาเก็บไปคิดจริงๆ หรือนี่?”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก “มีเรื่องไม่สบายใจหรือ?”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “มีคนอยากซื้อแท่นสังหารมังกรของที่บ้านข้า ข้าไม่อยากขาย เขาเลยให้ราคาที่สูงเทียมฟ้า อธิบายเหตุผลและหลักการที่ยิ่งใหญ่ พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ในโลกมนุษย์ ไม่ว่าอะไรก็ยกมาพูดหมด พูดจนข้ารำคาญ”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดปลอบใจอะไร เพียงแค่กุมมือของนางไว้เบาๆ

จู่ๆ หนิงเหยาก็หัวเราะ “แต่ว่าพอคิดถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากของเจ้าตอนเด็ก ท้องหิวจนต้องแอบไปร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ในตรอกหนีผิง ข้าก็รู้สึกว่าอันที่จริงเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้มมองไปยังทิศไกล สายลมเย็นที่โชยมาปะทะใบหน้าไม่ได้บาดกระดูกคว้านหัวใจเหมือนช่วงแรกเริ่มสุดอีกแล้ว แต่กลับเหมือนสายลมบางๆ ที่พัดผ่านป่าเขาของบ้านเกิดเท่านั้น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แบบนี้เองหรือ”

ค่ำคืนหนึ่งผ่านไปอย่างเงียบเชียบ หนิงเหยาเอียงศีรษะซบไหล่ของเฉินผิงอัน หลับฝันหวานอย่างสุขสบายไปจนถึงเช้า

เฉินผิงอันนั่งนิ่งไม่ขยับ เฝ้านางไว้ตลอดทั้งคืน

เขาเคยอ่านเจอกลอนบทหนึ่งที่น่าประทับใจมาก

มันอยู่บนเทวรูปดินเผาองค์หนึ่งของสุสานเทพเซียนที่บ้านเกิด ไม่รู้ว่าใครเป็นคนสลักเอาไว้

เฉินผิงอันหวังให้จะเป็นใครก็ได้ ขอแค่ไม่ใช่หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวาก็พอ

“นับแต่วัยเยาว์ ข้าอยู่เพียงลำพังเดียวดาย มีแค่แสงดาวเป็นเพื่อนอยู่เคียงข้าง”

….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด