กระบี่จงมา 423.1 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 423.1 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฮูหยินเซียวหลวนสี่คนนั่งลงประจำตำแหน่ง และที่นั่งของพวกนางก็อยู่ติดกับธรณีประตูใหญ่ของโถงเซวี่ยหมางจริงๆ เหมาะแก่การชมทัศนียภาพนอกประตูอย่างยิ่ง

สาวใช้ประจำตัวของฮูหยินเซียวหลวน นางที่ภูตผีพรายน้ำทั้งหมดในเขตการปกครองแม่น้ำป๋ายกู่ซึ่งกินอาณาเขตแปดร้อยลี้ล้วนพากันเรียกขานอย่างยกย่องว่าเทพน้ำน้อย เมื่อมาอยู่ที่จวนจื่อหยางกลับไม่มีแม้แต่ที่นั่ง

สาวใช้จึงได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินเซียวหลวน สีหน้านิ่งสนิทดุจน้ำค้างแข็ง

นับตั้งแต่จมน้ำตายกลายมาเป็นผีพราย ระยะเวลาสองร้อยปี จากทูตลาดตระเวนของจวนเทพวารีป๋ายกู่ที่ฮูหยินเซียวหลวนช่วยเลื่อนตำแหนงให้ทีละก้าว ภูตผีปีศาจและผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างทุกคนที่อาละวาดก่อกวนในอาณาเขต นางสามารถสังหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง เคยหรือที่จะถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ การมาเยือนจวนจื่อหยางครั้งนี้ นับว่าความมีหน้ามีตาที่นางสะสมมาสองร้อยกว่าปีล้วนถูกโยนทิ้งลงพื้นทั้งหมด ถึงอย่างไรอยู่ในจวนจื่อหยางแห่งนี้ก็อย่าหวังว่าจะเก็บกลับคืนมาได้

ยังดีที่นางติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินเซียวหลวนมานานจึงถูกกล่อมเกลาให้รู้จักหนักเบา ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินเตือน นางก็ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอยู่ก่อนแล้ว พยายามทำให้สีหน้าของตัวเองดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่กล้าเผยความไม่พอใจออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว ก่อนหน้านี้หลังจากฮูหยินพูดคุยธุระสำคัญกับหวงฉู่เจ้าประมุขคนปัจจุบันของจวนจื่อหยางเรียบร้อยแล้ว อารมณ์ของฮูหยินก็ยังคงไม่ผ่อนคลาย นางเอ่ยเตือนพวกเขาสี่คนว่า หากยังไม่โดยสารเรือกลับไปถึงจวนเทพวารีก็ยังมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นขอให้ทุกคนโปรดอดทนกันอีกนิด

ตอนนั้นฮูหยินเซียวหลวนค่อนข้างละอายใจ สีหน้าทุกข์ตรม ในคำพูดของนางถึงขั้นแฝงไว้ด้วยแวววิงวอนขอร้องเสี้ยวหนึ่ง ทำเอาสาวใช้ปวดแปลบในใจ เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา

เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม การแต่งกายหรือท่านั่งของฮูหยินเซียวหลวนก็แทบไม่มีข้อตำหนิ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่หม่นหมองไม่แจ่มใส

นางสามารถเฝ้าบัญชาการณ์แม่น้ำป๋ายกู่ ใช้แผนกลยุทธทางการเมืองขยายแม่น้ำป๋ายกู่ที่แต่เดิมมีแค่หกร้อยลี้ให้ยาวไปเกือบเก้าร้อยลี้ อำนาจใหญ่ที่นางกุมไว้ในมือเหนือกว่าขุนนางใหญ่ในแคว้นศักดินาของราชสำนักในโลกมนุษย์เสียอีก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาหลายแห่งของแคว้นหวงถิง รวมไปถึงปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์อย่างซุนเติงเซียน แน่นอนว่าไม่ได้อาศัยแค่การรบราฆ่าฟันอย่างเดียวเท่านั้น

นางคือคนกลุ่มแรกในสองกลุ่มที่เดินก้าวเข้ามาในโถงจัดงานเลี้ยง ห้องโถงที่อัดเต็มไปด้วยโต๊ะที่นั่ง มีเทพเซียนมารวมตัวกันอยู่เนืองแน่น มีเพียงตำแหน่งสองแห่งเท่านั้นที่ว่างเปล่า แขกจากจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่รวมถึงตัวนางด้วยนั้น ในเมื่อได้รับแจ้งมาแต่แรกแล้วว่าที่นั่งคือตำแหน่งห่างไกลใกล้กับธรณีประตูมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งฝั่งซ้ายมือที่สูงศักดิ์ที่สุดซึ่งรองลงมาจากตำแหน่งประธานที่เว้นว่างอยู่จะเก็บไว้ให้ใคร ฮูหยินเซียวหลวนแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว

แล้วก็จริงดังคาด เห็นว่าเฉินผิงอันเดินเข้ามาในโถงเซวี่ยหมาง อู๋อี้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอย่างเกียจคร้าน บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาของจวนจื่อหยางที่ไม่แม้แต่จะปรายตามองหน้าฮูหยินเซียวหลวน

กลับลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เดินลงมาจากบันได ตรงรี่เข้าหาพวกเฉินผิงอัน คล้องแขนเฉินผิงอันไว้แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “คุณชายเฉินยังไม่มาถึงโถงเซวี่ยหมาง พวกเราก็ไม่กล้าเริ่มงานเลี้ยงก่อนโดยพลการ”

เฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดทั่วร่างผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ดีๆ แขนกลับถูกสตรีแปลกหน้าคล้องไว้พลันตัวแข็งทื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็ไม่อาจปฏิเสธท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมของอู๋อี้ต่อหน้าทุกคนที่กำลังจับตามองได้ จึงรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง

ผู้ฝึกตนใหญ่ของจวนจื่อหยางซึ่งรวมถึงเจ้าประมุขหวงฉู่ แต่ละคนจิตใจไหวเอนไม่หยุดนิ่ง ยิ่งรู้สึกว่าคนหนุ่มแปลกหน้าแซ่เฉินผู้นี้ อาจจะเป็นคู่รักของบรรพจารย์ แต่ความเป็นไปได้ข้อนี้มีไม่มากเลยจริงๆ ถึงอย่างไรนับตั้งแต่ที่บรรพจารย์สร้างจวนจื่อหยางขึ้นมาก็ไม่เคยมีคู่บำเพ็ญตนมาก่อน บรรพจารย์หลงใหลอยู่กับมหามรรคา สำหรับความรักฉันท์ชายหญิงแล้ว นางไม่เคยมีความสนใจ หรือว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีบางคนที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่?

หาไม่แล้วการแสดงออกแต่ละอย่างของอู๋อี้ในงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ออกจะผิดแผกแปลกประหลาดเกินไปหน่อย

โชคดีที่หลังจากอู๋อี้พาเฉินผิงอันมาถึงที่นั่งแล้ว นางก็ปล่อยมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ เดินตรงไปที่ตำแหน่งประธานแล้วนั่งลง ยังคงมีท่าทางโปรดปรานใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินผิงอันดังเดิม พูดด้วยเสียงอันดังว่า “คุณชายเฉิน อย่างอื่นในจวนจื่อหยางของเราไม่ต้องพูดถึง ทว่าเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอนี้มีชื่อเสียงระบือไกลไปสี่ทิศ ไม่ใช่แค่คำยกยอโอ้อวดตนเองเท่านั้น ต่อให้เป็นฮ่องเต้สกุลเกาเกอหยางต้าสุยก็ยังเคยมาขอร้องสกุลหงแคว้นหวงถิงเป็นการส่วนตัวว่าขอให้จวนจื่อหยางของพวกเราส่งไปให้ปีละหกสิบไห ตอนนี้เหล้าเตรียมมาวางรอไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เมื่อดื่มหมดแล้วจะมีคนยกมาเติมให้ใหม่ จะไม่มีทางปล่อยให้ถ้วยเหล้าเบื้องหน้าใครว่างเปล่าเด็ดขาด ทุกท่านเชิญดื่มให้เต็มที่ คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!”

ผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามหลายสิบคนของจวนจื่อหยาง สาวใช้ที่ทำหน้าที่ยกสุราวางอาหารสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสใหม่เอี่ยมเดินกรูกันออกมาจากสองฝากฝั่งของโถงเซวี่ยหมาง ประหนึ่งผีเสื้อหลากหลายสีสันกางปีกบิน สดใสสะดุดตายิ่งนัก

อู๋อี้ลุกขึ้นยืนแล้วชูจอกหล้าขึ้น “จอกแรกนี้ขอดื่มคารวะให้คุณชายเฉินที่มาเยือนจวนจื่อหยางของพวกเรา ทำให้จวนของพวกเราสว่างสดใสเรืองรองขึ้นอีกหลายเท่า!”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย พร้อมใจกันชูจอกเหล้า หันไปดื่มคารวะให้กับเฉินผิงอัน

ในแคว้นหวงถิง นี่เรียกว่าหน้าใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า

เกรงว่าต่อให้ฮ่องเต้สกุลหงเสด็จมาเยือนตำหนักจื่อชี่ด้วยตัวเองก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะทำให้อู๋อี้เอ่ยประโยคเช่นนี้ได้

หลังจากที่พวกเฉินผิงอันนั่งประจำที่แล้ว ซุนเติงเซียนยังไม่ทันคืนสติ นั่งเหม่ออยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง ยังดีที่ถูกสหายเหยียบเท้าหนึ่งที ถึงได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน

เฉินผิงอันได้แต่เอ่ยขอบคุณแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมด

โต๊ะตัวเล็กจิ๋วกะทัดรัดที่วางอยู่ด้านหน้าเผยเฉียนก็มีเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอวางไว้สองกาเช่นกัน แต่ทางจวนจื่อหยางเอาใจใส่ดีเยี่ยม เตรียมเหล้าผลไม้รสชาติหอมหวานสดชื่นไว้ให้แม่หนูน้อยกาหนึ่ง ทำให้เผยเฉียนที่ลุกขึ้นยืนชูจอกเหล้าเบิกบานใจสุดขีด

จวนจื่อหยางเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ

เผยเฉียนตัดสินใจแล้วว่าวันหน้านางจะต้องพร่ำพูดอยู่ข้างหูอาจารย์ว่าให้มาเป็นแขกที่จวนจื่อหยางบ่อยๆ แม้ว่าอู๋อี้ผู้นี้จะหน้าตาไม่งดงามนัก เมื่อเทียบกับหวงถิงหรือเหยาจิ้นจือแล้วจะดูป่าเถื่อนกว่าเยอะมาก แต่กลับนิสัยดี ต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้น หาข้อบกพร่องไม่ได้แม้แต่น้อย! ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องให้อาจารย์แต่งนางเข้าบ้านมาเป็นอาจารย์แม่ของนาง หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่สำคัญหรอก

หลังจากนั้นอู๋อี้กลับไม่ได้ใส่ใจเฉินผิงอันมากนัก ปล่อยให้งานเลี้ยงดำเนินไปเหมือนการฉลองของตระกูลเซียนบนภูเขาธรรมดาเท่านั้น

อาหารเลิศรสหลากหลายสีสันที่หายากล้ำค่าซึ่งถูกยกมาด้วยมือของผู้ฝึกตนหญิงเรือนกายสะโอดสะองดุจผีเสื้อหลากสีพากันเปล่งประกายแสงตัดสลับละลานตาอยู่ในโถงเซวี่ยหมาง

ไม่เสียแรงที่เจ้าประมุขหวงฉู่คือมือวางอันดับสองของจวนจื่อหยางที่รับผิดชอบเป็นหน้าเป็นตาให้ทางสำนัก เขาเป็นคนที่รู้จักพูด ในงานนี้ก็เป็นคนนำขบวนดื่มคารวะอู๋อี้ เอ่ยประโยคน่าฟังที่ไหลรื่นดุจไข่มุก พาให้คนทั้งห้องโถงกู่ร้องชอบใจ

อู๋อี้พูดไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับท่าทียามอยู่ในงานเลี้ยงของจวนจื่อหยางในอดีตแล้ว วันนี้นางกลับน่าเข้าใกล้กว่าเยอะมาก ราวกับเป็นคนละคน ยังเป็นฝ่ายเล่าเรื่องน่าสนใจบนภูเขาสองสามเรื่อง ทุกคนในจวนจื่อหยางย่อมพากันหัวเราะเสียงดังไม่ขาดสาย อันที่จริงอู๋อี้มีนิสัยไม่ชอบหัวเราะพูดคุย หากเปลี่ยนมาเป็นหวงฉู่ที่เป็นคนเล่าเรื่องเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจไม่ด้อยไปกว่านักเล่านิทานเลย แต่พอหลุดออกมาจากปากของอู๋อี้ เฉินผิงอันฟังแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ตลกเลยสักนิด ทว่าผู้คนที่ส่งเสียงหัวเราะในโถงเซวี่ยหมางกลับมีท่าทางจริงใจยิ่ง สีหน้าแต่ละคนเป็นธรรมชาติไม่น้อยหน้ากันเลย

บางทีนี่ก็คงจะถือว่าเป็นยุทธภพกระมัง

อันที่จริงครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้สึกเช่นนี้ ยังคงเป็นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ล่องลอยเหมือนภาพมายาแห่งนั้น หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลงก็ได้พบกับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนที่เหลาสุราโดยบังเอิญ

ฮูหยินเซียวหลวนถือจอกเหล้าไว้ในมือ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

ทุกคนหยุดส่งเสียงดังจอแจพร้อมกันราวกับจิตสื่อถึงกันได้ ทันใดนั้นห้องโถงก็เงียบกริบ

ฮูหยินเซียวหลวนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เซียวหลวนขอเป็นตัวแทนจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ดื่มคารวะบรรพจารย์หยวนจวินหนึ่งจอก”

อู๋อี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่สายตากลับหยุดนิ่งอยู่บนร่างของฮูหยินเซียวหลวน

ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่านางอู๋อี้ไม่คิดจะให้หน้าจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ และเจ้าเซียวหลวนก็อย่าหวังมาได้หน้าได้ตาที่จวนจื่อหยางแม้แต่เสี้ยวเดียว

ซุนเติงเซียนโมโหจนอกเกือบแตก สองหมัดกำแน่นวางไว้บนโต๊ะ ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

อู๋อี้ชำเลืองหางตามองเฉินผิงอันคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ฝ่ายหลังกำลังหันหน้าไปพูดเบาๆ กับเผยเฉียน ราวกับกำลังเตือนนังหนูน้อยว่ามาเป็นแขกที่บ้านของคนอื่น จำเป็นต้องนั่งให้สำรวม กินให้สุภาพ อย่าหลงระเริงลืมตน เหล้าผลไม้ไม่ใช่เหล้า จะหาข้ออ้างว่าดื่มจนเมามายเลยไม่คิดสนใจสิ่งใดไม่ได้เผยเฉียนยืดเอวขึ้นตรง แต่กลับโคลงศีรษะพูดกลั้วหัวเราะคิกคักว่ารู้แล้วน่า รู้แล้วน่า ผลคือถูกเฉินผิงอันประเคนมะเหงกให้หนึ่งลูก

อู๋อี้เห็นว่าเฉินผิงอันไม่คิดจะเข้ามามีเอี่ยวด้วยจึงดึงสายตากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว อ้าปากหาวหวอด มือหนึ่งจับคอของกาเหล้าที่บรรจุเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอไว้เต็มกาพลางแกว่งมันเบาๆ อีกมือหนึ่งเท้าคาง ถามอย่างเกียจคร้าน “แม่น้ำป๋ายกู่? อยู่ที่ไหน?”

จากนั้นอู๋อี้ก็หันหน้าไปมองหวงฉู่ ถามว่า “ห่างจากจวนจื่อหยางของพวกเราไปไกลเท่าไหร่?”

หวงฉู่รีบลุกขึ้นยืนตอบอย่างนอบน้อม “เรียนท่านบรรพจารย์ จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่แห่งนี้ห่างจากจวนจื่อหยางของพวกเราแค่ระยะทางของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนกางกั้น เป็นระยะทางน้ำสามร้อยลี้”

อู๋อี้แสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “งั้นก็ไม่ไกลน่ะสิ”

ไม่ไกล ก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน คำสุภาษิตของชาวบ้านเคยกล่าวไว้ว่าญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง สำหรับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำแล้ว ระยะทางสามร้อยลี้ก็เป็นระยะทางที่สามารถมาถึงได้ในชั่วพริบตา เท่ากับระยะทางเวลาที่คนธรรมดากินข้าวเสร็จแล้วออกมาเดินเล่นเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่กลับวางท่าว่าต่อให้ตายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กับจวนจื่อหยาง เมื่ออยู่ในสายตาของอู๋อี้ นี่จึงไม่ต่างจากการท้าทายของฮูหยินเซียวหลวน

แต่สำหรับเรื่องนี้ อู๋อี้ก็มีการดีดลูกคิดรางแก้วของตัวเอง ถึงได้ปล่อยให้จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่บุกเบิกขยับขยายพื้นที่โดยที่ไม่เปิดปากสั่งให้ผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางและศาลจีเซียงลำคลองเถี่ยเชวี่ยนขัดขวาง

ในโถงเซวี่ยหมางที่บรรยากาศกลมเกลียวปรองดองพลันเปี่ยมไปด้วยปราณสังหารดุดัน

ฮูหยินเซียวหลวนใช้สองมือถือประคองจอกเหล้าไว้เบื้องหน้าตัวเองอยู่อย่างนั้น บนใบหน้าที่งามพิลาสไร้ข้อบกพร่องยังคงคลี่ยิ้มหยดย้อยไม่เปลี่ยน “หวังว่าต้งหลิงหยวนจวินจะให้อภัย ถ้าอย่างนั้นข้าเซียวหลวนจะดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”

และในขณะที่ฮูหยินเซียวหลวนยกแขนขึ้น อู๋อี้พลันยื่นฝ่ามือออกมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “เซียวหลวน จวนจื่อหยางเล็กๆ ไหนเลยจะรับสุราคารวะจากองค์เทพแม่น้ำท่านหนึ่งได้ หวงฉู่ เจ้าเป็นเจ้าสำนักอย่างไร เซียวหลวนเขาไม่มาเยี่ยมเยียน เจ้าก็ไม่รู้จักเป็นฝ่ายไปเยือนจวนเทพวารีบ้างเลยหรือ? จะต้องให้ฮูหยินเทพแม่น้ำมาพบเจ้าให้ได้? ดูมาดเจ้าประมุขที่เจ้าวางนี่เถอะ สามารถเทียบเคียงกับฮ่องเต้สกุลหงได้แล้ว เร็วเข้า มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบเป็นฝ่ายดื่มคารวะฮูหยินเทพแม่น้ำเข้าสิ ช่างเถิด หวงฉู่เจ้าดื่มลงโทษตัวเองสามจอกก็แล้วกัน”

หวงฉู่ไม่พูดไม่จาก็หันหน้าไปทางฮูหยินเซียวหลวนแล้วยกจอกเหล้าขึ้นดื่มติดๆ สามจอกรวด

บรรยากาศในโถงเซวี่ยหมางตึงเครียดจนแม้แต่เข็มตกก็คงได้ยินกันถ้วนทั่ว

ฮูหยินเซียวหลวนถือจอกเหล้าที่ไม่มีโอกาสได้ดื่มค้างไว้ตลอดเวลา หลังจากก้มตัวลงวางจอกเหล้าแล้วก็ทำท่าทางแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง นางหันไปยกไหเหล้าสองใบที่วางไว้บนโต๊ะของผู้เฒ่าและซุนเติงเซียนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวามาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง เหล้าสามไหวางเรียงกัน นางยกไหหนึ่งในนั้นขึ้นมา หลังจากเปิดผนึกดินออกก็กอดกาเหล้าหนักประมาณสามจินเอาไว้ พูดกับอู๋อี้ว่า “จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่รับเหล้าคารวะของเจ้าประมุขหวงไปแล้วสามจอก นี่เป็นเพราะใต้เท้าแห่งจวนจื่อหยางเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่ถือสาสตรีอย่างข้าเซียวหลวน แต่ข้าก็อยากจะดื่มสุราลงโทษสามไหเพื่อเป็นการขออภัยต้งหลิงหยวนจวิน ขณะเดียวกันก็ขออวยพรให้หยวนจวินเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน เปิดสำนักให้แก่จวนจื่อหยางได้ในเร็ววัน!”

หลังจากนั้นเซียวหลวนก็จงใจสยบการโคจรของร่างทอง เท่ากับว่าสลายตบะของเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ออก ใช้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์ทั่วไปชั่วขณะ แล้วยกเหล้าสามไหดื่มหมดรวดเดียว

ใบหน้าของเซียวหลวนแดงก่ำ นางยกไหเหล้าขึ้นสูงสามครั้ง แหงนหน้ากระดกดื่ม สุราจึงหกเลอะออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สาบเสื้อตรงหน้าอกของอาภรณ์ชาววังที่งดงามเปียกชื้นเล็กน้อย นางหันหน้ากลับไป ใช้มืออุดปาก

เผยเฉียนอ้าปากกว้าง มองวีรสตรีที่ห้าวหาญผู้นั้นอยู่ไกลๆ หากเปลี่ยนมาเป็นตน อย่าว่าแต่เหล้าสามไหเลย ต่อให้เป็นเหล้าผลไม้ไหเล็กๆ นางก็คงกรอกไม่เข้าท้องแล้ว

นางรีบยกจอกเหล้าขึ้น รินเหล้าผลไม้ให้ตัวเองหนึ่งจอก เตรียมจะยกขึ้นดื่มระงับความตกใจ

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ กับเผยเฉียน “แค่พอประมาณก็พอแล้ว”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 423.1 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 423.1 ค่ำคืนฝนพรำในยุทธภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฮูหยินเซียวหลวนสี่คนนั่งลงประจำตำแหน่ง และที่นั่งของพวกนางก็อยู่ติดกับธรณีประตูใหญ่ของโถงเซวี่ยหมางจริงๆ เหมาะแก่การชมทัศนียภาพนอกประตูอย่างยิ่ง

สาวใช้ประจำตัวของฮูหยินเซียวหลวน นางที่ภูตผีพรายน้ำทั้งหมดในเขตการปกครองแม่น้ำป๋ายกู่ซึ่งกินอาณาเขตแปดร้อยลี้ล้วนพากันเรียกขานอย่างยกย่องว่าเทพน้ำน้อย เมื่อมาอยู่ที่จวนจื่อหยางกลับไม่มีแม้แต่ที่นั่ง

สาวใช้จึงได้แต่ยืนอยู่ด้านหลังฮูหยินเซียวหลวน สีหน้านิ่งสนิทดุจน้ำค้างแข็ง

นับตั้งแต่จมน้ำตายกลายมาเป็นผีพราย ระยะเวลาสองร้อยปี จากทูตลาดตระเวนของจวนเทพวารีป๋ายกู่ที่ฮูหยินเซียวหลวนช่วยเลื่อนตำแหนงให้ทีละก้าว ภูตผีปีศาจและผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างทุกคนที่อาละวาดก่อกวนในอาณาเขต นางสามารถสังหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง เคยหรือที่จะถูกหมิ่นเกียรติเช่นนี้ การมาเยือนจวนจื่อหยางครั้งนี้ นับว่าความมีหน้ามีตาที่นางสะสมมาสองร้อยกว่าปีล้วนถูกโยนทิ้งลงพื้นทั้งหมด ถึงอย่างไรอยู่ในจวนจื่อหยางแห่งนี้ก็อย่าหวังว่าจะเก็บกลับคืนมาได้

ยังดีที่นางติดตามอยู่ข้างกายฮูหยินเซียวหลวนมานานจึงถูกกล่อมเกลาให้รู้จักหนักเบา ไม่จำเป็นต้องให้ฮูหยินเตือน นางก็ก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอยู่ก่อนแล้ว พยายามทำให้สีหน้าของตัวเองดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ไม่กล้าเผยความไม่พอใจออกมาแม้แต่เสี้ยวเดียว ก่อนหน้านี้หลังจากฮูหยินพูดคุยธุระสำคัญกับหวงฉู่เจ้าประมุขคนปัจจุบันของจวนจื่อหยางเรียบร้อยแล้ว อารมณ์ของฮูหยินก็ยังคงไม่ผ่อนคลาย นางเอ่ยเตือนพวกเขาสี่คนว่า หากยังไม่โดยสารเรือกลับไปถึงจวนเทพวารีก็ยังมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นขอให้ทุกคนโปรดอดทนกันอีกนิด

ตอนนั้นฮูหยินเซียวหลวนค่อนข้างละอายใจ สีหน้าทุกข์ตรม ในคำพูดของนางถึงขั้นแฝงไว้ด้วยแวววิงวอนขอร้องเสี้ยวหนึ่ง ทำเอาสาวใช้ปวดแปลบในใจ เกือบจะหลั่งน้ำตาออกมา

เวลานี้ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม การแต่งกายหรือท่านั่งของฮูหยินเซียวหลวนก็แทบไม่มีข้อตำหนิ มีเพียงสายตาเท่านั้นที่หม่นหมองไม่แจ่มใส

นางสามารถเฝ้าบัญชาการณ์แม่น้ำป๋ายกู่ ใช้แผนกลยุทธทางการเมืองขยายแม่น้ำป๋ายกู่ที่แต่เดิมมีแค่หกร้อยลี้ให้ยาวไปเกือบเก้าร้อยลี้ อำนาจใหญ่ที่นางกุมไว้ในมือเหนือกว่าขุนนางใหญ่ในแคว้นศักดินาของราชสำนักในโลกมนุษย์เสียอีก มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาหลายแห่งของแคว้นหวงถิง รวมไปถึงปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์อย่างซุนเติงเซียน แน่นอนว่าไม่ได้อาศัยแค่การรบราฆ่าฟันอย่างเดียวเท่านั้น

นางคือคนกลุ่มแรกในสองกลุ่มที่เดินก้าวเข้ามาในโถงจัดงานเลี้ยง ห้องโถงที่อัดเต็มไปด้วยโต๊ะที่นั่ง มีเทพเซียนมารวมตัวกันอยู่เนืองแน่น มีเพียงตำแหน่งสองแห่งเท่านั้นที่ว่างเปล่า แขกจากจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ที่รวมถึงตัวนางด้วยนั้น ในเมื่อได้รับแจ้งมาแต่แรกแล้วว่าที่นั่งคือตำแหน่งห่างไกลใกล้กับธรณีประตูมากที่สุด ถ้าอย่างนั้นตำแหน่งฝั่งซ้ายมือที่สูงศักดิ์ที่สุดซึ่งรองลงมาจากตำแหน่งประธานที่เว้นว่างอยู่จะเก็บไว้ให้ใคร ฮูหยินเซียวหลวนแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้ว

แล้วก็จริงดังคาด เห็นว่าเฉินผิงอันเดินเข้ามาในโถงเซวี่ยหมาง อู๋อี้ที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธานอย่างเกียจคร้าน บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาของจวนจื่อหยางที่ไม่แม้แต่จะปรายตามองหน้าฮูหยินเซียวหลวน

กลับลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม เดินลงมาจากบันได ตรงรี่เข้าหาพวกเฉินผิงอัน คล้องแขนเฉินผิงอันไว้แล้วพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “คุณชายเฉินยังไม่มาถึงโถงเซวี่ยหมาง พวกเราก็ไม่กล้าเริ่มงานเลี้ยงก่อนโดยพลการ”

เฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดทั่วร่างผสานรวมกันอย่างเป็นธรรมชาติ อยู่ดีๆ แขนกลับถูกสตรีแปลกหน้าคล้องไว้พลันตัวแข็งทื่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็ไม่อาจปฏิเสธท่าทีใกล้ชิดสนิทสนมของอู๋อี้ต่อหน้าทุกคนที่กำลังจับตามองได้ จึงรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง

ผู้ฝึกตนใหญ่ของจวนจื่อหยางซึ่งรวมถึงเจ้าประมุขหวงฉู่ แต่ละคนจิตใจไหวเอนไม่หยุดนิ่ง ยิ่งรู้สึกว่าคนหนุ่มแปลกหน้าแซ่เฉินผู้นี้ อาจจะเป็นคู่รักของบรรพจารย์ แต่ความเป็นไปได้ข้อนี้มีไม่มากเลยจริงๆ ถึงอย่างไรนับตั้งแต่ที่บรรพจารย์สร้างจวนจื่อหยางขึ้นมาก็ไม่เคยมีคู่บำเพ็ญตนมาก่อน บรรพจารย์หลงใหลอยู่กับมหามรรคา สำหรับความรักฉันท์ชายหญิงแล้ว นางไม่เคยมีความสนใจ หรือว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลีบางคนที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่?

หาไม่แล้วการแสดงออกแต่ละอย่างของอู๋อี้ในงานเลี้ยงครั้งนี้ก็ออกจะผิดแผกแปลกประหลาดเกินไปหน่อย

โชคดีที่หลังจากอู๋อี้พาเฉินผิงอันมาถึงที่นั่งแล้ว นางก็ปล่อยมือออกอย่างเป็นธรรมชาติ เดินตรงไปที่ตำแหน่งประธานแล้วนั่งลง ยังคงมีท่าทางโปรดปรานใกล้ชิดสนิทสนมกับเฉินผิงอันดังเดิม พูดด้วยเสียงอันดังว่า “คุณชายเฉิน อย่างอื่นในจวนจื่อหยางของเราไม่ต้องพูดถึง ทว่าเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอนี้มีชื่อเสียงระบือไกลไปสี่ทิศ ไม่ใช่แค่คำยกยอโอ้อวดตนเองเท่านั้น ต่อให้เป็นฮ่องเต้สกุลเกาเกอหยางต้าสุยก็ยังเคยมาขอร้องสกุลหงแคว้นหวงถิงเป็นการส่วนตัวว่าขอให้จวนจื่อหยางของพวกเราส่งไปให้ปีละหกสิบไห ตอนนี้เหล้าเตรียมมาวางรอไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เมื่อดื่มหมดแล้วจะมีคนยกมาเติมให้ใหม่ จะไม่มีทางปล่อยให้ถ้วยเหล้าเบื้องหน้าใครว่างเปล่าเด็ดขาด ทุกท่านเชิญดื่มให้เต็มที่ คืนนี้พวกเราไม่เมาไม่กลับ!”

ผู้ฝึกตนหญิงหน้าตางดงามหลายสิบคนของจวนจื่อหยาง สาวใช้ที่ทำหน้าที่ยกสุราวางอาหารสวมเสื้อผ้าสีสันสดใสใหม่เอี่ยมเดินกรูกันออกมาจากสองฝากฝั่งของโถงเซวี่ยหมาง ประหนึ่งผีเสื้อหลากหลายสีสันกางปีกบิน สดใสสะดุดตายิ่งนัก

อู๋อี้ลุกขึ้นยืนแล้วชูจอกหล้าขึ้น “จอกแรกนี้ขอดื่มคารวะให้คุณชายเฉินที่มาเยือนจวนจื่อหยางของพวกเรา ทำให้จวนของพวกเราสว่างสดใสเรืองรองขึ้นอีกหลายเท่า!”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทุกคนก็ได้แต่ลุกขึ้นยืนตามไปด้วย พร้อมใจกันชูจอกเหล้า หันไปดื่มคารวะให้กับเฉินผิงอัน

ในแคว้นหวงถิง นี่เรียกว่าหน้าใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า

เกรงว่าต่อให้ฮ่องเต้สกุลหงเสด็จมาเยือนตำหนักจื่อชี่ด้วยตัวเองก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะทำให้อู๋อี้เอ่ยประโยคเช่นนี้ได้

หลังจากที่พวกเฉินผิงอันนั่งประจำที่แล้ว ซุนเติงเซียนยังไม่ทันคืนสติ นั่งเหม่ออยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง ยังดีที่ถูกสหายเหยียบเท้าหนึ่งที ถึงได้รีบร้อนลุกขึ้นยืน

เฉินผิงอันได้แต่เอ่ยขอบคุณแล้วกระดกดื่มรวดเดียวหมด

โต๊ะตัวเล็กจิ๋วกะทัดรัดที่วางอยู่ด้านหน้าเผยเฉียนก็มีเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอวางไว้สองกาเช่นกัน แต่ทางจวนจื่อหยางเอาใจใส่ดีเยี่ยม เตรียมเหล้าผลไม้รสชาติหอมหวานสดชื่นไว้ให้แม่หนูน้อยกาหนึ่ง ทำให้เผยเฉียนที่ลุกขึ้นยืนชูจอกเหล้าเบิกบานใจสุดขีด

จวนจื่อหยางเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ

เผยเฉียนตัดสินใจแล้วว่าวันหน้านางจะต้องพร่ำพูดอยู่ข้างหูอาจารย์ว่าให้มาเป็นแขกที่จวนจื่อหยางบ่อยๆ แม้ว่าอู๋อี้ผู้นี้จะหน้าตาไม่งดงามนัก เมื่อเทียบกับหวงถิงหรือเหยาจิ้นจือแล้วจะดูป่าเถื่อนกว่าเยอะมาก แต่กลับนิสัยดี ต้อนรับแขกอย่างกระตือรือร้น หาข้อบกพร่องไม่ได้แม้แต่น้อย! ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องให้อาจารย์แต่งนางเข้าบ้านมาเป็นอาจารย์แม่ของนาง หน้าตาเป็นยังไงก็ไม่สำคัญหรอก

หลังจากนั้นอู๋อี้กลับไม่ได้ใส่ใจเฉินผิงอันมากนัก ปล่อยให้งานเลี้ยงดำเนินไปเหมือนการฉลองของตระกูลเซียนบนภูเขาธรรมดาเท่านั้น

อาหารเลิศรสหลากหลายสีสันที่หายากล้ำค่าซึ่งถูกยกมาด้วยมือของผู้ฝึกตนหญิงเรือนกายสะโอดสะองดุจผีเสื้อหลากสีพากันเปล่งประกายแสงตัดสลับละลานตาอยู่ในโถงเซวี่ยหมาง

ไม่เสียแรงที่เจ้าประมุขหวงฉู่คือมือวางอันดับสองของจวนจื่อหยางที่รับผิดชอบเป็นหน้าเป็นตาให้ทางสำนัก เขาเป็นคนที่รู้จักพูด ในงานนี้ก็เป็นคนนำขบวนดื่มคารวะอู๋อี้ เอ่ยประโยคน่าฟังที่ไหลรื่นดุจไข่มุก พาให้คนทั้งห้องโถงกู่ร้องชอบใจ

อู๋อี้พูดไม่มาก แต่เมื่อเทียบกับท่าทียามอยู่ในงานเลี้ยงของจวนจื่อหยางในอดีตแล้ว วันนี้นางกลับน่าเข้าใกล้กว่าเยอะมาก ราวกับเป็นคนละคน ยังเป็นฝ่ายเล่าเรื่องน่าสนใจบนภูเขาสองสามเรื่อง ทุกคนในจวนจื่อหยางย่อมพากันหัวเราะเสียงดังไม่ขาดสาย อันที่จริงอู๋อี้มีนิสัยไม่ชอบหัวเราะพูดคุย หากเปลี่ยนมาเป็นหวงฉู่ที่เป็นคนเล่าเรื่องเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจไม่ด้อยไปกว่านักเล่านิทานเลย แต่พอหลุดออกมาจากปากของอู๋อี้ เฉินผิงอันฟังแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ตลกเลยสักนิด ทว่าผู้คนที่ส่งเสียงหัวเราะในโถงเซวี่ยหมางกลับมีท่าทางจริงใจยิ่ง สีหน้าแต่ละคนเป็นธรรมชาติไม่น้อยหน้ากันเลย

บางทีนี่ก็คงจะถือว่าเป็นยุทธภพกระมัง

อันที่จริงครั้งแรกที่เฉินผิงอันรู้สึกเช่นนี้ ยังคงเป็นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวที่ล่องลอยเหมือนภาพมายาแห่งนั้น หลังจากศึกใหญ่ปิดฉากลงก็ได้พบกับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนที่เหลาสุราโดยบังเอิญ

ฮูหยินเซียวหลวนถือจอกเหล้าไว้ในมือ ลุกขึ้นยืนช้าๆ

ทุกคนหยุดส่งเสียงดังจอแจพร้อมกันราวกับจิตสื่อถึงกันได้ ทันใดนั้นห้องโถงก็เงียบกริบ

ฮูหยินเซียวหลวนยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เซียวหลวนขอเป็นตัวแทนจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ดื่มคารวะบรรพจารย์หยวนจวินหนึ่งจอก”

อู๋อี้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่สายตากลับหยุดนิ่งอยู่บนร่างของฮูหยินเซียวหลวน

ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่านางอู๋อี้ไม่คิดจะให้หน้าจวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ และเจ้าเซียวหลวนก็อย่าหวังมาได้หน้าได้ตาที่จวนจื่อหยางแม้แต่เสี้ยวเดียว

ซุนเติงเซียนโมโหจนอกเกือบแตก สองหมัดกำแน่นวางไว้บนโต๊ะ ตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง

อู๋อี้ชำเลืองหางตามองเฉินผิงอันคล้ายตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ฝ่ายหลังกำลังหันหน้าไปพูดเบาๆ กับเผยเฉียน ราวกับกำลังเตือนนังหนูน้อยว่ามาเป็นแขกที่บ้านของคนอื่น จำเป็นต้องนั่งให้สำรวม กินให้สุภาพ อย่าหลงระเริงลืมตน เหล้าผลไม้ไม่ใช่เหล้า จะหาข้ออ้างว่าดื่มจนเมามายเลยไม่คิดสนใจสิ่งใดไม่ได้เผยเฉียนยืดเอวขึ้นตรง แต่กลับโคลงศีรษะพูดกลั้วหัวเราะคิกคักว่ารู้แล้วน่า รู้แล้วน่า ผลคือถูกเฉินผิงอันประเคนมะเหงกให้หนึ่งลูก

อู๋อี้เห็นว่าเฉินผิงอันไม่คิดจะเข้ามามีเอี่ยวด้วยจึงดึงสายตากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว อ้าปากหาวหวอด มือหนึ่งจับคอของกาเหล้าที่บรรจุเหล้าเจียวเฒ่าน้ำลายสอไว้เต็มกาพลางแกว่งมันเบาๆ อีกมือหนึ่งเท้าคาง ถามอย่างเกียจคร้าน “แม่น้ำป๋ายกู่? อยู่ที่ไหน?”

จากนั้นอู๋อี้ก็หันหน้าไปมองหวงฉู่ ถามว่า “ห่างจากจวนจื่อหยางของพวกเราไปไกลเท่าไหร่?”

หวงฉู่รีบลุกขึ้นยืนตอบอย่างนอบน้อม “เรียนท่านบรรพจารย์ จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่แห่งนี้ห่างจากจวนจื่อหยางของพวกเราแค่ระยะทางของลำคลองเถี่ยเชวี่ยนกางกั้น เป็นระยะทางน้ำสามร้อยลี้”

อู๋อี้แสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “งั้นก็ไม่ไกลน่ะสิ”

ไม่ไกล ก็ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านอยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน คำสุภาษิตของชาวบ้านเคยกล่าวไว้ว่าญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านใกล้เคียง สำหรับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำแล้ว ระยะทางสามร้อยลี้ก็เป็นระยะทางที่สามารถมาถึงได้ในชั่วพริบตา เท่ากับระยะทางเวลาที่คนธรรมดากินข้าวเสร็จแล้วออกมาเดินเล่นเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมา จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่กลับวางท่าว่าต่อให้ตายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กับจวนจื่อหยาง เมื่ออยู่ในสายตาของอู๋อี้ นี่จึงไม่ต่างจากการท้าทายของฮูหยินเซียวหลวน

แต่สำหรับเรื่องนี้ อู๋อี้ก็มีการดีดลูกคิดรางแก้วของตัวเอง ถึงได้ปล่อยให้จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่บุกเบิกขยับขยายพื้นที่โดยที่ไม่เปิดปากสั่งให้ผู้ฝึกตนของจวนจื่อหยางและศาลจีเซียงลำคลองเถี่ยเชวี่ยนขัดขวาง

ในโถงเซวี่ยหมางที่บรรยากาศกลมเกลียวปรองดองพลันเปี่ยมไปด้วยปราณสังหารดุดัน

ฮูหยินเซียวหลวนใช้สองมือถือประคองจอกเหล้าไว้เบื้องหน้าตัวเองอยู่อย่างนั้น บนใบหน้าที่งามพิลาสไร้ข้อบกพร่องยังคงคลี่ยิ้มหยดย้อยไม่เปลี่ยน “หวังว่าต้งหลิงหยวนจวินจะให้อภัย ถ้าอย่างนั้นข้าเซียวหลวนจะดื่มลงโทษตัวเองหนึ่งจอก”

และในขณะที่ฮูหยินเซียวหลวนยกแขนขึ้น อู๋อี้พลันยื่นฝ่ามือออกมากดลงบนความว่างเปล่าสองที “เซียวหลวน จวนจื่อหยางเล็กๆ ไหนเลยจะรับสุราคารวะจากองค์เทพแม่น้ำท่านหนึ่งได้ หวงฉู่ เจ้าเป็นเจ้าสำนักอย่างไร เซียวหลวนเขาไม่มาเยี่ยมเยียน เจ้าก็ไม่รู้จักเป็นฝ่ายไปเยือนจวนเทพวารีบ้างเลยหรือ? จะต้องให้ฮูหยินเทพแม่น้ำมาพบเจ้าให้ได้? ดูมาดเจ้าประมุขที่เจ้าวางนี่เถอะ สามารถเทียบเคียงกับฮ่องเต้สกุลหงได้แล้ว เร็วเข้า มัวยืนนิ่งอยู่ทำไม รีบเป็นฝ่ายดื่มคารวะฮูหยินเทพแม่น้ำเข้าสิ ช่างเถิด หวงฉู่เจ้าดื่มลงโทษตัวเองสามจอกก็แล้วกัน”

หวงฉู่ไม่พูดไม่จาก็หันหน้าไปทางฮูหยินเซียวหลวนแล้วยกจอกเหล้าขึ้นดื่มติดๆ สามจอกรวด

บรรยากาศในโถงเซวี่ยหมางตึงเครียดจนแม้แต่เข็มตกก็คงได้ยินกันถ้วนทั่ว

ฮูหยินเซียวหลวนถือจอกเหล้าที่ไม่มีโอกาสได้ดื่มค้างไว้ตลอดเวลา หลังจากก้มตัวลงวางจอกเหล้าแล้วก็ทำท่าทางแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง นางหันไปยกไหเหล้าสองใบที่วางไว้บนโต๊ะของผู้เฒ่าและซุนเติงเซียนที่อยู่ทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวามาวางไว้ตรงหน้าตัวเอง เหล้าสามไหวางเรียงกัน นางยกไหหนึ่งในนั้นขึ้นมา หลังจากเปิดผนึกดินออกก็กอดกาเหล้าหนักประมาณสามจินเอาไว้ พูดกับอู๋อี้ว่า “จวนเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่รับเหล้าคารวะของเจ้าประมุขหวงไปแล้วสามจอก นี่เป็นเพราะใต้เท้าแห่งจวนจื่อหยางเป็นผู้ใหญ่ใจกว้าง ไม่ถือสาสตรีอย่างข้าเซียวหลวน แต่ข้าก็อยากจะดื่มสุราลงโทษสามไหเพื่อเป็นการขออภัยต้งหลิงหยวนจวิน ขณะเดียวกันก็ขออวยพรให้หยวนจวินเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน เปิดสำนักให้แก่จวนจื่อหยางได้ในเร็ววัน!”

หลังจากนั้นเซียวหลวนก็จงใจสยบการโคจรของร่างทอง เท่ากับว่าสลายตบะของเทพวารีแม่น้ำป๋ายกู่ออก ใช้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์ทั่วไปชั่วขณะ แล้วยกเหล้าสามไหดื่มหมดรวดเดียว

ใบหน้าของเซียวหลวนแดงก่ำ นางยกไหเหล้าขึ้นสูงสามครั้ง แหงนหน้ากระดกดื่ม สุราจึงหกเลอะออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ สาบเสื้อตรงหน้าอกของอาภรณ์ชาววังที่งดงามเปียกชื้นเล็กน้อย นางหันหน้ากลับไป ใช้มืออุดปาก

เผยเฉียนอ้าปากกว้าง มองวีรสตรีที่ห้าวหาญผู้นั้นอยู่ไกลๆ หากเปลี่ยนมาเป็นตน อย่าว่าแต่เหล้าสามไหเลย ต่อให้เป็นเหล้าผลไม้ไหเล็กๆ นางก็คงกรอกไม่เข้าท้องแล้ว

นางรีบยกจอกเหล้าขึ้น รินเหล้าผลไม้ให้ตัวเองหนึ่งจอก เตรียมจะยกขึ้นดื่มระงับความตกใจ

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ กับเผยเฉียน “แค่พอประมาณก็พอแล้ว”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+