กระบี่จงมา 438.2 ฟ้าสว่างแล้ว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 438.2 ฟ้าสว่างแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปที่ภาพม้าวิ่ง “เก็บไปเถอะ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ มาเดาจุดประสงค์ของฉีจิ้งชุนเอาตอนนี้ ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไหร่แล้ว”

ชุยตงซานขยับก้นกระเถิบเข้ามาใกล้ภาพม้าวิ่งทีละนิด ก่อนจะตบป้าบลงบนใบหน้าของฉีจิ้งชุน ดูคล้ายจะยังไม่หายแค้นจึงตบอีกสองที “ใต้หล้ามีศิษย์น้องที่เล่นงานศิษย์พี่อย่างเจ้าด้วยหรือ? หา? มาสิ แน่จริงเจ้าก็พูดออกมาเลย ดูสิว่าคราวนี้ข้าจะตอกกลับเจ้าให้หน้าหงายหรือไม่…”

ชุยฉานกล่าว “ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง?”

ชุยตงซานเก็บภาพม้าวิ่งไปอย่างขุ่นเคือง

ชุยฉานเปลี่ยนเรื่องคุย “ในเมื่อเจ้าพูดถึงการตอกกลับ ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า มีครั้งหนึ่งที่เถียงชนะสองลัทธิพุทธเต๋า พอซิ่วไฉเฒ่ากลับมาถึงโรงเรียนแล้ว เขากลับไม่ได้ดีใจสักเท่าไหร่ กลับกันยังดื่มเหล้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พูดอย่างปลงอนิจจังกับพวกเราว่า หวนนึกถึงปีนั้นที่พวกชาวบ้านไร้นามไร้สัญชาติในประวัติศาสตร์ได้พบเจอกับปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งบนเส้นทางโดยบังเอิญ พวกเขาก็ยังกล้าตอกกลับไปด้วยหลักการเหตุผลของตัวเองอย่างไม่เกรงกลัว บางคนที่เข้าใจก็หัวเราะร่าเสียงดัง บางคนที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้องก็โต้เถียงดังลั่น ข้าจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าเล่าเรื่องพวกนี้ สีหน้าฮึกเหิมของเขามองดูแล้วเลื่อมใสศรัทธายิ่งกว่าตอนที่โต้วาทีกับสองลัทธิพุทธเต๋าเสียอีก นี่เป็นเพราะอะไร?”

ชุยตงซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จิตใจทะเยอทะยานของซิ่วไฉเฒ่าสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า!”

ชุยฉานถามคำถามชุดใหญ่รัวมารวดเดียว “ทำไมการเล่าเรียนเขียนอ่านในปัจจุบันนี้ถึงสบายกว่ายุคบรรพกาลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนบนโลกกลับยิ่งไม่เกิดความเคารพยำเกรงต่อหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์และอริยะร้อยสำนักทุกที? ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อถึงขั้นรู้สึกว่าความรู้ของตนต้องไม่มีทางสูงถึงอริยะปราชญ์ คนในยุคปัจจุบันถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจสู้คนโบราณได้ เหตุใดยิ่งความรู้บนโลกเพิ่มสูงขึ้น จิตใจของคนรุ่นหลังถึงยิ่งต่ำลง?”

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “คงเป็นเพราะมีชีวิตสุขสบายมากขึ้นทุกที พวกเราถึงได้ปฏิบัติต่อโลกใบนี้ดุจคนหัวทึบมากขึ้น ก็เหมือนเหล่าองค์เทพที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดในอดีต”

ชุยฉานหรี่ตาลง “สำหรับพวกเราแล้ว ขอแค่ผ่านพ้นหายนะใหญ่จากนี้ไปได้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีมากหรอกหรือ?”

ชุยตงซานสีหน้าแข็งทื่อ

ชุยฉานหัวเราะเสียงเย็น “เสียใจภายหลังแล้วรึ?”

ชุยตงซานสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

สำหรับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ไร้ขื่อไร้แป ไม่แยแสสิ่งใดแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ชุยฉานพลันลุกขึ้นยืน “เจ้าได้อาจารย์ที่ไม่เลว คนอื่น ยกตัวอย่างเช่นคนเก้าจุดเก้าส่วนในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ต่อให้ถูกเจ้านักพรตจมูกโคผู้นั้นโยนเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัวเหมือนกัน อย่าว่าแต่สามร้อยปีเลย ต่อให้พวกเขาได้เห็นกาลเวลาถึงสามพันปีก็คงยังมองอะไรไม่ออก”

ชุยตงซานกล่าวอย่างกังขา “พูดเรื่องนี้ทำไม? ทุกครั้งที่เจ้าพูดจาน่าฟัง ข้าจะต้องขนลุกขนชันทุกที”

ชุยฉานมองดวงจันทร์และทะเลสาบที่อยู่นอกหอเรือน “ตอนนี้กิจธุระของต้าหลีที่ต้องจัดการมีมากมาย ข้าไม่สามารถมานั่งรับข่าวจากกระบี่ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่นี่ได้ทุกวัน เพราะมันจะถ่วงงานสำคัญที่แท้จริงของเจ้าและข้า ข้าไม่เหมือนกับเจ้า หลุมคราวนี้เฉินผิงอันข้ามผ่านไปไม่ได้ เจ้าเลยต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่ข้ากลับยืนอยู่ในจุดที่ไร้พ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นการแบ่งหลักรองระหว่างเจ้าและข้าก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว”

ชุยตงซานไม่ได้พูดอะไรมาก เหมือนไม่แปลกใจที่ชุยฉานจะจากไป

แต่เขาแอบกลอกตาอยู่เงียบๆ

ชุยฉานที่หันหลังให้ชุยตงซานพูดขึ้นว่า “ข้าขอแนะนำเจ้าว่าจงเอาความองอาจออกมาใช้เสียบ้าง อย่าคิดฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่ทำเรื่องน่าอายเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง หากเจ้าทำแบบนั้น ข้าจะผิดหวังในตัวเจ้ามาก”

ชุยตงซานที่นั่งอยู่บนพื้นโบกชายแขนเสื้อเบาๆ เหมือนกำลัง ‘กวาดพื้น’

ชุยฉานกล่าว “ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังไม่จากไป มีคำถามอะไรก็รีบถาม”

ชุยตงซานเองก็ไม่เกรงใจ ถามทันทีว่า “จะปล่อยให้หลิวเหล่าเฉิงสังหารกู้ช่านจริงๆ หรือ? เจ้าไม่คิดจะจัดการบ้างเลยหรือไง?”

ชุยฉานส่ายหน้า “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางตันครั้งนี้มากนัก อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่เฉินผิงอัน จะต้องสนใจว่าเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบคนหนึ่งจะเป็นหรือตายไปทำไม? สังหารกู้ช่าน หลิวเหล่าเฉิงก็ยังต้องทำการค้ากับต้าหลีของพวกเราอยู่ดี ก็แค่เปลี่ยนจากหลิวจื้อเม่าเป็นหลิวเหล่าเฉิงก็เท่านั้น เจ้าเห็นไหม แม้แต่แซ่ก็ยังเหมือนกัน อันที่จริงเป็นอย่างนี้จะดียิ่งกว่า ตัวหลิวจื้อเม่าไม่สามารถกำราบผู้คนได้ พฤติกรรมของผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนไม่ต่างจากนิสัยหน้าไหว้หลังหลอกของวงการขุนนางในราชวงศ์ที่เน่าเฟะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้เปลี่ยนมาเป็นหลิวเหล่าเฉิง คนผู้นี้รู้สถานการณ์ใหญ่ดีกว่า วันหน้าเมื่อร่วมมือกับต้าหลีของเขาก็จะยิ่งราบรื่นมากกว่า ไม่เหมือนหลิวจื้อเม่าที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะจมลึกอยู่ในบ่อโคลน ดีแต่จะรับผลประโยชน์ เวลาให้ทำงานขึ้นมาจริงๆ ก็มีใจแต่ไร้กำลัง ง่ายที่จะทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นการมอบโอกาสให้หลิวจื้อเม่านั่งลงต่อรองราคาอีกด้วย ดังนั้นหลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงได้ขึ้นเป็นเจ้าแห่งยุทธภพแล้วย่อมต้องรอให้ได้ราคาดีแล้วค่อยขาย ราคาก็จะต้องสูงขึ้น ช่วงแรกเริ่มต้าหลีคงต้องขูดเนื้อตัวเองเพิ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หากมองในระยะยาว ต้าหลีก็ยังพอจะได้กำไรกลับคืนมา”

ชุยตงซานรีบถามอีก “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก มีโอกาสหนึ่งในหมื่นที่จิตหยินของฉีจิ้งชุนยังไม่ดับสลายไปจริงๆ ล่ะ เจ้าจากไปเช่นนี้ หากเขามาจะทำอย่างไร?”

ชุยฉานตอบ “ข้าย่อมต้องทิ้งวิธีรับมือเอาไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน ก็เหมือนที่ลัทธิเต๋าทิ้งเจ้าลัทธิลู่ไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจูนั่นแหละ ข้าไม่ใช่เจ้า เรื่องที่ข้าพูดไปแล้ว ข้าย่อมทำได้ เลิกเดาได้แล้ว หากเจ้าข้ามบ่อสายฟ้าออกมา ไม่รักษากฎ ข้าก็มีวิธีอื่นที่ใช้เล่นงานเจ้ารออยู่เหมือนกัน”

ชุยตงซานไม่เอ่ยอะไร คราวนี้เขาโบกชายแขนเสื้อทั้งสองข้างกวาดพื้นไปพร้อมกัน

ชุยฉานกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คนที่ไม่เอาไหนก็ไม่ต่างอะไรจากหนูตัวหนึ่งที่ปล่อยให้สภาพแวดล้อมรอบกายตนเป็นผู้ตัดสิน หนูไม่มีทางรู้เลยว่าการที่ตนเคลื่อนย้ายอาหารก็คือการขโมยของ”

เขาหันหน้ามาถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วมนุษย์อย่างพวกเราล่ะ? บรรลุมรรคาเป็นอมตะมิเสื่อมสลาย หากในจุดที่สูงขึ้นไปมีสิ่งมีชีวิตที่พวกเราไม่รู้จักอยู่จริง มันกำลังมองมาที่พวกเรา แล้วมนุษย์อย่างพวกเรากำลังทำอะไร?”

ชุยตงซานพึมพำ “เรื่องที่คิดจนกระจ่างแจ้งมาตั้งนานแล้ว ยังจะเอามาถามข้าอีกทำไม ก็ไม่ใช่เพราะว่าขบคิดจนเข้าใจ พวกเราถึงได้เลือกจะทำเรื่องนั้นหรอกหรือ ดังนั้นในบรรดาคนสี่คนของม้วนภาพวาดพื้นที่มงคลดอกบัว จูเหลี่ยนคนที่น่าสนใจที่สุดคนนั้นถึงได้เลือกจะมองไฟชายฝั่งจนได้คำตอบที่ถูกต้อง บอกว่าเจ้าและข้าคือคนที่เห็นปลาในเหวลึกย่อมไม่เป็นมงคล”

ชุยฉานหัวเราะทันใด “ข้ากลัวนักว่าเจ้าจะกลายเป็นกู้ช่านคนถัดไป กลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืม”

ชุยตงซานเหลือกตามองบน

ชุยฉานยิ้มบางๆ “ข้ากับฉีจิ้งชุน ถ้ำสวรรค์หลีจู ทะเลสาบซูเจี่ยน ล้วนเป็นการช่วงชิงแห่งวิญญูชนทั้งสองครั้ง”

ชุยตงซานทำสีหน้าปั้นยาก

ชุยฉานกล่าว “เจ้าอาจจะกังขา นี่หมายความว่าครั้งนี้ข้าเองก็เคยสงสัยในตัวเองเช่นกัน แต่ข้าจะบอกเจ้าตอนนี้เลยว่า นี่คือการช่วงชิงแห่งวิญญูชน”

ชุยตงซานถามอีก “ฉีจิ้งชุนสามารถมองดูจ้าวเหยาหันไปเข้าสายบุ๋นอื่นได้คาตาตัวเอง แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ยังอยู่ในลัทธิขงจื๊อ และฉีจิ้งชุนก็สามารถทิ้งตำราสามเล่มไว้ให้กับซ่งจี๋ซิน เป็นการอธิบายแก่นแท้ของสำนักนิติธรรมให้แก่ซ่งจี๋ซิน เพราะนี่เป็นการช่วงชิงระหว่างลัทธิขงจื๊อกับสำนักนิติธรรม ไม่ถือว่าเกินว่าเหตุ แต่หากฉีจิ้งชุนผลักเฉินผิงอันเข้าไปสู่ลัทธิพุทธ แล้วเฉินผิงอันไม่หันย้อนกลับมาอีก นี่จะกลายเป็นอย่างไร? ต่อให้ตอนนั้นฉีจิ้งชุนเฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วจะเกิดความคิดที่ลึกล้ำต่อพระธรรมของลัทธิพุทธ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าเขาจะหลุดพ้นจากโลกมนุษย์แล้วหันเข้าหาพระธรรมได้จริงๆ สำหรับข้อนี้ข้าเชื่อมั่นอย่างไร้ความกังขา ถ้าอย่างนั้นสำหรับฉีจิ้งชุนแล้ว เฉินผิงอันคือศิษย์น้องเล็ก? คือผู้ถ่ายทอดมรรคา ผู้ปกป้องมรรคาของหลี่เป่าผิง จ้าวเหยา ซ่งจี๋ซินสามคน? หรือว่าเป็นผู้สืบทอดควันธูปที่แท้จริงของฉีจิ้งชุนกันแน่?! หรือว่าจะไม่ใช่อะไรเลยสักอย่าง?”

ชุยฉานหัวเราะร่า “ไม่รู้สิ”

ชุยตงซานพึมพำ “ว่าแล้วเชียว”

ชุยฉานพูดกับชุยตงซานเหมือนผู้อาวุโสให้คำชี้แนะเด็กรุ่นหลัง “เจ้าลูกกระต่ายน้อย วันหน้าอย่าพูดกับใครว่า ‘ข้ายอมแพ้’ อีก จิตวิญญาณเช่นนั้นของคนง่ายที่จะดิ่งลงเหว แต่กลับยากที่จะดึงขึ้นมาใหม่ คนที่เล่นหมากล้อม หากในใจยอมแพ้ก็แค่โยนเม็ดหมากลงบนกระดาน มีใครบ้างที่เปิดปากพูดว่าข้ายอมแพ้แล้ว?”

ชุยตงซานหมดอารมณ์จะคุยต่อ “เลิกเจ้ากี้เจ้าการกับข้าเสียที พวกเราไม่ใช่คนคนเดียวกันอีกแล้ว”

ชุยชานไม่ได้เก็บม้วนภาพวาดบนพื้นขึ้นมา แน่นอนว่าเขาคิดจะทิ้งไว้ให้กับชุยตงซาน สุดท้ายเขายิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าควรจะพูดอย่างปลงอนิจจังด้วยประโยคทำนองว่า อาจารย์ของข้าช่างมีความทุกข์ยากมากจริงๆ”

ชุยตงซานไม่ได้โต้เถียง กลับกันยังพูดคล้อยตาม “มองภูเขาเขียวไกลๆ ช่างงามตา ตัวอยู่บนทางภูเขาจึงรู้ว่าเดินยาก และยังอาจพบเจอโจรภูเขากลางทาง”

ชุยฉานก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ประหนึ่งข้ามผ่านประตู แล้วร่างของเขาก็หายวับไป

หลังจากแน่ใจว่าชุยฉานจากไปแล้วจริงๆ ชุยตงซานถึงยกสองมือขึ้น ม้วนชายแขนเสื้อ ด้านหน้ามีกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากเมฆหลากสีเพิ่มมาอีกสองใบ

เขานั่งตัวตรงอย่างสำรวม สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

แล้วเริ่มวางหมากห้าเม็ด

……

ประมาณช่วงฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันรีบร้อนเดินทางจากต้าหลีมายังทะเลสาบซูเจี่ยน

เมื่อมาถึงอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนก็โดยสารรถม้ามาถึงนครน้ำบ่อริมทะเลสาบ ทัศนียภาพที่พบเห็นมาตลอดทางคือภาพบรรยากาศของภูเขาสวยน้ำใส น้ำค้างแข็งพร่างพรมยามราตรี ใบไม้เขียวแดงเหลือง บ้างสีเข้มบ้างสีอ่อน

หลังจากนั้นก็ได้พบกับกู้ช่าน ได้เห็นภาพของทะเลสาบที่อากาศเย็นสบาย ก่อนที่ไอน้ำจะค่อยๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง อากาศในทะเลสาบซูเจี่ยนเยือกเย็น กลางคืนยาวนาน ไอน้ำลอยแผ่อบอวลไปทั่ว ตอนที่เฉินผิงอันไปช่วยพ่อลูกของนครอวิ๋นโหลวคู่นั้น ก็ได้ไปเยือนด่านชายแดนของแคว้นสือหาวมารอบหนึ่ง ได้เห็นภาพบรรยากาศอีกอย่างหนึ่งที่ถูกกั้นขวางด้วยเส้นชายแดน ภาพทุ่งหญ้าซีดขาวเพราะเพิ่งผ่านน้ำค้างลง เสียงแมลงตามพุ่มไม้ดังเซ็งแซ่ บริเวณโดยรอบไร้เงาผู้คน

กลับมาถึงเกาะชิงเสียก็เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว น้ำเริ่มจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ไก่ฟ้าลงน้ำกลายเป็นภาพมายา (เป็นคำกล่าวสมัยโบราณ เพราะคนโบราณคิดว่าเมื่อเข้าหน้าหนาว พวกสัตว์ปีกจะกลายเป็นหอยกาบที่ไปหลบความหนาวเย็นอยู่ใต้ทะเลสาบ)

ตอนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามเกาะต่างๆ เนื่องจากเข้าใจประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงและขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยนมาอย่างละเอียด เฉินผิงอันจึงตั้งใจใช้เวลาครึ่งวันไปเฝ้าอยู่บนเกาะจิ่นจื้อเพื่อรอชมภาพ ‘ไก่ป่าลงทะเลสาบกลายเป็นภาพมายา’ โดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์เช่นนี้พบเห็นได้ยากอย่างถึงที่สุด ได้แต่อาศัยโชคช่วยเท่านั้น ก็เหมือนกับที่ปีนั้นเฉินผิงอันได้เห็นปลาตะเพียนข้ามภูเขาก็เพราะอดทนรออยู่นาน ถึงได้มีโอกาสหาปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองตัวนั้นเจอ ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันไม่อาจเอาเวลามากมายไปเผาผลาญอยู่กับการเสี่ยงดวง จึงได้แต่จากมาอย่างผิดหวังเล็กน้อย

คนเราจะเอาแต่ใช้ชีวิตอย่างอัดอั้นจนตายไม่ได้ ต้องรู้จักหาความสุขจากความทุกข์ หาวิธีมาผ่อนคลายความกลัดกลุ้มเสียบ้าง

หวังว่าจะได้เห็นภาพไก่ฟ้าลงน้ำกับตาตัวเองเป็นเช่นนี้ ไปสอบถามเรื่องราวของหงซูคนเฝ้าประตูจวนจูเสียนของเกาะชิงเสียก็เป็นเช่นเดียวกัน

เมื่อมาถึงเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันก็แทบจะไม่ได้ดื่มเหล้า มีบ้างบางครั้งที่ดื่มอึกสองอึกเพื่อให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

ยามพลบค่ำวันสุดท้ายของปี ลมหนาวพัดผ่านต้นไม้แห้งกิ่งไม้ส่ายเอน นกกาตกใจสะบัดปีกบินจากไปไวว่อง

และในขณะที่เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างเนิบช้า ทางฝั่งเกาะกงหลิ่วยังคงทะเลาะถกเถียงกัน ส่วนเขาเฉินผิงอันก็ก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตัวไปเงียบๆ บางทีวันใดวันหนึ่งเงยหน้ามองไป สิ่งที่ปรากฎสู่สายตาอาจเป็นภาพที่สีเหลืองบนพืชพรรณอ่อนจาง สีเขียวแห่งฤดูใบไม้ผลิแตกหน่อขึ้นใหม่นั้นเอง

อยู่ดีๆ วันหนึ่ง

ทางฝั่งของเกาะกงหลิ่วก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว กู้ช่านพาหนีชิวน้อยมาที่ประตูภูเขา มาหาเฉินผิงอันที่กำลังศึกษาวิชาลับวิชาหนึ่งที่เว่ยป้อถ่ายทอดให้ เล่าให้ฟังว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว ในกลุ่มกองกำลังที่คัดค้าน เจ้าเกาะชิงจ่ง เทียนหมู่และลี่ซู่ที่เสียงดังที่สุด ก่อนหน้านี้ได้โวยวายบอกว่าทางฝั่งของพวกเขาและเกาะกงหลิ่วจะต้องส่งคนมาสามถึงห้าคน ใครชนะคนนั้นก็เสนอตัวเลือกของคนที่จะได้ขึ้นเป็นเจ้าแห่งยุทธภพคนใหม่ แต่ในขณะที่เกาะชิงเสียกำลังจะตกปากรับคำนั้นเอง เจ้าเกาะผู้เฒ่าของเกาะชิงจ่งและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะเทียนหมู่ เซียนดินผู้แข็งแกร่งสองคนที่มีหวังว่าจะต่อสู้อยู่บนเวทีได้ดีที่สุด อยู่ดีๆ กลับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างน่าประหลาดใจพร้อมกันภายในค่ำคืนเดียว

เนื่องจากสถานการณ์พลิกผันอย่างฉับพลัน เจ้าเกาะลี่ซู่ที่ถูกบีบให้เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ใหญ่ได้ไปหาหลิวจื้อเม่าบนเกาะกงหลิ่วเพียงลำพัง หลังจากพูดคุยกันอย่างลับๆ จบก็น่าจะเจรจาตกลงเงื่อนไขบางอย่างกันได้

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 438.2 ฟ้าสว่างแล้ว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 438.2 ฟ้าสว่างแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชุยฉานยื่นนิ้วชี้ไปที่ภาพม้าวิ่ง “เก็บไปเถอะ คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ มาเดาจุดประสงค์ของฉีจิ้งชุนเอาตอนนี้ ไม่ได้มีความหมายสักเท่าไหร่แล้ว”

ชุยตงซานขยับก้นกระเถิบเข้ามาใกล้ภาพม้าวิ่งทีละนิด ก่อนจะตบป้าบลงบนใบหน้าของฉีจิ้งชุน ดูคล้ายจะยังไม่หายแค้นจึงตบอีกสองที “ใต้หล้ามีศิษย์น้องที่เล่นงานศิษย์พี่อย่างเจ้าด้วยหรือ? หา? มาสิ แน่จริงเจ้าก็พูดออกมาเลย ดูสิว่าคราวนี้ข้าจะตอกกลับเจ้าให้หน้าหงายหรือไม่…”

ชุยฉานกล่าว “ไม่อายคนอื่นบ้างหรือไง?”

ชุยตงซานเก็บภาพม้าวิ่งไปอย่างขุ่นเคือง

ชุยฉานเปลี่ยนเรื่องคุย “ในเมื่อเจ้าพูดถึงการตอกกลับ ถ้าอย่างนั้นเจ้ายังจำได้หรือไม่ว่า มีครั้งหนึ่งที่เถียงชนะสองลัทธิพุทธเต๋า พอซิ่วไฉเฒ่ากลับมาถึงโรงเรียนแล้ว เขากลับไม่ได้ดีใจสักเท่าไหร่ กลับกันยังดื่มเหล้าอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พูดอย่างปลงอนิจจังกับพวกเราว่า หวนนึกถึงปีนั้นที่พวกชาวบ้านไร้นามไร้สัญชาติในประวัติศาสตร์ได้พบเจอกับปรมาจารย์มหาปราชญ์และหลี่เซิ่งบนเส้นทางโดยบังเอิญ พวกเขาก็ยังกล้าตอกกลับไปด้วยหลักการเหตุผลของตัวเองอย่างไม่เกรงกลัว บางคนที่เข้าใจก็หัวเราะร่าเสียงดัง บางคนที่รู้สึกว่าไม่ถูกต้องก็โต้เถียงดังลั่น ข้าจำได้อย่างชัดเจน ตอนที่ซิ่วไฉเฒ่าเล่าเรื่องพวกนี้ สีหน้าฮึกเหิมของเขามองดูแล้วเลื่อมใสศรัทธายิ่งกว่าตอนที่โต้วาทีกับสองลัทธิพุทธเต๋าเสียอีก นี่เป็นเพราะอะไร?”

ชุยตงซานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “จิตใจทะเยอทะยานของซิ่วไฉเฒ่าสูงยิ่งกว่าแผ่นฟ้า!”

ชุยฉานถามคำถามชุดใหญ่รัวมารวดเดียว “ทำไมการเล่าเรียนเขียนอ่านในปัจจุบันนี้ถึงสบายกว่ายุคบรรพกาลมากขึ้นเรื่อยๆ แต่คนบนโลกกลับยิ่งไม่เกิดความเคารพยำเกรงต่อหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์และอริยะร้อยสำนักทุกที? ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อถึงขั้นรู้สึกว่าความรู้ของตนต้องไม่มีทางสูงถึงอริยะปราชญ์ คนในยุคปัจจุบันถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจสู้คนโบราณได้ เหตุใดยิ่งความรู้บนโลกเพิ่มสูงขึ้น จิตใจของคนรุ่นหลังถึงยิ่งต่ำลง?”

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “คงเป็นเพราะมีชีวิตสุขสบายมากขึ้นทุกที พวกเราถึงได้ปฏิบัติต่อโลกใบนี้ดุจคนหัวทึบมากขึ้น ก็เหมือนเหล่าองค์เทพที่อยู่สูงส่งเหนือผู้ใดในอดีต”

ชุยฉานหรี่ตาลง “สำหรับพวกเราแล้ว ขอแค่ผ่านพ้นหายนะใหญ่จากนี้ไปได้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีมากหรอกหรือ?”

ชุยตงซานสีหน้าแข็งทื่อ

ชุยฉานหัวเราะเสียงเย็น “เสียใจภายหลังแล้วรึ?”

ชุยตงซานสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

สำหรับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ไร้ขื่อไร้แป ไม่แยแสสิ่งใดแล้ว นี่ถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ชุยฉานพลันลุกขึ้นยืน “เจ้าได้อาจารย์ที่ไม่เลว คนอื่น ยกตัวอย่างเช่นคนเก้าจุดเก้าส่วนในทะเลสาบซูเจี่ยนแห่งนี้ ต่อให้ถูกเจ้านักพรตจมูกโคผู้นั้นโยนเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาของพื้นที่มงคลดอกบัวเหมือนกัน อย่าว่าแต่สามร้อยปีเลย ต่อให้พวกเขาได้เห็นกาลเวลาถึงสามพันปีก็คงยังมองอะไรไม่ออก”

ชุยตงซานกล่าวอย่างกังขา “พูดเรื่องนี้ทำไม? ทุกครั้งที่เจ้าพูดจาน่าฟัง ข้าจะต้องขนลุกขนชันทุกที”

ชุยฉานมองดวงจันทร์และทะเลสาบที่อยู่นอกหอเรือน “ตอนนี้กิจธุระของต้าหลีที่ต้องจัดการมีมากมาย ข้าไม่สามารถมานั่งรับข่าวจากกระบี่ที่สำคัญที่สุดอยู่ที่นี่ได้ทุกวัน เพราะมันจะถ่วงงานสำคัญที่แท้จริงของเจ้าและข้า ข้าไม่เหมือนกับเจ้า หลุมคราวนี้เฉินผิงอันข้ามผ่านไปไม่ได้ เจ้าเลยต้องเดือดร้อนไปด้วย แต่ข้ากลับยืนอยู่ในจุดที่ไร้พ่ายมาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นการแบ่งหลักรองระหว่างเจ้าและข้าก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว”

ชุยตงซานไม่ได้พูดอะไรมาก เหมือนไม่แปลกใจที่ชุยฉานจะจากไป

แต่เขาแอบกลอกตาอยู่เงียบๆ

ชุยฉานที่หันหลังให้ชุยตงซานพูดขึ้นว่า “ข้าขอแนะนำเจ้าว่าจงเอาความองอาจออกมาใช้เสียบ้าง อย่าคิดฉวยโอกาสตอนที่ข้าไม่อยู่ทำเรื่องน่าอายเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง หากเจ้าทำแบบนั้น ข้าจะผิดหวังในตัวเจ้ามาก”

ชุยตงซานที่นั่งอยู่บนพื้นโบกชายแขนเสื้อเบาๆ เหมือนกำลัง ‘กวาดพื้น’

ชุยฉานกล่าว “ฉวยโอกาสตอนที่ข้ายังไม่จากไป มีคำถามอะไรก็รีบถาม”

ชุยตงซานเองก็ไม่เกรงใจ ถามทันทีว่า “จะปล่อยให้หลิวเหล่าเฉิงสังหารกู้ช่านจริงๆ หรือ? เจ้าไม่คิดจะจัดการบ้างเลยหรือไง?”

ชุยฉานส่ายหน้า “ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางตันครั้งนี้มากนัก อีกอย่างข้าก็ไม่ใช่เฉินผิงอัน จะต้องสนใจว่าเด็กที่ขนยังขึ้นไม่ครบคนหนึ่งจะเป็นหรือตายไปทำไม? สังหารกู้ช่าน หลิวเหล่าเฉิงก็ยังต้องทำการค้ากับต้าหลีของพวกเราอยู่ดี ก็แค่เปลี่ยนจากหลิวจื้อเม่าเป็นหลิวเหล่าเฉิงก็เท่านั้น เจ้าเห็นไหม แม้แต่แซ่ก็ยังเหมือนกัน อันที่จริงเป็นอย่างนี้จะดียิ่งกว่า ตัวหลิวจื้อเม่าไม่สามารถกำราบผู้คนได้ พฤติกรรมของผู้ฝึกตนอิสระในทะเลสาบซูเจี่ยนไม่ต่างจากนิสัยหน้าไหว้หลังหลอกของวงการขุนนางในราชวงศ์ที่เน่าเฟะ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่สู้เปลี่ยนมาเป็นหลิวเหล่าเฉิง คนผู้นี้รู้สถานการณ์ใหญ่ดีกว่า วันหน้าเมื่อร่วมมือกับต้าหลีของเขาก็จะยิ่งราบรื่นมากกว่า ไม่เหมือนหลิวจื้อเม่าที่มีความเป็นไปได้มากว่าจะจมลึกอยู่ในบ่อโคลน ดีแต่จะรับผลประโยชน์ เวลาให้ทำงานขึ้นมาจริงๆ ก็มีใจแต่ไร้กำลัง ง่ายที่จะทำตัวเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นการมอบโอกาสให้หลิวจื้อเม่านั่งลงต่อรองราคาอีกด้วย ดังนั้นหลังจากที่หลิวเหล่าเฉิงได้ขึ้นเป็นเจ้าแห่งยุทธภพแล้วย่อมต้องรอให้ได้ราคาดีแล้วค่อยขาย ราคาก็จะต้องสูงขึ้น ช่วงแรกเริ่มต้าหลีคงต้องขูดเนื้อตัวเองเพิ่มอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่หากมองในระยะยาว ต้าหลีก็ยังพอจะได้กำไรกลับคืนมา”

ชุยตงซานรีบถามอีก “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก มีโอกาสหนึ่งในหมื่นที่จิตหยินของฉีจิ้งชุนยังไม่ดับสลายไปจริงๆ ล่ะ เจ้าจากไปเช่นนี้ หากเขามาจะทำอย่างไร?”

ชุยฉานตอบ “ข้าย่อมต้องทิ้งวิธีรับมือเอาไว้ในมุมใดมุมหนึ่งของทะเลสาบซูเจี่ยน ก็เหมือนที่ลัทธิเต๋าทิ้งเจ้าลัทธิลู่ไว้ในถ้ำสวรรค์หลีจูนั่นแหละ ข้าไม่ใช่เจ้า เรื่องที่ข้าพูดไปแล้ว ข้าย่อมทำได้ เลิกเดาได้แล้ว หากเจ้าข้ามบ่อสายฟ้าออกมา ไม่รักษากฎ ข้าก็มีวิธีอื่นที่ใช้เล่นงานเจ้ารออยู่เหมือนกัน”

ชุยตงซานไม่เอ่ยอะไร คราวนี้เขาโบกชายแขนเสื้อทั้งสองข้างกวาดพื้นไปพร้อมกัน

ชุยฉานกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “คนที่ไม่เอาไหนก็ไม่ต่างอะไรจากหนูตัวหนึ่งที่ปล่อยให้สภาพแวดล้อมรอบกายตนเป็นผู้ตัดสิน หนูไม่มีทางรู้เลยว่าการที่ตนเคลื่อนย้ายอาหารก็คือการขโมยของ”

เขาหันหน้ามาถามด้วยรอยยิ้ม “แล้วมนุษย์อย่างพวกเราล่ะ? บรรลุมรรคาเป็นอมตะมิเสื่อมสลาย หากในจุดที่สูงขึ้นไปมีสิ่งมีชีวิตที่พวกเราไม่รู้จักอยู่จริง มันกำลังมองมาที่พวกเรา แล้วมนุษย์อย่างพวกเรากำลังทำอะไร?”

ชุยตงซานพึมพำ “เรื่องที่คิดจนกระจ่างแจ้งมาตั้งนานแล้ว ยังจะเอามาถามข้าอีกทำไม ก็ไม่ใช่เพราะว่าขบคิดจนเข้าใจ พวกเราถึงได้เลือกจะทำเรื่องนั้นหรอกหรือ ดังนั้นในบรรดาคนสี่คนของม้วนภาพวาดพื้นที่มงคลดอกบัว จูเหลี่ยนคนที่น่าสนใจที่สุดคนนั้นถึงได้เลือกจะมองไฟชายฝั่งจนได้คำตอบที่ถูกต้อง บอกว่าเจ้าและข้าคือคนที่เห็นปลาในเหวลึกย่อมไม่เป็นมงคล”

ชุยฉานหัวเราะทันใด “ข้ากลัวนักว่าเจ้าจะกลายเป็นกู้ช่านคนถัดไป กลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืม”

ชุยตงซานเหลือกตามองบน

ชุยฉานยิ้มบางๆ “ข้ากับฉีจิ้งชุน ถ้ำสวรรค์หลีจู ทะเลสาบซูเจี่ยน ล้วนเป็นการช่วงชิงแห่งวิญญูชนทั้งสองครั้ง”

ชุยตงซานทำสีหน้าปั้นยาก

ชุยฉานกล่าว “เจ้าอาจจะกังขา นี่หมายความว่าครั้งนี้ข้าเองก็เคยสงสัยในตัวเองเช่นกัน แต่ข้าจะบอกเจ้าตอนนี้เลยว่า นี่คือการช่วงชิงแห่งวิญญูชน”

ชุยตงซานถามอีก “ฉีจิ้งชุนสามารถมองดูจ้าวเหยาหันไปเข้าสายบุ๋นอื่นได้คาตาตัวเอง แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ยังอยู่ในลัทธิขงจื๊อ และฉีจิ้งชุนก็สามารถทิ้งตำราสามเล่มไว้ให้กับซ่งจี๋ซิน เป็นการอธิบายแก่นแท้ของสำนักนิติธรรมให้แก่ซ่งจี๋ซิน เพราะนี่เป็นการช่วงชิงระหว่างลัทธิขงจื๊อกับสำนักนิติธรรม ไม่ถือว่าเกินว่าเหตุ แต่หากฉีจิ้งชุนผลักเฉินผิงอันเข้าไปสู่ลัทธิพุทธ แล้วเฉินผิงอันไม่หันย้อนกลับมาอีก นี่จะกลายเป็นอย่างไร? ต่อให้ตอนนั้นฉีจิ้งชุนเฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วจะเกิดความคิดที่ลึกล้ำต่อพระธรรมของลัทธิพุทธ แต่ข้ากลับไม่รู้สึกว่าเขาจะหลุดพ้นจากโลกมนุษย์แล้วหันเข้าหาพระธรรมได้จริงๆ สำหรับข้อนี้ข้าเชื่อมั่นอย่างไร้ความกังขา ถ้าอย่างนั้นสำหรับฉีจิ้งชุนแล้ว เฉินผิงอันคือศิษย์น้องเล็ก? คือผู้ถ่ายทอดมรรคา ผู้ปกป้องมรรคาของหลี่เป่าผิง จ้าวเหยา ซ่งจี๋ซินสามคน? หรือว่าเป็นผู้สืบทอดควันธูปที่แท้จริงของฉีจิ้งชุนกันแน่?! หรือว่าจะไม่ใช่อะไรเลยสักอย่าง?”

ชุยฉานหัวเราะร่า “ไม่รู้สิ”

ชุยตงซานพึมพำ “ว่าแล้วเชียว”

ชุยฉานพูดกับชุยตงซานเหมือนผู้อาวุโสให้คำชี้แนะเด็กรุ่นหลัง “เจ้าลูกกระต่ายน้อย วันหน้าอย่าพูดกับใครว่า ‘ข้ายอมแพ้’ อีก จิตวิญญาณเช่นนั้นของคนง่ายที่จะดิ่งลงเหว แต่กลับยากที่จะดึงขึ้นมาใหม่ คนที่เล่นหมากล้อม หากในใจยอมแพ้ก็แค่โยนเม็ดหมากลงบนกระดาน มีใครบ้างที่เปิดปากพูดว่าข้ายอมแพ้แล้ว?”

ชุยตงซานหมดอารมณ์จะคุยต่อ “เลิกเจ้ากี้เจ้าการกับข้าเสียที พวกเราไม่ใช่คนคนเดียวกันอีกแล้ว”

ชุยชานไม่ได้เก็บม้วนภาพวาดบนพื้นขึ้นมา แน่นอนว่าเขาคิดจะทิ้งไว้ให้กับชุยตงซาน สุดท้ายเขายิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าควรจะพูดอย่างปลงอนิจจังด้วยประโยคทำนองว่า อาจารย์ของข้าช่างมีความทุกข์ยากมากจริงๆ”

ชุยตงซานไม่ได้โต้เถียง กลับกันยังพูดคล้อยตาม “มองภูเขาเขียวไกลๆ ช่างงามตา ตัวอยู่บนทางภูเขาจึงรู้ว่าเดินยาก และยังอาจพบเจอโจรภูเขากลางทาง”

ชุยฉานก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง ประหนึ่งข้ามผ่านประตู แล้วร่างของเขาก็หายวับไป

หลังจากแน่ใจว่าชุยฉานจากไปแล้วจริงๆ ชุยตงซานถึงยกสองมือขึ้น ม้วนชายแขนเสื้อ ด้านหน้ามีกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากเมฆหลากสีเพิ่มมาอีกสองใบ

เขานั่งตัวตรงอย่างสำรวม สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง

แล้วเริ่มวางหมากห้าเม็ด

……

ประมาณช่วงฤดูใบไม้ร่วง เฉินผิงอันรีบร้อนเดินทางจากต้าหลีมายังทะเลสาบซูเจี่ยน

เมื่อมาถึงอาณาเขตของทะเลสาบซูเจี่ยนก็โดยสารรถม้ามาถึงนครน้ำบ่อริมทะเลสาบ ทัศนียภาพที่พบเห็นมาตลอดทางคือภาพบรรยากาศของภูเขาสวยน้ำใส น้ำค้างแข็งพร่างพรมยามราตรี ใบไม้เขียวแดงเหลือง บ้างสีเข้มบ้างสีอ่อน

หลังจากนั้นก็ได้พบกับกู้ช่าน ได้เห็นภาพของทะเลสาบที่อากาศเย็นสบาย ก่อนที่ไอน้ำจะค่อยๆ กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง อากาศในทะเลสาบซูเจี่ยนเยือกเย็น กลางคืนยาวนาน ไอน้ำลอยแผ่อบอวลไปทั่ว ตอนที่เฉินผิงอันไปช่วยพ่อลูกของนครอวิ๋นโหลวคู่นั้น ก็ได้ไปเยือนด่านชายแดนของแคว้นสือหาวมารอบหนึ่ง ได้เห็นภาพบรรยากาศอีกอย่างหนึ่งที่ถูกกั้นขวางด้วยเส้นชายแดน ภาพทุ่งหญ้าซีดขาวเพราะเพิ่งผ่านน้ำค้างลง เสียงแมลงตามพุ่มไม้ดังเซ็งแซ่ บริเวณโดยรอบไร้เงาผู้คน

กลับมาถึงเกาะชิงเสียก็เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว น้ำเริ่มจับตัวกันเป็นน้ำแข็ง ไก่ฟ้าลงน้ำกลายเป็นภาพมายา (เป็นคำกล่าวสมัยโบราณ เพราะคนโบราณคิดว่าเมื่อเข้าหน้าหนาว พวกสัตว์ปีกจะกลายเป็นหอยกาบที่ไปหลบความหนาวเย็นอยู่ใต้ทะเลสาบ)

ตอนที่ออกเดินทางท่องเที่ยวไปตามเกาะต่างๆ เนื่องจากเข้าใจประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงและขนบธรรมเนียมประเพณีของทะเลสาบซูเจี่ยนมาอย่างละเอียด เฉินผิงอันจึงตั้งใจใช้เวลาครึ่งวันไปเฝ้าอยู่บนเกาะจิ่นจื้อเพื่อรอชมภาพ ‘ไก่ป่าลงทะเลสาบกลายเป็นภาพมายา’ โดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าภาพเหตุการณ์เช่นนี้พบเห็นได้ยากอย่างถึงที่สุด ได้แต่อาศัยโชคช่วยเท่านั้น ก็เหมือนกับที่ปีนั้นเฉินผิงอันได้เห็นปลาตะเพียนข้ามภูเขาก็เพราะอดทนรออยู่นาน ถึงได้มีโอกาสหาปลาตะเพียนข้ามภูเขาสีทองตัวนั้นเจอ ทว่าตอนนี้เฉินผิงอันไม่อาจเอาเวลามากมายไปเผาผลาญอยู่กับการเสี่ยงดวง จึงได้แต่จากมาอย่างผิดหวังเล็กน้อย

คนเราจะเอาแต่ใช้ชีวิตอย่างอัดอั้นจนตายไม่ได้ ต้องรู้จักหาความสุขจากความทุกข์ หาวิธีมาผ่อนคลายความกลัดกลุ้มเสียบ้าง

หวังว่าจะได้เห็นภาพไก่ฟ้าลงน้ำกับตาตัวเองเป็นเช่นนี้ ไปสอบถามเรื่องราวของหงซูคนเฝ้าประตูจวนจูเสียนของเกาะชิงเสียก็เป็นเช่นเดียวกัน

เมื่อมาถึงเกาะชิงเสีย เฉินผิงอันก็แทบจะไม่ได้ดื่มเหล้า มีบ้างบางครั้งที่ดื่มอึกสองอึกเพื่อให้ตัวเองกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น

ยามพลบค่ำวันสุดท้ายของปี ลมหนาวพัดผ่านต้นไม้แห้งกิ่งไม้ส่ายเอน นกกาตกใจสะบัดปีกบินจากไปไวว่อง

และในขณะที่เฉินผิงอันเข้าใจผิดคิดว่าเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างเนิบช้า ทางฝั่งเกาะกงหลิ่วยังคงทะเลาะถกเถียงกัน ส่วนเขาเฉินผิงอันก็ก้มหน้าก้มตาทำเรื่องของตัวไปเงียบๆ บางทีวันใดวันหนึ่งเงยหน้ามองไป สิ่งที่ปรากฎสู่สายตาอาจเป็นภาพที่สีเหลืองบนพืชพรรณอ่อนจาง สีเขียวแห่งฤดูใบไม้ผลิแตกหน่อขึ้นใหม่นั้นเอง

อยู่ดีๆ วันหนึ่ง

ทางฝั่งของเกาะกงหลิ่วก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว กู้ช่านพาหนีชิวน้อยมาที่ประตูภูเขา มาหาเฉินผิงอันที่กำลังศึกษาวิชาลับวิชาหนึ่งที่เว่ยป้อถ่ายทอดให้ เล่าให้ฟังว่าเหตุการณ์สงบลงแล้ว ในกลุ่มกองกำลังที่คัดค้าน เจ้าเกาะชิงจ่ง เทียนหมู่และลี่ซู่ที่เสียงดังที่สุด ก่อนหน้านี้ได้โวยวายบอกว่าทางฝั่งของพวกเขาและเกาะกงหลิ่วจะต้องส่งคนมาสามถึงห้าคน ใครชนะคนนั้นก็เสนอตัวเลือกของคนที่จะได้ขึ้นเป็นเจ้าแห่งยุทธภพคนใหม่ แต่ในขณะที่เกาะชิงเสียกำลังจะตกปากรับคำนั้นเอง เจ้าเกาะผู้เฒ่าของเกาะชิงจ่งและผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของเกาะเทียนหมู่ เซียนดินผู้แข็งแกร่งสองคนที่มีหวังว่าจะต่อสู้อยู่บนเวทีได้ดีที่สุด อยู่ดีๆ กลับหายเข้ากลีบเมฆไปอย่างน่าประหลาดใจพร้อมกันภายในค่ำคืนเดียว

เนื่องจากสถานการณ์พลิกผันอย่างฉับพลัน เจ้าเกาะลี่ซู่ที่ถูกบีบให้เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ใหญ่ได้ไปหาหลิวจื้อเม่าบนเกาะกงหลิ่วเพียงลำพัง หลังจากพูดคุยกันอย่างลับๆ จบก็น่าจะเจรจาตกลงเงื่อนไขบางอย่างกันได้

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+