กระบี่จงมา 475.3 ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 475.3 ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหวยเว่ยสีหน้ากระอักกระอ่วน ยกมือตบลงบนใบหน้าตัวเองเบาๆ “ฟังข้าพูดเข้าสิ ผู้อาวุโสท่านคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ คำพูดที่เอ่ยออกมา หนึ่งฟองน้ำลายหนักแน่นดุจตะปูหนึ่งตัว! ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันจะเคารพผู้อาวุโสขนาดนี้ได้หรือ? ผู้อาวุโสท่านไม่รู้อะไร ตอนอยู่ที่วัดร้างบนภูเขาลูกนั้น เจ้าคนผู้นั้นส่งกระบี่ออกมาทีเดียวก็สามารถทำให้ร่างทองของเทพภูเขาสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นแตกกระจุยได้แล้ว จะดีจะชั่วนั่นก็เป็นถึงองค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักเชียวนะ กลับต้องมามีจุดจบน่าสงสารที่ตายไม่เหลือศพแบบนี้ หลังจบเรื่องยังไม่ได้ถูกภูเขาแม่น้ำแว้งกลับมาโจมตีแม้แต่น้อย เซียนกระบี่หนุ่มที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ก็ยังเคารพเลื่อมใสท่านผู้อาวุโสไม่ใช่หรือ พูดไปพูดมาก็ยังเป็นเพราะท่านผู้อาวุโสร้ายกาจ”

ซ่งอวี่เซาลูบหนวดยิ้ม “แม้ว่าจะเป็นคำพูดเสแสร้งที่เอ่ยไปตามสถานการณ์ แต่ก็พูดได้ถูกจังหวะเหมาะกับสถานการณ์จริงๆ”

เหวยเว่ยยิ้มหวาน

คิดไม่ถึงว่าซ่งอวี่เซาจะเอ่ยอีกว่า “อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี ไม่อย่างนั้นก็จะเหลือแต่ความน่าสะอิดสะเอียนแล้ว”

เหวยเว่ยหุบยิ้มอย่างขุ่นเคือง

เงียบกันไปครู่หนึ่ง เหวยเว่ยก็ถามว่า “ผู้อาวุโสไม่ไปดูการโจมตีที่ทั้งเปิดเผยและลับอำพรางทางฝั่งนั้นบ้างหรือ?”

ซ่งอวี่เซาตอบกลับด้วยประโยคประหลาด “ดื่มชาไม่มีรสชาติ”

เหวยเว่ยจึงยิ้มพูดคล้อยตามไป “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนผู้อาวุโสดีไหม?”

ผลกลับกลายเป็นว่าซ่งอวี่เซาตอบมาเพียงหนึ่งคำ “ไสหัวไป”

ต่อให้เหวยเว่ยจะอับอายจนพานเป็นความโกรธก็ไม่มีประโยชน์

ทางฝั่งของห้องโถงใหญ่

อันที่จริงไม่มีการใช้คารมคมคายพูดจากระทบกระเทียบใดๆ

เพราะฉู่ฮูหยินผู้เป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่ก็ดี หวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยก็ช่าง ล้วนไม่มีโอกาสได้พูด

พอเข้ามาในหมู่บ้าน สารถีวัยชราที่หลังค่อม ดวงตาขุ่นมัวคนหนึ่งก็เอามือลูบหน้า เรือนกายยืดตรง กลายร่างเป็นฉู่หาวในทันที

นี่ทำให้ผู้คนประหลาดใจกันอย่างยิ่ง

ไม่ต้องพูดว่าฉู่ฮูหยินจะใช่คนร่วมเตียงฝันต่างหรือไม่ ในฐานะคนข้างหมอนของหานหยวนซ่าน นางกลับจำ ‘ฉู่หาว’ ไม่ได้ แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงคนอื่น

เห็นได้ชัดว่าเมื่อหานหยวนซ่านเผชิญหน้ากับหลิ่วเชี่ยน เขามีท่าทีเคร่งเครียดจริงจังยิ่งกว่ายามเผชิญหน้ากับซ่งเฟิ่งซานที่มีจิตลุ่มหลงอยู่กับกระบี่มากนัก

ฉู่ฮูหยินคือคนที่เจ็บแค้นหงุดหงิดที่สุด ตอนนั้นหานหยวนซ่านเอาเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรในตำนานคนหนึ่งมาไว้ข้างกายตน นางยังนึกว่าบุรุษใจดำอย่างหานหยวนซ่านมีความรักลึกซึ้งต่อนาง คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วยังคงเป็นเพราะเพื่อความปลอดภัยของตัวหานหยวนซ่านเอง เป็นนางที่หลงตัวเองเกินไป

ทุกครั้งที่หานหยวนเสวี๋ยซึ่งมีใบหน้าเหมือนเด็กได้พบกับแม่ทัพใหญ่ ‘ฉู่หาว’ จะต้องรู้สึกอึดอัดอย่างน่าประหลาดใจเสมอ

ส่วนหวังซานหูนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความคิดของนางเรียบง่ายที่สุด คิดแค่ว่าจะมาพบซ่งเฟิ่งซานที่นี่สักครั้ง อยากจะให้บุรุษรูปงามแห่งยุทธภพ ผู้โดดเด่นด้านวิชากระบี่ที่ตนเคยเลื่อมใสบูชาผู้นี้รู้ว่าทุกวันนี้ตนมีชีวิตที่ดีมาก ได้แต่งงานกับบุรุษที่ดียิ่งกว่าคนสกุลใดๆ ในยุทธภพ เป็นเจ้าเมืองของพื้นที่หนึ่ง และในอนาคตก็จะได้เป็นขุนนางคนสำคัญที่อยู่ศูนย์กลางของแคว้นซูสุ่ย ส่วนเจ้าซ่งเฟิ่งซานกำลังจะถูกขับไล่ออกจากบ้านบรรพบุรุษ ต้องไประหกระเหเร่ร่อนอยู่ในยุทธภพ จะเอาตัวมาเปรียบเทียบได้อย่างไร?

น่าเสียดายก็แต่เมื่อซ่งเฟิ่งซานได้พบนางก็ยังคงมีท่าทางสุภาพเปี่ยมไปด้วยมารยาท เพียงแค่นี้เท่านั้น

นี่ทำให้หวังซานหูรู้สึกพ่ายแพ้เล็กน้อย

สำหรับเรื่องพวกนี้ หลิ่วเชี่ยนรู้ดีอยู่ในใจ นางไม่เคยคิดมาก เพียงแต่รู้สึกว่าหวังซานหูไม่เคยเข้าใจสามีของตนเลยก็เท่านั้น ต่อให้ไม่มีนางหลิ่วเชียน เฟิ่งซานก็ไม่มีทางชอบหวังซานหูผู้นี้ นางเอาแต่ใจเกินไป ใช่ว่าสตรีจะทระนงตนไม่ได้ แต่หากคิดจะต้องช่วงชิงความเป็นหนึ่ง คิดจะเอาชนะอยู่ตลอดเวลาเหมือนเม่นตัวน้อยๆ บางทีบนโลกอาจมีบุรุษที่ชื่นชอบสตรีเช่นนี้ แต่เฟิ่งซานไม่ใช่คนหนึ่งในนั้น

ในห้องโถงไม่มีคนนอกอยู่ด้วย

แม้แต่เทพเซียนผู้เฒ่าสองคนก็ไม่ได้ถูกเรียกตัวมา เพียงแต่ปิดประตูฝึกตนอยู่ในจวนของใครของมัน ผู้ฝึกตน ต่อให้ลงจากเขามาเหยียบย่ำอยู่ในโลกมนุษย์ก็ยิ่งต้องสงบจิตใจ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่การขัดเกลาจิตใจแล้ว แต่จะเป็นการลดทอนตบะ ปล่อยร้างจิตแห่งการฝึกตน

หลิ่วเชี่ยนพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานที่ต่อให้มีสตรีสามคนอยู่ด้วยก็ยังยกมาพูดคุยได้กับหานหยวนซ่านแล้ว ก็เป็นฝ่ายพาคนทั้งสามจากไป ทิ้งไว้เพียงซ่งเฟิ่งซานและขุนนางอันดับหนึ่งแห่งแคว้นซูสุ่ยเท่านั้น

สตรีทั้งสี่คนเดินเล่นอยู่ด้วยกันในหมู่บ้าน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หานหยวนเสวี๋ยได้มาเยือน แต่นางก็ยังคงรู้สึกแปลกใหม่อยู่ดี นางเป็นคนมีนิสัยซื่อๆ พูดจาไม่คิดหน้าคิดหลัง ขณะที่กำลังเดินเล่นก็ทอดถอนใจอย่างเสียดาย บอกว่าสถานที่แห่งนี้ หากต้องย้ายออกไปคงน่าเสียดายยิ่งนัก หลิ่วเชี่ยนจูงมือสตรีจากตระกูลชนชั้นสูงที่ต่อให้จะแต่งงานออกเรือนแล้วก็ยังคงไร้เดียงสาผู้นี้ พูดคุยพลางหัวเราะสนุกสนานไปกับนาง ฉู่ฮูหยินที่ต้องมาอยู่ในถิ่นของหมู่บ้านวารีกระบี่ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตก็ให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เพียงแต่ว่าบุรุษของตนไม่ช่วยออกหน้าให้ อีกทั้งตอนนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ยังได้รับโชคดีหลังจากเจอโชคร้าย เนื่องจากการสอดเท้าเข้าแทรกของคนนอกคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่สกัดกั้นการประลองกระบี่ของซูหลางเอาไว้ได้ ยังทำให้ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยรู้ว่าหมู่บ้านวารีกระบี่มีสหายบนภูเขาเช่นนี้อยู่หนึ่งคน วันหน้าหากนางคิดจะหาเรื่องหมู่บ้านวารีกระบี่และซ่งอวี่เซาก็ยิ่งยากเข้าไปอีก

หวังซานหูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่

แม้ว่าจะแต่งงานกับบัณฑิตผู้สุภาพสง่างามซึ่งมีอนาคตยาวไกลแล้ว และชีวิตทุกวันนี้ก็ไม่เลว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ปรองดอง แต่สำหรับสตรีที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพมาจนเคยชินตั้งแต่เด็กคนหนึ่งแล้ว ก็อดรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ ในใจไม่ได้ ทุกครั้งที่เป็นยามค่ำคืนผู้คนเข้านอนกันหมด หรือยามที่อยู่เพียงลำพัง หรือไม่ก็ยามที่ได้ยินคนสนิทจากบ้านเดิมพูดถึงบุญคุณความแค้นครั้งใหม่ในยุทธภพขึ้นมา ในใจของหวังซานหูก็จะต้องเกิดเป็นริ้วกระเพื่อม

เมื่อหานหยวนเสวี๋ยพูดถึงการลอบฆ่าระหว่างทาง รวมไปถึงมือกระบี่ชุดเขียวที่โผล่มาอย่างกะทันหันผู้นั้น

ฉู่ฮูหยินและหวังซานหูแทบจะเงี่ยหูผึ่งขึ้นมาพร้อมกัน

หลิ่วเชี่ยนยิ้มพูดอย่างไม่ปิดบัง “คนผู้นั้นก็คือสหายของท่านปู่พวกเรา”

แล้วหลิ่วเชี่ยนก็แสร้งทำเป็นอมพะนำ พูดออกมาเพียงครึ่งประโยค “อันที่จริงทั้งซานหูและหยวนเสวี๋ยต่างก็รู้จักเขา”

หานหยวนเสวี๋ยเบิกดวงตาคลอประกายน้ำกว้าง ชี้มาที่ตัวเอง “ข้ารู้จักเทพเซียนแบบนี้ด้วย? ทำไมแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้เล่า?”

ในใจหวังซานหูรู้สึกกังขา แต่ก็ไม่เปิดปากถามอะไร ราวกับว่าหากนางถาม จะทำให้นางต่ำต้อยกว่าหลิ่วเชี่ยนอย่างไรอย่างนั้น

กลับเป็นฉู่ฮูหยินที่ความคิดแล่นเร็ว จึงยิ้มถามว่า “คงไม่ใช่เด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ปีนั้นสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งหรอกกระมัง?”

หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับ “เขานั่นแหละ”

หวังซานหูขมวดคิ้ว สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย

หานหยวนเสวี๋ยอึ้งตะลึง แล้วก็พูดเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องที่จี้ใจคน “ก็คือเด็กหนุ่มยากจนที่ปีนั้นเคยประลองวิชากระบี่กับพี่หญิงซานหูน่ะหรือ?”

หลิ่วเชี่ยนระอาใจ สตรีเซ่อซ่าผู้นี้นับว่าโชคดีที่มีบุญวาสนา ไม่อย่างนั้นเมื่อออกไปพ้นจากอกครอบครัวแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?

หลิ่วเชี่ยนไม่สะดวกจะซ้ำเติมความรู้สึกของหวังซานหู จึงเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ คราวนี้คนผู้นั้นมาเยือนหมู่บ้าน หลังจากเล่นงานให้ซูหลางถอยร่นไปได้แล้ว ตอนที่ดื่มเหล้ากับท่านปู่ของพวกเราก็พูดว่าวิธีการพกดาบของหมู่บ้านเหิงเตาทำให้เขาจดจำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน พอท่านปู่ของเราพูดถึงวิชาดาบของเจ้าประมุขหวังว่าคู่ควรกับคำว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ เขาเองก็เห็นด้วย”

แม้ว่าหวังซานหูจะรู้ว่านี่เป็นคำพูดที่เอ่ยไปตามมารยาท แต่ในใจก็ยังรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ถึงอย่างไรหวังอี้หรานบิดาของนางก็เป็นบุคคลที่สามารถค้ำฟ้ายันดินในใจของนางเสมอมา

แต่หานหยวนเสวี๋ยกลับสาดเกลือกำใหญ่ลงบนบาดแผลของนางอีกครั้งด้วยการถามคำถามที่เลอะเลือน “พี่หญิงซานหู ตอนนั้นท่านบอกว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าประมุขหวังไม่ใช่หรือ? แต่คนผู้นั้นเอาชนะเซียนกระบี่ไผ่เขียวได้เชียวนะ ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่เจ้าประมุขหวังจะชนะก็คงมีไม่มาก”

หวังซานหูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้เอ่ยตอบโต้แม้แต่คำเดียว

ในใจนอกจากจะโมโหหานหยวนเสวี๋ยที่ปากไม่มีหูรูดและเจ็บแค้นศัตรูในอดีตผู้นั้นแล้ว

นางยังรู้สึกหวาดผวาและหวั่นกลัวอยู่ไม่คลายอีกด้วย

เด็กหนุ่มที่ปีนั้นทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายความบ้านนอกบ้านนาและความยากจน บัดนี้ได้กลายมาเป็นเซียนกระบี่บนภูเขาที่มีชีวิตอิสระเสรีมีความสุขที่สุดแล้ว

แบบนี้จะได้อย่างไร?

ต่อให้นางจะไม่อยากเชื่อ ไม่กล้าเชื่อมากแค่ไหน ก็รู้ดีว่านี่คือความจริงและเรื่องจริง

หมู่บ้านเหิงเตาที่บิดาสร้างขึ้นอย่างยากลำบากจะได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำที่มุทะลุวู่วามของตนในปีนั้นหรือไม่? นางได้ยินมาว่านิสัยของผู้ฝึกตนบนภูเขามักมีแค้นก็ต้องแก้แค้น ร้อยปีก็ยังไม่สาย ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อย่างในยุทธภพที่แค่หาคนไกล่เกลี่ยซึ่งมีชื่อเสียงมากพอมาสักคนหนึ่ง จากนั้นสองฝ่ายก็นั่งลงชูจอกเหล้า ดื่มอย่างสำราญเพื่อลืมความแค้นในอดีตได้แล้ว

หลิ่วเชี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “ซานหู วางใจเถอะ คนผู้นั้นคือสหายของท่านปู่ข้า อีกทั้งเขาก็ไม่เหมือนผู้ฝึกตนอย่างที่เล่าลือกัน กลับเหมือนคนในยุทธภพมากกว่า”

หวังซานหูเค้นรอยยิ้มออกมา พยักหน้าให้หลิ่วเชี่ยนถือเป็นการแสดงคำขอบคุณ เพียงแต่ว่าสีหน้าของหวังซานหูยิ่งไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ

……

ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาตี้หลงซึ่งมีอาณาเขตเชื่อมต่อกับแคว้นซูสุ่ยและแคว้นซงซี

มีมือดาบชุดเขียวสวมงอบคนหนึ่งจูงม้าเดินมา

ตลอดทางที่เดินมานี้มีอยู่สองเรื่องที่แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักของแคว้นซูสุ่ยอย่างอึกทึกครึกโครม และนักเล่านิทานที่เชี่ยวชาญด้านการหาเลี้ยงชีพก็ได้นำไปเผยแพร่เป็นวงกว้างแล้ว

เซียนกระบี่ไผ่เขียวแคว้นซงซี ซูหลางที่ไปถามกระบี่กับซ่งอวี่เซา กลับเจอเข้ากับเซียนชั้นสูงที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาคนหนึ่งที่เมืองเล็กนอกหมู่บ้านภูเขาโดยบังเอิญ การเข่นฆ่าที่น่าพรั่นผวาเกิดขึ้นติดต่อกันสองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมือกันครั้งที่สองที่เล่าลือกันว่า วันนั้นในหมู่บ้านวารีกระบี่มีปราณกระบี่พุ่งทะลุชั้นเมฆ กลบฟ้าคลุมดิน ลมและเมฆพัดตลบแปรเปลี่ยน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งศึกในรอบร้อยปีของยุทธภพ ต่อให้เทพกระบี่ผู้เฒ่าของแคว้นไฉ่อีปรากฏตัวบนโลกอีกครั้งแล้วร่วมรบแทนซูหลาง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาที่มองชมศึกอยู่ด้านข้างเฉยๆ เลย ไม่มีใครสงสัยอีกแล้วว่าในอีกหกสิบปีข้างหน้า ซูหลางต้องกลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งด้านวรยุทธของยุทธภพในหลายสิบแคว้นอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่กลุ่มผู้กล้าในยุทธภพที่มีจอมยุทธหญิงเซียวเป็นผู้นำได้เปิดศึกนองเลือดกับโจรกบฏพรรคฉู่ มีคนบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ความบ้าดีเดือดถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นถึงความอาจหาญของเหล่าผู้กล้าในแคว้นซูสุ่ย กลิ่นอายความเป็นเซียนอาจเปรียบเทียบกับซูหลางไม่ได้ แต่หากพูดถึงความองอาจกล้าหาญแล้วกลับไม่เป็นรองแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้ เขาเพียงแต่ไปเยือนหอชิงฝูมารอบหนึ่ง ปีนั้นหลังจากเดินเที่ยวร้านเทพเซียนแห่งนี้กับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเสร็จแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไป

ผูกม้าไว้นอกหอชิงฝูที่เป็นอาคารสูงห้าชั้น กลอนคู่สองฝั่งยังคงมีเนื้อหาเหมือนอย่างในปีนั้น ‘ไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา ราคาร้านข้ายุติธรรม ใจเขาใจเรา ลูกค้าโปรดกลับมาใหม่’

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในร้าน เพียงไม่นานก็มีดรุณีน้อยนางหนึ่งเดินออกมาต้อนรับ ถ้อยคำที่นางใช้ยังคงไม่ต่างไปจากที่เคยได้ยินในปีนั้น ชมหรือซื้อขายอาวุธหนักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง วัตถุวิเศษอยู่ที่ชั้นสอง สมบัติอาคมอยู่ที่ชั้นสาม

เฉินผิงอันสอบถามถึงผู้เฒ่าคนหนึ่งว่ายังทำหน้าที่ดูของอยู่ที่ชั้นสองหรือไม่ สตรีพยักหน้ารับบอกว่าใช่ เฉินผิงอันจึงปฏิเสธไม่ให้นางติดตามไปด้วยอย่างละมุนละม่อม แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปเอง

หลังจากเคาะประตูที่เปิดอ้าไว้แล้ว ผู้เฒ่าคนนั้นเห็นว่าข้างกายลูกค้าไม่มีสตรีของหอชิงฝูตามมาด้วยก็ทำสีหน้าสงสัยเล็กน้อย

เฉินผิงอันมองโต๊ะตัวใหญ่ที่ยังคงประดับตกแต่งเหมือนในอดีต มีกระถางธูปใบเล็กประณีตงดงามที่ควันธูปลอยเป็นเกลียว และยังมีกระถางต้นป่ายโบราณที่เป็นสีเขียวขจี กิ่งก้านคดงอทอดตัวยาวเหยียดออกไปในแนวขวาง บนกิ่งมีคนจิ๋วชุดเขียวนั่งเรียงกันเป็นแถว พอเห็นว่ามีแขกมาเยือนก็พากันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ เอ่ยถ้อยคำมงคลอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ยินดีต้อนรับท่านลูกค้าที่มาเยือนห้องของพวกเรา ขอให้ท่านร่ำรวยเงินทอง!”

เฉินผิงอันปลดงอบลง หัวเราะเสียงดังไม่หยุด

เขาอารมณ์ดียิ่งนัก

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 475.3 ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 475.3 ยุทธภพยังมีเฉินผิงอัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เหวยเว่ยสีหน้ากระอักกระอ่วน ยกมือตบลงบนใบหน้าตัวเองเบาๆ “ฟังข้าพูดเข้าสิ ผู้อาวุโสท่านคือวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ คำพูดที่เอ่ยออกมา หนึ่งฟองน้ำลายหนักแน่นดุจตะปูหนึ่งตัว! ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันจะเคารพผู้อาวุโสขนาดนี้ได้หรือ? ผู้อาวุโสท่านไม่รู้อะไร ตอนอยู่ที่วัดร้างบนภูเขาลูกนั้น เจ้าคนผู้นั้นส่งกระบี่ออกมาทีเดียวก็สามารถทำให้ร่างทองของเทพภูเขาสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นแตกกระจุยได้แล้ว จะดีจะชั่วนั่นก็เป็นถึงองค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งจากทางราชสำนักเชียวนะ กลับต้องมามีจุดจบน่าสงสารที่ตายไม่เหลือศพแบบนี้ หลังจบเรื่องยังไม่ได้ถูกภูเขาแม่น้ำแว้งกลับมาโจมตีแม้แต่น้อย เซียนกระบี่หนุ่มที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ก็ยังเคารพเลื่อมใสท่านผู้อาวุโสไม่ใช่หรือ พูดไปพูดมาก็ยังเป็นเพราะท่านผู้อาวุโสร้ายกาจ”

ซ่งอวี่เซาลูบหนวดยิ้ม “แม้ว่าจะเป็นคำพูดเสแสร้งที่เอ่ยไปตามสถานการณ์ แต่ก็พูดได้ถูกจังหวะเหมาะกับสถานการณ์จริงๆ”

เหวยเว่ยยิ้มหวาน

คิดไม่ถึงว่าซ่งอวี่เซาจะเอ่ยอีกว่า “อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี ไม่อย่างนั้นก็จะเหลือแต่ความน่าสะอิดสะเอียนแล้ว”

เหวยเว่ยหุบยิ้มอย่างขุ่นเคือง

เงียบกันไปครู่หนึ่ง เหวยเว่ยก็ถามว่า “ผู้อาวุโสไม่ไปดูการโจมตีที่ทั้งเปิดเผยและลับอำพรางทางฝั่งนั้นบ้างหรือ?”

ซ่งอวี่เซาตอบกลับด้วยประโยคประหลาด “ดื่มชาไม่มีรสชาติ”

เหวยเว่ยจึงยิ้มพูดคล้อยตามไป “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าข้าจะมาดื่มเหล้าเป็นเพื่อนผู้อาวุโสดีไหม?”

ผลกลับกลายเป็นว่าซ่งอวี่เซาตอบมาเพียงหนึ่งคำ “ไสหัวไป”

ต่อให้เหวยเว่ยจะอับอายจนพานเป็นความโกรธก็ไม่มีประโยชน์

ทางฝั่งของห้องโถงใหญ่

อันที่จริงไม่มีการใช้คารมคมคายพูดจากระทบกระเทียบใดๆ

เพราะฉู่ฮูหยินผู้เป็นภรรยาของแม่ทัพใหญ่ก็ดี หวังซานหูและหานหยวนเสวี๋ยก็ช่าง ล้วนไม่มีโอกาสได้พูด

พอเข้ามาในหมู่บ้าน สารถีวัยชราที่หลังค่อม ดวงตาขุ่นมัวคนหนึ่งก็เอามือลูบหน้า เรือนกายยืดตรง กลายร่างเป็นฉู่หาวในทันที

นี่ทำให้ผู้คนประหลาดใจกันอย่างยิ่ง

ไม่ต้องพูดว่าฉู่ฮูหยินจะใช่คนร่วมเตียงฝันต่างหรือไม่ ในฐานะคนข้างหมอนของหานหยวนซ่าน นางกลับจำ ‘ฉู่หาว’ ไม่ได้ แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงคนอื่น

เห็นได้ชัดว่าเมื่อหานหยวนซ่านเผชิญหน้ากับหลิ่วเชี่ยน เขามีท่าทีเคร่งเครียดจริงจังยิ่งกว่ายามเผชิญหน้ากับซ่งเฟิ่งซานที่มีจิตลุ่มหลงอยู่กับกระบี่มากนัก

ฉู่ฮูหยินคือคนที่เจ็บแค้นหงุดหงิดที่สุด ตอนนั้นหานหยวนซ่านเอาเทพเซียนผู้เฒ่าขอบเขตประตูมังกรในตำนานคนหนึ่งมาไว้ข้างกายตน นางยังนึกว่าบุรุษใจดำอย่างหานหยวนซ่านมีความรักลึกซึ้งต่อนาง คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วยังคงเป็นเพราะเพื่อความปลอดภัยของตัวหานหยวนซ่านเอง เป็นนางที่หลงตัวเองเกินไป

ทุกครั้งที่หานหยวนเสวี๋ยซึ่งมีใบหน้าเหมือนเด็กได้พบกับแม่ทัพใหญ่ ‘ฉู่หาว’ จะต้องรู้สึกอึดอัดอย่างน่าประหลาดใจเสมอ

ส่วนหวังซานหูนั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความคิดของนางเรียบง่ายที่สุด คิดแค่ว่าจะมาพบซ่งเฟิ่งซานที่นี่สักครั้ง อยากจะให้บุรุษรูปงามแห่งยุทธภพ ผู้โดดเด่นด้านวิชากระบี่ที่ตนเคยเลื่อมใสบูชาผู้นี้รู้ว่าทุกวันนี้ตนมีชีวิตที่ดีมาก ได้แต่งงานกับบุรุษที่ดียิ่งกว่าคนสกุลใดๆ ในยุทธภพ เป็นเจ้าเมืองของพื้นที่หนึ่ง และในอนาคตก็จะได้เป็นขุนนางคนสำคัญที่อยู่ศูนย์กลางของแคว้นซูสุ่ย ส่วนเจ้าซ่งเฟิ่งซานกำลังจะถูกขับไล่ออกจากบ้านบรรพบุรุษ ต้องไประหกระเหเร่ร่อนอยู่ในยุทธภพ จะเอาตัวมาเปรียบเทียบได้อย่างไร?

น่าเสียดายก็แต่เมื่อซ่งเฟิ่งซานได้พบนางก็ยังคงมีท่าทางสุภาพเปี่ยมไปด้วยมารยาท เพียงแค่นี้เท่านั้น

นี่ทำให้หวังซานหูรู้สึกพ่ายแพ้เล็กน้อย

สำหรับเรื่องพวกนี้ หลิ่วเชี่ยนรู้ดีอยู่ในใจ นางไม่เคยคิดมาก เพียงแต่รู้สึกว่าหวังซานหูไม่เคยเข้าใจสามีของตนเลยก็เท่านั้น ต่อให้ไม่มีนางหลิ่วเชียน เฟิ่งซานก็ไม่มีทางชอบหวังซานหูผู้นี้ นางเอาแต่ใจเกินไป ใช่ว่าสตรีจะทระนงตนไม่ได้ แต่หากคิดจะต้องช่วงชิงความเป็นหนึ่ง คิดจะเอาชนะอยู่ตลอดเวลาเหมือนเม่นตัวน้อยๆ บางทีบนโลกอาจมีบุรุษที่ชื่นชอบสตรีเช่นนี้ แต่เฟิ่งซานไม่ใช่คนหนึ่งในนั้น

ในห้องโถงไม่มีคนนอกอยู่ด้วย

แม้แต่เทพเซียนผู้เฒ่าสองคนก็ไม่ได้ถูกเรียกตัวมา เพียงแต่ปิดประตูฝึกตนอยู่ในจวนของใครของมัน ผู้ฝึกตน ต่อให้ลงจากเขามาเหยียบย่ำอยู่ในโลกมนุษย์ก็ยิ่งต้องสงบจิตใจ ไม่อย่างนั้นจะไม่ใช่การขัดเกลาจิตใจแล้ว แต่จะเป็นการลดทอนตบะ ปล่อยร้างจิตแห่งการฝึกตน

หลิ่วเชี่ยนพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานที่ต่อให้มีสตรีสามคนอยู่ด้วยก็ยังยกมาพูดคุยได้กับหานหยวนซ่านแล้ว ก็เป็นฝ่ายพาคนทั้งสามจากไป ทิ้งไว้เพียงซ่งเฟิ่งซานและขุนนางอันดับหนึ่งแห่งแคว้นซูสุ่ยเท่านั้น

สตรีทั้งสี่คนเดินเล่นอยู่ด้วยกันในหมู่บ้าน นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่หานหยวนเสวี๋ยได้มาเยือน แต่นางก็ยังคงรู้สึกแปลกใหม่อยู่ดี นางเป็นคนมีนิสัยซื่อๆ พูดจาไม่คิดหน้าคิดหลัง ขณะที่กำลังเดินเล่นก็ทอดถอนใจอย่างเสียดาย บอกว่าสถานที่แห่งนี้ หากต้องย้ายออกไปคงน่าเสียดายยิ่งนัก หลิ่วเชี่ยนจูงมือสตรีจากตระกูลชนชั้นสูงที่ต่อให้จะแต่งงานออกเรือนแล้วก็ยังคงไร้เดียงสาผู้นี้ พูดคุยพลางหัวเราะสนุกสนานไปกับนาง ฉู่ฮูหยินที่ต้องมาอยู่ในถิ่นของหมู่บ้านวารีกระบี่ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตก็ให้รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เพียงแต่ว่าบุรุษของตนไม่ช่วยออกหน้าให้ อีกทั้งตอนนี้หมู่บ้านวารีกระบี่ยังได้รับโชคดีหลังจากเจอโชคร้าย เนื่องจากการสอดเท้าเข้าแทรกของคนนอกคนหนึ่ง ไม่เพียงแต่สกัดกั้นการประลองกระบี่ของซูหลางเอาไว้ได้ ยังทำให้ยุทธภพของแคว้นซูสุ่ยรู้ว่าหมู่บ้านวารีกระบี่มีสหายบนภูเขาเช่นนี้อยู่หนึ่งคน วันหน้าหากนางคิดจะหาเรื่องหมู่บ้านวารีกระบี่และซ่งอวี่เซาก็ยิ่งยากเข้าไปอีก

หวังซานหูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสักเท่าไหร่

แม้ว่าจะแต่งงานกับบัณฑิตผู้สุภาพสง่างามซึ่งมีอนาคตยาวไกลแล้ว และชีวิตทุกวันนี้ก็ไม่เลว ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ปรองดอง แต่สำหรับสตรีที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพมาจนเคยชินตั้งแต่เด็กคนหนึ่งแล้ว ก็อดรู้สึกเสียดายอยู่ลึกๆ ในใจไม่ได้ ทุกครั้งที่เป็นยามค่ำคืนผู้คนเข้านอนกันหมด หรือยามที่อยู่เพียงลำพัง หรือไม่ก็ยามที่ได้ยินคนสนิทจากบ้านเดิมพูดถึงบุญคุณความแค้นครั้งใหม่ในยุทธภพขึ้นมา ในใจของหวังซานหูก็จะต้องเกิดเป็นริ้วกระเพื่อม

เมื่อหานหยวนเสวี๋ยพูดถึงการลอบฆ่าระหว่างทาง รวมไปถึงมือกระบี่ชุดเขียวที่โผล่มาอย่างกะทันหันผู้นั้น

ฉู่ฮูหยินและหวังซานหูแทบจะเงี่ยหูผึ่งขึ้นมาพร้อมกัน

หลิ่วเชี่ยนยิ้มพูดอย่างไม่ปิดบัง “คนผู้นั้นก็คือสหายของท่านปู่พวกเรา”

แล้วหลิ่วเชี่ยนก็แสร้งทำเป็นอมพะนำ พูดออกมาเพียงครึ่งประโยค “อันที่จริงทั้งซานหูและหยวนเสวี๋ยต่างก็รู้จักเขา”

หานหยวนเสวี๋ยเบิกดวงตาคลอประกายน้ำกว้าง ชี้มาที่ตัวเอง “ข้ารู้จักเทพเซียนแบบนี้ด้วย? ทำไมแม้แต่ตัวข้าเองก็ยังไม่รู้เล่า?”

ในใจหวังซานหูรู้สึกกังขา แต่ก็ไม่เปิดปากถามอะไร ราวกับว่าหากนางถาม จะทำให้นางต่ำต้อยกว่าหลิ่วเชี่ยนอย่างไรอย่างนั้น

กลับเป็นฉู่ฮูหยินที่ความคิดแล่นเร็ว จึงยิ้มถามว่า “คงไม่ใช่เด็กหนุ่มต่างถิ่นที่ปีนั้นสู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งหรอกกระมัง?”

หลิ่วเชี่ยนพยักหน้ารับ “เขานั่นแหละ”

หวังซานหูขมวดคิ้ว สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย

หานหยวนเสวี๋ยอึ้งตะลึง แล้วก็พูดเรื่องไหนไม่พูด ดันพูดเรื่องที่จี้ใจคน “ก็คือเด็กหนุ่มยากจนที่ปีนั้นเคยประลองวิชากระบี่กับพี่หญิงซานหูน่ะหรือ?”

หลิ่วเชี่ยนระอาใจ สตรีเซ่อซ่าผู้นี้นับว่าโชคดีที่มีบุญวาสนา ไม่อย่างนั้นเมื่อออกไปพ้นจากอกครอบครัวแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?

หลิ่วเชี่ยนไม่สะดวกจะซ้ำเติมความรู้สึกของหวังซานหู จึงเพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ก็ใช่น่ะสิ คราวนี้คนผู้นั้นมาเยือนหมู่บ้าน หลังจากเล่นงานให้ซูหลางถอยร่นไปได้แล้ว ตอนที่ดื่มเหล้ากับท่านปู่ของพวกเราก็พูดว่าวิธีการพกดาบของหมู่บ้านเหิงเตาทำให้เขาจดจำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะบนหรือล่างภูเขาก็ล้วนไม่เคยเห็นมาก่อน พอท่านปู่ของเราพูดถึงวิชาดาบของเจ้าประมุขหวังว่าคู่ควรกับคำว่ายอดเยี่ยมเลิศล้ำ เขาเองก็เห็นด้วย”

แม้ว่าหวังซานหูจะรู้ว่านี่เป็นคำพูดที่เอ่ยไปตามมารยาท แต่ในใจก็ยังรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ถึงอย่างไรหวังอี้หรานบิดาของนางก็เป็นบุคคลที่สามารถค้ำฟ้ายันดินในใจของนางเสมอมา

แต่หานหยวนเสวี๋ยกลับสาดเกลือกำใหญ่ลงบนบาดแผลของนางอีกครั้งด้วยการถามคำถามที่เลอะเลือน “พี่หญิงซานหู ตอนนั้นท่านบอกว่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าประมุขหวังไม่ใช่หรือ? แต่คนผู้นั้นเอาชนะเซียนกระบี่ไผ่เขียวได้เชียวนะ ถ้าอย่างนั้นโอกาสที่เจ้าประมุขหวังจะชนะก็คงมีไม่มาก”

หวังซานหูแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ไม่ได้เอ่ยตอบโต้แม้แต่คำเดียว

ในใจนอกจากจะโมโหหานหยวนเสวี๋ยที่ปากไม่มีหูรูดและเจ็บแค้นศัตรูในอดีตผู้นั้นแล้ว

นางยังรู้สึกหวาดผวาและหวั่นกลัวอยู่ไม่คลายอีกด้วย

เด็กหนุ่มที่ปีนั้นทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายความบ้านนอกบ้านนาและความยากจน บัดนี้ได้กลายมาเป็นเซียนกระบี่บนภูเขาที่มีชีวิตอิสระเสรีมีความสุขที่สุดแล้ว

แบบนี้จะได้อย่างไร?

ต่อให้นางจะไม่อยากเชื่อ ไม่กล้าเชื่อมากแค่ไหน ก็รู้ดีว่านี่คือความจริงและเรื่องจริง

หมู่บ้านเหิงเตาที่บิดาสร้างขึ้นอย่างยากลำบากจะได้รับความเดือดร้อนเพราะการกระทำที่มุทะลุวู่วามของตนในปีนั้นหรือไม่? นางได้ยินมาว่านิสัยของผู้ฝึกตนบนภูเขามักมีแค้นก็ต้องแก้แค้น ร้อยปีก็ยังไม่สาย ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อย่างในยุทธภพที่แค่หาคนไกล่เกลี่ยซึ่งมีชื่อเสียงมากพอมาสักคนหนึ่ง จากนั้นสองฝ่ายก็นั่งลงชูจอกเหล้า ดื่มอย่างสำราญเพื่อลืมความแค้นในอดีตได้แล้ว

หลิ่วเชี่ยนเอ่ยเบาๆ ว่า “ซานหู วางใจเถอะ คนผู้นั้นคือสหายของท่านปู่ข้า อีกทั้งเขาก็ไม่เหมือนผู้ฝึกตนอย่างที่เล่าลือกัน กลับเหมือนคนในยุทธภพมากกว่า”

หวังซานหูเค้นรอยยิ้มออกมา พยักหน้าให้หลิ่วเชี่ยนถือเป็นการแสดงคำขอบคุณ เพียงแต่ว่าสีหน้าของหวังซานหูยิ่งไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ

……

ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาตี้หลงซึ่งมีอาณาเขตเชื่อมต่อกับแคว้นซูสุ่ยและแคว้นซงซี

มีมือดาบชุดเขียวสวมงอบคนหนึ่งจูงม้าเดินมา

ตลอดทางที่เดินมานี้มีอยู่สองเรื่องที่แพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักของแคว้นซูสุ่ยอย่างอึกทึกครึกโครม และนักเล่านิทานที่เชี่ยวชาญด้านการหาเลี้ยงชีพก็ได้นำไปเผยแพร่เป็นวงกว้างแล้ว

เซียนกระบี่ไผ่เขียวแคว้นซงซี ซูหลางที่ไปถามกระบี่กับซ่งอวี่เซา กลับเจอเข้ากับเซียนชั้นสูงที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาคนหนึ่งที่เมืองเล็กนอกหมู่บ้านภูเขาโดยบังเอิญ การเข่นฆ่าที่น่าพรั่นผวาเกิดขึ้นติดต่อกันสองครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมือกันครั้งที่สองที่เล่าลือกันว่า วันนั้นในหมู่บ้านวารีกระบี่มีปราณกระบี่พุ่งทะลุชั้นเมฆ กลบฟ้าคลุมดิน ลมและเมฆพัดตลบแปรเปลี่ยน เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งศึกในรอบร้อยปีของยุทธภพ ต่อให้เทพกระบี่ผู้เฒ่าของแคว้นไฉ่อีปรากฏตัวบนโลกอีกครั้งแล้วร่วมรบแทนซูหลาง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอริยะกระบี่ผู้เฒ่าซ่งอวี่เซาที่มองชมศึกอยู่ด้านข้างเฉยๆ เลย ไม่มีใครสงสัยอีกแล้วว่าในอีกหกสิบปีข้างหน้า ซูหลางต้องกลายมาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งด้านวรยุทธของยุทธภพในหลายสิบแคว้นอย่างแน่นอน

นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องที่กลุ่มผู้กล้าในยุทธภพที่มีจอมยุทธหญิงเซียวเป็นผู้นำได้เปิดศึกนองเลือดกับโจรกบฏพรรคฉู่ มีคนบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก ความบ้าดีเดือดถูกกระตุ้นอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นถึงความอาจหาญของเหล่าผู้กล้าในแคว้นซูสุ่ย กลิ่นอายความเป็นเซียนอาจเปรียบเทียบกับซูหลางไม่ได้ แต่หากพูดถึงความองอาจกล้าหาญแล้วกลับไม่เป็นรองแม้แต่น้อย

เฉินผิงอันไม่ได้ถือสาเรื่องพวกนี้ เขาเพียงแต่ไปเยือนหอชิงฝูมารอบหนึ่ง ปีนั้นหลังจากเดินเที่ยวร้านเทพเซียนแห่งนี้กับสวีหย่วนเสียและจางซานเฟิงเสร็จแล้ว พวกเขาก็แยกย้ายกันไป

ผูกม้าไว้นอกหอชิงฝูที่เป็นอาคารสูงห้าชั้น กลอนคู่สองฝั่งยังคงมีเนื้อหาเหมือนอย่างในปีนั้น ‘ไม่หลอกลวงแม้แต่เด็กและคนชรา ราคาร้านข้ายุติธรรม ใจเขาใจเรา ลูกค้าโปรดกลับมาใหม่’

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในร้าน เพียงไม่นานก็มีดรุณีน้อยนางหนึ่งเดินออกมาต้อนรับ ถ้อยคำที่นางใช้ยังคงไม่ต่างไปจากที่เคยได้ยินในปีนั้น ชมหรือซื้อขายอาวุธหนักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง วัตถุวิเศษอยู่ที่ชั้นสอง สมบัติอาคมอยู่ที่ชั้นสาม

เฉินผิงอันสอบถามถึงผู้เฒ่าคนหนึ่งว่ายังทำหน้าที่ดูของอยู่ที่ชั้นสองหรือไม่ สตรีพยักหน้ารับบอกว่าใช่ เฉินผิงอันจึงปฏิเสธไม่ให้นางติดตามไปด้วยอย่างละมุนละม่อม แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสองไปเอง

หลังจากเคาะประตูที่เปิดอ้าไว้แล้ว ผู้เฒ่าคนนั้นเห็นว่าข้างกายลูกค้าไม่มีสตรีของหอชิงฝูตามมาด้วยก็ทำสีหน้าสงสัยเล็กน้อย

เฉินผิงอันมองโต๊ะตัวใหญ่ที่ยังคงประดับตกแต่งเหมือนในอดีต มีกระถางธูปใบเล็กประณีตงดงามที่ควันธูปลอยเป็นเกลียว และยังมีกระถางต้นป่ายโบราณที่เป็นสีเขียวขจี กิ่งก้านคดงอทอดตัวยาวเหยียดออกไปในแนวขวาง บนกิ่งมีคนจิ๋วชุดเขียวนั่งเรียงกันเป็นแถว พอเห็นว่ามีแขกมาเยือนก็พากันลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ เอ่ยถ้อยคำมงคลอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ยินดีต้อนรับท่านลูกค้าที่มาเยือนห้องของพวกเรา ขอให้ท่านร่ำรวยเงินทอง!”

เฉินผิงอันปลดงอบลง หัวเราะเสียงดังไม่หยุด

เขาอารมณ์ดียิ่งนัก

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+