กระบี่จงมา 479.2 เสียงนกกระทากลางภูเขา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 479.2 เสียงนกกระทากลางภูเขา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขบวนรถเคลื่อนผ่านไปช้าๆ หลังจากขับออกไปได้ไกลมากแล้ว สารถีที่ได้รับคำสั่งมาตั้งแต่แรกถึงได้กล้าเพิ่มความเร็วฝีเท้าม้า

ม่านรถถูกเลิกขึ้น โจวฉงหลินมองหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่เดินอยู่ข้างทาง เพียงแต่ว่าคนทั้งสองเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ทำให้นางรู้สึกจนใจเล็กน้อย นางอุตส่าห์เชี่ยวชาญวิชาล่อลวงมอมเมาใจบุรุษสารพัดรูปแบบ แต่กลับต้องมาเจอกับคนตาบอดที่ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียนี่

ซ่งหยวนนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าด้านหน้าเพียงลำพัง เขาในเวลานี้ได้แต่ทอดถอนใจเฮือกๆ ไม่หยุด

เทพธิดาโจวผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไรเลยจริงๆ อีกเดี๋ยวหากพานางไปถึงบนยอดเขาอีไต้จะต้องบอกกับอาจารย์เป็นการส่วนตัวสักคำ หลีกเลี่ยงไม่ให้รุ่นอวิ๋นถูกนางนำพาให้เสียคน

บนทางเดิน เผยเฉียนที่หลังจากร้องฮื่อฮ่าร่ายกระบวนท่ากระบี่มารคลั่งไปหนึ่งคำรบ ก็ยิ้มตาหยีถามว่า “อาจารย์ ท่านลองเดาดูสิว่าในสามคนนั้น ข้าถูกชะตากับใครมากที่สุด?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ใส่ใจ “หลิวรุ่นอวิ๋นแห่งยอดเขาอีไต้?”

เผยเฉียนส่ายหน้า “จะให้โอกาสอาจารย์ได้เดาอีกสองครั้ง”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เหมือนกับอาจารย์ คือซ่งหยวน?”

คาดไม่ถึงว่าเผยเฉียนยังคงส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋งอยู่เหมือนเดิม “เดาอีก เดาอีก!”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นโจวฉงหลิน?”

สำหรับโจวฉงหลินที่เชี่ยวชาญด้านการเอาตัวรอดแล้ว เฉินผิงอันไม่ถึงขั้นมีอคติ แต่ก็พูดไม่ได้ว่าชื่นชอบ

หลักๆ แล้วเป็นเพราะวิธีการพยายามสานความสัมพันธ์ของนางไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ง่ายที่จะนำพาปัญหามาให้แก่ซ่งหยวน หากอีกฝ่ายเกิดรังเกียจขึ้นมา โจวฉงหลินสามารถกลับไปยังอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง ไปเป็นเทพธิดาของนางต่อไปได้ แต่ในฐานะสหายครึ่งตัวของนาง ซ่งหยวน รวมไปถึงยอดเขาอีไต้ที่ซ่งหยวนอยู่ต่างก็หนีไม่พ้น ข้อนี้ต่างหากถึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เฉินผิงอันไม่ยอมไว้หน้าโจวฉงหลินแม้แต่น้อย

เผยเฉียนยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมากวักเบาๆ สองที บอกเป็นนัยว่านางมีคำพูดที่อยากจะเอ่ยกับอาจารย์เบาๆ

เฉินผิงอันจึงยิ้มแล้วค้อมตัวลง เผยเฉียนใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งป้องไว้ข้างปากแล้วพูดกับเขาเบาๆ ว่า “เทพธิดาโจวผู้นั้น แม้จะมองดูเหมือนงามเพริศพริ้ง แต่แน่นอนว่ายังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบพี่หญิงนักพรตและเหยาจิ้นจือได้มากนัก ทว่าข้าจะบอกอาจารย์ให้นะ ข้าเห็นว่าในใจของนางมีคนจิ๋วเสื้อผ้าขาดวิ่นที่น่าสงสารอาศัยอยู่มากมาย สภาพไม่ต่างจากข้าในปีนั้นสักเท่าไหร่ ผอมกะหร่อง ใกล้จะหิวตายอยู่แล้ว ส่วนนางเองก็เสียใจอย่างมาก ได้แต่มองชามข้าวใบใหญ่ว่างเปล่าที่อยู่ตรงข้าม ไม่กล้ามองพวกเขา”

ในใจเฉินผิงอันสั่นสะเทือน พลันเงยหน้ามองไป ขบวนรถจากไปไกลมากแล้ว เฉินผิงอันพึมพำประโยคหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เทพธิดาผู้นั้นเอื้อนเอ่ย “แบบนี้เองหรือ”

เฉินผิงอันเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า

เผยเฉียนโบกไม้เท้าเดินป่า เงยหน้าถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “อาจารย์ อารมณ์ไม่ดีหรือ? เป็นเพราะข้าพูดผิดไปใช่ไหม?”

เผยเฉียนครุ่นคิด เพียงไม่นานก็คิดหาวิธีชดเชยได้ นางอ้าปากกว้าง จากนั้นก็โคลงศีรษะ ทำท่าเหมือนคนสวาปามอาหาร “เรียบร้อย อาจารย์ ข้ากลืนคำพูดกลับลงท้องไปแล้ว อาจารย์รีบอารมณ์ดีเร็วเข้าสิ!”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง กดศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ แล้วโยกศีรษะของนางจนตัวนางโยกซ้ายโยกขวาตามไปด้วย “รอให้อาจารย์ไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว เจ้าก็ไปหาพี่หญิงโจวคนนั้นที่ยอดเขาอีไต้ บอกว่าขอเชิญให้นางไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่หากพี่หญิงโจวต้องการให้เจ้าช่วยพานางไปเยี่ยมเยือนสำนักกระบี่หลงเฉวียนอะไรทำนองนั้น ก็อย่าได้รับปาก บอกไปว่าเจ้าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่อาจช่วยได้ แต่หากเป็นภูเขาของบ้านตัวเอง พวกเจ้าอยากจะไปที่ไหนก็ตามใจ แต่หากมีเรื่องบางอย่างที่ไม่กล้าตัดสินใจจริงๆ ก็ให้ไปถามจูเหลี่ยน”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “วางใจเถอะ อาจารย์ ตอนนี้ข้ารับรองต้อนรับผู้คนได้อย่างรอบคอบรัดกุมจนน้ำสักหยดก็ไม่รั่วไหล กิจการที่ร้านยาสุ้ย เดือนนี้ยังได้เงินมากว่าเวลาปกติตั้งสิบกว่าตำลึงเชียวนะ! เงินสิบสี่ตำลึงสามเฉียน! หากอยู่ที่แคว้นหนันเยวี่ยนจะสามารถซื้อหมั่นโถวที่ขาวราวหิมะได้กี่กระบุง? ใช่ไหม? อาจารย์ จะเล่าให้ท่านฟังอีกเรื่องหนึ่ง หาเงินมาได้มากขนาดนั้น ข้าก็กลัวว่าพี่หญิงสือโหรวเห็นเงินแล้วจะเกิดความละโมบใช่ไหมล่ะ ก็เลยจงใจปรึกษากับนาง บอกว่าเงินก้อนนี้ข้ากับนางแอบซ่อนไว้ดีกว่า ถึงอย่างไรฟ้าก็ไม่รู้ดินไม่เห็น ถือซะว่าเป็นเงินส่วนตัวของสตรี คิดไม่ถึงว่าพี่หญิงสือโหรวจะบอกว่านางขอคิดให้ดีก่อน ผลคือนางใช้เวลาคิดหลายวันมากๆ ข้าร้อนใจแทบตายอยู่แล้ว จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนที่อาจารย์จะกลับมาบ้าน นางถึงได้บอกว่าอย่าดีกว่า เฮ้อ โชคดีที่สือโหรวผู้นี้ไม่ได้ตกลง ไม่อย่างนั้นคงต้องกินวิชากระบี่มารคลั่งของข้าไปหนึ่งชุดแล้ว แต่เห็นแก่ที่นางยังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง ข้าก็เลยควักกระเป๋าเงินตัวเอง ซื้อกระจกทองแดงบานหนึ่งมอบให้นาง ก็เพราะหวังว่าพี่หญิงสือโหรวจะไม่ลืมกำพืดตัวเอง ส่องกระจกบ่อยๆ ทุกวัน ฮ่าๆ อาจารย์ท่านคิดดูนะ เวลาส่องกระจก พี่หญิงสือโหรวก็จะเห็นเป็นหน้าของตาเฒ่าสกปรกที่ไม่ใช่สือโหรวแล้ว…”

เผยเฉียนคล้ายนกกระจิบตัวน้อยที่บินล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน ส่งเสียงจิ๊บๆ ดังไม่หยุด

เฉินผิงอันกุมขมับ ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว

ไม่รู้จริงๆ ว่าสองคนในร้านยาสุ้ยนี้ ใครแกล้งใครกันแน่ ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็เอาเปรียบอีกคนไม่ได้

“อาจารย์เหตุใดท่านถึงไม่ไปเชิญโจวฉงหลินเองเล่า? ช่างเถิด ให้ข้าที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ลงมือเองก็แล้วกัน นางเองก็น่าจะรู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว มีหน้ามีตาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย!”

“ข้าแค่ยอมรับในการกระทำอันดีงามที่ไม่มีใครรับรู้ของนาง แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับความไม่รอบคอบในเรื่องการสานสัมพันธ์ทางธุรกิจของนาง ดังนั้นอาจารย์คงไม่ออกหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่ออยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน ได้มาเยือนภูเขาลั่วพั่วแล้ว หากเข้าใจผิดคิดว่าทุกสถานที่ล้วนเป็นอย่างภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ด้วยพฤติกรรมเช่นนั้นของนาง บางทีตอนอยู่ที่อารามชิงเหมยอาจจะราบรื่น แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วต้องไปชนตอและเจอกับเรื่องยากลำบาก เซียนซือที่สามารถซื้อภูเขาของที่นี่ไว้ฝึกตนได้ หากเกิดข้อพิพาทด้วยขึ้นมา ย่อมไม่สนอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังอะไรทั้งนั้น ถึงท้ายที่สุดแล้วจะไม่กลายเป็นว่าคือพวกเราที่ทำร้ายนางหรอกหรือ?”

“อาจารย์ ท่านพูดวกวนไปมา อีกทั้งข้ายังเป็นคนตั้งใจศึกษาหาความรู้ ชอบคิดทุกเรื่องอย่างจริงจัง ผลกลับกลายเป็นว่าปวดกบาลซะแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิด แค่ฟังอย่างเดียวก็พอ”

“แต่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็ไม่ใช่เรื่องดีนี่นา พ่อครัวเฒ่าจูมักจะชอบพูดว่าข้าเป็นคนหัวทึบ แถมยังชอบพูดว่าข้าทั้งตัวไม่สูง แล้วปัญญาก็ยังไม่เพิ่มพูน อาจารย์ ท่านอย่าได้เชื่อเขาเป็นอันขาดเชียวนะ”

“ห้ามนินทาคนอื่นลับหลัง”

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

“อันที่จริงใช่ว่าจะพูดอะไรไม่ได้เสียเลย ขอแค่ไม่มีเจตนาร้ายก็พอ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าคำพูดพล่อยๆ ที่แท้จริง การที่อาจารย์พูดแบบนี้ก็เพราะกลัวว่าเจ้าอายุยังน้อย พอเคยชินจนติดเป็นนิสัยแล้วก็จะแก้ไขไม่ได้อีก”

“แต่หากตัวข้าเองไม่รู้ว่านั่นคือเจตนาร้าย ทว่าแท้จริงแล้วนั่นก็คือเจตนาร้ายจริงๆ จนสุดท้ายทำเรื่องที่ผิด ทำเรื่องที่เลวร้ายลงไป จะทำอย่างไรล่ะ?”

“ก็ยังมีอาจารย์อยู่นี่นา”

……

มาถึงภูเขาลั่วพั่ว เจิ้งต้าเฟิงยังคงง่วนอยู่กับการตรวจตรางานก่อสร้าง ไม่คิดจะสนใจเจ้าของภูเขาอย่างเฉินผิงอันแม้แต่น้อย

บนผนังในเรือนของจูเหลี่ยนแขวนภาพวาดไว้จนเต็มแล้ว ล้วนเป็นภาพของโฉมสะคราญทั้งสิ้น

อีกทั้งยังเป็นภาพของเทพหญิงในเขตการปกครองขุนเขาเหนือทั้งหมด แต่ละภาพมีชีวิตชีวา สดใสเสมือนจริง ลำพังเพียงแค่ทรงผมก็มีมากถึงสิบกว่าชนิด

เฉินผิงอันอดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหวถามว่า “เฉินยวนจีไม่พูดว่าเจ้าแก่แล้วไม่เจียมสังขารบ้างหรือ?”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “แม่นางน้อยมีแต่จะชมว่าบ่าวเฒ่ามีฝีมือดุจเทพสร้าง”

ตอนนั้นเฉินผิงอันถืองอบไว้ในมือ ไร้คำพูดจะตอบโต้

คนทั้งสามมุ่งหน้าไปที่เรือนไม้ไผ่ด้วยกัน

จูเหลี่ยนถาม “นายน้อยจะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อีกไม่กี่วันเรือข้ามฟากลำนั้นก็จะมาถึงภูเขาหนิวเจี่ยวแล้ว”

จูเหลี่ยนที่หลังงองุ้มลูบคลำปลายคาง เพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ”

จูเหลี่ยนเกาหัว “ไม่มีอะไร ก็แค่อยู่ดีๆ นึกถึงว่าท่ามกลางภูเขาลูกใหญ่ของพวกเรา มีเสียงนกกระทาดังลอยมา การจากลาใกล้จะมาถึง ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจเล็กน้อย”

เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ

จูเหลี่ยนบอกว่าจะไปดูการฝึกหมัดของเฉินยวนจีแล้วก็จากไปเลย

เฉินผิงอันที่พอไปถึงเรือนไม้ไผ่ก็ไม่ได้รีบร้อนขึ้นไปชั้นบน แต่ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา เพียงไม่นานเผยเฉียนก็พาเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่มีชื่อว่าเฉินหรูชูวิ่งตะบึงเข้ามาหาเขาพร้อมกัน

เฉินผิงอันยื่นมือออกไปอย่างคุ้นชิน แล้วเมล็ดแตงก็ถูกวางไว้เต็มกำมืออย่างที่คิดไว้จริงๆ

เฉินหรูชูจำแลงร่างมาจากงูเหลือมไฟชะตาบุ๋น อันที่จริงนางอ่านตำรามามากมาย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอดไม่ไหวถามว่า “บทกวีโบราณและบทประพันธ์ของปัญญาชนที่พูดถึงนกกระทา มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง?”

เฉินหรูชูรีบหยุดแทะเมล็ดแตง หลังจากนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อยแล้วก็พูดจ้อถึงบทความบทกวีที่เขียนเกี่ยวกับนกกระทาเสียหลายบท ทำเอาเผยเฉียนที่นั่งฟังอยู่สัปหงก ต้องรีบแทะเมล็ดแตงสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้ตัวเองทันที

เฉินผิงอันรู้สึกว่ายังไม่อาจใคร่ครวญจนเข้าใจความนัยของคำพูดจูเหลี่ยนได้อย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำกล่าวเกี่ยวการได้ยินเสียงนกกระทาในป่าลึก หรือไม่ก็บรรยายเกี่ยวกับความทุกข์ตรมยามที่ต้องจากลากัน เพียงแต่เฉินผิงอันคร้านจะคิดให้มากความ หลังจากนี้ยังต้องขึ้นไปบนเรือน เขาควรจะเป็นห่วงตัวเองให้มากถึงจะถูก

เด็กน้อยพลันยิ้มเอ่ยว่า “ยังมีประโยคหนึ่ง กระแสน้ำไหลเชี่ยวริมหน้าผาสูงชัน ทำไม่ได้นะพี่ชาย!” (ประโยคหลังทำไม่ได้นะพี่ชายนี้ ภาษาจีนอ่านว่า ‘สิงปู้เต๋อเย่เกอเกอ’ ซึ่งสามารถใช้เป็นประโยคที่ใช้เลียนเสียงนกกระทาจีนร้องได้เช่นกัน อีกทั้งประโยคนี้ยังเปรียบเปรยถึงการเดินทางที่ยากลำบาก นอกจากนี้นักกวีในสมัยโบราณมักใช้เสียงนกกระทาร้องมาแทนถึงความเศร้าโศกเสียใจที่ต้องจากลา ประโยคนี้จึงแปลได้หลายความหมาย)

ในหัวของเผยเฉียนพลันเกิดแสงสว่างวาบ “อ้อ พ่อครัวเฒ่ากำลังหมายถึงพี่หญิงซิ่วซิ่วน่ะ”

เฉินผิงอันวางเมล็ดแตงที่เหลือเกินครึ่งในมือลง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังชั้นสองเงียบๆ ถูกป้อนหมัดก็ดีเหมือนกัน

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 479.2 เสียงนกกระทากลางภูเขา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 479.2 เสียงนกกระทากลางภูเขา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขบวนรถเคลื่อนผ่านไปช้าๆ หลังจากขับออกไปได้ไกลมากแล้ว สารถีที่ได้รับคำสั่งมาตั้งแต่แรกถึงได้กล้าเพิ่มความเร็วฝีเท้าม้า

ม่านรถถูกเลิกขึ้น โจวฉงหลินมองหนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ที่เดินอยู่ข้างทาง เพียงแต่ว่าคนทั้งสองเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดิน ทำให้นางรู้สึกจนใจเล็กน้อย นางอุตส่าห์เชี่ยวชาญวิชาล่อลวงมอมเมาใจบุรุษสารพัดรูปแบบ แต่กลับต้องมาเจอกับคนตาบอดที่ไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เสียนี่

ซ่งหยวนนั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าด้านหน้าเพียงลำพัง เขาในเวลานี้ได้แต่ทอดถอนใจเฮือกๆ ไม่หยุด

เทพธิดาโจวผู้นี้ไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอะไรเลยจริงๆ อีกเดี๋ยวหากพานางไปถึงบนยอดเขาอีไต้จะต้องบอกกับอาจารย์เป็นการส่วนตัวสักคำ หลีกเลี่ยงไม่ให้รุ่นอวิ๋นถูกนางนำพาให้เสียคน

บนทางเดิน เผยเฉียนที่หลังจากร้องฮื่อฮ่าร่ายกระบวนท่ากระบี่มารคลั่งไปหนึ่งคำรบ ก็ยิ้มตาหยีถามว่า “อาจารย์ ท่านลองเดาดูสิว่าในสามคนนั้น ข้าถูกชะตากับใครมากที่สุด?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ใส่ใจ “หลิวรุ่นอวิ๋นแห่งยอดเขาอีไต้?”

เผยเฉียนส่ายหน้า “จะให้โอกาสอาจารย์ได้เดาอีกสองครั้ง”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เหมือนกับอาจารย์ คือซ่งหยวน?”

คาดไม่ถึงว่าเผยเฉียนยังคงส่ายหน้าเป็นกลองป๋องแป๋งอยู่เหมือนเดิม “เดาอีก เดาอีก!”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย “ทำไมถึงเป็นโจวฉงหลิน?”

สำหรับโจวฉงหลินที่เชี่ยวชาญด้านการเอาตัวรอดแล้ว เฉินผิงอันไม่ถึงขั้นมีอคติ แต่ก็พูดไม่ได้ว่าชื่นชอบ

หลักๆ แล้วเป็นเพราะวิธีการพยายามสานความสัมพันธ์ของนางไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ง่ายที่จะนำพาปัญหามาให้แก่ซ่งหยวน หากอีกฝ่ายเกิดรังเกียจขึ้นมา โจวฉงหลินสามารถกลับไปยังอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถัง ไปเป็นเทพธิดาของนางต่อไปได้ แต่ในฐานะสหายครึ่งตัวของนาง ซ่งหยวน รวมไปถึงยอดเขาอีไต้ที่ซ่งหยวนอยู่ต่างก็หนีไม่พ้น ข้อนี้ต่างหากถึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เฉินผิงอันไม่ยอมไว้หน้าโจวฉงหลินแม้แต่น้อย

เผยเฉียนยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมากวักเบาๆ สองที บอกเป็นนัยว่านางมีคำพูดที่อยากจะเอ่ยกับอาจารย์เบาๆ

เฉินผิงอันจึงยิ้มแล้วค้อมตัวลง เผยเฉียนใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งป้องไว้ข้างปากแล้วพูดกับเขาเบาๆ ว่า “เทพธิดาโจวผู้นั้น แม้จะมองดูเหมือนงามเพริศพริ้ง แต่แน่นอนว่ายังอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบพี่หญิงนักพรตและเหยาจิ้นจือได้มากนัก ทว่าข้าจะบอกอาจารย์ให้นะ ข้าเห็นว่าในใจของนางมีคนจิ๋วเสื้อผ้าขาดวิ่นที่น่าสงสารอาศัยอยู่มากมาย สภาพไม่ต่างจากข้าในปีนั้นสักเท่าไหร่ ผอมกะหร่อง ใกล้จะหิวตายอยู่แล้ว ส่วนนางเองก็เสียใจอย่างมาก ได้แต่มองชามข้าวใบใหญ่ว่างเปล่าที่อยู่ตรงข้าม ไม่กล้ามองพวกเขา”

ในใจเฉินผิงอันสั่นสะเทือน พลันเงยหน้ามองไป ขบวนรถจากไปไกลมากแล้ว เฉินผิงอันพึมพำประโยคหนึ่งที่ก่อนหน้านี้เทพธิดาผู้นั้นเอื้อนเอ่ย “แบบนี้เองหรือ”

เฉินผิงอันเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเนิบช้า

เผยเฉียนโบกไม้เท้าเดินป่า เงยหน้าถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “อาจารย์ อารมณ์ไม่ดีหรือ? เป็นเพราะข้าพูดผิดไปใช่ไหม?”

เผยเฉียนครุ่นคิด เพียงไม่นานก็คิดหาวิธีชดเชยได้ นางอ้าปากกว้าง จากนั้นก็โคลงศีรษะ ทำท่าเหมือนคนสวาปามอาหาร “เรียบร้อย อาจารย์ ข้ากลืนคำพูดกลับลงท้องไปแล้ว อาจารย์รีบอารมณ์ดีเร็วเข้าสิ!”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง กดศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ แล้วโยกศีรษะของนางจนตัวนางโยกซ้ายโยกขวาตามไปด้วย “รอให้อาจารย์ไปจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว เจ้าก็ไปหาพี่หญิงโจวคนนั้นที่ยอดเขาอีไต้ บอกว่าขอเชิญให้นางไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่หากพี่หญิงโจวต้องการให้เจ้าช่วยพานางไปเยี่ยมเยือนสำนักกระบี่หลงเฉวียนอะไรทำนองนั้น ก็อย่าได้รับปาก บอกไปว่าเจ้าเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง ไม่อาจช่วยได้ แต่หากเป็นภูเขาของบ้านตัวเอง พวกเจ้าอยากจะไปที่ไหนก็ตามใจ แต่หากมีเรื่องบางอย่างที่ไม่กล้าตัดสินใจจริงๆ ก็ให้ไปถามจูเหลี่ยน”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “วางใจเถอะ อาจารย์ ตอนนี้ข้ารับรองต้อนรับผู้คนได้อย่างรอบคอบรัดกุมจนน้ำสักหยดก็ไม่รั่วไหล กิจการที่ร้านยาสุ้ย เดือนนี้ยังได้เงินมากว่าเวลาปกติตั้งสิบกว่าตำลึงเชียวนะ! เงินสิบสี่ตำลึงสามเฉียน! หากอยู่ที่แคว้นหนันเยวี่ยนจะสามารถซื้อหมั่นโถวที่ขาวราวหิมะได้กี่กระบุง? ใช่ไหม? อาจารย์ จะเล่าให้ท่านฟังอีกเรื่องหนึ่ง หาเงินมาได้มากขนาดนั้น ข้าก็กลัวว่าพี่หญิงสือโหรวเห็นเงินแล้วจะเกิดความละโมบใช่ไหมล่ะ ก็เลยจงใจปรึกษากับนาง บอกว่าเงินก้อนนี้ข้ากับนางแอบซ่อนไว้ดีกว่า ถึงอย่างไรฟ้าก็ไม่รู้ดินไม่เห็น ถือซะว่าเป็นเงินส่วนตัวของสตรี คิดไม่ถึงว่าพี่หญิงสือโหรวจะบอกว่านางขอคิดให้ดีก่อน ผลคือนางใช้เวลาคิดหลายวันมากๆ ข้าร้อนใจแทบตายอยู่แล้ว จนกระทั่งเมื่อสองวันก่อนที่อาจารย์จะกลับมาบ้าน นางถึงได้บอกว่าอย่าดีกว่า เฮ้อ โชคดีที่สือโหรวผู้นี้ไม่ได้ตกลง ไม่อย่างนั้นคงต้องกินวิชากระบี่มารคลั่งของข้าไปหนึ่งชุดแล้ว แต่เห็นแก่ที่นางยังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง ข้าก็เลยควักกระเป๋าเงินตัวเอง ซื้อกระจกทองแดงบานหนึ่งมอบให้นาง ก็เพราะหวังว่าพี่หญิงสือโหรวจะไม่ลืมกำพืดตัวเอง ส่องกระจกบ่อยๆ ทุกวัน ฮ่าๆ อาจารย์ท่านคิดดูนะ เวลาส่องกระจก พี่หญิงสือโหรวก็จะเห็นเป็นหน้าของตาเฒ่าสกปรกที่ไม่ใช่สือโหรวแล้ว…”

เผยเฉียนคล้ายนกกระจิบตัวน้อยที่บินล้อมวนอยู่รอบกายเฉินผิงอัน ส่งเสียงจิ๊บๆ ดังไม่หยุด

เฉินผิงอันกุมขมับ ไม่อยากจะพูดอะไรแล้ว

ไม่รู้จริงๆ ว่าสองคนในร้านยาสุ้ยนี้ ใครแกล้งใครกันแน่ ดูเหมือนว่าไม่ว่าใครก็เอาเปรียบอีกคนไม่ได้

“อาจารย์เหตุใดท่านถึงไม่ไปเชิญโจวฉงหลินเองเล่า? ช่างเถิด ให้ข้าที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์ลงมือเองก็แล้วกัน นางเองก็น่าจะรู้สึกเป็นเกียรติมากแล้ว มีหน้ามีตาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเลย!”

“ข้าแค่ยอมรับในการกระทำอันดีงามที่ไม่มีใครรับรู้ของนาง แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับความไม่รอบคอบในเรื่องการสานสัมพันธ์ทางธุรกิจของนาง ดังนั้นอาจารย์คงไม่ออกหน้าแล้ว ไม่อย่างนั้นเมื่ออยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน ได้มาเยือนภูเขาลั่วพั่วแล้ว หากเข้าใจผิดคิดว่าทุกสถานที่ล้วนเป็นอย่างภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ด้วยพฤติกรรมเช่นนั้นของนาง บางทีตอนอยู่ที่อารามชิงเหมยอาจจะราบรื่น แต่เมื่อมาอยู่ที่นี่ ไม่ช้าก็เร็วต้องไปชนตอและเจอกับเรื่องยากลำบาก เซียนซือที่สามารถซื้อภูเขาของที่นี่ไว้ฝึกตนได้ หากเกิดข้อพิพาทด้วยขึ้นมา ย่อมไม่สนอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังอะไรทั้งนั้น ถึงท้ายที่สุดแล้วจะไม่กลายเป็นว่าคือพวกเราที่ทำร้ายนางหรอกหรือ?”

“อาจารย์ ท่านพูดวกวนไปมา อีกทั้งข้ายังเป็นคนตั้งใจศึกษาหาความรู้ ชอบคิดทุกเรื่องอย่างจริงจัง ผลกลับกลายเป็นว่าปวดกบาลซะแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องคิด แค่ฟังอย่างเดียวก็พอ”

“แต่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็ไม่ใช่เรื่องดีนี่นา พ่อครัวเฒ่าจูมักจะชอบพูดว่าข้าเป็นคนหัวทึบ แถมยังชอบพูดว่าข้าทั้งตัวไม่สูง แล้วปัญญาก็ยังไม่เพิ่มพูน อาจารย์ ท่านอย่าได้เชื่อเขาเป็นอันขาดเชียวนะ”

“ห้ามนินทาคนอื่นลับหลัง”

“อ้อ เข้าใจแล้ว”

“อันที่จริงใช่ว่าจะพูดอะไรไม่ได้เสียเลย ขอแค่ไม่มีเจตนาร้ายก็พอ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าคำพูดพล่อยๆ ที่แท้จริง การที่อาจารย์พูดแบบนี้ก็เพราะกลัวว่าเจ้าอายุยังน้อย พอเคยชินจนติดเป็นนิสัยแล้วก็จะแก้ไขไม่ได้อีก”

“แต่หากตัวข้าเองไม่รู้ว่านั่นคือเจตนาร้าย ทว่าแท้จริงแล้วนั่นก็คือเจตนาร้ายจริงๆ จนสุดท้ายทำเรื่องที่ผิด ทำเรื่องที่เลวร้ายลงไป จะทำอย่างไรล่ะ?”

“ก็ยังมีอาจารย์อยู่นี่นา”

……

มาถึงภูเขาลั่วพั่ว เจิ้งต้าเฟิงยังคงง่วนอยู่กับการตรวจตรางานก่อสร้าง ไม่คิดจะสนใจเจ้าของภูเขาอย่างเฉินผิงอันแม้แต่น้อย

บนผนังในเรือนของจูเหลี่ยนแขวนภาพวาดไว้จนเต็มแล้ว ล้วนเป็นภาพของโฉมสะคราญทั้งสิ้น

อีกทั้งยังเป็นภาพของเทพหญิงในเขตการปกครองขุนเขาเหนือทั้งหมด แต่ละภาพมีชีวิตชีวา สดใสเสมือนจริง ลำพังเพียงแค่ทรงผมก็มีมากถึงสิบกว่าชนิด

เฉินผิงอันอดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายทนไม่ไหวถามว่า “เฉินยวนจีไม่พูดว่าเจ้าแก่แล้วไม่เจียมสังขารบ้างหรือ?”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “แม่นางน้อยมีแต่จะชมว่าบ่าวเฒ่ามีฝีมือดุจเทพสร้าง”

ตอนนั้นเฉินผิงอันถืองอบไว้ในมือ ไร้คำพูดจะตอบโต้

คนทั้งสามมุ่งหน้าไปที่เรือนไม้ไผ่ด้วยกัน

จูเหลี่ยนถาม “นายน้อยจะไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อีกไม่กี่วันเรือข้ามฟากลำนั้นก็จะมาถึงภูเขาหนิวเจี่ยวแล้ว”

จูเหลี่ยนที่หลังงองุ้มลูบคลำปลายคาง เพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ”

จูเหลี่ยนเกาหัว “ไม่มีอะไร ก็แค่อยู่ดีๆ นึกถึงว่าท่ามกลางภูเขาลูกใหญ่ของพวกเรา มีเสียงนกกระทาดังลอยมา การจากลาใกล้จะมาถึง ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจเล็กน้อย”

เฉินผิงอันมึนงงไม่เข้าใจ

จูเหลี่ยนบอกว่าจะไปดูการฝึกหมัดของเฉินยวนจีแล้วก็จากไปเลย

เฉินผิงอันที่พอไปถึงเรือนไม้ไผ่ก็ไม่ได้รีบร้อนขึ้นไปชั้นบน แต่ไปนั่งอยู่ที่โต๊ะหินริมหน้าผา เพียงไม่นานเผยเฉียนก็พาเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูที่มีชื่อว่าเฉินหรูชูวิ่งตะบึงเข้ามาหาเขาพร้อมกัน

เฉินผิงอันยื่นมือออกไปอย่างคุ้นชิน แล้วเมล็ดแตงก็ถูกวางไว้เต็มกำมืออย่างที่คิดไว้จริงๆ

เฉินหรูชูจำแลงร่างมาจากงูเหลือมไฟชะตาบุ๋น อันที่จริงนางอ่านตำรามามากมาย ดังนั้นเฉินผิงอันจึงอดไม่ไหวถามว่า “บทกวีโบราณและบทประพันธ์ของปัญญาชนที่พูดถึงนกกระทา มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง?”

เฉินหรูชูรีบหยุดแทะเมล็ดแตง หลังจากนั่งตัวตรงอย่างเรียบร้อยแล้วก็พูดจ้อถึงบทความบทกวีที่เขียนเกี่ยวกับนกกระทาเสียหลายบท ทำเอาเผยเฉียนที่นั่งฟังอยู่สัปหงก ต้องรีบแทะเมล็ดแตงสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้ตัวเองทันที

เฉินผิงอันรู้สึกว่ายังไม่อาจใคร่ครวญจนเข้าใจความนัยของคำพูดจูเหลี่ยนได้อย่างแท้จริง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นคำกล่าวเกี่ยวการได้ยินเสียงนกกระทาในป่าลึก หรือไม่ก็บรรยายเกี่ยวกับความทุกข์ตรมยามที่ต้องจากลากัน เพียงแต่เฉินผิงอันคร้านจะคิดให้มากความ หลังจากนี้ยังต้องขึ้นไปบนเรือน เขาควรจะเป็นห่วงตัวเองให้มากถึงจะถูก

เด็กน้อยพลันยิ้มเอ่ยว่า “ยังมีประโยคหนึ่ง กระแสน้ำไหลเชี่ยวริมหน้าผาสูงชัน ทำไม่ได้นะพี่ชาย!” (ประโยคหลังทำไม่ได้นะพี่ชายนี้ ภาษาจีนอ่านว่า ‘สิงปู้เต๋อเย่เกอเกอ’ ซึ่งสามารถใช้เป็นประโยคที่ใช้เลียนเสียงนกกระทาจีนร้องได้เช่นกัน อีกทั้งประโยคนี้ยังเปรียบเปรยถึงการเดินทางที่ยากลำบาก นอกจากนี้นักกวีในสมัยโบราณมักใช้เสียงนกกระทาร้องมาแทนถึงความเศร้าโศกเสียใจที่ต้องจากลา ประโยคนี้จึงแปลได้หลายความหมาย)

ในหัวของเผยเฉียนพลันเกิดแสงสว่างวาบ “อ้อ พ่อครัวเฒ่ากำลังหมายถึงพี่หญิงซิ่วซิ่วน่ะ”

เฉินผิงอันวางเมล็ดแตงที่เหลือเกินครึ่งในมือลง ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังชั้นสองเงียบๆ ถูกป้อนหมัดก็ดีเหมือนกัน

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+