กระบี่จงมา 485.3 อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 485.3 อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่ ‘ช่างไม้ผู้เฒ่า’ แซ่หลวนผู้นั้นก็ยังถูกปิดหูปิดตา ต่อให้อยู่ด้วยกันมานานก็ยังสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย จำต้องพูดว่าผู้ฝึกตนสายรองของสำนักลู่ผู้นั้นมีความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่ายังมีอดีตฮ่องเต้ต้าหลีที่มีกลอุบายลึกล้ำด้วย

ราชครูชุยฉานและสำนักศึกษาซานหยาของฉีจิ้งชุนต่างก็เพิ่งจะมาเลือกสกุลซ่งต้าหลีตามหลังสองสายนี้ ส่วนข้อที่ว่านอกเหนือจากที่ลูกศิษย์สองคนของเหวินเซิ่งอย่างชุยฉานและฉีจิ้งชุนจะช่วยเหลือประคับประคองและให้การศึกษาแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่กลายมาเป็นศัตรูกันนานแล้ว แต่กลับต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกันอีกครั้งคู่นี้ แท้จริงแล้วแต่ละคนต้องการอะไรกันแน่ ก็บอกได้ยากแล้ว

สุดท้ายอาเหลียงผู้นั้นก็มาเยือน

เขาได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของต้าหลีและตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากที่อาเหลียงปล่อยหนึ่งกระบี่ออกไป ป๋ายอวี้จิงจำลองที่ทุ่มกองกำลังเกือบครึ่งแคว้นสร้างขึ้นมาไม่อาจโคจรได้อย่างราบรื่น ในระยะเวลาหลายสิบปีจะไม่สามารถใช้ค่ายกลกระบี่สังหารศัตรูไกลหมื่นลี้ได้อีก สกุลซ่งต้าหลีเสียหายอย่างหนัก ลามไปถึงพลังต้นกำเนิด แต่กลับได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ลู่เฉินเจ้าลัทธิที่แอบมาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างลับๆ ผู้นั้นเหมือนว่าคร้านจะถือสาต้าหลี นับตั้งแต่มาเยือนใต้หล้าไพศาล ไปจนถึงกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัวจึงไม่ได้ลงมือทำลายป๋ายอวี้จิงหลังนั้นของต้าหลี การออมมือไว้ไมตรีของลู่เฉิน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นเรื่องประหลาดที่ทำให้ยอดฝีมือหลายคนคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ หากลู่เฉินลงมือเพราะเหตุนี้ ต่อให้การที่เขาพานโกรธเอากับราชวงศ์ต้าหลีจะเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุไปสักหน่อย ทว่ารองเจ้าขุนเขาของศาลบุ๋นและเหล่าอริยะที่มีรูปปั้นในทวีปแผ่นดินกลางย่อมไม่มีทางขัดขวาง

ภายหลังกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็รีบร้อนกรีฑาทัพลงใต้

การสร้างป๋ายอวี้จิงจำลองได้เผาผลาญกองกำลังของสกุลซ่งต้าหลีไปถึงครึ่งแคว้น

นอกจากนี้ต้าหลียังอาศัยแหล่งที่มาของเงินเทพเซียนจากช่องทางลับบางอย่าง รวมไปถึงอาศัยการเชื่อเงินผู้อื่นเพื่อให้หลวนจวี้จื่อและอาจารย์กลไกสำนักโม่สร้างเรือข้ามฟาก ‘ภูผา’ ขึ้นมาถึงแปดลำเต็มๆ

สามารถพูดได้ว่า ขอแค่การลงใต้ของต้าหลีถูกขัดขวางไม่ราบรื่น ต้องชะงักอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ขอแค่ถูกถ่วงเวลาไว้สักสามปีห้าปี ต่อให้พลังการต่อสู้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะได้รับความเสียหายไม่มาก สกุลซ่งต้าหลีเองก็คงประคองตัวต่อไปไม่ไหวแล้ว

เพราะฉะนั้นการที่ราชวงศ์จูอิ๋งยอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ถึงอย่างไรก็ต้องถ่วงเวลาม้าเหล็กต้าหลีไว้ให้ได้ ย่อมไม่ใช่การกระทำที่ใช้แต่อารมณ์อย่างแน่นอน ส่วนการที่พวกแคว้นใต้อาณัติรอบด้านพยายามต้านทานไว้สุดชีวิต ใช้กองกำลังทหารหลายหมื่นหลายแสนนายไปเผาผลาญกำลังของม้าเหล็กต้าหลี แน่นอนว่าเบื้องหลังก็ย่อมมียอดฝีมือคอยชี้แนะและผลักดัน ไม่อย่างนั้นภายใต้สถานการณ์ใหญ่เช่นนี้ ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าพลังการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วว่าบนสนามรบจะต้องแพ้อย่างอนาถ ใครเล่าจะยังยินดีพาตัวไปตายเปล่า?

ในอดีตผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักโม่ผู้นี้อคติกับชุยฉานอย่างมาก มักรู้สึกว่าชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่กับความเป็นจริงของเขาไม่สอดคล้องกันอย่างยิ่ง ลวงโลกเกินไป เคยเล่นหมากล้อมเมฆสีรุ้งกับเจ้านครจักรพรรดิขาวแล้วอย่างไร? ในอดีตเคยเป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งแล้วอย่างไร มีตบะขอบเขตสิบสองแล้วอย่างไร ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ทั้งไม่มีภูมิหลัง แล้วก็ไม่มีที่พึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาชุยฉานก็ยังคงไม่ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเล็กๆ ที่อยู่ยอดบนสุด ถูกขับออกจากสายบุ๋นของเหวินเซิ่ง ม้วนเสื่อหอบผ้ากลับมายังบ้านเกิดอย่างแจกันสมบัติทวีปแล้วจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรได้สักเท่าไหร่?

แต่เมื่อสวี่รั่วโน้มน้าวจวี้จื่อ (จวี้จื่อคือคำเรียกบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ) ของสำนักโม่สายหลักในทุกวันนี้ได้สำเร็จ จนพวกเขามาเยือนสถานที่ป่าเถื่อนกันดารอย่างแจกันสมบัติทวีปนี้จริงๆ ถึงจะเริ่มค่อยๆ ตระหนักได้ถึงความร้ายกาจของชุยฉาน

เมื่อปีก่อนกองทัพม้าเหล็กต้าหลีถูกราชวงศ์จูอิ๋งขัดขวางไว้ที่ด่านอันตรายนอกประตูแคว้น คงจะเพื่อปลอบใจผู้คน ชุยฉานที่ไม่ค่อยชอบปรากฎตัวท่ามกลางสถานการณ์ใหญ่ที่พรั่งพรูสู่ทิศใต้ของต้าหลีถึงได้เรียกพวกตาแก่บางคนมานั่งลง แล้วพูดคุยเปิดอกกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่พูดถึงเรื่องที่ว่าต้าหลีจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน รวมไปถึงหลังจากประสบความสำเร็จแล้วจะแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไร ชุยฉานแค่พูดถึงขั้นตอนแต่ละก้าวย่างที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะเดินไปภายในสิบปีต่อจากนี้ ซึ่งแทบจะละเอียดยิบย่อยจนถึงขั้นที่ว่าแต่ละปีกองทัพม้าเหล็กสามกองของต้าหลีจะถูกมอบไว้ในมือใคร จะเปิดศึกในสถานที่ใด สถานการณ์ศึกของสองฝ่ายเป็นอย่างไร รวมไปถึงสภาพการณ์ของท้องพระคลังแคว้นต้าหลีในแต่ละช่วงเวลา ฯลฯ ล้วนเป็น ‘เรื่องเล็ก’ ที่ละเอียดจนละเอียดไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว จากนั้นก็พูดถึงท่าทีของกองกำลังบนยอดเขาในแจกันสมบัติทวีปอย่างสำนักศึกษากวานหู ภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน รวมไปถึงฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพจะเข้ามาร่วมสถานการณ์ตอนไหน ในที่สุดเขาจะยินดีพบทูตของต้าหลี ภายหลังแม้แต่การที่ขี้เถ้ามอดติดไฟอีกครั้งบนอาณาเขตแห่งใหม่ของต้าหลี รวมไปถึงการโต้ตอบกันกลับไปกลับมาของฐานทัพต้าหลี การจุดชนวนจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด แล้วควรจะจัดการอย่างไร ผลได้ผลเสียของต้าหลีระหว่างนี้ เขาล้วนไล่อธิบายไปทีละอย่าง

ถึงท้ายที่สุดชุยฉานบอกให้ทุกคนรอคอยดู จะเชื่อหรือไม่ จะยอมละทิ้งกลางคัน ถอยออกไปจากสถานการณ์ หรือจะเพิ่มเดิมพัน ล้วนไม่ต้องรีบร้อน แค่นั่งดูไฟชายฝั่งอย่างเดียวก็พอ ดูสิว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะสามารถยึดครองราชวงศ์จูอิ๋งตามขั้นตอนที่เขาชุยฉานบอกไว้ได้หรือไม่

และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ชุยฉานคิดถูก

จนกระทั่งถึงบัดนั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นี้ถึงจำต้องยอมรับว่า ชุยฉานเล่นหมากล้อมเก่งมากจริงๆ

แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก็เป็นคนดื้อดึงคนหนึ่ง เขาไม่ยอมเชื่อง่ายๆ จึงไปถามชุยฉานว่าทำได้อย่างไรกันแน่ เขาไม่เชื่อสักนิดว่าใต้หล้าจะมีใครที่ทำนายเหตุการณ์ได้ล่วงหน้าดุจเทพและมีญาณหยั่งรู้อนาคต ถึงอย่างไรการช่วงชิงชัยชนะของหนึ่งแคว้นก็ไม่ใช่หมากแค่ไม่กี่ตัวที่พวกนักเล่นวางบนกระดานจริงๆ

ชุยฉานจึงพาเขาไปยังห้องเก็บเอกสารคดีความของต้าหลีที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ห้องลับนั้นสร้างไว้ที่ชานเมืองของเมืองหลวง

คนเกือบห้าร้อยคน ครึ่งหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนที่ต่างก็กำลังทำเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเก็บรวบรวมรายงานและข้อมูล รวมไปถึงการรับส่งข่าวสารระหว่างสายลับและนักรบเดนตายของแต่ละพื้นที่ในหนึ่งแคว้น

การจัดวางกองกำลังทหาร การกระจายตัวของกลุ่มอิทธิพลบนภูเขา ข้อมูลส่วนตัวของขุนนางบุ๋นบู๊คนสำคัญของราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติทั้งหมดในแจกันสมบัติทวีป กึ่งกลางของภูเขาสูงลูกหนึ่งถูกเจาะจนโล่งว่างเพื่อเอาไว้เก็บเอกสารที่สะสมมานานเป็นร้อยปีเหล่านี้

นี่ยังไม่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าตกตะลึงมากที่สุด เรื่องที่ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักโม่หวาดกลัวอย่างแท้จริงยังมี ‘เรื่องเล็ก’ อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกมองข้ามได้ง่ายมาก

ตอนนั้นราชครูต้าหลีที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อพาเขาไปเยี่ยมชมพื้นที่ต้องห้ามของต้าหลีที่มีชื่อว่า ‘ภูเขาตำรา’ แห่งนั้น ผู้คนสัญจรไปมาที่พบเจอตลอดทางล้วนเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น นั่นคือฝีเท้าเร่งร้อน พอเห็นราชครูของแคว้นก็เพียงแค่หลีกทางให้ จากนั้นก็เดินผ่านไป ไม่มีการคุกเข่าคารวะ ไม่มีการทักทายปราศรัยตามมารยาท ต่อให้ราชครูเอ่ยถามก็แค่ตอบเท่าที่ถาม สองฝ่ายพูดคุยกันอย่างกระชับเรียบง่าย จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

ในฐานะยอดฝีมือของสำนักโม่ คือผู้โดดเด่นมีความสามารถในกลุ่มนักศาสตร์แห่งกลไกล ตอนนั้นความรู้สึกของผู้ฝึกตนเฒ่าก็คือ เมื่อเขาคืนสติกลับมาแล้วกวาดตามองไปรอบด้านอีกครั้ง เมื่อตนมาอยู่ท่ามกลาง ‘ภูเขาตำรา’ แห่งนี้แล้ว ก็เหมือนตกอยู่ท่ามกลางกลไกที่ใหญ่โตและซับซ้อนแห่งหนึ่งที่เกริกก้องสั่นสะเทือนคนโบราณและโชติช่วงรุ่งโรจน์มาจนยุคปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความแม่นยำ ถูกต้องและสอดผสานเป็นหนึ่งในทุกจุดทุกมุม

การลงภูเขามา ‘ประคองมังกร’ อย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกของผู้ฝึกตนในประวัติศาสตร์ เมื่อเทียบกับการกระทำของซิ่วหู่ผู้นี้แล้ว ก็เหมือนกับการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็กๆ ที่แค่พอรู้สึกประสบความสำเร็จก็ดีใจมีความสุขกันมากแล้ว

หลังจากที่ออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เต็มไปด้วยกลุ่มดวงดาวที่ทอประกาย ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็เงียบหายไปนานถึงหนึ่งร้อยปีเต็ม

พูดไปแล้วก็น่าขัน ในขณะที่ ‘ภูผา’ ทั้งแปดลำค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ และกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเคลื่อนพลลงใต้อย่างเป็นทางการ แทบไม่มีใครสนใจเลยว่าชุยฉานกำลังทำอะไรอยู่ในแจกันสมบัติทวีป

……

เฉินผิงอันกำลังเรียนรู้ภาษากลางของอุตรกุรุทวีปไปตลอดทาง

ในข้อนี้อุตรกุรุทวีปดีกว่าแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป เพราะภาษากลางเป็นภาษาที่ใช้กันทั้งทวีป ภาษาราชการและภาษาท้องถิ่นของแต่ละแคว้นก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอีกสองทวีป อีกทั้งเมื่อออกมาอยู่ข้างนอก ผู้คนก็ล้วนเคยชินที่จะใช้ภาษากลางในการสื่อสาร นี่ช่วยลดความยุ่งยากให้เฉินผิงอันได้มาก ตอนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันเคยเจอกับความยากลำบากมาก่อน เพราะสำหรับผู้ฝึกตนของทวีปอื่นแล้ว ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีป อย่าว่าแต่พวกเขาจะฟังไม่เข้าใจเลย ต่อให้ฟังเข้าใจก็ยังทำหน้าดูถูก

เรือข้ามฟากของสำนักพีหมากำลังจะลดระดับลง เฉินผิงอันเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็ลงมาที่ระเบียงของชั้นหนึ่ง กองทัพมัลละที่ลากเรือให้บินทะยานอยู่กลางอากาศเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ราวกับว่าไม่ใช่วัตถุหยินเท่านั้น แต่ยังเป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างภูตผีวัตถุหยินกับยันต์หุ่นเชิด

ใต้ฝ่าเท้าก็คืออาณาเขตของชายหาดโครงกระดูกอันกว้างขวาง แล้วก็ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวอย่างที่เฉินผิงอันจินตนาการเอาไว้ กลับกันยังมีประกายแสงหลากสีพุ่งตรงสู่ชั้นเมฆแล้วล้อมวนไม่สลายหายไปไหน ประหนึ่งสัญลักษณ์ของความมงคล

รัศมีพันลี้รอบชายหาดโครงกระดูกส่วนใหญ่ล้วนเป็นชายหาดราบเรียบ น้อยนักที่จะมียอดเขาสูงใหญ่หรือเทือกเขาสลับซับซ้อนตามแบบที่ตั้งของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อทั่วไป

อาณาเขตของชายหาดโครงกระดูกมีเพียงลำคลองใหญ่สายเดียวที่ทะลุจากใต้ไปเหนือ ไม่ได้เลื้อยลดคดเคี้ยวเหมือนแม่น้ำลำคลองทั่วไป แต่เหมือนถูกกระบี่ฟันผ่าลงมาจึงเป็นเส้นตรงดิ่ง อีกทั้งแทบจะไม่มีลำน้ำแยกสาขาออกไป คาดว่านี่ก็น่าจะมีความลี้ลับมหัศจรรย์ซ่อนอยู่เช่นกัน

ร้านค้าตระกูลเซียนที่มีเพียงร้านเดียวบนเรือข้ามฟากชายหาดโครงกระดูกมีของขายเยอะมาก สมบัติพิทักษ์ร้านคือสมบัติอาคมที่ระดับขั้นสูงยิ่งสองชิ้น ล้วนเป็นกระบี่ตกทอดของเซียนยุคบรรพกาลที่ได้รับความเสียหาย หากไม่เป็นเพราะคมกระบี่ทั้งสองด้านม้วนงอค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเสียหายไปถึงรากฐาน เป็นเหตุให้กระบี่โบราณทั้งสองเล่มสูญเสียโอกาสที่จะถูกซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม มิฉะนั้นแล้วก็น่าจะกลายมาเป็นอาวุธกึ่งเซียนที่สมชื่อชิ้นหนึ่ง ส่วนข้อที่ทำให้ผู้คนชื่นชมมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มคือวัตถุที่บนภูเขาเรียกขานกันว่า ‘คู่บำเพ็ญเพียร’ เล่มหนึ่งมีชื่อว่า ‘อวี่ลั่ว’ อีกเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘เติงหมิง’ เล่าลือกันว่าเป็นกระบี่ประจำกายของคู่รักเซียนกระบี่คู่หนึ่งของอุตรกุรุทวีป

เนื่องจากเรือข้ามฟากไม่ขายแยก ราคาของกระบี่อาคมสองเล่มจึงอยู่ที่หนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช

การค้าขายครั้งนี้ยังมีกลเม็ดเด็ดพรายอย่างหนึ่ง หากผู้ฝึกกระบี่เซียนดินซื้อจะได้ลดแปดส่วน (หมายถึงยี่สิบเปอร์เซ็น) แต่หากเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนลงมือจะลดได้หกส่วน (หมายถึงสี่สิบเปอร์เซ็น)

เพียงแต่ว่าสำหรับเซียนดินแล้ว ราคานี้ค่อนข้างจะแพงไปสักหน่อย สำหรับเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนก็ยิ่งเป็นดั่งซี่โครงไก่

เฉินผิงอันเองก็แค่มาดูเสียให้สมใจอยาก กระเป๋าเขาฟีบแบนนี่นะ ต่อให้ในมือจะมีเงิน แต่เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะเป็นคนฟุ่มเฟือยเช่นนั้น

แต่เฉินผิงอันก็ยังซื้อของชิ้นเล็กๆ ที่ราคาถูกและน่ามองสองสามชิ้นมาจากร้านที่แขวนป้ายคำว่า ‘ซวีเฮิ่น’ นี้ ชิ้นหนึ่งคือสมบัติวิเศษประเภทบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่เชื่อมโยงอยู่กับภูเขาตี่ลี่ เป็นที่ล้างพู่กันทำมาจากกระเบื้องเคลือบหนึ่งชิ้น ลักษณะคล้ายคลึงกับถ้วยน้ำของเฉินหลิงจวินในปีนั้น เพราะตำราเทพเซียนของภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นได้พูดถึงภูเขาตี่ลี่เป็นพิเศษ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ประลองยุทธที่มีไว้ให้ผู้ฝึกกระบี่ประชันกระบี่โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะมีบุญคุณความแค้นใด ขอแค่นัดหมายว่าจะมาคลี่คลายที่ภูเขาตี่ลี่ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องลงนามในสัญญาเป็นตายเลย เมื่อถึงภูเขาตี่ลี่ก็สามารถต่อสู้กันได้เลย สู้กันจนกว่าจะตายไปข้างจึงจะหยุด ตลอดพันปีที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีกรณีพิเศษมาก่อน

นอกจากนี้ก็ยังมีแท่นฝนหมึกสลักบทกวีลักษณะโบราณเรียบง่ายชิ้นหนึ่ง และหมึกอักษรสือกู่ที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์หนึ่งซึ่งล่มสลายไปแล้วใช้งานหนึ่งตลับ รวมทั้งหมดเป็นเงินสิบแท่ง

รอจนเฉินผิงอันจะคิดเงินกับทางร้าน เถ้าแก่ร้านก็ปรากฏตัวด้วยตัวเอง ยิ้มกล่าวว่าเทพใหญ่เว่ยแห่งภูเขาพีอวิ๋นได้บอกแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายใดในร้าน ‘ซวีเฮิ่น’ แห่งนี้ก็ล้วนให้บันทึกลงในบัญชีของภูเขาพีอวิ๋น

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เกรงใจ ถามกลับไปหนึ่งประโยคว่า ถ้าหากข้าอยากจะซื้อเพิ่มอีกสักหน่อย จะได้หรือไม่?

เถ้าร้านส่ายหน้ายิ้ม บอกว่าเทพใหญ่ป้อบอกไว้แล้วว่า หลังจากที่เถ้าแก่อย่างเขาปรากฏตัว สัญญาของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว

เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่ หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่าแม้เถ้าแก่จะเปิดร้านอยู่บนเรือข้ามฟากสำนักพีหมา แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมา การคัดเลือกลูกศิษย์ของสำนักพีหมานั้นระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง ชื่อที่อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์แต่ละชื่อล้วนล้ำค่าไม่ต่างกัน อีกทั้งปีนั้นเมื่อบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาย้ายมาจากแผ่นดินกลางก็ได้กำหนดจำนวน ‘ลูกศิษย์สืบทอดฝ่ายในสามสิบหกหก ลูกศิษย์ฝ่ายนอกหนึ่งร้อยแปด’ เอาไว้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกจึงเป็นคนต่างถิ่นอย่างเขา

เถ้าแก่ผู้เฒ่าเป็นคนคุยเก่ง เขาแนะนำขนบธรรมเนียมประจำท้องถิ่นของชายหาดโครงกระดูกให้เฉินผิงอันฟังมากมาย รวมไปถึงข้อห้ามบางส่วนของบนภูเขา

คนทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ที่ราวรั้วของเรืออย่างถูกคอ ผลกลับกลายเป็นว่าพอเฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นว่าสุดปลายม่านฟ้าที่สายตามองเห็นมีแสงกระบี่สองเส้นตัดสลับกัน จากนั้นก็ระเบิดเป็นกลุ่มแสงและสายฟ้ากลุ่มใหญ่

เถ้าแก่ผู้เฒ่าเห็นมาจนชินตาแล้ว จึงยิ้มกล่าวว่า “เป็นเรื่องปกติ ก็แค่เซียนกระบี่ของที่นี่กำลังยืดเส้นยืดสายกันเท่านั้น หากคุณชายเฉินเห็นว่าพวกเขารักษาระยะห่างให้อยู่ห่างจากแถบศูนย์กลางของชายหาดโครงกระดูกก็จะเข้าใจเอง ไม่อย่างนั้นหากทั้งสองฝ่ายตีกันจนเกิดโทสะขึ้นมาจริงๆ ไหนเลยจะสนว่าเจ้าคือสำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูก ต่อให้บินไปบินมาอยู่เหนือศาลบรรพจารย์ก็ยังไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด อย่างมากก็ถูกผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาลงมือจัดการเท่านั้น กระอักเลือดสามเซิง (หน่วยตวงวัดระบบลิตร) จะนับเป็นอะไรได้ หากมีความสามารถมากพอ สามฝ่ายตีกันมั่วซั่วสักหนึ่งคำรบ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าสาแก่ใจ”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

อุตรกุรุทวีปแห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่…ดีจริงๆ

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 485.3 อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 485.3 อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่ ‘ช่างไม้ผู้เฒ่า’ แซ่หลวนผู้นั้นก็ยังถูกปิดหูปิดตา ต่อให้อยู่ด้วยกันมานานก็ยังสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย จำต้องพูดว่าผู้ฝึกตนสายรองของสำนักลู่ผู้นั้นมีความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่ายังมีอดีตฮ่องเต้ต้าหลีที่มีกลอุบายลึกล้ำด้วย

ราชครูชุยฉานและสำนักศึกษาซานหยาของฉีจิ้งชุนต่างก็เพิ่งจะมาเลือกสกุลซ่งต้าหลีตามหลังสองสายนี้ ส่วนข้อที่ว่านอกเหนือจากที่ลูกศิษย์สองคนของเหวินเซิ่งอย่างชุยฉานและฉีจิ้งชุนจะช่วยเหลือประคับประคองและให้การศึกษาแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่กลายมาเป็นศัตรูกันนานแล้ว แต่กลับต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกันอีกครั้งคู่นี้ แท้จริงแล้วแต่ละคนต้องการอะไรกันแน่ ก็บอกได้ยากแล้ว

สุดท้ายอาเหลียงผู้นั้นก็มาเยือน

เขาได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของต้าหลีและตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากที่อาเหลียงปล่อยหนึ่งกระบี่ออกไป ป๋ายอวี้จิงจำลองที่ทุ่มกองกำลังเกือบครึ่งแคว้นสร้างขึ้นมาไม่อาจโคจรได้อย่างราบรื่น ในระยะเวลาหลายสิบปีจะไม่สามารถใช้ค่ายกลกระบี่สังหารศัตรูไกลหมื่นลี้ได้อีก สกุลซ่งต้าหลีเสียหายอย่างหนัก ลามไปถึงพลังต้นกำเนิด แต่กลับได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ลู่เฉินเจ้าลัทธิที่แอบมาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างลับๆ ผู้นั้นเหมือนว่าคร้านจะถือสาต้าหลี นับตั้งแต่มาเยือนใต้หล้าไพศาล ไปจนถึงกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัวจึงไม่ได้ลงมือทำลายป๋ายอวี้จิงหลังนั้นของต้าหลี การออมมือไว้ไมตรีของลู่เฉิน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นเรื่องประหลาดที่ทำให้ยอดฝีมือหลายคนคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ หากลู่เฉินลงมือเพราะเหตุนี้ ต่อให้การที่เขาพานโกรธเอากับราชวงศ์ต้าหลีจะเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุไปสักหน่อย ทว่ารองเจ้าขุนเขาของศาลบุ๋นและเหล่าอริยะที่มีรูปปั้นในทวีปแผ่นดินกลางย่อมไม่มีทางขัดขวาง

ภายหลังกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็รีบร้อนกรีฑาทัพลงใต้

การสร้างป๋ายอวี้จิงจำลองได้เผาผลาญกองกำลังของสกุลซ่งต้าหลีไปถึงครึ่งแคว้น

นอกจากนี้ต้าหลียังอาศัยแหล่งที่มาของเงินเทพเซียนจากช่องทางลับบางอย่าง รวมไปถึงอาศัยการเชื่อเงินผู้อื่นเพื่อให้หลวนจวี้จื่อและอาจารย์กลไกสำนักโม่สร้างเรือข้ามฟาก ‘ภูผา’ ขึ้นมาถึงแปดลำเต็มๆ

สามารถพูดได้ว่า ขอแค่การลงใต้ของต้าหลีถูกขัดขวางไม่ราบรื่น ต้องชะงักอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ขอแค่ถูกถ่วงเวลาไว้สักสามปีห้าปี ต่อให้พลังการต่อสู้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะได้รับความเสียหายไม่มาก สกุลซ่งต้าหลีเองก็คงประคองตัวต่อไปไม่ไหวแล้ว

เพราะฉะนั้นการที่ราชวงศ์จูอิ๋งยอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ถึงอย่างไรก็ต้องถ่วงเวลาม้าเหล็กต้าหลีไว้ให้ได้ ย่อมไม่ใช่การกระทำที่ใช้แต่อารมณ์อย่างแน่นอน ส่วนการที่พวกแคว้นใต้อาณัติรอบด้านพยายามต้านทานไว้สุดชีวิต ใช้กองกำลังทหารหลายหมื่นหลายแสนนายไปเผาผลาญกำลังของม้าเหล็กต้าหลี แน่นอนว่าเบื้องหลังก็ย่อมมียอดฝีมือคอยชี้แนะและผลักดัน ไม่อย่างนั้นภายใต้สถานการณ์ใหญ่เช่นนี้ ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าพลังการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วว่าบนสนามรบจะต้องแพ้อย่างอนาถ ใครเล่าจะยังยินดีพาตัวไปตายเปล่า?

ในอดีตผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักโม่ผู้นี้อคติกับชุยฉานอย่างมาก มักรู้สึกว่าชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่กับความเป็นจริงของเขาไม่สอดคล้องกันอย่างยิ่ง ลวงโลกเกินไป เคยเล่นหมากล้อมเมฆสีรุ้งกับเจ้านครจักรพรรดิขาวแล้วอย่างไร? ในอดีตเคยเป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งแล้วอย่างไร มีตบะขอบเขตสิบสองแล้วอย่างไร ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ทั้งไม่มีภูมิหลัง แล้วก็ไม่มีที่พึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาชุยฉานก็ยังคงไม่ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเล็กๆ ที่อยู่ยอดบนสุด ถูกขับออกจากสายบุ๋นของเหวินเซิ่ง ม้วนเสื่อหอบผ้ากลับมายังบ้านเกิดอย่างแจกันสมบัติทวีปแล้วจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรได้สักเท่าไหร่?

แต่เมื่อสวี่รั่วโน้มน้าวจวี้จื่อ (จวี้จื่อคือคำเรียกบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ) ของสำนักโม่สายหลักในทุกวันนี้ได้สำเร็จ จนพวกเขามาเยือนสถานที่ป่าเถื่อนกันดารอย่างแจกันสมบัติทวีปนี้จริงๆ ถึงจะเริ่มค่อยๆ ตระหนักได้ถึงความร้ายกาจของชุยฉาน

เมื่อปีก่อนกองทัพม้าเหล็กต้าหลีถูกราชวงศ์จูอิ๋งขัดขวางไว้ที่ด่านอันตรายนอกประตูแคว้น คงจะเพื่อปลอบใจผู้คน ชุยฉานที่ไม่ค่อยชอบปรากฎตัวท่ามกลางสถานการณ์ใหญ่ที่พรั่งพรูสู่ทิศใต้ของต้าหลีถึงได้เรียกพวกตาแก่บางคนมานั่งลง แล้วพูดคุยเปิดอกกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่พูดถึงเรื่องที่ว่าต้าหลีจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน รวมไปถึงหลังจากประสบความสำเร็จแล้วจะแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไร ชุยฉานแค่พูดถึงขั้นตอนแต่ละก้าวย่างที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะเดินไปภายในสิบปีต่อจากนี้ ซึ่งแทบจะละเอียดยิบย่อยจนถึงขั้นที่ว่าแต่ละปีกองทัพม้าเหล็กสามกองของต้าหลีจะถูกมอบไว้ในมือใคร จะเปิดศึกในสถานที่ใด สถานการณ์ศึกของสองฝ่ายเป็นอย่างไร รวมไปถึงสภาพการณ์ของท้องพระคลังแคว้นต้าหลีในแต่ละช่วงเวลา ฯลฯ ล้วนเป็น ‘เรื่องเล็ก’ ที่ละเอียดจนละเอียดไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว จากนั้นก็พูดถึงท่าทีของกองกำลังบนยอดเขาในแจกันสมบัติทวีปอย่างสำนักศึกษากวานหู ภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน รวมไปถึงฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพจะเข้ามาร่วมสถานการณ์ตอนไหน ในที่สุดเขาจะยินดีพบทูตของต้าหลี ภายหลังแม้แต่การที่ขี้เถ้ามอดติดไฟอีกครั้งบนอาณาเขตแห่งใหม่ของต้าหลี รวมไปถึงการโต้ตอบกันกลับไปกลับมาของฐานทัพต้าหลี การจุดชนวนจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด แล้วควรจะจัดการอย่างไร ผลได้ผลเสียของต้าหลีระหว่างนี้ เขาล้วนไล่อธิบายไปทีละอย่าง

ถึงท้ายที่สุดชุยฉานบอกให้ทุกคนรอคอยดู จะเชื่อหรือไม่ จะยอมละทิ้งกลางคัน ถอยออกไปจากสถานการณ์ หรือจะเพิ่มเดิมพัน ล้วนไม่ต้องรีบร้อน แค่นั่งดูไฟชายฝั่งอย่างเดียวก็พอ ดูสิว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะสามารถยึดครองราชวงศ์จูอิ๋งตามขั้นตอนที่เขาชุยฉานบอกไว้ได้หรือไม่

และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ชุยฉานคิดถูก

จนกระทั่งถึงบัดนั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นี้ถึงจำต้องยอมรับว่า ชุยฉานเล่นหมากล้อมเก่งมากจริงๆ

แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก็เป็นคนดื้อดึงคนหนึ่ง เขาไม่ยอมเชื่อง่ายๆ จึงไปถามชุยฉานว่าทำได้อย่างไรกันแน่ เขาไม่เชื่อสักนิดว่าใต้หล้าจะมีใครที่ทำนายเหตุการณ์ได้ล่วงหน้าดุจเทพและมีญาณหยั่งรู้อนาคต ถึงอย่างไรการช่วงชิงชัยชนะของหนึ่งแคว้นก็ไม่ใช่หมากแค่ไม่กี่ตัวที่พวกนักเล่นวางบนกระดานจริงๆ

ชุยฉานจึงพาเขาไปยังห้องเก็บเอกสารคดีความของต้าหลีที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ห้องลับนั้นสร้างไว้ที่ชานเมืองของเมืองหลวง

คนเกือบห้าร้อยคน ครึ่งหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนที่ต่างก็กำลังทำเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเก็บรวบรวมรายงานและข้อมูล รวมไปถึงการรับส่งข่าวสารระหว่างสายลับและนักรบเดนตายของแต่ละพื้นที่ในหนึ่งแคว้น

การจัดวางกองกำลังทหาร การกระจายตัวของกลุ่มอิทธิพลบนภูเขา ข้อมูลส่วนตัวของขุนนางบุ๋นบู๊คนสำคัญของราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติทั้งหมดในแจกันสมบัติทวีป กึ่งกลางของภูเขาสูงลูกหนึ่งถูกเจาะจนโล่งว่างเพื่อเอาไว้เก็บเอกสารที่สะสมมานานเป็นร้อยปีเหล่านี้

นี่ยังไม่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าตกตะลึงมากที่สุด เรื่องที่ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักโม่หวาดกลัวอย่างแท้จริงยังมี ‘เรื่องเล็ก’ อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกมองข้ามได้ง่ายมาก

ตอนนั้นราชครูต้าหลีที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อพาเขาไปเยี่ยมชมพื้นที่ต้องห้ามของต้าหลีที่มีชื่อว่า ‘ภูเขาตำรา’ แห่งนั้น ผู้คนสัญจรไปมาที่พบเจอตลอดทางล้วนเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น นั่นคือฝีเท้าเร่งร้อน พอเห็นราชครูของแคว้นก็เพียงแค่หลีกทางให้ จากนั้นก็เดินผ่านไป ไม่มีการคุกเข่าคารวะ ไม่มีการทักทายปราศรัยตามมารยาท ต่อให้ราชครูเอ่ยถามก็แค่ตอบเท่าที่ถาม สองฝ่ายพูดคุยกันอย่างกระชับเรียบง่าย จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

ในฐานะยอดฝีมือของสำนักโม่ คือผู้โดดเด่นมีความสามารถในกลุ่มนักศาสตร์แห่งกลไกล ตอนนั้นความรู้สึกของผู้ฝึกตนเฒ่าก็คือ เมื่อเขาคืนสติกลับมาแล้วกวาดตามองไปรอบด้านอีกครั้ง เมื่อตนมาอยู่ท่ามกลาง ‘ภูเขาตำรา’ แห่งนี้แล้ว ก็เหมือนตกอยู่ท่ามกลางกลไกที่ใหญ่โตและซับซ้อนแห่งหนึ่งที่เกริกก้องสั่นสะเทือนคนโบราณและโชติช่วงรุ่งโรจน์มาจนยุคปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความแม่นยำ ถูกต้องและสอดผสานเป็นหนึ่งในทุกจุดทุกมุม

การลงภูเขามา ‘ประคองมังกร’ อย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกของผู้ฝึกตนในประวัติศาสตร์ เมื่อเทียบกับการกระทำของซิ่วหู่ผู้นี้แล้ว ก็เหมือนกับการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็กๆ ที่แค่พอรู้สึกประสบความสำเร็จก็ดีใจมีความสุขกันมากแล้ว

หลังจากที่ออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เต็มไปด้วยกลุ่มดวงดาวที่ทอประกาย ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็เงียบหายไปนานถึงหนึ่งร้อยปีเต็ม

พูดไปแล้วก็น่าขัน ในขณะที่ ‘ภูผา’ ทั้งแปดลำค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ และกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเคลื่อนพลลงใต้อย่างเป็นทางการ แทบไม่มีใครสนใจเลยว่าชุยฉานกำลังทำอะไรอยู่ในแจกันสมบัติทวีป

……

เฉินผิงอันกำลังเรียนรู้ภาษากลางของอุตรกุรุทวีปไปตลอดทาง

ในข้อนี้อุตรกุรุทวีปดีกว่าแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป เพราะภาษากลางเป็นภาษาที่ใช้กันทั้งทวีป ภาษาราชการและภาษาท้องถิ่นของแต่ละแคว้นก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอีกสองทวีป อีกทั้งเมื่อออกมาอยู่ข้างนอก ผู้คนก็ล้วนเคยชินที่จะใช้ภาษากลางในการสื่อสาร นี่ช่วยลดความยุ่งยากให้เฉินผิงอันได้มาก ตอนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันเคยเจอกับความยากลำบากมาก่อน เพราะสำหรับผู้ฝึกตนของทวีปอื่นแล้ว ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีป อย่าว่าแต่พวกเขาจะฟังไม่เข้าใจเลย ต่อให้ฟังเข้าใจก็ยังทำหน้าดูถูก

เรือข้ามฟากของสำนักพีหมากำลังจะลดระดับลง เฉินผิงอันเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็ลงมาที่ระเบียงของชั้นหนึ่ง กองทัพมัลละที่ลากเรือให้บินทะยานอยู่กลางอากาศเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ราวกับว่าไม่ใช่วัตถุหยินเท่านั้น แต่ยังเป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างภูตผีวัตถุหยินกับยันต์หุ่นเชิด

ใต้ฝ่าเท้าก็คืออาณาเขตของชายหาดโครงกระดูกอันกว้างขวาง แล้วก็ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวอย่างที่เฉินผิงอันจินตนาการเอาไว้ กลับกันยังมีประกายแสงหลากสีพุ่งตรงสู่ชั้นเมฆแล้วล้อมวนไม่สลายหายไปไหน ประหนึ่งสัญลักษณ์ของความมงคล

รัศมีพันลี้รอบชายหาดโครงกระดูกส่วนใหญ่ล้วนเป็นชายหาดราบเรียบ น้อยนักที่จะมียอดเขาสูงใหญ่หรือเทือกเขาสลับซับซ้อนตามแบบที่ตั้งของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อทั่วไป

อาณาเขตของชายหาดโครงกระดูกมีเพียงลำคลองใหญ่สายเดียวที่ทะลุจากใต้ไปเหนือ ไม่ได้เลื้อยลดคดเคี้ยวเหมือนแม่น้ำลำคลองทั่วไป แต่เหมือนถูกกระบี่ฟันผ่าลงมาจึงเป็นเส้นตรงดิ่ง อีกทั้งแทบจะไม่มีลำน้ำแยกสาขาออกไป คาดว่านี่ก็น่าจะมีความลี้ลับมหัศจรรย์ซ่อนอยู่เช่นกัน

ร้านค้าตระกูลเซียนที่มีเพียงร้านเดียวบนเรือข้ามฟากชายหาดโครงกระดูกมีของขายเยอะมาก สมบัติพิทักษ์ร้านคือสมบัติอาคมที่ระดับขั้นสูงยิ่งสองชิ้น ล้วนเป็นกระบี่ตกทอดของเซียนยุคบรรพกาลที่ได้รับความเสียหาย หากไม่เป็นเพราะคมกระบี่ทั้งสองด้านม้วนงอค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเสียหายไปถึงรากฐาน เป็นเหตุให้กระบี่โบราณทั้งสองเล่มสูญเสียโอกาสที่จะถูกซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม มิฉะนั้นแล้วก็น่าจะกลายมาเป็นอาวุธกึ่งเซียนที่สมชื่อชิ้นหนึ่ง ส่วนข้อที่ทำให้ผู้คนชื่นชมมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มคือวัตถุที่บนภูเขาเรียกขานกันว่า ‘คู่บำเพ็ญเพียร’ เล่มหนึ่งมีชื่อว่า ‘อวี่ลั่ว’ อีกเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘เติงหมิง’ เล่าลือกันว่าเป็นกระบี่ประจำกายของคู่รักเซียนกระบี่คู่หนึ่งของอุตรกุรุทวีป

เนื่องจากเรือข้ามฟากไม่ขายแยก ราคาของกระบี่อาคมสองเล่มจึงอยู่ที่หนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช

การค้าขายครั้งนี้ยังมีกลเม็ดเด็ดพรายอย่างหนึ่ง หากผู้ฝึกกระบี่เซียนดินซื้อจะได้ลดแปดส่วน (หมายถึงยี่สิบเปอร์เซ็น) แต่หากเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนลงมือจะลดได้หกส่วน (หมายถึงสี่สิบเปอร์เซ็น)

เพียงแต่ว่าสำหรับเซียนดินแล้ว ราคานี้ค่อนข้างจะแพงไปสักหน่อย สำหรับเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนก็ยิ่งเป็นดั่งซี่โครงไก่

เฉินผิงอันเองก็แค่มาดูเสียให้สมใจอยาก กระเป๋าเขาฟีบแบนนี่นะ ต่อให้ในมือจะมีเงิน แต่เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะเป็นคนฟุ่มเฟือยเช่นนั้น

แต่เฉินผิงอันก็ยังซื้อของชิ้นเล็กๆ ที่ราคาถูกและน่ามองสองสามชิ้นมาจากร้านที่แขวนป้ายคำว่า ‘ซวีเฮิ่น’ นี้ ชิ้นหนึ่งคือสมบัติวิเศษประเภทบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่เชื่อมโยงอยู่กับภูเขาตี่ลี่ เป็นที่ล้างพู่กันทำมาจากกระเบื้องเคลือบหนึ่งชิ้น ลักษณะคล้ายคลึงกับถ้วยน้ำของเฉินหลิงจวินในปีนั้น เพราะตำราเทพเซียนของภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นได้พูดถึงภูเขาตี่ลี่เป็นพิเศษ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ประลองยุทธที่มีไว้ให้ผู้ฝึกกระบี่ประชันกระบี่โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะมีบุญคุณความแค้นใด ขอแค่นัดหมายว่าจะมาคลี่คลายที่ภูเขาตี่ลี่ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องลงนามในสัญญาเป็นตายเลย เมื่อถึงภูเขาตี่ลี่ก็สามารถต่อสู้กันได้เลย สู้กันจนกว่าจะตายไปข้างจึงจะหยุด ตลอดพันปีที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีกรณีพิเศษมาก่อน

นอกจากนี้ก็ยังมีแท่นฝนหมึกสลักบทกวีลักษณะโบราณเรียบง่ายชิ้นหนึ่ง และหมึกอักษรสือกู่ที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์หนึ่งซึ่งล่มสลายไปแล้วใช้งานหนึ่งตลับ รวมทั้งหมดเป็นเงินสิบแท่ง

รอจนเฉินผิงอันจะคิดเงินกับทางร้าน เถ้าแก่ร้านก็ปรากฏตัวด้วยตัวเอง ยิ้มกล่าวว่าเทพใหญ่เว่ยแห่งภูเขาพีอวิ๋นได้บอกแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายใดในร้าน ‘ซวีเฮิ่น’ แห่งนี้ก็ล้วนให้บันทึกลงในบัญชีของภูเขาพีอวิ๋น

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เกรงใจ ถามกลับไปหนึ่งประโยคว่า ถ้าหากข้าอยากจะซื้อเพิ่มอีกสักหน่อย จะได้หรือไม่?

เถ้าร้านส่ายหน้ายิ้ม บอกว่าเทพใหญ่ป้อบอกไว้แล้วว่า หลังจากที่เถ้าแก่อย่างเขาปรากฏตัว สัญญาของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว

เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่ หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่าแม้เถ้าแก่จะเปิดร้านอยู่บนเรือข้ามฟากสำนักพีหมา แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมา การคัดเลือกลูกศิษย์ของสำนักพีหมานั้นระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง ชื่อที่อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์แต่ละชื่อล้วนล้ำค่าไม่ต่างกัน อีกทั้งปีนั้นเมื่อบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาย้ายมาจากแผ่นดินกลางก็ได้กำหนดจำนวน ‘ลูกศิษย์สืบทอดฝ่ายในสามสิบหกหก ลูกศิษย์ฝ่ายนอกหนึ่งร้อยแปด’ เอาไว้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกจึงเป็นคนต่างถิ่นอย่างเขา

เถ้าแก่ผู้เฒ่าเป็นคนคุยเก่ง เขาแนะนำขนบธรรมเนียมประจำท้องถิ่นของชายหาดโครงกระดูกให้เฉินผิงอันฟังมากมาย รวมไปถึงข้อห้ามบางส่วนของบนภูเขา

คนทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ที่ราวรั้วของเรืออย่างถูกคอ ผลกลับกลายเป็นว่าพอเฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นว่าสุดปลายม่านฟ้าที่สายตามองเห็นมีแสงกระบี่สองเส้นตัดสลับกัน จากนั้นก็ระเบิดเป็นกลุ่มแสงและสายฟ้ากลุ่มใหญ่

เถ้าแก่ผู้เฒ่าเห็นมาจนชินตาแล้ว จึงยิ้มกล่าวว่า “เป็นเรื่องปกติ ก็แค่เซียนกระบี่ของที่นี่กำลังยืดเส้นยืดสายกันเท่านั้น หากคุณชายเฉินเห็นว่าพวกเขารักษาระยะห่างให้อยู่ห่างจากแถบศูนย์กลางของชายหาดโครงกระดูกก็จะเข้าใจเอง ไม่อย่างนั้นหากทั้งสองฝ่ายตีกันจนเกิดโทสะขึ้นมาจริงๆ ไหนเลยจะสนว่าเจ้าคือสำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูก ต่อให้บินไปบินมาอยู่เหนือศาลบรรพจารย์ก็ยังไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด อย่างมากก็ถูกผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาลงมือจัดการเท่านั้น กระอักเลือดสามเซิง (หน่วยตวงวัดระบบลิตร) จะนับเป็นอะไรได้ หากมีความสามารถมากพอ สามฝ่ายตีกันมั่วซั่วสักหนึ่งคำรบ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าสาแก่ใจ”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

อุตรกุรุทวีปแห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่…ดีจริงๆ

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+