กระบี่จงมา 490.2 รีบเดินทางไปยังเมืองจิงกวาน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 490.2 รีบเดินทางไปยังเมืองจิงกวาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หากผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเลือกจะเข้ามาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาก็เท่ากับว่ายินยอมลงนามในสัญญาเป็นตายกับสำนักพีหมา จะร่ำรวยหรือจะตายกะทันหัน ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถและโชค ทรัพย์สินที่ช่วงชิงมาได้ สำนักพีหมาไม่อิจฉาไม่ปรารถนา ไม่เก็บเงินแม้แต่แดงเดียว ตายอยู่ในหุบเขาผีร้าย นับจากนั้นมิอาจหลุดพ้นไปจากความเป็นความตายได้อีกก็โทษคนอื่นไม่ได้เช่นกัน

นี่ก็คือกฎข้อหนึ่งที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีจวนตระกูลเซียนแห่งใดที่สงสารลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจในสำนักที่ต้องตายไปก่อนวัยอันควร หลังจบเรื่องก็ไม่ยอมเลิกรา เรียกรวมเหล่าสหายให้มาถกเหตุผลกับสำนักพีหมาที่ชายหาดโครงกระดูก ทั้งเป็นการซักไซ้เอาความผิด แล้วก็มีความคิดว่าอยากจะให้สำนักพีหมาช่วยชดใช้ ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาไม่เคยอธิบายอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อมีคนมาเยือนก็วางโต๊ะตัวหนึ่งไว้ตรงหน้าประตูภูเขา ยกน้ำชาอินเฉินถ้วยหนึ่งมารับรองแขก จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากต่อสู้ หากไม่ใช่อีกฝ่ายที่บุกไปถึงศาลบรรพจารย์ของตนเอง ก็ต้องเล่นงานให้อีกฝ่ายมอบสมบัติอาคมและเงินเทพเซียนทั้งหมดที่มีติดตัวมา จากนั้นก็โยนไปไว้ที่ลำคลองเหยาเย่ ปล่อยให้อีกฝ่ายว่ายน้ำกลับบ้านเกิดทางเหนือของตัวเองไป

ดังนั้นลำคลองเหยาเย่จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลำคลองเกี๊ยว

เพราะว่าต้องโยนเกี๊ยวลงหม้อกันหลายรอบแล้ว (เกี๊ยวเปรียบเปรยถึงคนที่ถูกโยนลงในลำคลอง ส่วนลำคลองก็เปรียบเป็นน้ำหม้อหนึ่ง)

แต่สำนักพีหมาก็ไม่ต้องการให้คนต่างถิ่นที่มาฝึกตนที่นี่ต้องมาตายอยู่ในนี้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ระบุเส้นทางขึ้นเหนือสามเส้นไว้อย่างชัดเจน แนะนำให้ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธชั่งน้ำหนักขอบเขตของตัวเองให้ดี แรกเริ่มให้ตามหาพวกวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายก่อน จากนั้นอย่างมากสุดก็ลองไปทักทายนครต่างๆ ที่กองกำลังไม่แข็งแกร่งนัก สุดท้ายหากเป็นคนมีฝีมือและมีความกล้า รู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจก็ค่อยไปเสี่ยงดวงที่นครหลายแห่งซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขา

ขอบเขตสูงต่ำ วิชาที่ถนัด สมบัติประจำกาย ความสามารถที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุของราชาผีวิญญาณวีรบุรุษเซียนดินทั้งหมดในหุบเขาผีร้าย ล้วนมีระบุไว้ในหนังสืออย่างชัดเจน

อีกทั้งผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังสร้างเมืองขนาดเล็กสองแห่งไว้ในหุบเขาผีร้ายอีกด้วย กั๋วฉือเซียนซือผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นผู้พิทักษ์สถานที่หนึ่งในนั้นด้วยตัวเอง แต่โดยทั่วไปแล้วผู้คนจะไม่ได้พบหน้านาง ทว่าในเมืองก็มีผู้ฝึกตนฝ่ายในของสำนักพีหมาอยู่สองกลุ่มที่รับผิดชอบคอยล่าจับทหารผีวิญญาณหยินโดยเฉพาะ คนนอกสามารถติดตามหรือไม่ก็เชื้อเชิญให้พวกเขาไปเที่ยวหาประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายด้วยกันได้ ผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด สำนักพีหมาจะไม่รับมาแม้แต่แดงเดียว แต่ในหนังสือก็บอกไว้อย่างตรงไปตรงมาว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาไม่มีทางทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ติดตามของใคร เห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก เพียงแต่ว่าหากมีลูกหลานทายาทของตระกูลเซียนสูงศักดิ์ที่รังเกียจว่าเงินของตัวเองมีเยอะจนหนักมือเกินไปก็เลยอยากมาลองเที่ยวเล่นที่หุบเขาผีร้าย ก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้องฟังคำสั่งของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาตลอดการเดินทาง สำนักพีหมาถึงจะสามารถรับรองได้ว่าพวกเขาจะได้เห็นทัศนียภาพของหุบเขาผีร้าย อีกทั้งยังสามารถออกไปจากพื้นที่อันตรายนี้อย่างปลอดภัยครบสามสิบสองประการ ขอแค่คนที่คิดจะมาท่องเที่ยวชมทัศนียภาพเคารพกฎ ไม่ว่าระหว่างการเดินทางเกิดความเสียหายหรือเรื่องไม่คาดคิดใดๆ ขึ้น ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะไม่เพียงแต่ชดใช้ด้วยเงิน ยังจะชดใช้ด้วยชีวิตด้วย

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันปิดตำรา ‘รวมเล่มวางใจ’  หนาหนักเล่มนั้นลง ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง เอนตัวพิงกรอบหน้าต่างพลางดื่มเหล้า

หนังสือเล่มนี้พออ่านมาถึงช่วงท้ายสุด นอกจากจะจดจำเรื่องต้องห้ามยิบย่อยทั้งหลายได้แล้ว ยังได้เห็นความองอาจของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจากในตำราอีกด้วย

หวนนึกถึงอดีตที่ห่างไกล

ตอนนั้นถ้ำสวรรค์หลีจูมีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าเตะคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองภาพที่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจลืมเลือน

มีเซียนผู้ฝึกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนขี่กระบี่ข้ามทวีปเดินทางไกล มุ่งหน้าไปต้านทานเผ่าปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

เพื่อผลประโยชน์และชื่อเสียงหรือ?

แค่เพื่อลับกระบี่เท่านั้น

มิน่าเล่านางถึงได้พูดว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งความทุกข์ยาก แต่กลับมีวีรบุรุษผู้กล้ามากมายมานับแต่โบราณ

มีเพียงดินแดนแบบนี้เท่านั้นถึงจะมีเซียนกระบี่ผุดออกมาได้มากที่สุดในใต้หล้าไพศาล

เจ้ายอมมอบเหล้าให้ข้าไม่กี่กา ข้าก็ยินดีจะคืนให้เจ้าด้วยโครงกระดูกขาวของวิญญาณวีรบุรุษที่มีค่าหลายสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช

ใช้เหตุผลไหม? ไม่ใช้

ไม่มีเหตุผลหรือ? มีมากนักล่ะ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจี้ยนเซียนที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “วางใจเถอะ อยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าขายหน้าเด็ดขาด”

เฉินผิงอันขยับสายตาเบนออกไปเล็กน้อย มองไปยังงอบที่ถักทอจากไม้ไผ่ใบนั้นแล้วยิ้มบางๆ “เพราะข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”

เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันที่นวดคลึงปลายคางก็พึมพำว่า “หรือว่าควรจะตัด ‘ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย’ ทิ้งไปดี จะได้ดูน่าเกรงขามหน่อย?”

……

นครปี้ฮว่าต้องเจอกับเรื่องประหลาดที่ร้อยปีก็ไม่เคยพานพบ

ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาเริ่มปิดผนึกผนังสามแถบที่ยังมีโชควาสนาหลงเหลืออยู่ ไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวคนใดเข้าใกล้ ต่อให้เป็นลูกจ้างหรือเถ้าแก่ของร้านก็ล้วนต้องออกไปชั่วคราว จำเป็นต้องรอประกาศจากทางสำนักพีหมา

แน่นอนว่าเสียงบ่นต้องดังระงม เสียงด่าพ่อด่าแม่ดังขึ้นๆ ลงๆ เป็นทอดๆ

คนผู้หนึ่งโชคไม่ดี ตอนที่กระทืบเท้าผรุสวาทกลับมีผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ฝ่ายหลังไม่พูดไม่จาก็สะบัดชายแขนเสื้อใส่จนเขาล้มคว่ำลงบนพื้น ตาเหลือกแล้วหมดสติไปทันที

สหายของคนน่าสงสารผู้นั้นก็ไม่พูดไม่จาอะไรเหมือนกัน แบกอีกฝ่ายขึ้นได้ก็วิ่งหนี ทั้งไม่ขอโทษเซียนซือของสำนักพีหมา แล้วก็ไม่ทิ้งถ้อยคำอาฆาตใดๆ เอาไว้

อุตรกุรุทวีปก็เป็นเช่นนี้ ข้ากล้าพอจะชี้หน้าคนอื่นด่าฟ้าด่าดินก็เป็นเรื่องของข้า แต่หากถูกคนอื่นซ้อมจนหมอบกระแต นั่นก็เป็นเพราะความสามารถของข้าไม่มากพอ ข้ายอมรับ วันใดที่หมัดแข็งกว่าอีกฝ่ายแล้วค่อยทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมา

ผู้ฝึกตนโอสถทองแซ่หยางผู้นั้นรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

ผังหลันซีศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายก็ยิ่งจนใจ

ที่แท้เบื้องใต้ภาพวาดฝาผนังภาพหนึ่งก็มีคนหนุ่มสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นมาคุกเข่าโขกหัวอยู่ตรงนั้นไม่หยุด เลือดสดหลั่งเป็นสาย วิงวอนขอร้องให้เทพหญิงสิงอวี่ที่อยู่บนภาพวาดมอบโชควาสนาส่วนหนึ่งให้เขา เขามีแค้นที่จำต้องชำระ ขอแค่เทพหญิงยินดีประทานโชควาสนาบนมหามรรคาให้เขา เขาก็ยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้นางไปชั่วชีวิต ต่อให้แก้แค้นสำเร็จแล้ว ร่างของเขาต้องแหลกสลายเป็นผุยผงก็ยินดี

ก่อนที่คนหนุ่มจะโขกหัวได้ควักป้ายหยกโบราณแผ่นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนมาวางลงบนพื้นเบาๆ

ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนโบกมือบอกเป็นนัยแก่ผู้ฝึกตนฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักว่าไม่ต้องขับไล่คนผู้นี้

ผังหลันซีอยากจะพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่กลับถูกผู้ฝึกตนวัยกลางคนกดไหล่เอาไว้

ความสนใจส่วนใหญ่ของผู้ฝึกตนวัยกลางคนยังคงอยู่ที่สตรีเรือนกายบอบบางราวกิ่งหลิวผู้นั้น

หลังจากที่นางปรากฏตัว ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำที่สำนักพีหมาวางไว้ตรงภาพวาดฝาผนังนี้ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าพันธนาการธรรมชาติของพื้นที่ลับตำหนักเซียนกลับเริ่มเกิดริ้วกระเพื่อม

กลับกลายเป็นทางฝ่ายภาพของเทพหญิงกว้าเยี่ยนที่พวกเขาไม่ลนลานถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก คนต่างถิ่นคนหนึ่งได้รับการยอมรับจากเทพหญิง สำนักพีหมาก็แค่ต้องฟังตามคำสั่ง ไม่ได้ขัดขวางการจากไปของพวกนาง

เทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ส่งผลหลีตอบแทนผลท้อ เป็นฝ่ายเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับเจ้านายผู้นั้น มุ่งหน้าไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมาพวกเขา

ดังนั้นภาพวาดของเทพหญิงกว้าเยี่ยนจึงกลายเป็นเพียงลายเส้นขาวดำก่อน

จากนั้นกวางเจ็ดสีก็กระโดดออกมาจากภาพเทพหญิงฉีลู่ แล้วร่างของมันก็หายวับไปในเสี้ยววินาที ภาพนี้จึงกลายเป็นภาพลายเส้นเค้าโครงภาพที่สองของวันตามหลังภาพแรกไปติดๆ

ผู้ฝึกตนแซ่หยางตื่นตะลึงไม่หยุด เพราะถึงอย่างไรโชควาสนาของภาพเทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ภาพนี้ก็เป็นเพียงภาพเดียวที่สำนักพีหมาคิดว่าต้องครอบครองให้จงได้ คนทั่วทั้งบนและล่างสำนักล้วนหวังอย่างถึงที่สุดว่าผังหลันซีศิษย์น้องที่ยืนอยู่ข้างกายของเขาจะได้รับวาสนาบนมหามรรคานี้มาอย่างราบรื่น ดังนั้นเขาจึงเกือบจะอดใจไม่ไหว หมายจะลงมือขัดขวางไม่ให้กวางเจ็ดสีตัวนั้นจากไป เพียงแต่ว่าไม่นานเจ้าสำนักกั๋วฉือเซียนซือก็เดินออกมาจากผนังภาพวาด บอกให้เขาถอยออกไป แค่ไปเฝ้าภาพของเทพหญิงภาพสุดท้ายก็พอ จากนั้นกั๋วฉือเซียนซือก็กลับไปยังฐานทัพที่หุบเขาผีร้าย บอกว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน จำเป็นต้องให้นางไปรับรองด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องที่เทพหญิงกว้าเยี่ยนและเจ้านายคนใหม่ของนางขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนก็คงต้องมอบให้อาจารย์อาที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ช่วยจัดการให้แล้ว

อันที่จริงผู้ฝึกตนวัยกลางคนไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง คนที่สามารถให้เจ้าสำนักของตนออกหน้ามารับรองได้ หรือจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักใหญ่ท่านหนึ่ง?

ในที่สุดเทพหญิงสิงอวี่ก็เผยกาย นางมีใบหน้าซีดขาว หลังเดินออกมาจากภาพวาดก็มองสตรีที่สีหน้าเย็นชาคนนั้นแวบหนึ่ง แล้วจึงมองแผ่นหยกโบราณบนพื้นที่ด้านตรงและด้านหลังสลักคำว่า ‘เมฆคล้อย’ ‘น้ำไหล’ เทพหญิงที่เชี่ยวชาญศาสตร์ด้านการอนุมานผู้นี้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพอจะมองเบาะแสบางอย่างออก

นี่คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้าที่เทพหญิงเจ็ดคนที่เหลือบนภาพวาดฝาผนังไม่เคยพบเจอ

 สตรีที่มองดูเหมือนอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้น หากไม่สังเกตสายตาของนาง และนางไม่ได้มายืนอยู่ใต้ภาพวาดพอดี แม้แต่เขาที่เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองก็คงไม่คิดจะให้ความสนใจเท่าไหร่

ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เทพหญิงท่านหนึ่งกลับต้องเจอกับสภาวะน่าสงสารทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้

เทพหญิงสิงอวี่คือเทพที่สำนักพีหมาสื่อสารพูดคุยด้วยบ่อยที่สุด เล่าลือกันว่านางคือคนที่เฉลียวฉลาดและมีแผนการมากที่สุดในบรรดาเทพหญิงของพื้นที่ลับตำหนักเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญวิชาหมากล้อม บรรพจารย์เคยพูดหยอกล้อว่า หากมีคนโชคดีได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิงสิงอวี่ เรื่องของการรบราฆ่าฟันนางอาจจะไม่ได้ร้ายกาจมากนัก แต่อันที่จริงจวนตระกูลเซียนนั้นต้องการความช่วยเหลือจากเทพหญิงท่านนี้มากที่สุด

สตรีผู้นั้นชำเลืองตามองบุรุษที่โขกหัวไม่หยุดจนกระดูกขาวเกือบจะโผล่ออกมาจากหน้าผากผู้นั้นแวบหนึ่ง แล้วถึงมองมาทางเทพหญิงสิงอวี่ “เจ้าไปช่วยให้เขาผ่านด่านยากลำบากให้ได้เสียก่อน อีกหกสิบปีให้หลังค่อยมาขอขมาข้า”

จิตวิญญาณของเทพหญิงสิงอวี่แกว่งไกวไม่หยุด เป็นเหตุให้นครปี้ฮว่าอบอวลไปด้วยไอหมอกไอน้ำ เทพหญิงรู้สึกเพียงว่าหลังจากได้พบกับสตรีที่เห็นได้ชัดว่าขอบเขตไม่สูงมากผู้นี้ แต่นางกลับเหมือนเสมียนผู้น้อยในวงการขุนนางล่างภูเขาที่ได้เจอกับขุนนางใหญ่แห่งกรมขุนนางอย่างไรอย่างนั้น

เทพหญิงสิงอวี่พูดเสียงสั่นว่า “หลังจบเรื่องจะไปหานายท่านอย่างไร?”

สตรีผู้นั้นเอ่ยเรียบๆ ว่า “ยอดเขาสิงโต”

ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว

ยอดเขาสิงโตมีก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งมากซึ่งไม่อาจดูแคลนได้อยู่คนหนึ่งจริง แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนชายที่อายุไม่น้อยแล้ว

ทว่าต่อให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดท่านนั้นมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยตัวเอง ไหนเลยจะทำให้เทพหญิงสิงอวี่หวาดเกรงได้ถึงเพียงนี้?

สตรีผู้นั้นหันมายิ้มบางๆ แนะนำตัวเองให้ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนฟัง “หลี่หลิ่วแห่งยอดเขาสิงโต”

ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนยังคงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ก็เอ่ยคล้อยตามไปว่า “หยางหลินแห่งสำนักพีหมา”

หญิงสาวที่มีนามว่าหลี่หลิ่วไปจากนครปี้ฮว่าทั้งอย่างนี้

ราวกับว่าแม้แต่มองเทพหญิงสิงอวี่สักครั้งยังคร้านจะทำ

ผังหลันซีเด็กหนุ่มที่ยืนอึ้งอยู่ด้านข้างยกมือเช็ดหน้าผากที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ศิษย์พี่หยาง ผู้อาวุโสหลี่หลิ่วผู้นี้น่ากลัวจังเลย”

ฝึกตนวัยกลางคนยิ้มกล่าว “คำพูดประเภทนี้แค่พูดกับศิษย์พี่ก็พอ หากอาจารย์ของเจ้าได้ยินเข้าต้องตำหนิว่าจิตแห่งการฝึกตนของเจ้ายังไม่มั่นคงพออีกเป็นแน่”

เด็กหนุ่มมีนิสัยไร้เดียงสา รู้สึกเพียงว่าศิษย์พี่หยางเป็นคนสุขุมหนักแน่นจริงๆ ในอนาคตจะต้องเป็นหนึ่งในเสาคานสำคัญของสำนักพีหมาอย่างแน่นอน แต่กลับมองความซับซ้อนในดวงตาของศิษย์พี่โอสถทองผู้นี้ไม่ออก

เพราะผังหลันซีไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองได้สูญเสียโชควาสนาจากภาพเทพหญิงฉีลู่ไปแล้ว

……

ในหุบเขาผีร้าย

คนกลุ่มหนึ่งไม่ได้เดินเข้าไปในซุ้มประตู

แต่เป็นคนหนึ่งในนั้นที่ใช้วัตถุแห่งชะตาชีวิตเปิดประตูบานใหญ่ จากนั้นก็ปล่อยให้เรือหลิวเสียลำหนึ่งพุ่งเข้าไปข้างใน

บนหัวเรือคือเจ้าสำนักหญิงที่สวมชุดคลุมเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัวคนหนึ่งยืนอยู่ ข้างกายคือเทพหญิงของกวางเจ็ดสี รวมไปถึงเจียงซ่างเจินที่เปลี่ยนใจอยากจะมาท่องเที่ยวหุบเขาผีร้ายด้วยกัน

แม้ว่าเรือหลิวเสียที่เทียนจวินเซี่ยสือเป็นผู้มอบให้กับมือจะเป็นสุดยอดสมบัติตระกูลเซียน ทว่าเมื่อทะยานอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่มีไอหมอกเข้มข้นหนาชั้นเป็นอุปสรรค ความเร็วก็ยังช้ากว่าเดิมอยู่มาก

เรือหลิวเสียเหมือนดาวตกดวงหนึ่งที่พุ่งผ่านนภากาศของหุบเขาผีร้าย เจิดจ้าสะดุดตาอย่างถึงที่สุด เรือวิเศษและไอพิษมัวหม่นเสียดสีกันจนแสงแก้วหลากสีระเบิดพร่างออกมา ขณะเดียวกันก็มีเสียงแหวกอากาศเหมือนเสียงฟ้าร้องคำรณ วัตถุหยินภูตผีจำนวนมากที่อยู่บนพื้นดินแตกฮือหนีกระเจิง นครจำนวนมากที่ตั้งอยู่ระหว่างทางก็ยิ่งเปิดการป้องกันอย่างรวดเร็ว

เจียงซ่างเจินยื่นมือออกมากุมขมับ ทอดสายตามองไปไกล ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ อีกไม่นานก็จะถึงนครจิงกวานกระดูกขาวแล้ว เรือหลิวเสียลำนี้สมกับเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ขายหรือไม่?”

นักพรตหญิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เทพหญิงฉีลู่ก็ทำเหมือนกับเจ้านายของนาง ไม่ยินดีจะสนใจเจ้าคนปากเปราะผู้นี้

เจียงซ่างเจินพลันหันหน้ามาถาม “เจ้าสำนักเฮ้อ หากเจ้ายืนกรานจะฆ่าเขาให้ได้ ขอบเขตของพวกเจ้าสองฝ่ายต่างกันมากขนาดนี้ ข้าคงต้องขัดขวางดูสักครั้ง แน่นอนว่าก่อนจะทำเช่นนั้น หากนครจิงกวานคิดจะรังแก่ท่านทั้งสองก็ต้องถามใบหลิวของข้าผู้แซ่เจียงเสียก่อนว่าจะยอมตกลงหรือไม่”

นักพรตหญิงยังคงไม่เอ่ยอะไร

เจียงซ่างเจินถอนหายใจ

ชายหญิงบนโลกใบนี้ ติดเงินยังพูดง่าย แต่ติดค้างความรู้สึกกลับชดใช้คืนได้ยาก

เฉินผิงอันไปมีเรื่องกับนางได้อย่างไรกันนะ?

อายุไม่มาก แต่ความสามารถช่างสูงเสียจริง

หากเฉินผิงอันอยู่ด้วย เจียงซ่างเจินคงจะยกนิ้วโป้ง เอ่ยชมหนึ่งคำว่าเจ้าคือแบบอย่างที่ดีของข้าไปแล้ว

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 490.2 รีบเดินทางไปยังเมืองจิงกวาน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 490.2 รีบเดินทางไปยังเมืองจิงกวาน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หากผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเลือกจะเข้ามาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาก็เท่ากับว่ายินยอมลงนามในสัญญาเป็นตายกับสำนักพีหมา จะร่ำรวยหรือจะตายกะทันหัน ล้วนขึ้นอยู่กับความสามารถและโชค ทรัพย์สินที่ช่วงชิงมาได้ สำนักพีหมาไม่อิจฉาไม่ปรารถนา ไม่เก็บเงินแม้แต่แดงเดียว ตายอยู่ในหุบเขาผีร้าย นับจากนั้นมิอาจหลุดพ้นไปจากความเป็นความตายได้อีกก็โทษคนอื่นไม่ได้เช่นกัน

นี่ก็คือกฎข้อหนึ่งที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีจวนตระกูลเซียนแห่งใดที่สงสารลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจในสำนักที่ต้องตายไปก่อนวัยอันควร หลังจบเรื่องก็ไม่ยอมเลิกรา เรียกรวมเหล่าสหายให้มาถกเหตุผลกับสำนักพีหมาที่ชายหาดโครงกระดูก ทั้งเป็นการซักไซ้เอาความผิด แล้วก็มีความคิดว่าอยากจะให้สำนักพีหมาช่วยชดใช้ ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาไม่เคยอธิบายอะไรแม้แต่คำเดียว เมื่อมีคนมาเยือนก็วางโต๊ะตัวหนึ่งไว้ตรงหน้าประตูภูเขา ยกน้ำชาอินเฉินถ้วยหนึ่งมารับรองแขก จากนั้นก็เริ่มเปิดฉากต่อสู้ หากไม่ใช่อีกฝ่ายที่บุกไปถึงศาลบรรพจารย์ของตนเอง ก็ต้องเล่นงานให้อีกฝ่ายมอบสมบัติอาคมและเงินเทพเซียนทั้งหมดที่มีติดตัวมา จากนั้นก็โยนไปไว้ที่ลำคลองเหยาเย่ ปล่อยให้อีกฝ่ายว่ายน้ำกลับบ้านเกิดทางเหนือของตัวเองไป

ดังนั้นลำคลองเหยาเย่จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลำคลองเกี๊ยว

เพราะว่าต้องโยนเกี๊ยวลงหม้อกันหลายรอบแล้ว (เกี๊ยวเปรียบเปรยถึงคนที่ถูกโยนลงในลำคลอง ส่วนลำคลองก็เปรียบเป็นน้ำหม้อหนึ่ง)

แต่สำนักพีหมาก็ไม่ต้องการให้คนต่างถิ่นที่มาฝึกตนที่นี่ต้องมาตายอยู่ในนี้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ระบุเส้นทางขึ้นเหนือสามเส้นไว้อย่างชัดเจน แนะนำให้ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธชั่งน้ำหนักขอบเขตของตัวเองให้ดี แรกเริ่มให้ตามหาพวกวิญญาณเร่ร่อนทั้งหลายก่อน จากนั้นอย่างมากสุดก็ลองไปทักทายนครต่างๆ ที่กองกำลังไม่แข็งแกร่งนัก สุดท้ายหากเป็นคนมีฝีมือและมีความกล้า รู้สึกว่ายังไม่สาแก่ใจก็ค่อยไปเสี่ยงดวงที่นครหลายแห่งซึ่งตั้งอยู่กลางหุบเขา

ขอบเขตสูงต่ำ วิชาที่ถนัด สมบัติประจำกาย ความสามารถที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุของราชาผีวิญญาณวีรบุรุษเซียนดินทั้งหมดในหุบเขาผีร้าย ล้วนมีระบุไว้ในหนังสืออย่างชัดเจน

อีกทั้งผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังสร้างเมืองขนาดเล็กสองแห่งไว้ในหุบเขาผีร้ายอีกด้วย กั๋วฉือเซียนซือผู้เป็นเจ้าสำนักเป็นผู้พิทักษ์สถานที่หนึ่งในนั้นด้วยตัวเอง แต่โดยทั่วไปแล้วผู้คนจะไม่ได้พบหน้านาง ทว่าในเมืองก็มีผู้ฝึกตนฝ่ายในของสำนักพีหมาอยู่สองกลุ่มที่รับผิดชอบคอยล่าจับทหารผีวิญญาณหยินโดยเฉพาะ คนนอกสามารถติดตามหรือไม่ก็เชื้อเชิญให้พวกเขาไปเที่ยวหาประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายด้วยกันได้ ผลเก็บเกี่ยวทั้งหมด สำนักพีหมาจะไม่รับมาแม้แต่แดงเดียว แต่ในหนังสือก็บอกไว้อย่างตรงไปตรงมาว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาไม่มีทางทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์ผู้ติดตามของใคร เห็นคนใกล้ตายแล้วไม่ช่วยก็เป็นเรื่องที่ปกติอย่างมาก เพียงแต่ว่าหากมีลูกหลานทายาทของตระกูลเซียนสูงศักดิ์ที่รังเกียจว่าเงินของตัวเองมีเยอะจนหนักมือเกินไปก็เลยอยากมาลองเที่ยวเล่นที่หุบเขาผีร้าย ก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าต้องฟังคำสั่งของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาตลอดการเดินทาง สำนักพีหมาถึงจะสามารถรับรองได้ว่าพวกเขาจะได้เห็นทัศนียภาพของหุบเขาผีร้าย อีกทั้งยังสามารถออกไปจากพื้นที่อันตรายนี้อย่างปลอดภัยครบสามสิบสองประการ ขอแค่คนที่คิดจะมาท่องเที่ยวชมทัศนียภาพเคารพกฎ ไม่ว่าระหว่างการเดินทางเกิดความเสียหายหรือเรื่องไม่คาดคิดใดๆ ขึ้น ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจะไม่เพียงแต่ชดใช้ด้วยเงิน ยังจะชดใช้ด้วยชีวิตด้วย

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันปิดตำรา ‘รวมเล่มวางใจ’  หนาหนักเล่มนั้นลง ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง เอนตัวพิงกรอบหน้าต่างพลางดื่มเหล้า

หนังสือเล่มนี้พออ่านมาถึงช่วงท้ายสุด นอกจากจะจดจำเรื่องต้องห้ามยิบย่อยทั้งหลายได้แล้ว ยังได้เห็นความองอาจของผู้ฝึกตนสำนักพีหมาจากในตำราอีกด้วย

หวนนึกถึงอดีตที่ห่างไกล

ตอนนั้นถ้ำสวรรค์หลีจูมีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าเตะคนหนึ่งแหงนหน้าขึ้นมองภาพที่ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจลืมเลือน

มีเซียนผู้ฝึกกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนขี่กระบี่ข้ามทวีปเดินทางไกล มุ่งหน้าไปต้านทานเผ่าปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

เพื่อผลประโยชน์และชื่อเสียงหรือ?

แค่เพื่อลับกระบี่เท่านั้น

มิน่าเล่านางถึงได้พูดว่าสถานที่แห่งนี้คือสถานที่แห่งความทุกข์ยาก แต่กลับมีวีรบุรุษผู้กล้ามากมายมานับแต่โบราณ

มีเพียงดินแดนแบบนี้เท่านั้นถึงจะมีเซียนกระบี่ผุดออกมาได้มากที่สุดในใต้หล้าไพศาล

เจ้ายอมมอบเหล้าให้ข้าไม่กี่กา ข้าก็ยินดีจะคืนให้เจ้าด้วยโครงกระดูกขาวของวิญญาณวีรบุรุษที่มีค่าหลายสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช

ใช้เหตุผลไหม? ไม่ใช้

ไม่มีเหตุผลหรือ? มีมากนักล่ะ

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเจี้ยนเซียนที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “วางใจเถอะ อยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าขายหน้าเด็ดขาด”

เฉินผิงอันขยับสายตาเบนออกไปเล็กน้อย มองไปยังงอบที่ถักทอจากไม้ไผ่ใบนั้นแล้วยิ้มบางๆ “เพราะข้าชื่อเฉินผิงอัน ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”

เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันที่นวดคลึงปลายคางก็พึมพำว่า “หรือว่าควรจะตัด ‘ผิงอันที่แปลว่าสงบสุขปลอดภัย’ ทิ้งไปดี จะได้ดูน่าเกรงขามหน่อย?”

……

นครปี้ฮว่าต้องเจอกับเรื่องประหลาดที่ร้อยปีก็ไม่เคยพานพบ

ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาเริ่มปิดผนึกผนังสามแถบที่ยังมีโชควาสนาหลงเหลืออยู่ ไม่เพียงแต่ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวคนใดเข้าใกล้ ต่อให้เป็นลูกจ้างหรือเถ้าแก่ของร้านก็ล้วนต้องออกไปชั่วคราว จำเป็นต้องรอประกาศจากทางสำนักพีหมา

แน่นอนว่าเสียงบ่นต้องดังระงม เสียงด่าพ่อด่าแม่ดังขึ้นๆ ลงๆ เป็นทอดๆ

คนผู้หนึ่งโชคไม่ดี ตอนที่กระทืบเท้าผรุสวาทกลับมีผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาคนหนึ่งเดินผ่านมาพอดี ฝ่ายหลังไม่พูดไม่จาก็สะบัดชายแขนเสื้อใส่จนเขาล้มคว่ำลงบนพื้น ตาเหลือกแล้วหมดสติไปทันที

สหายของคนน่าสงสารผู้นั้นก็ไม่พูดไม่จาอะไรเหมือนกัน แบกอีกฝ่ายขึ้นได้ก็วิ่งหนี ทั้งไม่ขอโทษเซียนซือของสำนักพีหมา แล้วก็ไม่ทิ้งถ้อยคำอาฆาตใดๆ เอาไว้

อุตรกุรุทวีปก็เป็นเช่นนี้ ข้ากล้าพอจะชี้หน้าคนอื่นด่าฟ้าด่าดินก็เป็นเรื่องของข้า แต่หากถูกคนอื่นซ้อมจนหมอบกระแต นั่นก็เป็นเพราะความสามารถของข้าไม่มากพอ ข้ายอมรับ วันใดที่หมัดแข็งกว่าอีกฝ่ายแล้วค่อยทวงคืนศักดิ์ศรีกลับมา

ผู้ฝึกตนโอสถทองแซ่หยางผู้นั้นรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย

ผังหลันซีศิษย์น้องที่อยู่ข้างกายก็ยิ่งจนใจ

ที่แท้เบื้องใต้ภาพวาดฝาผนังภาพหนึ่งก็มีคนหนุ่มสวมเสื้อผ้าขาดวิ่นมาคุกเข่าโขกหัวอยู่ตรงนั้นไม่หยุด เลือดสดหลั่งเป็นสาย วิงวอนขอร้องให้เทพหญิงสิงอวี่ที่อยู่บนภาพวาดมอบโชควาสนาส่วนหนึ่งให้เขา เขามีแค้นที่จำต้องชำระ ขอแค่เทพหญิงยินดีประทานโชควาสนาบนมหามรรคาให้เขา เขาก็ยินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้นางไปชั่วชีวิต ต่อให้แก้แค้นสำเร็จแล้ว ร่างของเขาต้องแหลกสลายเป็นผุยผงก็ยินดี

ก่อนที่คนหนุ่มจะโขกหัวได้ควักป้ายหยกโบราณแผ่นหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนมาวางลงบนพื้นเบาๆ

ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนโบกมือบอกเป็นนัยแก่ผู้ฝึกตนฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักว่าไม่ต้องขับไล่คนผู้นี้

ผังหลันซีอยากจะพูดเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่กลับถูกผู้ฝึกตนวัยกลางคนกดไหล่เอาไว้

ความสนใจส่วนใหญ่ของผู้ฝึกตนวัยกลางคนยังคงอยู่ที่สตรีเรือนกายบอบบางราวกิ่งหลิวผู้นั้น

หลังจากที่นางปรากฏตัว ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำที่สำนักพีหมาวางไว้ตรงภาพวาดฝาผนังนี้ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทว่าพันธนาการธรรมชาติของพื้นที่ลับตำหนักเซียนกลับเริ่มเกิดริ้วกระเพื่อม

กลับกลายเป็นทางฝ่ายภาพของเทพหญิงกว้าเยี่ยนที่พวกเขาไม่ลนลานถึงขั้นทำอะไรไม่ถูก คนต่างถิ่นคนหนึ่งได้รับการยอมรับจากเทพหญิง สำนักพีหมาก็แค่ต้องฟังตามคำสั่ง ไม่ได้ขัดขวางการจากไปของพวกนาง

เทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ส่งผลหลีตอบแทนผลท้อ เป็นฝ่ายเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับเจ้านายผู้นั้น มุ่งหน้าไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมาพวกเขา

ดังนั้นภาพวาดของเทพหญิงกว้าเยี่ยนจึงกลายเป็นเพียงลายเส้นขาวดำก่อน

จากนั้นกวางเจ็ดสีก็กระโดดออกมาจากภาพเทพหญิงฉีลู่ แล้วร่างของมันก็หายวับไปในเสี้ยววินาที ภาพนี้จึงกลายเป็นภาพลายเส้นเค้าโครงภาพที่สองของวันตามหลังภาพแรกไปติดๆ

ผู้ฝึกตนแซ่หยางตื่นตะลึงไม่หยุด เพราะถึงอย่างไรโชควาสนาของภาพเทพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ภาพนี้ก็เป็นเพียงภาพเดียวที่สำนักพีหมาคิดว่าต้องครอบครองให้จงได้ คนทั่วทั้งบนและล่างสำนักล้วนหวังอย่างถึงที่สุดว่าผังหลันซีศิษย์น้องที่ยืนอยู่ข้างกายของเขาจะได้รับวาสนาบนมหามรรคานี้มาอย่างราบรื่น ดังนั้นเขาจึงเกือบจะอดใจไม่ไหว หมายจะลงมือขัดขวางไม่ให้กวางเจ็ดสีตัวนั้นจากไป เพียงแต่ว่าไม่นานเจ้าสำนักกั๋วฉือเซียนซือก็เดินออกมาจากผนังภาพวาด บอกให้เขาถอยออกไป แค่ไปเฝ้าภาพของเทพหญิงภาพสุดท้ายก็พอ จากนั้นกั๋วฉือเซียนซือก็กลับไปยังฐานทัพที่หุบเขาผีร้าย บอกว่ามีแขกผู้มีเกียรติมาเยือน จำเป็นต้องให้นางไปรับรองด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องที่เทพหญิงกว้าเยี่ยนและเจ้านายคนใหม่ของนางขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนก็คงต้องมอบให้อาจารย์อาที่อยู่ในศาลบรรพจารย์ช่วยจัดการให้แล้ว

อันที่จริงผู้ฝึกตนวัยกลางคนไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง คนที่สามารถให้เจ้าสำนักของตนออกหน้ามารับรองได้ หรือจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักใหญ่ท่านหนึ่ง?

ในที่สุดเทพหญิงสิงอวี่ก็เผยกาย นางมีใบหน้าซีดขาว หลังเดินออกมาจากภาพวาดก็มองสตรีที่สีหน้าเย็นชาคนนั้นแวบหนึ่ง แล้วจึงมองแผ่นหยกโบราณบนพื้นที่ด้านตรงและด้านหลังสลักคำว่า ‘เมฆคล้อย’ ‘น้ำไหล’ เทพหญิงที่เชี่ยวชาญศาสตร์ด้านการอนุมานผู้นี้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพอจะมองเบาะแสบางอย่างออก

นี่คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้าที่เทพหญิงเจ็ดคนที่เหลือบนภาพวาดฝาผนังไม่เคยพบเจอ

 สตรีที่มองดูเหมือนอบอุ่นอ่อนโยนผู้นั้น หากไม่สังเกตสายตาของนาง และนางไม่ได้มายืนอยู่ใต้ภาพวาดพอดี แม้แต่เขาที่เป็นผู้ฝึกตนโอสถทองก็คงไม่คิดจะให้ความสนใจเท่าไหร่

ไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เทพหญิงท่านหนึ่งกลับต้องเจอกับสภาวะน่าสงสารทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้

เทพหญิงสิงอวี่คือเทพที่สำนักพีหมาสื่อสารพูดคุยด้วยบ่อยที่สุด เล่าลือกันว่านางคือคนที่เฉลียวฉลาดและมีแผนการมากที่สุดในบรรดาเทพหญิงของพื้นที่ลับตำหนักเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเชี่ยวชาญวิชาหมากล้อม บรรพจารย์เคยพูดหยอกล้อว่า หากมีคนโชคดีได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิงสิงอวี่ เรื่องของการรบราฆ่าฟันนางอาจจะไม่ได้ร้ายกาจมากนัก แต่อันที่จริงจวนตระกูลเซียนนั้นต้องการความช่วยเหลือจากเทพหญิงท่านนี้มากที่สุด

สตรีผู้นั้นชำเลืองตามองบุรุษที่โขกหัวไม่หยุดจนกระดูกขาวเกือบจะโผล่ออกมาจากหน้าผากผู้นั้นแวบหนึ่ง แล้วถึงมองมาทางเทพหญิงสิงอวี่ “เจ้าไปช่วยให้เขาผ่านด่านยากลำบากให้ได้เสียก่อน อีกหกสิบปีให้หลังค่อยมาขอขมาข้า”

จิตวิญญาณของเทพหญิงสิงอวี่แกว่งไกวไม่หยุด เป็นเหตุให้นครปี้ฮว่าอบอวลไปด้วยไอหมอกไอน้ำ เทพหญิงรู้สึกเพียงว่าหลังจากได้พบกับสตรีที่เห็นได้ชัดว่าขอบเขตไม่สูงมากผู้นี้ แต่นางกลับเหมือนเสมียนผู้น้อยในวงการขุนนางล่างภูเขาที่ได้เจอกับขุนนางใหญ่แห่งกรมขุนนางอย่างไรอย่างนั้น

เทพหญิงสิงอวี่พูดเสียงสั่นว่า “หลังจบเรื่องจะไปหานายท่านอย่างไร?”

สตรีผู้นั้นเอ่ยเรียบๆ ว่า “ยอดเขาสิงโต”

ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้ว

ยอดเขาสิงโตมีก่อกำเนิดที่แข็งแกร่งมากซึ่งไม่อาจดูแคลนได้อยู่คนหนึ่งจริง แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนชายที่อายุไม่น้อยแล้ว

ทว่าต่อให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดท่านนั้นมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยตัวเอง ไหนเลยจะทำให้เทพหญิงสิงอวี่หวาดเกรงได้ถึงเพียงนี้?

สตรีผู้นั้นหันมายิ้มบางๆ แนะนำตัวเองให้ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนฟัง “หลี่หลิ่วแห่งยอดเขาสิงโต”

ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนยังคงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่ก็เอ่ยคล้อยตามไปว่า “หยางหลินแห่งสำนักพีหมา”

หญิงสาวที่มีนามว่าหลี่หลิ่วไปจากนครปี้ฮว่าทั้งอย่างนี้

ราวกับว่าแม้แต่มองเทพหญิงสิงอวี่สักครั้งยังคร้านจะทำ

ผังหลันซีเด็กหนุ่มที่ยืนอึ้งอยู่ด้านข้างยกมือเช็ดหน้าผากที่เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ แล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ศิษย์พี่หยาง ผู้อาวุโสหลี่หลิ่วผู้นี้น่ากลัวจังเลย”

ฝึกตนวัยกลางคนยิ้มกล่าว “คำพูดประเภทนี้แค่พูดกับศิษย์พี่ก็พอ หากอาจารย์ของเจ้าได้ยินเข้าต้องตำหนิว่าจิตแห่งการฝึกตนของเจ้ายังไม่มั่นคงพออีกเป็นแน่”

เด็กหนุ่มมีนิสัยไร้เดียงสา รู้สึกเพียงว่าศิษย์พี่หยางเป็นคนสุขุมหนักแน่นจริงๆ ในอนาคตจะต้องเป็นหนึ่งในเสาคานสำคัญของสำนักพีหมาอย่างแน่นอน แต่กลับมองความซับซ้อนในดวงตาของศิษย์พี่โอสถทองผู้นี้ไม่ออก

เพราะผังหลันซีไม่รู้ตัวเลยว่า ตัวเองได้สูญเสียโชควาสนาจากภาพเทพหญิงฉีลู่ไปแล้ว

……

ในหุบเขาผีร้าย

คนกลุ่มหนึ่งไม่ได้เดินเข้าไปในซุ้มประตู

แต่เป็นคนหนึ่งในนั้นที่ใช้วัตถุแห่งชะตาชีวิตเปิดประตูบานใหญ่ จากนั้นก็ปล่อยให้เรือหลิวเสียลำหนึ่งพุ่งเข้าไปข้างใน

บนหัวเรือคือเจ้าสำนักหญิงที่สวมชุดคลุมเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัวคนหนึ่งยืนอยู่ ข้างกายคือเทพหญิงของกวางเจ็ดสี รวมไปถึงเจียงซ่างเจินที่เปลี่ยนใจอยากจะมาท่องเที่ยวหุบเขาผีร้ายด้วยกัน

แม้ว่าเรือหลิวเสียที่เทียนจวินเซี่ยสือเป็นผู้มอบให้กับมือจะเป็นสุดยอดสมบัติตระกูลเซียน ทว่าเมื่อทะยานอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่มีไอหมอกเข้มข้นหนาชั้นเป็นอุปสรรค ความเร็วก็ยังช้ากว่าเดิมอยู่มาก

เรือหลิวเสียเหมือนดาวตกดวงหนึ่งที่พุ่งผ่านนภากาศของหุบเขาผีร้าย เจิดจ้าสะดุดตาอย่างถึงที่สุด เรือวิเศษและไอพิษมัวหม่นเสียดสีกันจนแสงแก้วหลากสีระเบิดพร่างออกมา ขณะเดียวกันก็มีเสียงแหวกอากาศเหมือนเสียงฟ้าร้องคำรณ วัตถุหยินภูตผีจำนวนมากที่อยู่บนพื้นดินแตกฮือหนีกระเจิง นครจำนวนมากที่ตั้งอยู่ระหว่างทางก็ยิ่งเปิดการป้องกันอย่างรวดเร็ว

เจียงซ่างเจินยื่นมือออกมากุมขมับ ทอดสายตามองไปไกล ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ อีกไม่นานก็จะถึงนครจิงกวานกระดูกขาวแล้ว เรือหลิวเสียลำนี้สมกับเป็นสมบัติล้ำค่าจริงๆ ขายหรือไม่?”

นักพรตหญิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เทพหญิงฉีลู่ก็ทำเหมือนกับเจ้านายของนาง ไม่ยินดีจะสนใจเจ้าคนปากเปราะผู้นี้

เจียงซ่างเจินพลันหันหน้ามาถาม “เจ้าสำนักเฮ้อ หากเจ้ายืนกรานจะฆ่าเขาให้ได้ ขอบเขตของพวกเจ้าสองฝ่ายต่างกันมากขนาดนี้ ข้าคงต้องขัดขวางดูสักครั้ง แน่นอนว่าก่อนจะทำเช่นนั้น หากนครจิงกวานคิดจะรังแก่ท่านทั้งสองก็ต้องถามใบหลิวของข้าผู้แซ่เจียงเสียก่อนว่าจะยอมตกลงหรือไม่”

นักพรตหญิงยังคงไม่เอ่ยอะไร

เจียงซ่างเจินถอนหายใจ

ชายหญิงบนโลกใบนี้ ติดเงินยังพูดง่าย แต่ติดค้างความรู้สึกกลับชดใช้คืนได้ยาก

เฉินผิงอันไปมีเรื่องกับนางได้อย่างไรกันนะ?

อายุไม่มาก แต่ความสามารถช่างสูงเสียจริง

หากเฉินผิงอันอยู่ด้วย เจียงซ่างเจินคงจะยกนิ้วโป้ง เอ่ยชมหนึ่งคำว่าเจ้าคือแบบอย่างที่ดีของข้าไปแล้ว

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+