กระบี่จงมา 493.1 จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกหาลูกเขยส่งเดช

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 493.1 จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกหาลูกเขยส่งเดช at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ตอนที่ไล่ฆ่าฟ่านอวิ๋นหลัว เมื่อครู่ตอนที่ขี่กระบี่กลับมา เฉินผิงอันจงใจทะยานตัวลอยขึ้นสูงกว่าเดิมสองสามส่วน แล้วก็เห็นว่าผีโอสถทองที่แขวนชื่อไว้ในนครกรงขาวตนนั้นพาพรรคพวกจากไปอย่างรวดเร็วจริงดังคาด

ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่อยากจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างเพื่อยุติเรื่องนี้ให้สิ้นสุดในคราวเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเปิดฉากต่อสู้กันสักครั้ง เพราะเดิมทีการเดินทางไปเมืองชิงหลูในครั้งนี้ วัตถุหยินที่ป้วนเปี้ยนอยู่ทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายกลุ่มนี้ก็คือตัวเลือกแรกของเฉินผิงอัน

ทว่าผูหรางเจ้านครกรงขาวผู้นั้นปรากฏตัวกะทันหัน ทำให้เฉินผิงอันเปลี่ยนใจ ตัวอักษรใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ที่บันทึกถึงเรื่องราวของวิญญาณวีรบุรุษผู้นี้แทบจะเรียกได้ว่าถี่ยิบ แต่ละเรื่องราวแต่ละเหตุการณ์ล้วนไม่เคยขี้เหนียวน้ำหมึก ตอนที่เฉินผิงอันอ่านหนังสือเล่มนี้ก็เกือบจะนึกว่าผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาที่เป็นคนแต่ง ‘รวมเล่มวางใจ’ ก็คือผู้ที่เลื่อมใสผูหราง

ถ้อยคำงดงามระหว่างบรรทัดตัวอักษรในตำราที่คล้ายจะยังมีกลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่ก็ยังไม่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเฉินผิงอันได้ สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันยอมอยู่อย่างสงบนั้นมีเพียงแค่สี่คำ ก่อกำเนิดขั้นสูงสุด

ในเมื่อสุดท้ายอีกฝ่ายยอมปรากฏตัวแล้ว แต่กลับไม่ได้เลือกที่จะลงมือ เฉินผิงอันก็ยินดีจะถอยให้หนึ่งก้าว

เฉินผิงอันมองโครงกระดูกขาวใสแวววาวดุจหยกที่กองเกลื่อนอยู่เต็มพื้น จำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบโครง ล้วนถูกเจี้ยนเซียนและชูอีสืออู่สังหาร จิตวิญญาณของผีหญิงในนครฟูนี่เหล่านี้ล้วนแหลกสลาย กลายไปเป็นพลังต้นกำเนิดปราณหยินของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้อยู่นานแล้ว

ขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะเก็บโครงกระดูกขาวเหล่านี้ใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ เขาพลันขมวดคิ้ว บังคับเจี้ยนเซียนเตรียมจะไปจากที่แห่งนี้ ทว่าหลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็เลือกที่จะหยุดอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง เก็บกระดูกขาวส่วนใหญ่ไป เหลือกระดูกขาวที่ส่องประกายแสงระเรื่อหกเจ็ดโครงเอาไว้ แล้วถึงได้ขี่กระบี่ออกไปจากสันเขาอีกาอย่างรวดเร็ว

มองเห็นเงาร่างสองร่างบนทางเส้นเล็กจากที่ไกลๆ เฉินผิงอันถึงได้ถอนหายใจโล่งอก แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจ เก็บกระบี่กลับเข้าฝัก สวมงอบให้เรียบร้อย พลิ้วกายลงบนพื้นที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เดินอยู่บนทางระยะหนึ่งก็หยุดยืนอยู่ที่เดิม รอคอยให้คู่รักคู่นั้นขยับเข้ามาใกล้เงียบๆ คู่ชายหญิงก็มองเห็นเฉินผิงอันแล้วเช่นกัน พวกเขาจึงคิดจะทำเหมือนก่อนหน้านั้น คืออ้อมออกไปจากทางเล็ก แสร้งทำเป็นว่าไปตามหาสมุนไพรหรือไม่ก็ก้อนหินที่สามารถเอามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ แต่พวกเขากลับพบว่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นเพียงแค่ปลดงอบลง ไม่ได้ขยับเท้าเดินไปไหน สองสามีภรรยาสบตากันด้วยความรู้สึกจนใจเล็กน้อย แล้วก็ได้แต่ฝืนใจเดินกลับไปบนเส้นทาง บุรุษอยู่ข้างหน้า สตรีอยู่ข้างหลัง พากันเดินไปหาเฉินผิงอัน จะเป็นโชคหรือเคราะห์ร้าย หากเป็นเคราะห์ร้ายก็ย่อมหนีไม่พ้น ในใจได้แต่ภาวนาขอให้ท่านเทพไตรวิสุทธิ์ช่วยคุ้มครอง

เมื่อคู่บำเพ็ญเพียรเดินมาใกล้ เฉินผิงอันก็ใช้มือหนึ่งถืองอบ มืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังป่ารกครึ้มด้านหลังแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ในสันเขาอีกา ข้าเปิดฉากต่อสู้กับผีร้ายกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าจะเอาชนะมาได้อย่างหวุดหวิด แต่พวกภูตผีที่เผ่นหนีไปได้ก็มีเยอะมาก ถือว่าข้าผูกปมแค้นกับพวกมันแล้ว หลังจากนี้ย่อมหนีไม่พ้นการไล่ล่าสังหารกันอีกคำรบ หากพวกเจ้าไม่กลัวว่าจะเดือดร้อนเพราะข้า อยากจะเดินทางขึ้นเหนือต่อก็ต้องระวังตัวให้มาก”

คู่รักคู่นั้นมองหน้ากัน สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นห่อเหี่ยว

ตอนที่จ่ายค่าผ่านทางตรงซุ้มประตู หนึ่งคนห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะยังพอรับได้ แต่ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตห้าที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากอย่างพวกเขาสองสามีภรรยา อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญวิชาภูตผี เมื่อเข้ามาอยู่ในหุบเขาผีร้าย ปราณวิญญาณก็ต้องถูกเผาผลาญไปตลอดเวลา ไม่เพียงแต่ต้องทรมานทั้งกายและใจ ด้วยสาเหตุนี้ยังซื้อยาวิเศษราคาไม่ธรรมดามาอีกหนึ่งขวดโดยเฉพาะ นี่ก็เพื่อให้เดินทางอยู่ในหุบเขาผีร้ายได้ไกลสักหน่อย ไปถึงสถานที่ที่ไร้ผู้คน อาศัยผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝันมาชดเชยส่วนที่ต้องสูญเสียไป ไม่อย่างนั้นหากเพียงแค่เพื่อความปลอดภัยก็ควรต้องเลือกเส้นทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลันเซ่อที่คนอื่นๆ เดินย่ำกันจนเละเทะแล้ว

ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกตน เกี่ยวพันกับเส้นทางของความเป็นอมตะ จะมีสักกี่คนที่เป็นคนโง่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาเงินของผู้ฝึกตนอิสระที่หากใช้คำว่าทุ่มเทสุดชีวิตและจิตใจ ใช้ทุกวิถีทางจนหมดสิ้นมาบรรยายก็ยังไม่เกินไปสักนิดเดียว

สองสามีภรรยาสีหน้าซีดขาว ฝ่ายหญิงกระตุกชายแขนเสื้อของฝ่ายชาย “ช่างเถิด ชะตาชีวิตเป็นเช่นนี้ ฝึกตนได้ช้าหน่อยก็ยังดีกว่าพาตัวไปตายเปล่าๆ”

บุรุษส่ายหน้า พลิกมือกลับมากุมมือสตรี เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้ารออีกไม่ได้แล้ว น้ำเต็มอ่างย่อมล้นออก หากยังถ่วงเวลาล่าช้า มีแต่จะทำร้ายเจ้า เรื่องดีจะกลายเป็นเรื่องร้าย”

บุรุษปล่อยมือนาง หันหน้ามาหาเฉินผิงอัน สายตาของเขาเด็ดเดี่ยว กุมหมัดเอ่ยขอบคุณ “บนเส้นทางของการฝึกตนต้องเจอกับลมมรสุมที่มิอาจคาดการณ์มากมาย ในเมื่อขอบเขตของพวกเราสองสามีภรรยาต่ำต้อย ก็มีเพียงเชื่อฟังลิขิตฟ้าเท่านั้น เรื่องนี้ไม่โทษคุณชายจริงๆ ข้ากับจัวจิงต้องขอขอบคุณคุณชายที่เตือนด้วยความหวังดี”

เฉินผิงอันถาม “ฮูหยินท่านนี้ใกล้จะได้เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว แต่ติดที่รากฐานไม่มั่นคง จำเป็นต้องอาศัยเงินเทพเซียนและสมบัติอาคมมาช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ในการฝ่าทะลุขอบเขตหรือ?”

สตรีถอนหายใจเบาๆ

บุรุษพยักหน้ารับ “คุณชายมีสายตาที่เฉียบแหลม เป็นเช่นนี้จริง”

เฉินผิงอันถาม “ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ยังขาดแคลนอีกเท่าไหร่?”

บุรุษกล่าวอย่างจนใจ “สำหรับพวกเราสองสามีภรรยาแล้ว จำนวนนั้นนับว่าสูงมาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ ต้องเรียกว่าแข็งใจมาบุกด่านประตูผีจริงๆ”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ขาดเงินเทพเซียนอีกเท่าไหร่?”

บุรุษลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขมขื่น “บอกตามตรง หลายปีก่อน พวกเราสองสามีภรรยาเดินทางไปหลายสิบแคว้น เลือกแล้วเลือกอีก กว่าจะมาถูกใจวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่เหมาะสมให้จัวจิงของข้าหล่อหลอมมากที่สุดในร้านเทพเซียนทางทิศตะวันตกร้านหนึ่งของชายหาดโครงกระดูก แล้วก็ถือว่าพวกเขาให้ราคาที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังต้องใช้เงินอีกแปดร้อยเหรียญเกล็ดหิมะ ยังเป็นเพราะเถ้าแก่ของร้านจิตใจมีเมตตา ยินดีเก็บของวิเศษที่ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออกชิ้นนั้นเอาไว้ให้ ขอแค่พวกเราสองสามีภรรยาเก็บรวบรวมเงินเทพเซียนได้มากพอภายในเวลาห้าปี ก็สามารถไปซื้อมาได้ทุกเมื่อ พวกเราต่างก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่าง หลายปีมานี้เดินทางผ่านหมู่ชาวบ้านร้านตลาดหลายแคว้น ไม่ว่างานแบบไหนที่ได้เงินก็ล้วนยินดีทำ จนใจที่ความสามารถไม่มากพอ ยังคงขาดเงินอีกห้าร้อยเหรียญเกล็ดหิมะ”

ในใจของสตรีขมฝาด

อันที่จริงสามีของตนยังพูดไม่หมด เพราะเป็นเรื่องที่ยากจะเอื้อนเอ่ยจริงๆ ครั้งนี้เพื่อเข้ามาหาเงินเกล็ดหิมะห้าร้อยเหรียญในหุบเขาผีร้าย ยาที่ใช้ชดเชยลมปราณขวดนั้นยังผลาญเงินพวกเขาไปอีกหนึ่งร้อยกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

เมื่อครู่นี้ตลอดทางที่พวกเขาสองสามีภรรยาเดินทางกันมา ลองเอาสิ่งของที่หามาได้มาคำนวณเป็นเงินเทพเซียนแล้วก็ยังไม่ถึงหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะด้วยซ้ำ

เงินทองในหุบเขาผีร้าย ไหนเลยจะหามาใส่มือได้ง่ายดายเพียงนั้น

พวกเขาเห็นว่าจอมยุทธหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่คล้ายจะลังเลอะไรบางอย่าง เขายื่นมือไปกดกาเหล้าสีชาดตรงเอว น่าจะกำลังคิดอะไรอยู่

สองสามีภรรยาจึงไม่พูดอะไรมากอีก หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากำลังเรียกร้องอะไร บนเส้นทางการฝึกตน ผู้ฝึกตนอิสระเจอกับเทพเซียนที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่า การที่สองฝ่ายสามารถอยู่รอดปลอดภัยก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว ไม่กล้าคาดหวังอะไรที่มากกว่านั้น หลายปีที่ท่องอยู่ในยุทธภพล่างภูเขา คู่รักคู่นี้เห็นภาพที่ผู้ฝึกตนอิสระตายอนาถมาจนชาชินแล้ว พอเห็นมากๆ เข้า แม้แต่ความรู้สึกเสียใจดั่งกระต่ายตายจิ้งจอกเศร้าก็ยังไม่มีแล้ว

เมื่อจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้น หัวใจของสองสามีภรรยาก็บีบรัดตัวแน่น

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ข้าเข้ามาในหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ก็เพื่อฝึกประสบการณ์ ความคิดแรกเริ่มสุดคือไม่ได้หวังว่าจะหาทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้นจึงไม่ได้พกวัตถุที่สามารถเก็บของอะไรมาได้ คิดไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสันเขาอีกา อยู่ดีๆ ก็เจอกับผีร้ายล้อมโจมตี แม้หลังจากนี้จะมีอันตรายอีกมากตามมา แต่ก็ถือว่าพอจะได้ผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ พวกเจ้าว่าเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเจ้าสองสามีภรรยาพกหีบใบใหญ่มาพอดี ก็ถือซะว่าช่วยข้าแบกโครงกระดูกขาวเหล่านั้น ข้าคาดว่าถึงอย่างไรก็น่าจะเอาไปขายได้หลายเหรียญเงินร้อนน้อย พอไปถึงที่ตลาดด่านไน่เหอ พวกเจ้าสามารถเอากระดูกขาวไปขายก่อนได้ จากนั้นก็รอข้าหนึ่งเดือน หากรอจนได้พบข้า พวกเจ้าก็สามารถเอากำไรไปได้สองส่วน หากข้าไม่ได้ปรากฏตัว พวกเจ้าก็ไม่ต้องรอข้าแล้ว ไม่ว่าจะขายได้เงินเทพเซียนมากน้อยเท่าไหร่ ล้วนถือว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของพวกเจ้าสองสามีภรรยาแล้ว”

สตรีอึ้งตะลึง ขณะที่จะพูดอะไรบางอย่าง บุรุษกลับกุมมือนางไว้แล้วบีบแน่นตัดบทคำพูดของนาง “คุณชายเคยคิดหรือไม่ว่า หากพวกเราขายกระดูกขาวไปแล้ว ได้เงินเกล็ดหิมะมา แล้วจะหนีไปเลย คุณชายไม่เป็นกังวลเลยหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อข้ากล้าทำการค้าเช่นนี้ ยังต้องกลัวว่าหลังจบเรื่องจะตามหาผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเจ้าสองคนไม่เจออีกหรือ?”

บุรุษถามอีก “เหตุใดคุณชายไม่ออกจากหุบเขาผีร้ายไปพร้อมกับพวกเราเลย พวกเราสองสามีภรรยาจะเป็นลูกหาบให้คุณชายสักครั้ง แม้จะเป็นเงินที่ได้มาอย่างยากลำบาก แต่ขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอแล้ว คุณชายยังสามารถไปขายโครงกระดูกด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันขมวดคิ้วพูด “ข้าบอกแล้วว่าเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายก็เพื่อขัดเกลาตบะของตัวเอง หาใช่เพื่อแสวงหาทรัพย์สินเงินทองไม่ หากพวกเจ้ากังวลว่านี่จะเป็นหลุมพราง ก็ให้เป็นโมฆะไปซะ”

บุรุษชำเลืองตามองไปยังผืนป่ารกครึ้มที่ห่างไปไกลแล้วหัวเราะเสียงดังกังวานว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะติดตามคุณชายไปที่สันเขาอีกาสักครั้ง ทรัพย์สินที่หล่นลงมาจากฟ้า เรื่องที่ดีงามเช่นนี้ หากปล่อยให้พลาดไป จะไม่ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรอกหรือ คุณชายวางใจได้เลย พวกเราสองสามีภรรยาจะรอท่านอยู่ที่ตลาดด่านไน่เหอครบหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน!”

บุรุษไม่ยอมให้ภรรยาปฏิเสธ บอกให้นางปลดหีบใบใหญ่ลงมา หิ้วหีบมือละหนึ่งใบแล้วติดตามเฉินผิงอันไปยังหุบเขาอีกา

เมื่อเขาเห็นโครงกระดูกขาวในสภาพดีเยี่ยมห้าร่างนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะเก็บพวกมันเข้ามาไว้ในหีบไม้อย่างระมัดระวัง

คนหนุ่มที่สวมงอบผู้นั้นนั่งพลิกเสื้อเกราะและอาวุธขึ้นสนิมบางส่วนอยู่ห่างไปไม่ไกล

สุดท้ายเมื่อคู่รักต่างแบกหีบหนักอึ้งขึ้นบนหลัง เดินกลับไปบนทางสายเล็กก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

บุรุษเงียบงันไปนาน ก่อนจะยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เหมือนฝันเลย”

สตรีเอ่ยเสียงเบา “ใต้หล้าจะมีเรื่องดีแบบนี้อยู่จริงหรือ?”

บุรุษหันหน้ากลับไปมอง ไม่มีเงาร่างของคนผู้นั้นอยู่นานแล้ว เขาหันกลับมาแล้วเอ่ยปลอบใจว่า “ยอดฝีมือทำอะไรมักอยู่เหนือการคาดคิดของคนอื่นเสมอ ถือเสียว่าพวกเราได้มาพบเซียนกระบี่ก็แล้วกัน”

บุรุษค่อยๆ ขบคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าคิดดูนะ จะมีผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาสักกี่คนที่กล้าพูดว่า ‘ถึงอย่างไรก็น่าจะขายได้หลายเหรียญเงินร้อนน้อย’? น้ำเสียงเช่นนี้ พวกเราพูดออกมาจากปากได้หรือ? ต่อให้เสแสร้งแกล้งทำ แต่จะยังพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นคุณชายหนุ่มผู้นี้หรือ? ข้าเดาว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อ ไม่มีทางเป็นผู้ฝึกตนอิสระอย่างที่พวกเราคาดเดากันไว้ตอนแรกแน่นอน เขาถึงได้ใจกว้างมือเติบ เปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ และยังมีประโยคที่เอ่ยข่มขู่พวกเรานั่น ฟังดูสิ รับรองว่าเขาต้องเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีชาติกำเนิดน่าตะลึงอย่างมากแน่นอน”

สตรีคิดแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าคุณชายผู้นั้นจงใจเอ่ยถ้อยคำบางอย่างให้พวกเราฟังโดยเฉพาะ”

บุรุษแยกเขี้ยว “ไหนเลยจะมีผู้ฝึกตนที่ยอมเปลืองแรงเป็นคนดีเช่นนี้ ประหลาดนัก หรือว่าก่อนหน้านี้ที่พวกเราจุดธูปขอพรศาลเทพลำคลองเหยาเย่ด้วยความจริงใจ คำขอเลยกลายเป็นจริงแล้ว?”

สตรียิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ”

เฉินผิงอันยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงแห่งหนึ่ง ทอดสายตามองเงาร่างของสองสามีภรรยาที่จากไปไกล

สายตาของเขาอ่อนโยน เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืนมา ยืนเอนพิงลำต้นของต้นไม้ เมื่อเขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้านครผูมีเวลาว่างขนาดนี้เชียวหรือ? นอกจากได้ครอบครองนครกรงขาวแล้ว ยังต้องคอยรับของบรรณาการที่แสดงความกตัญญูจากนครทั้งแปดแห่งซึ่งรวมถึงนครฟูนี่เป็นหนึ่งในนั้น หากใน ‘รวมเล่มวางใจ’ บอกไว้ไม่ผิดล่ะก็ ปีนี้เป็นวันรับเงินที่หกสิบปีจะมีครั้งหนึ่งพอดี ควรจะต้องยุ่งมากถึงจะถูก”

โครงกระดูกขาวชุดเขียวตนนั้นยืนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ อยู่ในหุบเขาผีร้ายย่อมมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”

เฉินผิงอันถาม “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคงแค่สงสัยว่าเหตุใดทั้งๆ ที่เห็นว่าข้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับสามารถควบคุมกระบี่ที่อยู่ด้านหลังได้อย่างคล่องแคล่วถึงเพียงนี้ อยากจะมาดูว่าสรุปแล้วข้าต้องเผาผลาญปราณวิญญาณในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปกี่ส่วน? เจ้านครผูจะได้ตัดสินใจได้ว่าควรจะลงมือดีหรือไม่?”

เจ้านครผู้นั้นพยักหน้ารับ “ผิดหวังเล็กน้อย ปราณวิญญาณเผาผลาญไปไม่มาก ดูท่าน่าจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนที่ยอมรับเจ้านายชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”

เฉินผิงอันถามอย่างเคลือบแคลง “ขอบเขตน้อยนิดแค่นี้ของข้า แต่กลับได้ครอบครองกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่ง เจ้านครผูไม่หวั่นไหวสักนิดเลยจริงๆ หรือ?”

เพราะดูเหมือนว่าเจ้านครกรงขาวผู้นั้นจะไม่มีปราณสังหารและจิตสังหารเลยสักนิด

ปราณสังหารอำพรางได้ง่าย จิตสังหารกลับเก็บซ่อนได้ยาก

วิญญาณวีรบุรุษก่อกำเนิดแห่งนครกรงขาวที่มีชื่อจริงว่าผูหรางคือผู้ฝึกลมปราณจำนวนน้อยนิดในศึกโกลาหลของหลายแคว้นครานั้นที่เปลี่ยนจากผู้ชมมาเป็นผู้ร่วมสนามรบ สุดท้ายสิ้นชีพภายใต้การล้อมสังหารของผู้ถวายงานเซียนดินจากหลายแคว้นกลุ่มหนึ่ง ใช่ว่าผูหรางจะไม่มีโอกาสหนีเอาชีวิตรอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ผูหรางถึงได้สู้สุดใจไม่ยอมถอย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ก็ไม่มีคำตอบเช่นกัน ผู้เขียนยังจงใจเบียดบังเรื่องส่วนรวมเป็นเรื่องส่วนตัว เขียนประโยคที่นอกเรื่องไว้สองสามประโยคว่า ‘ข้าเคยไหว้วานเจ้าสำนักจู๋ว่ายามที่ไปเยี่ยมเยือนนครกรงขาว ช่วยถามผูหรางให้ข้าทีว่า ผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดที่มีความหวังบนมหามรรคาคนหนึ่ง เหตุใดตอนนั้นถึงต้องพาตัวไปตายในสนามรบล่างภูเขา แต่ผูหรางกลับไม่สนใจ ผ่านมาเป็นพันปีก็ยังไม่ได้คำตอบ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างแท้จริง’

แน่นอนว่าคำกล่าวเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำที่ดี

ทว่าถ้อยคำที่ไม่ดีเกี่ยวกับผูหรางในตำราก็มีไม่น้อยเหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นผูหรางชอบกระทำการกำเริบเสิบสาน ไร้เหตุผล ผู้ฝึกกระบี่ที่มาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายที่ต้องตายด้วยน้ำมือเขาก็มีมากเกือบครึ่งหนึ่ง ในบรรดานั้นมีคนไม่น้อยที่เป็นคนหนุ่มสาวผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของจวนตระกูลเซียนลำดับต้นๆ นั่นถือเป็นตัวอ่อนกระบี่อันดับหนึ่งทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีปทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้กองกำลังที่มีตัวอักษรจงในชื่อซึ่งมีเซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์ยังเคยลงมือด้วยตัวเอง เดินทางลงใต้มาเยือนชายหาดโครงกระดูก พกกระบี่ไปเยี่ยมเยือนนครกรงขาว สุดท้ายบาดเจ็บสาหัสกันไปทั้งสองฝ่าย เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบเกือบจะขอบเขตถดถอย ในช่วงเวลาที่ใช้กระบี่บินแหวกผ่าปราการม่านฟ้าก็ยังถูกเจ้านครจิงกวานลอบโจมตี เกือบจะต้องตายคาที่ สมบัติล้ำค่าป้องกันกายบนร่างของเซียนกระบี่ที่สืบทอดจากศาลบรรพจารย์มารุ่นแล้วรุ่นเล่าชิ้นนั้นต้องพังภินท์ลงเพราะสาเหตุนี้ ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ เสียหายอย่างสาหัส นี่ยังเป็นเพราะผูหรางไม่ได้ฉวยโอกาสตามไล่ตีสุนัขที่ตกน้ำ ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าหุบเขาผีร้ายอาจจะมีวิญญาณหยินเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนแรกในประวัติศาสตร์ปรากฎขึ้นก็เป็นได้

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ผูหรางยังเป็นฝ่ายจับคู่ต่อสู้กับเจ้าสำนักพีหมาสองรุ่นด้วยตัวเองอีกหลายครั้ง ขอบเขตของจู๋เฉวียนได้รับความเสียหาย ไม่อาจเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนเสียที เรื่องนี้ต้องยกให้ผูหรางเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการอันดับหนึ่งแห่งหุบเขาผีร้าย

แน่นอนว่าเมื่อผ่านศึกตายมาหลายครั้ง ตัวผูหรางเองก็เสียโอกาสในเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบอย่างสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน ความเสียหายของเขามีมากยิ่งกว่าเสียอีก

เวลานี้ผูหรางชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังของเฉินผิงอัน “มือกระบี่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ผูหรางถาม “ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องถามเช่นนี้? หรือว่าใต้หล้านี้มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่เป็นมือกระบี่ได้? คนตายไม่มีโอกาสแล้ว?”

เฉินผิงอันมึนงงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็โล่งอก รีบกุมหมัดคารวะอีกฝ่าย

ผูหรางกระตุกซี่กระดูกขาวตรงมุมปาก ถือเป็นการยิ้มรับ จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไป

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 493.1 จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกหาลูกเขยส่งเดช

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 493.1 จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกหาลูกเขยส่งเดช at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ตอนที่ไล่ฆ่าฟ่านอวิ๋นหลัว เมื่อครู่ตอนที่ขี่กระบี่กลับมา เฉินผิงอันจงใจทะยานตัวลอยขึ้นสูงกว่าเดิมสองสามส่วน แล้วก็เห็นว่าผีโอสถทองที่แขวนชื่อไว้ในนครกรงขาวตนนั้นพาพรรคพวกจากไปอย่างรวดเร็วจริงดังคาด

ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่อยากจ่ายค่าตอบแทนบางอย่างเพื่อยุติเรื่องนี้ให้สิ้นสุดในคราวเดียว อย่างน้อยที่สุดก็ควรจะเปิดฉากต่อสู้กันสักครั้ง เพราะเดิมทีการเดินทางไปเมืองชิงหลูในครั้งนี้ วัตถุหยินที่ป้วนเปี้ยนอยู่ทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายกลุ่มนี้ก็คือตัวเลือกแรกของเฉินผิงอัน

ทว่าผูหรางเจ้านครกรงขาวผู้นั้นปรากฏตัวกะทันหัน ทำให้เฉินผิงอันเปลี่ยนใจ ตัวอักษรใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ที่บันทึกถึงเรื่องราวของวิญญาณวีรบุรุษผู้นี้แทบจะเรียกได้ว่าถี่ยิบ แต่ละเรื่องราวแต่ละเหตุการณ์ล้วนไม่เคยขี้เหนียวน้ำหมึก ตอนที่เฉินผิงอันอ่านหนังสือเล่มนี้ก็เกือบจะนึกว่าผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาที่เป็นคนแต่ง ‘รวมเล่มวางใจ’ ก็คือผู้ที่เลื่อมใสผูหราง

ถ้อยคำงดงามระหว่างบรรทัดตัวอักษรในตำราที่คล้ายจะยังมีกลิ่นคาวเลือดอบอวลอยู่ก็ยังไม่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเฉินผิงอันได้ สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันยอมอยู่อย่างสงบนั้นมีเพียงแค่สี่คำ ก่อกำเนิดขั้นสูงสุด

ในเมื่อสุดท้ายอีกฝ่ายยอมปรากฏตัวแล้ว แต่กลับไม่ได้เลือกที่จะลงมือ เฉินผิงอันก็ยินดีจะถอยให้หนึ่งก้าว

เฉินผิงอันมองโครงกระดูกขาวใสแวววาวดุจหยกที่กองเกลื่อนอยู่เต็มพื้น จำนวนไม่ต่ำกว่ายี่สิบโครง ล้วนถูกเจี้ยนเซียนและชูอีสืออู่สังหาร จิตวิญญาณของผีหญิงในนครฟูนี่เหล่านี้ล้วนแหลกสลาย กลายไปเป็นพลังต้นกำเนิดปราณหยินของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้อยู่นานแล้ว

ขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะเก็บโครงกระดูกขาวเหล่านี้ใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ เขาพลันขมวดคิ้ว บังคับเจี้ยนเซียนเตรียมจะไปจากที่แห่งนี้ ทว่าหลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็เลือกที่จะหยุดอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง เก็บกระดูกขาวส่วนใหญ่ไป เหลือกระดูกขาวที่ส่องประกายแสงระเรื่อหกเจ็ดโครงเอาไว้ แล้วถึงได้ขี่กระบี่ออกไปจากสันเขาอีกาอย่างรวดเร็ว

มองเห็นเงาร่างสองร่างบนทางเส้นเล็กจากที่ไกลๆ เฉินผิงอันถึงได้ถอนหายใจโล่งอก แต่กระนั้นเขาก็ยังไม่วางใจ เก็บกระบี่กลับเข้าฝัก สวมงอบให้เรียบร้อย พลิ้วกายลงบนพื้นที่ที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง เดินอยู่บนทางระยะหนึ่งก็หยุดยืนอยู่ที่เดิม รอคอยให้คู่รักคู่นั้นขยับเข้ามาใกล้เงียบๆ คู่ชายหญิงก็มองเห็นเฉินผิงอันแล้วเช่นกัน พวกเขาจึงคิดจะทำเหมือนก่อนหน้านั้น คืออ้อมออกไปจากทางเล็ก แสร้งทำเป็นว่าไปตามหาสมุนไพรหรือไม่ก็ก้อนหินที่สามารถเอามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ แต่พวกเขากลับพบว่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นเพียงแค่ปลดงอบลง ไม่ได้ขยับเท้าเดินไปไหน สองสามีภรรยาสบตากันด้วยความรู้สึกจนใจเล็กน้อย แล้วก็ได้แต่ฝืนใจเดินกลับไปบนเส้นทาง บุรุษอยู่ข้างหน้า สตรีอยู่ข้างหลัง พากันเดินไปหาเฉินผิงอัน จะเป็นโชคหรือเคราะห์ร้าย หากเป็นเคราะห์ร้ายก็ย่อมหนีไม่พ้น ในใจได้แต่ภาวนาขอให้ท่านเทพไตรวิสุทธิ์ช่วยคุ้มครอง

เมื่อคู่บำเพ็ญเพียรเดินมาใกล้ เฉินผิงอันก็ใช้มือหนึ่งถืองอบ มืออีกข้างหนึ่งชี้ไปยังป่ารกครึ้มด้านหลังแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ในสันเขาอีกา ข้าเปิดฉากต่อสู้กับผีร้ายกลุ่มหนึ่ง แม้ว่าจะเอาชนะมาได้อย่างหวุดหวิด แต่พวกภูตผีที่เผ่นหนีไปได้ก็มีเยอะมาก ถือว่าข้าผูกปมแค้นกับพวกมันแล้ว หลังจากนี้ย่อมหนีไม่พ้นการไล่ล่าสังหารกันอีกคำรบ หากพวกเจ้าไม่กลัวว่าจะเดือดร้อนเพราะข้า อยากจะเดินทางขึ้นเหนือต่อก็ต้องระวังตัวให้มาก”

คู่รักคู่นั้นมองหน้ากัน สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นห่อเหี่ยว

ตอนที่จ่ายค่าผ่านทางตรงซุ้มประตู หนึ่งคนห้าเหรียญเงินเกล็ดหิมะยังพอรับได้ แต่ผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตห้าที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากอย่างพวกเขาสองสามีภรรยา อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญวิชาภูตผี เมื่อเข้ามาอยู่ในหุบเขาผีร้าย ปราณวิญญาณก็ต้องถูกเผาผลาญไปตลอดเวลา ไม่เพียงแต่ต้องทรมานทั้งกายและใจ ด้วยสาเหตุนี้ยังซื้อยาวิเศษราคาไม่ธรรมดามาอีกหนึ่งขวดโดยเฉพาะ นี่ก็เพื่อให้เดินทางอยู่ในหุบเขาผีร้ายได้ไกลสักหน่อย ไปถึงสถานที่ที่ไร้ผู้คน อาศัยผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝันมาชดเชยส่วนที่ต้องสูญเสียไป ไม่อย่างนั้นหากเพียงแค่เพื่อความปลอดภัยก็ควรต้องเลือกเส้นทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลันเซ่อที่คนอื่นๆ เดินย่ำกันจนเละเทะแล้ว

ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกตน เกี่ยวพันกับเส้นทางของความเป็นอมตะ จะมีสักกี่คนที่เป็นคนโง่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาเงินของผู้ฝึกตนอิสระที่หากใช้คำว่าทุ่มเทสุดชีวิตและจิตใจ ใช้ทุกวิถีทางจนหมดสิ้นมาบรรยายก็ยังไม่เกินไปสักนิดเดียว

สองสามีภรรยาสีหน้าซีดขาว ฝ่ายหญิงกระตุกชายแขนเสื้อของฝ่ายชาย “ช่างเถิด ชะตาชีวิตเป็นเช่นนี้ ฝึกตนได้ช้าหน่อยก็ยังดีกว่าพาตัวไปตายเปล่าๆ”

บุรุษส่ายหน้า พลิกมือกลับมากุมมือสตรี เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้ารออีกไม่ได้แล้ว น้ำเต็มอ่างย่อมล้นออก หากยังถ่วงเวลาล่าช้า มีแต่จะทำร้ายเจ้า เรื่องดีจะกลายเป็นเรื่องร้าย”

บุรุษปล่อยมือนาง หันหน้ามาหาเฉินผิงอัน สายตาของเขาเด็ดเดี่ยว กุมหมัดเอ่ยขอบคุณ “บนเส้นทางของการฝึกตนต้องเจอกับลมมรสุมที่มิอาจคาดการณ์มากมาย ในเมื่อขอบเขตของพวกเราสองสามีภรรยาต่ำต้อย ก็มีเพียงเชื่อฟังลิขิตฟ้าเท่านั้น เรื่องนี้ไม่โทษคุณชายจริงๆ ข้ากับจัวจิงต้องขอขอบคุณคุณชายที่เตือนด้วยความหวังดี”

เฉินผิงอันถาม “ฮูหยินท่านนี้ใกล้จะได้เลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว แต่ติดที่รากฐานไม่มั่นคง จำเป็นต้องอาศัยเงินเทพเซียนและสมบัติอาคมมาช่วยเพิ่มความเป็นไปได้ในการฝ่าทะลุขอบเขตหรือ?”

สตรีถอนหายใจเบาๆ

บุรุษพยักหน้ารับ “คุณชายมีสายตาที่เฉียบแหลม เป็นเช่นนี้จริง”

เฉินผิงอันถาม “ขอละลาบละล้วงถามสักคำ ยังขาดแคลนอีกเท่าไหร่?”

บุรุษกล่าวอย่างจนใจ “สำหรับพวกเราสองสามีภรรยาแล้ว จำนวนนั้นนับว่าสูงมาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ ต้องเรียกว่าแข็งใจมาบุกด่านประตูผีจริงๆ”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ขาดเงินเทพเซียนอีกเท่าไหร่?”

บุรุษลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความขมขื่น “บอกตามตรง หลายปีก่อน พวกเราสองสามีภรรยาเดินทางไปหลายสิบแคว้น เลือกแล้วเลือกอีก กว่าจะมาถูกใจวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่เหมาะสมให้จัวจิงของข้าหล่อหลอมมากที่สุดในร้านเทพเซียนทางทิศตะวันตกร้านหนึ่งของชายหาดโครงกระดูก แล้วก็ถือว่าพวกเขาให้ราคาที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว แต่กระนั้นก็ยังต้องใช้เงินอีกแปดร้อยเหรียญเกล็ดหิมะ ยังเป็นเพราะเถ้าแก่ของร้านจิตใจมีเมตตา ยินดีเก็บของวิเศษที่ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออกชิ้นนั้นเอาไว้ให้ ขอแค่พวกเราสองสามีภรรยาเก็บรวบรวมเงินเทพเซียนได้มากพอภายในเวลาห้าปี ก็สามารถไปซื้อมาได้ทุกเมื่อ พวกเราต่างก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตล่าง หลายปีมานี้เดินทางผ่านหมู่ชาวบ้านร้านตลาดหลายแคว้น ไม่ว่างานแบบไหนที่ได้เงินก็ล้วนยินดีทำ จนใจที่ความสามารถไม่มากพอ ยังคงขาดเงินอีกห้าร้อยเหรียญเกล็ดหิมะ”

ในใจของสตรีขมฝาด

อันที่จริงสามีของตนยังพูดไม่หมด เพราะเป็นเรื่องที่ยากจะเอื้อนเอ่ยจริงๆ ครั้งนี้เพื่อเข้ามาหาเงินเกล็ดหิมะห้าร้อยเหรียญในหุบเขาผีร้าย ยาที่ใช้ชดเชยลมปราณขวดนั้นยังผลาญเงินพวกเขาไปอีกหนึ่งร้อยกว่าเหรียญเงินเกล็ดหิมะ

เมื่อครู่นี้ตลอดทางที่พวกเขาสองสามีภรรยาเดินทางกันมา ลองเอาสิ่งของที่หามาได้มาคำนวณเป็นเงินเทพเซียนแล้วก็ยังไม่ถึงหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะด้วยซ้ำ

เงินทองในหุบเขาผีร้าย ไหนเลยจะหามาใส่มือได้ง่ายดายเพียงนั้น

พวกเขาเห็นว่าจอมยุทธหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่คล้ายจะลังเลอะไรบางอย่าง เขายื่นมือไปกดกาเหล้าสีชาดตรงเอว น่าจะกำลังคิดอะไรอยู่

สองสามีภรรยาจึงไม่พูดอะไรมากอีก หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ากำลังเรียกร้องอะไร บนเส้นทางการฝึกตน ผู้ฝึกตนอิสระเจอกับเทพเซียนที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่า การที่สองฝ่ายสามารถอยู่รอดปลอดภัยก็ถือว่าเป็นเรื่องโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว ไม่กล้าคาดหวังอะไรที่มากกว่านั้น หลายปีที่ท่องอยู่ในยุทธภพล่างภูเขา คู่รักคู่นี้เห็นภาพที่ผู้ฝึกตนอิสระตายอนาถมาจนชาชินแล้ว พอเห็นมากๆ เข้า แม้แต่ความรู้สึกเสียใจดั่งกระต่ายตายจิ้งจอกเศร้าก็ยังไม่มีแล้ว

เมื่อจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้น หัวใจของสองสามีภรรยาก็บีบรัดตัวแน่น

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ข้าเข้ามาในหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ก็เพื่อฝึกประสบการณ์ ความคิดแรกเริ่มสุดคือไม่ได้หวังว่าจะหาทรัพย์สินเงินทอง ดังนั้นจึงไม่ได้พกวัตถุที่สามารถเก็บของอะไรมาได้ คิดไม่ถึงว่าก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในสันเขาอีกา อยู่ดีๆ ก็เจอกับผีร้ายล้อมโจมตี แม้หลังจากนี้จะมีอันตรายอีกมากตามมา แต่ก็ถือว่าพอจะได้ผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ พวกเจ้าว่าเอาอย่างนี้ดีหรือไม่ พวกเจ้าสองสามีภรรยาพกหีบใบใหญ่มาพอดี ก็ถือซะว่าช่วยข้าแบกโครงกระดูกขาวเหล่านั้น ข้าคาดว่าถึงอย่างไรก็น่าจะเอาไปขายได้หลายเหรียญเงินร้อนน้อย พอไปถึงที่ตลาดด่านไน่เหอ พวกเจ้าสามารถเอากระดูกขาวไปขายก่อนได้ จากนั้นก็รอข้าหนึ่งเดือน หากรอจนได้พบข้า พวกเจ้าก็สามารถเอากำไรไปได้สองส่วน หากข้าไม่ได้ปรากฏตัว พวกเจ้าก็ไม่ต้องรอข้าแล้ว ไม่ว่าจะขายได้เงินเทพเซียนมากน้อยเท่าไหร่ ล้วนถือว่าเป็นสมบัติส่วนตัวของพวกเจ้าสองสามีภรรยาแล้ว”

สตรีอึ้งตะลึง ขณะที่จะพูดอะไรบางอย่าง บุรุษกลับกุมมือนางไว้แล้วบีบแน่นตัดบทคำพูดของนาง “คุณชายเคยคิดหรือไม่ว่า หากพวกเราขายกระดูกขาวไปแล้ว ได้เงินเกล็ดหิมะมา แล้วจะหนีไปเลย คุณชายไม่เป็นกังวลเลยหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อข้ากล้าทำการค้าเช่นนี้ ยังต้องกลัวว่าหลังจบเรื่องจะตามหาผู้ฝึกตนอิสระอย่างพวกเจ้าสองคนไม่เจออีกหรือ?”

บุรุษถามอีก “เหตุใดคุณชายไม่ออกจากหุบเขาผีร้ายไปพร้อมกับพวกเราเลย พวกเราสองสามีภรรยาจะเป็นลูกหาบให้คุณชายสักครั้ง แม้จะเป็นเงินที่ได้มาอย่างยากลำบาก แต่ขอแค่ไม่ขาดทุนก็พอแล้ว คุณชายยังสามารถไปขายโครงกระดูกด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันขมวดคิ้วพูด “ข้าบอกแล้วว่าเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายก็เพื่อขัดเกลาตบะของตัวเอง หาใช่เพื่อแสวงหาทรัพย์สินเงินทองไม่ หากพวกเจ้ากังวลว่านี่จะเป็นหลุมพราง ก็ให้เป็นโมฆะไปซะ”

บุรุษชำเลืองตามองไปยังผืนป่ารกครึ้มที่ห่างไปไกลแล้วหัวเราะเสียงดังกังวานว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะติดตามคุณชายไปที่สันเขาอีกาสักครั้ง ทรัพย์สินที่หล่นลงมาจากฟ้า เรื่องที่ดีงามเช่นนี้ หากปล่อยให้พลาดไป จะไม่ถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หรอกหรือ คุณชายวางใจได้เลย พวกเราสองสามีภรรยาจะรอท่านอยู่ที่ตลาดด่านไน่เหอครบหนึ่งเดือนอย่างแน่นอน!”

บุรุษไม่ยอมให้ภรรยาปฏิเสธ บอกให้นางปลดหีบใบใหญ่ลงมา หิ้วหีบมือละหนึ่งใบแล้วติดตามเฉินผิงอันไปยังหุบเขาอีกา

เมื่อเขาเห็นโครงกระดูกขาวในสภาพดีเยี่ยมห้าร่างนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้าง ก่อนจะเก็บพวกมันเข้ามาไว้ในหีบไม้อย่างระมัดระวัง

คนหนุ่มที่สวมงอบผู้นั้นนั่งพลิกเสื้อเกราะและอาวุธขึ้นสนิมบางส่วนอยู่ห่างไปไม่ไกล

สุดท้ายเมื่อคู่รักต่างแบกหีบหนักอึ้งขึ้นบนหลัง เดินกลับไปบนทางสายเล็กก็ยังรู้สึกเหมือนอยู่คนละโลก ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

บุรุษเงียบงันไปนาน ก่อนจะยิ้มกว้างเอ่ยว่า “เหมือนฝันเลย”

สตรีเอ่ยเสียงเบา “ใต้หล้าจะมีเรื่องดีแบบนี้อยู่จริงหรือ?”

บุรุษหันหน้ากลับไปมอง ไม่มีเงาร่างของคนผู้นั้นอยู่นานแล้ว เขาหันกลับมาแล้วเอ่ยปลอบใจว่า “ยอดฝีมือทำอะไรมักอยู่เหนือการคาดคิดของคนอื่นเสมอ ถือเสียว่าพวกเราได้มาพบเซียนกระบี่ก็แล้วกัน”

บุรุษค่อยๆ ขบคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้าคิดดูนะ จะมีผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาสักกี่คนที่กล้าพูดว่า ‘ถึงอย่างไรก็น่าจะขายได้หลายเหรียญเงินร้อนน้อย’? น้ำเสียงเช่นนี้ พวกเราพูดออกมาจากปากได้หรือ? ต่อให้เสแสร้งแกล้งทำ แต่จะยังพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นคุณชายหนุ่มผู้นี้หรือ? ข้าเดาว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อ ไม่มีทางเป็นผู้ฝึกตนอิสระอย่างที่พวกเราคาดเดากันไว้ตอนแรกแน่นอน เขาถึงได้ใจกว้างมือเติบ เปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ และยังมีประโยคที่เอ่ยข่มขู่พวกเรานั่น ฟังดูสิ รับรองว่าเขาต้องเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีชาติกำเนิดน่าตะลึงอย่างมากแน่นอน”

สตรีคิดแล้วก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน “เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าคุณชายผู้นั้นจงใจเอ่ยถ้อยคำบางอย่างให้พวกเราฟังโดยเฉพาะ”

บุรุษแยกเขี้ยว “ไหนเลยจะมีผู้ฝึกตนที่ยอมเปลืองแรงเป็นคนดีเช่นนี้ ประหลาดนัก หรือว่าก่อนหน้านี้ที่พวกเราจุดธูปขอพรศาลเทพลำคลองเหยาเย่ด้วยความจริงใจ คำขอเลยกลายเป็นจริงแล้ว?”

สตรียิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ”

เฉินผิงอันยืนอยู่บนกิ่งไม้สูงแห่งหนึ่ง ทอดสายตามองเงาร่างของสองสามีภรรยาที่จากไปไกล

สายตาของเขาอ่อนโยน เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืนมา ยืนเอนพิงลำต้นของต้นไม้ เมื่อเขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้าก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้านครผูมีเวลาว่างขนาดนี้เชียวหรือ? นอกจากได้ครอบครองนครกรงขาวแล้ว ยังต้องคอยรับของบรรณาการที่แสดงความกตัญญูจากนครทั้งแปดแห่งซึ่งรวมถึงนครฟูนี่เป็นหนึ่งในนั้น หากใน ‘รวมเล่มวางใจ’ บอกไว้ไม่ผิดล่ะก็ ปีนี้เป็นวันรับเงินที่หกสิบปีจะมีครั้งหนึ่งพอดี ควรจะต้องยุ่งมากถึงจะถูก”

โครงกระดูกขาวชุดเขียวตนนั้นยืนอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่งที่ห่างไปไม่ไกล เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จิตใจเมตตาดุจพระโพธิสัตว์ อยู่ในหุบเขาผีร้ายย่อมมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน”

เฉินผิงอันถาม “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าคงแค่สงสัยว่าเหตุใดทั้งๆ ที่เห็นว่าข้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับสามารถควบคุมกระบี่ที่อยู่ด้านหลังได้อย่างคล่องแคล่วถึงเพียงนี้ อยากจะมาดูว่าสรุปแล้วข้าต้องเผาผลาญปราณวิญญาณในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตไปกี่ส่วน? เจ้านครผูจะได้ตัดสินใจได้ว่าควรจะลงมือดีหรือไม่?”

เจ้านครผู้นั้นพยักหน้ารับ “ผิดหวังเล็กน้อย ปราณวิญญาณเผาผลาญไปไม่มาก ดูท่าน่าจะเป็นอาวุธกึ่งเซียนที่ยอมรับเจ้านายชิ้นหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว”

เฉินผิงอันถามอย่างเคลือบแคลง “ขอบเขตน้อยนิดแค่นี้ของข้า แต่กลับได้ครอบครองกระบี่ที่ดีเล่มหนึ่ง เจ้านครผูไม่หวั่นไหวสักนิดเลยจริงๆ หรือ?”

เพราะดูเหมือนว่าเจ้านครกรงขาวผู้นั้นจะไม่มีปราณสังหารและจิตสังหารเลยสักนิด

ปราณสังหารอำพรางได้ง่าย จิตสังหารกลับเก็บซ่อนได้ยาก

วิญญาณวีรบุรุษก่อกำเนิดแห่งนครกรงขาวที่มีชื่อจริงว่าผูหรางคือผู้ฝึกลมปราณจำนวนน้อยนิดในศึกโกลาหลของหลายแคว้นครานั้นที่เปลี่ยนจากผู้ชมมาเป็นผู้ร่วมสนามรบ สุดท้ายสิ้นชีพภายใต้การล้อมสังหารของผู้ถวายงานเซียนดินจากหลายแคว้นกลุ่มหนึ่ง ใช่ว่าผูหรางจะไม่มีโอกาสหนีเอาชีวิตรอด เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ผูหรางถึงได้สู้สุดใจไม่ยอมถอย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ก็ไม่มีคำตอบเช่นกัน ผู้เขียนยังจงใจเบียดบังเรื่องส่วนรวมเป็นเรื่องส่วนตัว เขียนประโยคที่นอกเรื่องไว้สองสามประโยคว่า ‘ข้าเคยไหว้วานเจ้าสำนักจู๋ว่ายามที่ไปเยี่ยมเยือนนครกรงขาว ช่วยถามผูหรางให้ข้าทีว่า ผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดที่มีความหวังบนมหามรรคาคนหนึ่ง เหตุใดตอนนั้นถึงต้องพาตัวไปตายในสนามรบล่างภูเขา แต่ผูหรางกลับไม่สนใจ ผ่านมาเป็นพันปีก็ยังไม่ได้คำตอบ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างแท้จริง’

แน่นอนว่าคำกล่าวเหล่านี้ล้วนเป็นถ้อยคำที่ดี

ทว่าถ้อยคำที่ไม่ดีเกี่ยวกับผูหรางในตำราก็มีไม่น้อยเหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นผูหรางชอบกระทำการกำเริบเสิบสาน ไร้เหตุผล ผู้ฝึกกระบี่ที่มาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายที่ต้องตายด้วยน้ำมือเขาก็มีมากเกือบครึ่งหนึ่ง ในบรรดานั้นมีคนไม่น้อยที่เป็นคนหนุ่มสาวผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของจวนตระกูลเซียนลำดับต้นๆ นั่นถือเป็นตัวอ่อนกระบี่อันดับหนึ่งทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีปทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้กองกำลังที่มีตัวอักษรจงในชื่อซึ่งมีเซียนกระบี่เฝ้าพิทักษ์ยังเคยลงมือด้วยตัวเอง เดินทางลงใต้มาเยือนชายหาดโครงกระดูก พกกระบี่ไปเยี่ยมเยือนนครกรงขาว สุดท้ายบาดเจ็บสาหัสกันไปทั้งสองฝ่าย เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบเกือบจะขอบเขตถดถอย ในช่วงเวลาที่ใช้กระบี่บินแหวกผ่าปราการม่านฟ้าก็ยังถูกเจ้านครจิงกวานลอบโจมตี เกือบจะต้องตายคาที่ สมบัติล้ำค่าป้องกันกายบนร่างของเซียนกระบี่ที่สืบทอดจากศาลบรรพจารย์มารุ่นแล้วรุ่นเล่าชิ้นนั้นต้องพังภินท์ลงเพราะสาเหตุนี้ ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ เสียหายอย่างสาหัส นี่ยังเป็นเพราะผูหรางไม่ได้ฉวยโอกาสตามไล่ตีสุนัขที่ตกน้ำ ไม่อย่างนั้นไม่แน่ว่าหุบเขาผีร้ายอาจจะมีวิญญาณหยินเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนคนแรกในประวัติศาสตร์ปรากฎขึ้นก็เป็นได้

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น ผูหรางยังเป็นฝ่ายจับคู่ต่อสู้กับเจ้าสำนักพีหมาสองรุ่นด้วยตัวเองอีกหลายครั้ง ขอบเขตของจู๋เฉวียนได้รับความเสียหาย ไม่อาจเลื่อนขั้นสู่ห้าขอบเขตบนเสียที เรื่องนี้ต้องยกให้ผูหรางเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการอันดับหนึ่งแห่งหุบเขาผีร้าย

แน่นอนว่าเมื่อผ่านศึกตายมาหลายครั้ง ตัวผูหรางเองก็เสียโอกาสในเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบอย่างสิ้นเชิงด้วยเช่นกัน ความเสียหายของเขามีมากยิ่งกว่าเสียอีก

เวลานี้ผูหรางชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังของเฉินผิงอัน “มือกระบี่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ผูหรางถาม “ถ้าอย่างนั้นทำไมต้องถามเช่นนี้? หรือว่าใต้หล้านี้มีเพียงคนเป็นเท่านั้นที่เป็นมือกระบี่ได้? คนตายไม่มีโอกาสแล้ว?”

เฉินผิงอันมึนงงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็โล่งอก รีบกุมหมัดคารวะอีกฝ่าย

ผูหรางกระตุกซี่กระดูกขาวตรงมุมปาก ถือเป็นการยิ้มรับ จากนั้นร่างของเขาก็หายวับไป

—–

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+