กระบี่จงมา 523.4 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 523.4 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แคว้นซูสุ่ย ในช่วงที่อากาศร้อนที่สุด ซ่งอวี่เซาออกจากหมู่บ้านไปยังเหลาสุราที่คุ้นเคย นั่งตรงตำแหน่งเดิม กินหม้อไฟที่ไอร้อนลอยกรุ่นผุดพุ่ง

ผู้เฒ่าพูดพึมพำกับตัวเองอย่างลำพองใจ “ไอ้หนู เห็นแล้วหรือยัง นี่ต่างหากที่เรียกว่าเผ็ดที่สุด เมื่อก่อนเป็นเพราะเห็นแก่รสปากของเจ้า วิชากระบี่ของเจ้าแข็งแกร่งกว่า แต่เรื่องกินเผ็ดนี้ ข้าคนเดียวก็สามารถโค่นเจ้าเฉินผิงอันได้หลายคน”

แคว้นไฉ่อี หญิงชรารูปร่างผอมแห้งคนหนึ่งนอนป่วยอยู่บนเตียง มือที่เหี่ยวย่นข้างหนึ่งของนางถูกสตรีที่นั่งอยู่บนหัวเตียงกุมเอาไว้เบาๆ

หญิงชราที่เป็นดั่งตะเกียงน้ำมันแห้งขอดพยายามฝืนลืมตาขึ้น พูดพึมพำว่า “นายท่าน ฮูหยิน เหล้าปีนี้ยังไม่ได้หมักเลย…หากคุณชายเฉินมาก็คงไม่ได้ดื่มเหล้าแล้ว”

น้ำตาเอ่อกลบดวงตาสตรีแต่งงานแล้ว นางโน้มตัวลงเบาๆ พูดเสียงกระซิบว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว เหล้าของปีนี้ข้าจะหมักให้เอง”

หญิงชรายังพึมพำอะไรต่อ ทว่าเสียงกลับเบาเหมือนเสียงยุงแล้ว “ยังมีเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวที่คุณชายเฉินชอบกินที่สุดอีก ฮูหยินจำไว้ว่าต้องเอาถ้วยขาวใบใหญ่ใส่เหล้าให้เขา อย่าใช้จอกหเล้า…เดิมทีนี่เป็นเรื่องหยุมหยิมที่บ่าวควรจะทำเอง คงได้แต่รบกวนฮูหยินแล้ว ฮูหยินอย่าลืมนะ อย่าลืมนะ”

……

ตอนนั้นเมื่อชุยตงซานออกมาจากสำนักศึกษากวานหู โจวจวี่ก็รู้สึกว่านี่คือคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง

หลังจากชุยตงซานจากมาได้ไม่นานเท่าไร สำนักศึกษากวานหูและสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

นับตั้งแต่อริยะเจ้าขุนเขาไปจนถึงรองเจ้าขุนเขาแต่ละท่าน นักปราชญ์วิญญูชนทุกคน ทุกปีจะต้องเอาเวลาที่มากพอไปเปิดคาบเรียนอบรมสั่งสอนตามสำนักศึกษาหรือกั๋วจื่อเจียน (สถาบันการศึกษาอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ) ตามราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ

ไม่ใช่แค่อริยะถ่ายทอดวิชาให้วิญญูชน วิญญูชนถ่ายทอดความรู้ให้นักปราชญ์ นักปราชณ์สอนหนังสือให้กับบัณฑิตในโรงเรียนอีกต่อไป

ในอาณาเขตทั้งหมดของต้าหลี นอกจากโรงเรียนเอกชนแล้ว โรงเรียนตามชนบท อำเภอและเมืองทุกแห่ง ทางราชสำนักแคว้นใต้อาณัติหรือที่ว่าการของพื้นที่ต่างๆ จะต้องเพิ่มเงินให้แก่คนสอนหนังสือ ส่วนจะเพิ่มให้มากน้อยเท่าไรก็ให้พิจารณาตามเหตุการณ์ดูไปตามความเหมาะสม คนที่สอนหนังสือมายี่สิบปีขึ้นไป จะได้รับเงินค่าตอบแทนก้อนหนึ่งในคราวเดียว หลังจากนั้นทุกๆ สิบปีก็จะเพิ่มเงินเดือนให้อีก ทุกคนล้วนได้รับเงินรางวัลนอกเหนือจากเงินเดือนหนึ่งก้อน

วันนี้เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ในที่สุดก็ชมงิ้วเรื่องหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบได้จบ เขาจึงเผยตัวพลิ้วกายลงในเรือนเศรษฐีที่ไม่เหลือคนรอดชีวิตแห่งนั้น

สุดท้ายเขาก็มานั่งเคียงไหล่เด็กสาวอายุน้อยที่มีสถานะเป็นสาวใช้อยู่บนราวระเบียง

เด็กสาวต้องมาเดือดร้อนไปด้วยเพราะฮูหยินที่ลอบคบชู้สู่ชาย ชายชาตรีพี่น้องบุญธรรมคู่หนึ่งที่ไล่ฆ่าคนมาตลอดทางจนถึงเรือนด้านหลัง มาเจอกับนางที่ผ่านทางมาพอดี นางจึงถูกพวกเขาใช้มีดแทงตาย

ฮูหยินคนนั้นมีสภาพอเนจอนาถยิ่งกว่า เพราะถูกนายท่านของเรือนที่เคียดแค้นสุดขีดแล่เนื้อเถือหนังให้ตายทั้งเป็น

ตอนนั้นสายตาของน้องชายบุญธรรมที่เปิดโปงเรื่องฉาวระหว่างพี่สะใภ้กับบุรุษชายชู้ฉายแววเร่าร้อน มือที่กำมีดสั่นสะท้านเบาๆ

ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับพี่สะใภ้ สตรีคลี่ยิ้มงดงามดุจบุปผาผลิบาน หลังจากทักทายเขาแล้วก็เดินนวยนาดเข้าไปยังเรือนด้านใน ตอนที่เลิกผ้าม่านเดินข้ามผ่านธรณีประตู นางสะดุดรองเท้าปักลายบุปผาจึงร่วงหลุด สตรีหยุดเดิน แต่กลับไม่ได้หันตัวกลับ เพียงใช้ปลายเท้าเกี่ยวรองเท้าขึ้นมาสวม แล้วจึงเดินเนิบช้าข้ามผ่านธรณีประตูออกไป

หลังจากนั้นมาเขาก็พยายามอดทนข่มกลั้นตัวเอง เพียงแต่ว่าอดมองนางอยู่หลายครั้งไม่ไหว ดังนั้นเขาถึงได้ไปเห็นเรื่องสกปรกนั้น

ชุยตงซานวางสองมือไว้บนหัวเข่า พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายกับสาวใช้น่าสงสารข้างกายที่ตายอย่างไม่เหลือโอกาสรอดอีกแล้วผู้นั้นว่า “วิถีทางโลกในอนาคตอาจจะดียิ่งกว่าเดิม หรืออาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ใครเล่าจะรู้ได้”

……

เด็กหนุ่มเลือดผสมที่สะพายชั้นวางกระบี่ขนาดใหญ่ กระบี่ผุพังแต่ละเล่มวางเรียงรายเหมือนนกยูงรำแพนหางกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับอาจารย์ของเขาช้าๆ

ก่อนหน้านี้อาจารย์พาเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามของใต้หล้าแห่งนั้น ด้านในมีบัลลังก์มากมายลอยตัวอยู่กลางอากาศ ระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน

อาจารย์พาเขาไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่เป็นของอาจารย์

“อาจารย์ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่กับอาเหลียงเพื่อนของท่าน ใครกันที่ออกกระบี่ได้เร็วกว่า?”

“บอกได้ยาก”

“อาจารย์ เหตุใดท่านถึงเลือกข้าเป็นลูกศิษย์? ข้าคิดแล้วก็ไม่เคยเข้าใจ ก่อนหน้าวันนี้ อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยกล้าคิดสักเท่าไร”

“เพราะว่าเจ้าคือคนที่มีความหวังว่าจะออกกระบี่ได้เร็วที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเรา บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้กลายเป็นมือกระบี่ที่ได้ยืนอยู่หน้าสุดของสมรภูมิรบ แต่ในอนาคตเจ้าจะต้องกลายเป็นมือกระบี่ที่ช่วยคุมท้ายขบวนอยู่ด้านหลังสุดได้อย่างแน่นอน”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างขลาดกลัว “ข้าจะเปรียบเทียบกับอาจารย์ได้อย่างไร?”

บุรุษกุมลำคอของเด็กหนุ่มแล้วยกตัวเขาลอยขึ้นช้าๆ “เจ้าสามารถสงสัยว่าตัวเองคือเศษสวะที่ตบะในการฝึกตนพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า เป็นพันธ์ผสมที่มีชาติกำเนิดไม่ดีได้ แต่เจ้าไม่สามารถสงสัยในแววตาของข้าได้”

ชายฉกรรจ์ใช้มือหนึ่งบีบคอของเด็กหนุ่ม อีกมือหนึ่งชี้นิ้วไปยังบัลลังก์แต่ละตัวที่ลอยอยู่กลางอากาศ แนะนำให้เขารู้ว่าเป็นตำแหน่งของใคร

สุดท้ายเขาปล่อยมือออก พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “หากเจ้าทำได้ แล้วหากวันใดเห็นพวกเขาแล้วรู้สึกขวางหูขวางตา ก็แค่ออกกระบี่ให้น้อยกว่าอาจารย์ก็พอ”

“แต่เมื่อไหร่ที่ข้าแน่ใจว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่มีทางทำได้ เจ้าก็สามารถตายได้ ไม่ใช่ทุกคนที่มีพรสวรรค์ดีเหมือนเจ้าแล้วจะได้รับโชควาสนาเช่นเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่าทุกเวลานาทีในปัจจุบันให้ดี”

……

นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวกับนักพรตเด็กหนุ่มที่ไม่สวมกวานเต๋าเริ่มออกท่องไปใต้หล้าด้วยกัน

ทั้งสองต่างก็เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าที่แยกสถานะของระบบเต๋าไม่ออก

ฝ่ายแรกมีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวต่อฝ่ายหลัง ทำตามใจปรารถนา การกระทำทุกอย่างขอเพียงคล้อยไปตามเจตจำนงดั้งเดิม ไม่จำเป็นต้องไปนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา

ทว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ พละกำลังของตัวเขาเองต้องมากพอ อย่าได้รนหาที่ตาย

นักพรตเด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามคำถามหนึ่ง “สามารถฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อได้หรือไม่?”

นักพรตหนุ่มยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับ ตอบกลับด้วยสองคำว่า “แน่นอน” หลังจากหยุดชะงักไปครู่ก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกสี่คำ “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”

นักพรตเด็กหนุ่มพยักหน้ารับ

จากนั้นนักพรตหนุ่มก็ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าบริสุทธิ์? แล้วรู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าฆ่าพร่ำเพื่อ?”

นักพรตเด็กหนุ่มจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด

นักพรตหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ “เมื่อก่อนเจ้ารู้ ต่อให้จะเพียงแค่ผิวเผินก็ตาม ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าคนคนหนึ่งหากฉลาดเกินไปก็ไม่ค่อยดี ในอดีตข้าเคยถามคำถามที่คล้ายคลึงกันนี้ คำตอบที่ได้มากลับดีกว่าเจ้า ดีกว่ามากนัก”

เด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาว

เพราะว่าศิษย์พี่เล็กผู้นี้

คือเจ้าลัทธิลู่เฉิน เจ้าของป๋ายอวี้จิงคนปัจจุบัน

ต่อให้เด็กหนุ่มจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋า

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์พี่เล็กที่ใช้ฝ่ามือเดียวตบให้ตนเป็นกองเนื้อเละๆ เด็กหนุ่มจึงเกิดความเคารพหวาดเกรงจากใจจริง

ตอนแรกที่ออกมาจากป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เคยเผชิญความลำบากเล็กๆ น้อยๆ ระดับล่างสุดมาแล้ว แล้วก็เคยเสวยสุขอย่างคนตระกูลเซียนในป๋ายอวี้จิงมาก่อน จากนั้นยังได้ตายไปหนึ่งครั้ง หลังจากนี้ก็ควรจะเรียนรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ดีๆ ได้อย่างไร ควรจะลงไปเดินเส้นทางสายกลางระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขาบ้างแล้ว”

ตอนนั้นเขาถามลู่เฉิน “ศิษย์พี่เล็ก ต้องใช้เวลาหลายปีหรือไม่?”

ตอนนั้นลู่เฉินตอบว่า หากเรียนได้เร็ว เวลาไม่กี่สิบปีก็เพียงพอแล้ว แต่หากเรียนได้ช้า หลายร้อยปีถึงหนึ่งพันปีก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

สุดท้ายลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “วางใจเถอะ หากตายไป มรรคกถาของศิษย์พี่เล็กนับว่าไม่เลว สามารถช่วยเจ้าได้อีกครั้ง”

ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่นักพรตเด็กหนุ่มตายแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ เรือนกายเนื้อหนังมังสาร่างนี้ของเขาก็เรียกได้ว่าเป็นกระดูกเต๋าแต่กำเนิดอย่างที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้ หากฝึกตนจะสามารถพัฒนาไปได้พันลี้ภายในหนึ่งวัน ‘เกิดมา’ ก็เป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตสามช่องโพรงต่างก็มีอาวุธเซียนสามชิ้นวางอยู่นิ่งๆ รอให้เขาไปหล่อหลอมมันช้าๆ

ตามคำบอกของลู่เฉินศิษย์พี่เล็ก นั่นคือของขวัญที่ศิษย์พี่ทั้งสามท่านเตรียมไว้ให้เขา ให้เขารับไปอย่างสบายใจ

นอกจากนี้ สมบัติชิ้นที่แย่ที่สุดของนักพรตเด็กหนุ่มก็คือชุดคลุมอาคมอาวุธกึ่งเซียนที่มีชื่อว่า ‘เมล็ดบัว’ ซึ่งเขาสวมใส่อยู่ตอนนี้

ระดับขั้นของมันต่ำที่สุด ทว่าใต้หล้ามืดสลัวในทุกวันนี้ นอกจากเซียนเหรินที่บรรลุมรรคาซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของชุดคลุมอาคมตัวนี้อีก

พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อสวมชุดคลุมอาคมลัทธิเต๋าตัวนี้ ต่อให้นักพรตเด็กหนุ่มไปเยือนสามใต้หล้าที่เหลือ ไปยังสถานที่ที่อันตรายที่สุด ยิ่งขอบเขตของผู้ที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่นั้นๆ สูงเท่าไร นักพรตเด็กหนุ่มก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น

นักพรตเด็กหนุ่มยื่นคอไปให้คนอื่นฆ่า อีกฝ่ายก็ยังต้องฝืนใจยอมพาเขาส่งออกไปนอกพื้นที่แต่โดยดี

มีวันหนึ่งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ลู่เฉินจึงไปนั่งเล่นหมากล้อมกับตัวเองอยู่บนทะเลเมฆ นักพรตเด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง

ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ชีวิตนี้ฉีจิ้งชุนได้เล่นหมากล้อมกระดานสุดท้าย เม็ดหมากขาวดำที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนวางตัดสลับกันอยู่บนกระดานตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด เป็นช่วงปิดฉากสุดท้ายที่จุดจบถูกกำหนดมาไว้แล้ว ตอนที่เขาตัดสินใจละเมิดกฎเกณฑ์เป็นครั้งแรก แล้วก็เป็นการวางหมากอย่างไร้เหตุผลเพียงครั้งเดียวในชีวิต เขาไม่ได้วางหมากเม็ดอื่นลงไปอีก แต่เขามองเห็นว่าบนกระดานมีประกายแสงเมฆหมอกเจิดจ้า ส่องประกายแวววาวพร่างตา”

เด็กหนุ่มถามอย่างใคร่รู้ “ศิษย์พี่เล็กได้เห็นภาพนี้เองกับตาก็เลยอนุมานออกมาได้อย่างนั้นหรือ?”

ลู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่ อาจารย์ของพวกเราเล่าให้ข้าฟัง ยิ่งเป็นฉีจิ้งชุนที่พูดกับอาจารย์ของพวกเรา”

เด็กหนุ่มเดาะลิ้น

ลู่เฉินยิ้มจนตาหยี ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาวางลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มที่เป็นศิษย์น้องเล็กของตนเบาๆ “ฉีจิ้งชุนกล้ามอบความหวังยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไว้บนตัวของเด็กหนุ่มบ้านนอกขาเปื้อนโคลนคนหนึ่ง! เจ้าล่ะ?! ข้าล่ะ?”

หลังจากมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์นานวันเข้า เด็กหนุ่มก็เริ่มปรับตัวได้คุ้นเคยมากขึ้น ดั่งคำว่าเมื่อโชคมาเยือนสติปัญญาก็เฉียบไว ความคิดพลันผุดขึ้นในหัวจึงหลุดปากตอบไปว่า “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

ลู่เฉินดึงมือกลับมา หัวเราะร่าเสียงดัง

ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนออกเดินทางไปในใต้หล้ามืดสลัวต่ออีกครั้ง

มีวันหนึ่งเด็กหนุ่มเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่เล็กมาออกมาจากป๋ายอวี้จิง มาเตร็ดเตร่เป็นเพื่อนข้าเช่นนี้ จะไม่ถ่วงวลาเรื่องใหญ่ของท่านหรือ?”

นักพรตหนุ่มส่ายหน้ายิ้มกล่าว “บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องใหญ่ที่แท้จริงมาก่อน”

……

เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว

ชุยเฉิงเดินออกมาจากชั้นสองของเรือนอย่างที่หาได้ยาก

จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อต่างก็มารวมตัวกันอยู่ครบ

ในมือของเว่ยป้อถือร่มใบถงที่ปีนั้นเฉินผิงอันเอาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว

ชุยเฉิงพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “พาเผยเฉียนมาที่นี่ เข้าไปด้วยกัน ในเมื่อพื้นที่มงคลดอกบัวถูกแบ่งเป็นสี่ส่วน พวกเราได้ครอบครองหนึ่งส่วนในนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ให้จูเหลี่ยนและเผยเฉียนไปดูก่อน”

เว่ยป้อร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต เจ้าถ่านดำน้อยที่กำลังฝึกวิชากระบี่มารคลั่งอยู่ในเรือนด้านหลังของตรอกฉีหลงพลันค้นพบว่าร่างตัวเองลอยขึ้นกลางอากาศ พอร่วงลงสู่พื้นอีกครั้งก็มายืนอยู่ด้านนอกเรือนไม้ไผ่แล้ว นางพลันคำรามอย่างเดือดดาล “อะไรกัน! ข้าฝึกวิชากระบี่เสร็จแล้วยังต้องคัดตัวอักษรอีกนะ!”

เว่ยป้อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ากับจูเหลี่ยนไปที่แคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวสักรอบหนึ่งก่อน”

เผยเฉียนปากอ้าตาค้าง

เว่ยป้อกางร่ม พอปล่อยมือออก

ก็มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลรินลงมาเป็นสายจากผิวร่ม

จูเหลี่ยนจูงมือเผยเฉียนเดินเข้าไปข้างใน

นาทีถัดมาจูเหลี่ยนกับเผยเฉียนก็เดินเข้าไปในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนด้วยกัน เผยเฉียนขยี้ตา นางมาอยู่บนถนนที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดเส้นนั้น และตรอกเล็กแห่งนั้นก็อยู่ห่างไปไม่ไกล

ตอนนี้เป็นช่วงฤดูกาลที่ฝนตกปรอยๆ

เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือโบกไม้เท้าเป็นพัลวัน ปากก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวคนหนึ่งพุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว

เขาก็คือจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองแวบหนึ่ง “โอ้โห ยอดฝีมือ”

ดูเหมือนว่าจ้งชิวจะไม่รู้สึกสงสัยกับการที่ได้เห็น ‘เจ๋อเซียน’ สองคนนี้มาปรากฏตัวในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน กลับกันยังยิ้มถามว่า “เฉินผิงอันล่ะ?”

เผยเฉียนเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ยืดอกตั้ง พูดเหมือนคนแก่ว่า “อาจารย์ของข้าไม่ว่าง ก็เลยให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างข้ามาเยี่ยมพวกเจ้าก่อน!”

จากนั้นเผยเฉียนก็เหมือนถูกฟ้าผ่า ไม่เหลือความโอหังอวดดีอีกแม้แต่น้อย

นางถึงขั้นรู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบ

หลังจากนั้นมานางก็มีท่าทางมึนๆ งงๆ จนกระทั่งออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วถึงจะพอคืนสติกลับมาได้บ้าง

เว่ยป้อกับเจิ้งต้าเฟิงต่างก็รู้สึกประหลาดใจ

จูเหลี่ยนส่ายหน้า บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องถามมาก

วันนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เผยเฉียนเป็นฝ่ายขึ้นไปเยือนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ด้วยตัวเอง หลังจากเอ่ยเรียกทักทายและได้รับคำอนุญาตแล้ว นางถึงได้ถอดรองเท้าวางคู่กันไว้นอกธรณีประตูอย่างเป็นระเบียบ แม้แต่ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นก็ยังถูกวางพิงไว้เอียงๆ บนผนังด้านนอก ไม่ได้พกติดตัวไปด้วย หลังจากปิดประตูลงแล้ว นางก็นั่งขัดสมาธิ ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่าเปลือยเท้า

ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “มาหาข้ามีธุระอะไร? หรือว่าอยากจะเรียนวิชาหมัดกับข้า?”

ไม่รู้ว่าเหตุใดตลอดหลายปีมานี้ถ่านดำน้อยถึงไม่เคยเติบโตขึ้นเลย นางพยักหน้ารับอย่างแรง “ข้าจะเรียนวิชาหมัด!”

ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ไม่กลัวลำบากหรือ?”

สายตาของเผยเฉียนเด็ดเดี่ยว “ตายก็ไม่กลัว!”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ช่างเป็นคำพูดคำจาที่วางโตนัก ถึงเวลาหากร้องไห้จ้าขึ้นมาอีก คราวนี้บนภูเขาลั่วพั่วไม่มีเฉินผิงอันคอยปกป้องเจ้าหรอกนะ หากตัดสินใจว่าจะเรียนวิชาหมัดกับข้า ก็ไม่มีทางให้หวนกลับอีกแล้ว”

เผยเฉียนพูดเสียงจริงจัง “ข้าคิดมาดีแล้ว ต่อให้ถึงเวลานั้นข้าจะร้องไห้ จะกลับคำ ท่านก็ต้องซ้อมจนข้าไม่กล้าร้องไห้ ไม่กล้ากลับคำ!”

ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบนี้ไม่น้อย เขาหัวเราะเสียงดังกังวานอย่างชอบใจ สุดท้ายเขาจ้องมองดวงตาคู่นั้นของแม่นางน้อย “คำถามสุดท้าย ทำไมถึงต้องเรียนวิชาหมัด?”

เผยเฉียนกำสองหมัดแน่น เงียบงันไปนานถึงเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าเผยเฉียนจะสู้คนอื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่มีเพียงคนเดียวที่ข้าไม่อาจแพ้ให้เขา! แพ้ให้ไม่ได้โดยเด็ดขาด!”

ผู้เฒ่าร้องอ้อหนึ่งที “ดี ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้สืบทอดวิชาคนสุดท้ายของข้าชุยเฉิงแล้ว วางใจเถอะ ไม่ต้องใช้สถานะอาจารย์และศิษย์กับผายลมสุนัขอะไรนั่นหรอก”

เผยเฉียนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา นางพยักหน้ารับหนักๆ แล้วจึงลุกขึ้นโค้งตัวคารวะขอบคุณผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ยามอยู่กับเฉินผิงอันไม่เคยวางท่าใดๆ เวลานี้กลับลุกขึ้นยืน เอาสองมือไพล่หลัง รับการคารวะนี้อย่างจริงจัง

เผยเฉียนก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อีกก้าวหนึ่งชักถอยหลัง ตั้งกระบวนท่าหมัด “มา!”

ร่างของชุยเฉิงพุ่งวูบออกไป มือหนึ่งกดอยู่บนศีรษะของแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่าน ดันหัวนางแนบติดกำแพง กระดูกทั่วร่างของเผยเฉียนลั่นดังกร๊อบๆ เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ ถามว่า “ยังจะเรียนอีกไหม?!”

เผยเฉียนคำรามอย่างเดือดดาล “ถึงตายก็จะเรียน!”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ดีมาก”

……

ตอนนั้นที่อยู่หน้าตรอกเล็กของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งเดินออกมาจากตรอก ในมือของเขาถือร่มกระดาษน้ำมัน รอยยิ้มบนใบหน้าอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ เขามองมาเห็นเผยเฉียน หลังจากความตกตะลึงน้อยๆ ผ่านไปก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม “เผยเฉียน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 523.4 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 523.4 สถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้า ล้วนเป็นเพียงเรื่องเล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แคว้นซูสุ่ย ในช่วงที่อากาศร้อนที่สุด ซ่งอวี่เซาออกจากหมู่บ้านไปยังเหลาสุราที่คุ้นเคย นั่งตรงตำแหน่งเดิม กินหม้อไฟที่ไอร้อนลอยกรุ่นผุดพุ่ง

ผู้เฒ่าพูดพึมพำกับตัวเองอย่างลำพองใจ “ไอ้หนู เห็นแล้วหรือยัง นี่ต่างหากที่เรียกว่าเผ็ดที่สุด เมื่อก่อนเป็นเพราะเห็นแก่รสปากของเจ้า วิชากระบี่ของเจ้าแข็งแกร่งกว่า แต่เรื่องกินเผ็ดนี้ ข้าคนเดียวก็สามารถโค่นเจ้าเฉินผิงอันได้หลายคน”

แคว้นไฉ่อี หญิงชรารูปร่างผอมแห้งคนหนึ่งนอนป่วยอยู่บนเตียง มือที่เหี่ยวย่นข้างหนึ่งของนางถูกสตรีที่นั่งอยู่บนหัวเตียงกุมเอาไว้เบาๆ

หญิงชราที่เป็นดั่งตะเกียงน้ำมันแห้งขอดพยายามฝืนลืมตาขึ้น พูดพึมพำว่า “นายท่าน ฮูหยิน เหล้าปีนี้ยังไม่ได้หมักเลย…หากคุณชายเฉินมาก็คงไม่ได้ดื่มเหล้าแล้ว”

น้ำตาเอ่อกลบดวงตาสตรีแต่งงานแล้ว นางโน้มตัวลงเบาๆ พูดเสียงกระซิบว่า “ไม่ต้องกลัวนะ ไม่ต้องกลัว เหล้าของปีนี้ข้าจะหมักให้เอง”

หญิงชรายังพึมพำอะไรต่อ ทว่าเสียงกลับเบาเหมือนเสียงยุงแล้ว “ยังมีเนื้อผัดหน่อไม้ฤดูหนาวที่คุณชายเฉินชอบกินที่สุดอีก ฮูหยินจำไว้ว่าต้องเอาถ้วยขาวใบใหญ่ใส่เหล้าให้เขา อย่าใช้จอกหเล้า…เดิมทีนี่เป็นเรื่องหยุมหยิมที่บ่าวควรจะทำเอง คงได้แต่รบกวนฮูหยินแล้ว ฮูหยินอย่าลืมนะ อย่าลืมนะ”

……

ตอนนั้นเมื่อชุยตงซานออกมาจากสำนักศึกษากวานหู โจวจวี่ก็รู้สึกว่านี่คือคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง

หลังจากชุยตงซานจากมาได้ไม่นานเท่าไร สำนักศึกษากวานหูและสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยที่อยู่ทางทิศเหนือก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง

นับตั้งแต่อริยะเจ้าขุนเขาไปจนถึงรองเจ้าขุนเขาแต่ละท่าน นักปราชญ์วิญญูชนทุกคน ทุกปีจะต้องเอาเวลาที่มากพอไปเปิดคาบเรียนอบรมสั่งสอนตามสำนักศึกษาหรือกั๋วจื่อเจียน (สถาบันการศึกษาอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ) ตามราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ

ไม่ใช่แค่อริยะถ่ายทอดวิชาให้วิญญูชน วิญญูชนถ่ายทอดความรู้ให้นักปราชญ์ นักปราชณ์สอนหนังสือให้กับบัณฑิตในโรงเรียนอีกต่อไป

ในอาณาเขตทั้งหมดของต้าหลี นอกจากโรงเรียนเอกชนแล้ว โรงเรียนตามชนบท อำเภอและเมืองทุกแห่ง ทางราชสำนักแคว้นใต้อาณัติหรือที่ว่าการของพื้นที่ต่างๆ จะต้องเพิ่มเงินให้แก่คนสอนหนังสือ ส่วนจะเพิ่มให้มากน้อยเท่าไรก็ให้พิจารณาตามเหตุการณ์ดูไปตามความเหมาะสม คนที่สอนหนังสือมายี่สิบปีขึ้นไป จะได้รับเงินค่าตอบแทนก้อนหนึ่งในคราวเดียว หลังจากนั้นทุกๆ สิบปีก็จะเพิ่มเงินเดือนให้อีก ทุกคนล้วนได้รับเงินรางวัลนอกเหนือจากเงินเดือนหนึ่งก้อน

วันนี้เด็กหนุ่มชุดขาวที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ในที่สุดก็ชมงิ้วเรื่องหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบได้จบ เขาจึงเผยตัวพลิ้วกายลงในเรือนเศรษฐีที่ไม่เหลือคนรอดชีวิตแห่งนั้น

สุดท้ายเขาก็มานั่งเคียงไหล่เด็กสาวอายุน้อยที่มีสถานะเป็นสาวใช้อยู่บนราวระเบียง

เด็กสาวต้องมาเดือดร้อนไปด้วยเพราะฮูหยินที่ลอบคบชู้สู่ชาย ชายชาตรีพี่น้องบุญธรรมคู่หนึ่งที่ไล่ฆ่าคนมาตลอดทางจนถึงเรือนด้านหลัง มาเจอกับนางที่ผ่านทางมาพอดี นางจึงถูกพวกเขาใช้มีดแทงตาย

ฮูหยินคนนั้นมีสภาพอเนจอนาถยิ่งกว่า เพราะถูกนายท่านของเรือนที่เคียดแค้นสุดขีดแล่เนื้อเถือหนังให้ตายทั้งเป็น

ตอนนั้นสายตาของน้องชายบุญธรรมที่เปิดโปงเรื่องฉาวระหว่างพี่สะใภ้กับบุรุษชายชู้ฉายแววเร่าร้อน มือที่กำมีดสั่นสะท้านเบาๆ

ครั้งแรกที่เขาได้เจอกับพี่สะใภ้ สตรีคลี่ยิ้มงดงามดุจบุปผาผลิบาน หลังจากทักทายเขาแล้วก็เดินนวยนาดเข้าไปยังเรือนด้านใน ตอนที่เลิกผ้าม่านเดินข้ามผ่านธรณีประตู นางสะดุดรองเท้าปักลายบุปผาจึงร่วงหลุด สตรีหยุดเดิน แต่กลับไม่ได้หันตัวกลับ เพียงใช้ปลายเท้าเกี่ยวรองเท้าขึ้นมาสวม แล้วจึงเดินเนิบช้าข้ามผ่านธรณีประตูออกไป

หลังจากนั้นมาเขาก็พยายามอดทนข่มกลั้นตัวเอง เพียงแต่ว่าอดมองนางอยู่หลายครั้งไม่ไหว ดังนั้นเขาถึงได้ไปเห็นเรื่องสกปรกนั้น

ชุยตงซานวางสองมือไว้บนหัวเข่า พูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายกับสาวใช้น่าสงสารข้างกายที่ตายอย่างไม่เหลือโอกาสรอดอีกแล้วผู้นั้นว่า “วิถีทางโลกในอนาคตอาจจะดียิ่งกว่าเดิม หรืออาจจะเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ใครเล่าจะรู้ได้”

……

เด็กหนุ่มเลือดผสมที่สะพายชั้นวางกระบี่ขนาดใหญ่ กระบี่ผุพังแต่ละเล่มวางเรียงรายเหมือนนกยูงรำแพนหางกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับอาจารย์ของเขาช้าๆ

ก่อนหน้านี้อาจารย์พาเขาไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เป็นพื้นที่ต้องห้ามของใต้หล้าแห่งนั้น ด้านในมีบัลลังก์มากมายลอยตัวอยู่กลางอากาศ ระดับสูงต่ำไม่เท่ากัน

อาจารย์พาเขาไปยืนอยู่ตรงตำแหน่งที่เป็นของอาจารย์

“อาจารย์ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่กับอาเหลียงเพื่อนของท่าน ใครกันที่ออกกระบี่ได้เร็วกว่า?”

“บอกได้ยาก”

“อาจารย์ เหตุใดท่านถึงเลือกข้าเป็นลูกศิษย์? ข้าคิดแล้วก็ไม่เคยเข้าใจ ก่อนหน้าวันนี้ อันที่จริงข้าก็ไม่ค่อยกล้าคิดสักเท่าไร”

“เพราะว่าเจ้าคือคนที่มีความหวังว่าจะออกกระบี่ได้เร็วที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างของพวกเรา บางทีเจ้าอาจจะไม่ได้กลายเป็นมือกระบี่ที่ได้ยืนอยู่หน้าสุดของสมรภูมิรบ แต่ในอนาคตเจ้าจะต้องกลายเป็นมือกระบี่ที่ช่วยคุมท้ายขบวนอยู่ด้านหลังสุดได้อย่างแน่นอน”

เด็กหนุ่มกล่าวอย่างขลาดกลัว “ข้าจะเปรียบเทียบกับอาจารย์ได้อย่างไร?”

บุรุษกุมลำคอของเด็กหนุ่มแล้วยกตัวเขาลอยขึ้นช้าๆ “เจ้าสามารถสงสัยว่าตัวเองคือเศษสวะที่ตบะในการฝึกตนพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า เป็นพันธ์ผสมที่มีชาติกำเนิดไม่ดีได้ แต่เจ้าไม่สามารถสงสัยในแววตาของข้าได้”

ชายฉกรรจ์ใช้มือหนึ่งบีบคอของเด็กหนุ่ม อีกมือหนึ่งชี้นิ้วไปยังบัลลังก์แต่ละตัวที่ลอยอยู่กลางอากาศ แนะนำให้เขารู้ว่าเป็นตำแหน่งของใคร

สุดท้ายเขาปล่อยมือออก พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “หากเจ้าทำได้ แล้วหากวันใดเห็นพวกเขาแล้วรู้สึกขวางหูขวางตา ก็แค่ออกกระบี่ให้น้อยกว่าอาจารย์ก็พอ”

“แต่เมื่อไหร่ที่ข้าแน่ใจว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าจะไม่มีทางทำได้ เจ้าก็สามารถตายได้ ไม่ใช่ทุกคนที่มีพรสวรรค์ดีเหมือนเจ้าแล้วจะได้รับโชควาสนาเช่นเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องรู้จักทะนุถนอมและเห็นค่าทุกเวลานาทีในปัจจุบันให้ดี”

……

นักพรตหนุ่มที่บนศีรษะสวมกวานดอกบัวกับนักพรตเด็กหนุ่มที่ไม่สวมกวานเต๋าเริ่มออกท่องไปใต้หล้าด้วยกัน

ทั้งสองต่างก็เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมเต๋าที่แยกสถานะของระบบเต๋าไม่ออก

ฝ่ายแรกมีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวต่อฝ่ายหลัง ทำตามใจปรารถนา การกระทำทุกอย่างขอเพียงคล้อยไปตามเจตจำนงดั้งเดิม ไม่จำเป็นต้องไปนึกถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา

ทว่าก่อนจะทำเช่นนั้นได้ พละกำลังของตัวเขาเองต้องมากพอ อย่าได้รนหาที่ตาย

นักพรตเด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามคำถามหนึ่ง “สามารถฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อได้หรือไม่?”

นักพรตหนุ่มยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับ ตอบกลับด้วยสองคำว่า “แน่นอน” หลังจากหยุดชะงักไปครู่ก็เอ่ยเสริมขึ้นมาอีกสี่คำ “เป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด”

นักพรตเด็กหนุ่มพยักหน้ารับ

จากนั้นนักพรตหนุ่มก็ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าบริสุทธิ์? แล้วรู้หรือไม่ว่าอะไรที่เรียกว่าฆ่าพร่ำเพื่อ?”

นักพรตเด็กหนุ่มจมเข้าสู่ภวังค์ความคิด

นักพรตหนุ่มส่ายหน้าเบาๆ “เมื่อก่อนเจ้ารู้ ต่อให้จะเพียงแค่ผิวเผินก็ตาม ทว่าตอนนี้กลับไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าคนคนหนึ่งหากฉลาดเกินไปก็ไม่ค่อยดี ในอดีตข้าเคยถามคำถามที่คล้ายคลึงกันนี้ คำตอบที่ได้มากลับดีกว่าเจ้า ดีกว่ามากนัก”

เด็กหนุ่มสีหน้าซีดขาว

เพราะว่าศิษย์พี่เล็กผู้นี้

คือเจ้าลัทธิลู่เฉิน เจ้าของป๋ายอวี้จิงคนปัจจุบัน

ต่อให้เด็กหนุ่มจะเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋า

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับศิษย์พี่เล็กที่ใช้ฝ่ามือเดียวตบให้ตนเป็นกองเนื้อเละๆ เด็กหนุ่มจึงเกิดความเคารพหวาดเกรงจากใจจริง

ตอนแรกที่ออกมาจากป๋ายอวี้จิง ลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เคยเผชิญความลำบากเล็กๆ น้อยๆ ระดับล่างสุดมาแล้ว แล้วก็เคยเสวยสุขอย่างคนตระกูลเซียนในป๋ายอวี้จิงมาก่อน จากนั้นยังได้ตายไปหนึ่งครั้ง หลังจากนี้ก็ควรจะเรียนรู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ดีๆ ได้อย่างไร ควรจะลงไปเดินเส้นทางสายกลางระหว่างบนภูเขากับล่างภูเขาบ้างแล้ว”

ตอนนั้นเขาถามลู่เฉิน “ศิษย์พี่เล็ก ต้องใช้เวลาหลายปีหรือไม่?”

ตอนนั้นลู่เฉินตอบว่า หากเรียนได้เร็ว เวลาไม่กี่สิบปีก็เพียงพอแล้ว แต่หากเรียนได้ช้า หลายร้อยปีถึงหนึ่งพันปีก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

สุดท้ายลู่เฉินยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “วางใจเถอะ หากตายไป มรรคกถาของศิษย์พี่เล็กนับว่าไม่เลว สามารถช่วยเจ้าได้อีกครั้ง”

ในความเป็นจริงแล้ว หลังจากที่นักพรตเด็กหนุ่มตายแล้วฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ เรือนกายเนื้อหนังมังสาร่างนี้ของเขาก็เรียกได้ว่าเป็นกระดูกเต๋าแต่กำเนิดอย่างที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้ หากฝึกตนจะสามารถพัฒนาไปได้พันลี้ภายในหนึ่งวัน ‘เกิดมา’ ก็เป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว

ไม่เพียงเท่านี้ ในช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตสามช่องโพรงต่างก็มีอาวุธเซียนสามชิ้นวางอยู่นิ่งๆ รอให้เขาไปหล่อหลอมมันช้าๆ

ตามคำบอกของลู่เฉินศิษย์พี่เล็ก นั่นคือของขวัญที่ศิษย์พี่ทั้งสามท่านเตรียมไว้ให้เขา ให้เขารับไปอย่างสบายใจ

นอกจากนี้ สมบัติชิ้นที่แย่ที่สุดของนักพรตเด็กหนุ่มก็คือชุดคลุมอาคมอาวุธกึ่งเซียนที่มีชื่อว่า ‘เมล็ดบัว’ ซึ่งเขาสวมใส่อยู่ตอนนี้

ระดับขั้นของมันต่ำที่สุด ทว่าใต้หล้ามืดสลัวในทุกวันนี้ นอกจากเซียนเหรินที่บรรลุมรรคาซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้แล้ว เกรงว่าคงไม่มีใครรู้ประวัติความเป็นมาของชุดคลุมอาคมตัวนี้อีก

พูดง่ายๆ ก็คือเมื่อสวมชุดคลุมอาคมลัทธิเต๋าตัวนี้ ต่อให้นักพรตเด็กหนุ่มไปเยือนสามใต้หล้าที่เหลือ ไปยังสถานที่ที่อันตรายที่สุด ยิ่งขอบเขตของผู้ที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่นั้นๆ สูงเท่าไร นักพรตเด็กหนุ่มก็ยิ่งปลอดภัยมากเท่านั้น

นักพรตเด็กหนุ่มยื่นคอไปให้คนอื่นฆ่า อีกฝ่ายก็ยังต้องฝืนใจยอมพาเขาส่งออกไปนอกพื้นที่แต่โดยดี

มีวันหนึ่งอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ลู่เฉินจึงไปนั่งเล่นหมากล้อมกับตัวเองอยู่บนทะเลเมฆ นักพรตเด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง

ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ชีวิตนี้ฉีจิ้งชุนได้เล่นหมากล้อมกระดานสุดท้าย เม็ดหมากขาวดำที่แบ่งแยกกันอย่างชัดเจนวางตัดสลับกันอยู่บนกระดานตามกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด เป็นช่วงปิดฉากสุดท้ายที่จุดจบถูกกำหนดมาไว้แล้ว ตอนที่เขาตัดสินใจละเมิดกฎเกณฑ์เป็นครั้งแรก แล้วก็เป็นการวางหมากอย่างไร้เหตุผลเพียงครั้งเดียวในชีวิต เขาไม่ได้วางหมากเม็ดอื่นลงไปอีก แต่เขามองเห็นว่าบนกระดานมีประกายแสงเมฆหมอกเจิดจ้า ส่องประกายแวววาวพร่างตา”

เด็กหนุ่มถามอย่างใคร่รู้ “ศิษย์พี่เล็กได้เห็นภาพนี้เองกับตาก็เลยอนุมานออกมาได้อย่างนั้นหรือ?”

ลู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ใช่ อาจารย์ของพวกเราเล่าให้ข้าฟัง ยิ่งเป็นฉีจิ้งชุนที่พูดกับอาจารย์ของพวกเรา”

เด็กหนุ่มเดาะลิ้น

ลู่เฉินยิ้มจนตาหยี ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาวางลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มที่เป็นศิษย์น้องเล็กของตนเบาๆ “ฉีจิ้งชุนกล้ามอบความหวังยิ่งใหญ่ขนาดนั้นไว้บนตัวของเด็กหนุ่มบ้านนอกขาเปื้อนโคลนคนหนึ่ง! เจ้าล่ะ?! ข้าล่ะ?”

หลังจากมาท่องเที่ยวหาประสบการณ์ในโลกมนุษย์นานวันเข้า เด็กหนุ่มก็เริ่มปรับตัวได้คุ้นเคยมากขึ้น ดั่งคำว่าเมื่อโชคมาเยือนสติปัญญาก็เฉียบไว ความคิดพลันผุดขึ้นในหัวจึงหลุดปากตอบไปว่า “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

ลู่เฉินดึงมือกลับมา หัวเราะร่าเสียงดัง

ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนออกเดินทางไปในใต้หล้ามืดสลัวต่ออีกครั้ง

มีวันหนึ่งเด็กหนุ่มเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่เล็กมาออกมาจากป๋ายอวี้จิง มาเตร็ดเตร่เป็นเพื่อนข้าเช่นนี้ จะไม่ถ่วงวลาเรื่องใหญ่ของท่านหรือ?”

นักพรตหนุ่มส่ายหน้ายิ้มกล่าว “บนโลกนี้ไม่เคยมีเรื่องใหญ่ที่แท้จริงมาก่อน”

……

เรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่ว

ชุยเฉิงเดินออกมาจากชั้นสองของเรือนอย่างที่หาได้ยาก

จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อต่างก็มารวมตัวกันอยู่ครบ

ในมือของเว่ยป้อถือร่มใบถงที่ปีนั้นเฉินผิงอันเอาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว

ชุยเฉิงพยักหน้า จากนั้นก็เอ่ยว่า “พาเผยเฉียนมาที่นี่ เข้าไปด้วยกัน ในเมื่อพื้นที่มงคลดอกบัวถูกแบ่งเป็นสี่ส่วน พวกเราได้ครอบครองหนึ่งส่วนในนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ให้จูเหลี่ยนและเผยเฉียนไปดูก่อน”

เว่ยป้อร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต เจ้าถ่านดำน้อยที่กำลังฝึกวิชากระบี่มารคลั่งอยู่ในเรือนด้านหลังของตรอกฉีหลงพลันค้นพบว่าร่างตัวเองลอยขึ้นกลางอากาศ พอร่วงลงสู่พื้นอีกครั้งก็มายืนอยู่ด้านนอกเรือนไม้ไผ่แล้ว นางพลันคำรามอย่างเดือดดาล “อะไรกัน! ข้าฝึกวิชากระบี่เสร็จแล้วยังต้องคัดตัวอักษรอีกนะ!”

เว่ยป้อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ากับจูเหลี่ยนไปที่แคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวสักรอบหนึ่งก่อน”

เผยเฉียนปากอ้าตาค้าง

เว่ยป้อกางร่ม พอปล่อยมือออก

ก็มีประกายแสงศักดิ์สิทธิ์ไหลรินลงมาเป็นสายจากผิวร่ม

จูเหลี่ยนจูงมือเผยเฉียนเดินเข้าไปข้างใน

นาทีถัดมาจูเหลี่ยนกับเผยเฉียนก็เดินเข้าไปในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนด้วยกัน เผยเฉียนขยี้ตา นางมาอยู่บนถนนที่คุ้นเคยอย่างถึงที่สุดเส้นนั้น และตรอกเล็กแห่งนั้นก็อยู่ห่างไปไม่ไกล

ตอนนี้เป็นช่วงฤดูกาลที่ฝนตกปรอยๆ

เผยเฉียนที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือโบกไม้เท้าเป็นพัลวัน ปากก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง

ผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดเขียวคนหนึ่งพุ่งมาถึงอย่างรวดเร็ว

เขาก็คือจ้งชิวราชครูแคว้นหนันเยวี่ยน

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองแวบหนึ่ง “โอ้โห ยอดฝีมือ”

ดูเหมือนว่าจ้งชิวจะไม่รู้สึกสงสัยกับการที่ได้เห็น ‘เจ๋อเซียน’ สองคนนี้มาปรากฏตัวในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน กลับกันยังยิ้มถามว่า “เฉินผิงอันล่ะ?”

เผยเฉียนเลิกคิ้วข้างหนึ่ง ยืดอกตั้ง พูดเหมือนคนแก่ว่า “อาจารย์ของข้าไม่ว่าง ก็เลยให้ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาอย่างข้ามาเยี่ยมพวกเจ้าก่อน!”

จากนั้นเผยเฉียนก็เหมือนถูกฟ้าผ่า ไม่เหลือความโอหังอวดดีอีกแม้แต่น้อย

นางถึงขั้นรู้สึกว่ามือเท้าเย็นเฉียบ

หลังจากนั้นมานางก็มีท่าทางมึนๆ งงๆ จนกระทั่งออกจากพื้นที่มงคลดอกบัวแล้วถึงจะพอคืนสติกลับมาได้บ้าง

เว่ยป้อกับเจิ้งต้าเฟิงต่างก็รู้สึกประหลาดใจ

จูเหลี่ยนส่ายหน้า บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องถามมาก

วันนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เผยเฉียนเป็นฝ่ายขึ้นไปเยือนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ด้วยตัวเอง หลังจากเอ่ยเรียกทักทายและได้รับคำอนุญาตแล้ว นางถึงได้ถอดรองเท้าวางคู่กันไว้นอกธรณีประตูอย่างเป็นระเบียบ แม้แต่ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นก็ยังถูกวางพิงไว้เอียงๆ บนผนังด้านนอก ไม่ได้พกติดตัวไปด้วย หลังจากปิดประตูลงแล้ว นางก็นั่งขัดสมาธิ ทรุดตัวลงนั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่าเปลือยเท้า

ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “มาหาข้ามีธุระอะไร? หรือว่าอยากจะเรียนวิชาหมัดกับข้า?”

ไม่รู้ว่าเหตุใดตลอดหลายปีมานี้ถ่านดำน้อยถึงไม่เคยเติบโตขึ้นเลย นางพยักหน้ารับอย่างแรง “ข้าจะเรียนวิชาหมัด!”

ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ไม่กลัวลำบากหรือ?”

สายตาของเผยเฉียนเด็ดเดี่ยว “ตายก็ไม่กลัว!”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ช่างเป็นคำพูดคำจาที่วางโตนัก ถึงเวลาหากร้องไห้จ้าขึ้นมาอีก คราวนี้บนภูเขาลั่วพั่วไม่มีเฉินผิงอันคอยปกป้องเจ้าหรอกนะ หากตัดสินใจว่าจะเรียนวิชาหมัดกับข้า ก็ไม่มีทางให้หวนกลับอีกแล้ว”

เผยเฉียนพูดเสียงจริงจัง “ข้าคิดมาดีแล้ว ต่อให้ถึงเวลานั้นข้าจะร้องไห้ จะกลับคำ ท่านก็ต้องซ้อมจนข้าไม่กล้าร้องไห้ ไม่กล้ากลับคำ!”

ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบนี้ไม่น้อย เขาหัวเราะเสียงดังกังวานอย่างชอบใจ สุดท้ายเขาจ้องมองดวงตาคู่นั้นของแม่นางน้อย “คำถามสุดท้าย ทำไมถึงต้องเรียนวิชาหมัด?”

เผยเฉียนกำสองหมัดแน่น เงียบงันไปนานถึงเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าเผยเฉียนจะสู้คนอื่นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แต่มีเพียงคนเดียวที่ข้าไม่อาจแพ้ให้เขา! แพ้ให้ไม่ได้โดยเด็ดขาด!”

ผู้เฒ่าร้องอ้อหนึ่งที “ดี ถ้าอย่างนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือผู้สืบทอดวิชาคนสุดท้ายของข้าชุยเฉิงแล้ว วางใจเถอะ ไม่ต้องใช้สถานะอาจารย์และศิษย์กับผายลมสุนัขอะไรนั่นหรอก”

เผยเฉียนยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา นางพยักหน้ารับหนักๆ แล้วจึงลุกขึ้นโค้งตัวคารวะขอบคุณผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าเปลือยเท้าที่ยามอยู่กับเฉินผิงอันไม่เคยวางท่าใดๆ เวลานี้กลับลุกขึ้นยืน เอาสองมือไพล่หลัง รับการคารวะนี้อย่างจริงจัง

เผยเฉียนก้าวเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว อีกก้าวหนึ่งชักถอยหลัง ตั้งกระบวนท่าหมัด “มา!”

ร่างของชุยเฉิงพุ่งวูบออกไป มือหนึ่งกดอยู่บนศีรษะของแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่าน ดันหัวนางแนบติดกำแพง กระดูกทั่วร่างของเผยเฉียนลั่นดังกร๊อบๆ เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด

ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ ถามว่า “ยังจะเรียนอีกไหม?!”

เผยเฉียนคำรามอย่างเดือดดาล “ถึงตายก็จะเรียน!”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “ดีมาก”

……

ตอนนั้นที่อยู่หน้าตรอกเล็กของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน มีเด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งเดินออกมาจากตรอก ในมือของเขาถือร่มกระดาษน้ำมัน รอยยิ้มบนใบหน้าอบอุ่นดุจแสงอาทิตย์ เขามองมาเห็นเผยเฉียน หลังจากความตกตะลึงน้อยๆ ผ่านไปก็พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม “เผยเฉียน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

—–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+