กระบี่จงมา 690.4 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 690.4 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากนั้นหลี่หยวนก็รีบไปที่ตำหนักวารีหนานซวินเพื่อเยี่ยมเยือนเสิ่นหลินเหนียงเนียงเทพวารีที่กำลังจะกลายเป็นผู้บัญชาการณ์ของตน ในเมื่อมีเรื่องให้ต้องขอร้องคนอื่นจึงอดลำบากใจไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเสิ่นหลินจะมอบโองการฉบับหนึ่งที่ประทับตราประทับอาคมคำว่า ‘หลิงหยวนกง’ ให้หลี่หยวนโดยตรง ยังถามด้วยว่าต้องการให้นางช่วยขนย้ายน้ำหรือไม่

หลี่หยวนถือม้วนโองการไว้ในมือ เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เสิ่นหลิน เจ้ากำลังจะเลื่อนขั้นเป็นหลิงหยวนกง ไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน ทำให้ขัดแย้งกับราชวงศ์ต้าหยวนกับสกุลหยางหน่วยฉงเสวียนหรือ?”

พี่น้องเฉินหลิงจวินของเขาใจใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า พอได้ยินว่าเหนียงเนียงเทพวารีรู้จักกับนายท่านของตน บวกกับหลี่หยวนเองก็บอกเป็นนัยเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรบอกแก่เขาจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยประโยคหนึ่งว่าเจ้าน่าจะเข้าใจ ไม่ว่าจะรูปโฉมหรือบุคลิกภาพของเจ้านายหญิงแห่งตำหนักวารีหนานซวินก็ล้วนดีเยี่ยมทั้งหมด นับแต่โบราณมาพวกเซียนน้ำมักจะรักและเลื่อมใสบัณฑิตเป็นที่สุด อีกทั้งนายท่านของเจ้าก็ยังเป็นคนหนุ่มหล่อเหลามีความสามารถ หลี่หยวนยื่นสองนิ้วออกมาจิ้มกันเบาๆ ดังนั้นตอนนั้นเฉินหลิงจวินจึงเชื่อว่าเป็นจริง กอดไหล่หลี่หยวนเอ่ยว่า ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ไปๆๆ ข้าจะไปดูเสียหน่อยว่าฮูหยินน้อยของนายท่านบ้านข้าหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่

พอไปถึงตำหนักวารีหนานซวิน เฉินหลิงจวินก็ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่น้อยจริงๆ บวกกับที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเสิ่นหลินถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้เป็นหลิงหยวนกงแห่งลำน้ำใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ทำตัวห่างเหินกับเหนียงเนียงเทพวารีแม้แต่น้อย ตามหลักแล้วเสิ่นหลินที่นิสัยสุภาพเรียบร้อยย่อมไม่มีความรู้สึกแย่ต่องูน้ำจากต่างทวีปอย่างเฉินหลิงจวิน แต่ก็ต้องไม่มีความรู้สึกอันดีต่อเขาได้เป็นแน่ หากไม่เป็นเพราะเฉินหลิงจวินคือเด็กชายสวมชุดสีเขียว คาดว่าวันหน้าตำหนักวารีหนานซวินคงไม่เปิดประตูให้เฉินหลิงจวินอีกแล้ว ในสายตาของหลี่หยวนตอนนั้น ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรมีตนอยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกร พี่น้องเฉินหลิงจวินจะยังต้องสนใจด้วยหรือว่าสตรีอย่างเสิ่นหลินจะชอบหรือไม่ชอบเขา

เวลานี้เสิ่นหลินยิ้มบางๆ ย้อนถามว่า “ไม่ใช่ว่าต้องเป็นราชวงศ์ต้าหยวนกับหน่วยฉงเสวียนหรอกหรือที่ต้องกังวลว่าจะขัดแย้งกับข้า?”

หลี่หยวนยกนิ้วโป้งให้ “สตรีไม่เป็นรองบุรุษ! ประโยคนี้กล่าวได้อย่างถูกต้อง ข้านับถือยิ่งนัก!”

กระทั่งหลี่หยวนออกไปจากถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว เฉินหลิงจวินก็ได้เผยร่างจริง พกแผ่นหยกเริ่มทำการโปรยฝน

ภูเขาสายน้ำพันลี้อยู่ดีๆ ก็มีเมฆดำทะมึนก่อตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนที่ฝนหวานฉ่ำจะพร่างพรมลงมา

ผู้ฝึกลมปราณในพื้นที่ที่ทะยานลมมาดูเพราะเห็นภาพบรรยากาศผิดปกติของที่แห่งนี้พากันประสานมือคำนับขอบคุณงูเขียวที่อยู่ท่ามกลางก้อนเมฆตัวนั้น

หลี่หยวนพบว่าเฉินหลิงจวินโปรยฝนได้ไม่คล่องแคล่วเท่าใดนัก จึงลงมือช่วยจัดระเบียบทะเลเมฆม่านฝนให้กับเขา

หนึ่งชั่วยามต่อมา หลี่หยวนนั่งอยู่บนเมฆก้อนหนึ่ง เฉินหลิงจวินกลับคืนสู่ร่างมนุษย์มาอยู่ข้างกายหลี่หยวน ทิ้งตัวนอนหงายอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยขอบคุณหลี่หยวนไปคำหนึ่ง

เงียบงันกันไปนาน

หลี่หยวนมองภูเขาสายน้ำในโลกมนุษย์ที่ชุ่มชื่นเพราะฝนเทกระหน่ำไปห่าใหญ่ก็ปรบมือยิ้มกล่าว “ท้องน้ำยามแล้งเห็นเพียงดินเหลือง สกุณาบินเหนื่อยร้อนตาย ปลากลายเป็นตั๊กแตน ดินศาลน้ำควันผุด มังกรดินเลื้อยออกมา ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ชะล้างดินพันลี้ให้โล้นเตียน…”

เฉินหลิงจวินลุกขึ้นมานั่งแล้ว เขาทอดสายตามองพื้นดินอย่างเหม่อลอย

เขาเป็นคนแบบนี้เสมอมา ปากชอบพูดจาแข็งกระด้าง เวลาทำอะไรก็ไม่รู้จักหนักเบา ดังนั้นพอโปรยฝนเสร็จ แน่นอนว่าต้องดีใจ ไม่รู้สึกเสียใจภายหลังใดๆ แต่ในอนาคตเรื่องของการเลียบลำน้ำจะถูกราชวงศ์ต้าหยวนขัดขวาง หรือไม่พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์แล้วทัณฑ์สวรรค์บนมหามรรคาจะเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้การเดินลงน้ำในท้ายที่สุดไม่สำเร็จก็ทำให้เฉินหลิงจวินเป็นกังวลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับจูเหลี่ยนอย่างไร แล้วจะคุยโวโอ้อวดตนต่อหน้าพวกเผยเฉียน หน่วนซู่ หมี่ลี่ได้อย่างไร? ก็เหมือนอย่างที่จูเหลี่ยนพูด ขาดก็แค่ไม่ได้ระบุว่าต้องกินข้าว ต้องถ่ายตรงไหนเท่านั้น หากถึงขนาดนี้แล้วยังเดินลงน้ำกลายเป็นมังกรไม่สำเร็จ เขาเฉินหลิงจวินก็สามารถกระโดดลงน้ำฆ่าตัวตายได้แล้ว

ดังนั้นเฉินหลิงจวินจึงหวังเพียงอย่างเดียวว่า ขอให้นายท่านที่เป็นคนดีที่สุดในใต้หล้ากลับบ้านเกิดไปก่อนที่ตนจะกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็พอแล้ว

มีนายท่านอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ถึงอย่างไรก็ทำให้คนสบายใจได้มากกว่า ต่อให้ทำผิด อย่างมากก็แค่ถูกเขาด่าไม่กี่คำ หากว่าทำถูก บนใบหน้าของนายท่านหนุ่มก็มีรอยยิ้มเหมือนกัน

แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินหลิงจวินยังคิดถึงทรัพย์สินส่วนนั้นของนายท่านอย่างมาก ด้วยนิสัยของนายท่าน ต้องยังมีหินดีงูเหลืออยู่หลายก้อนแน่นอน เขาเฉินหลิงจวินไม่ต้องใช้หินดีงู แต่นางเด็กโง่หน่วนซู่กับงูดำบนภูเขาฉีตุนตัวนั้น และงูเหลือมยักษ์ที่อยู่บนภูเขาหวงหู ต่างก็ยังต้องการใช้ ยามที่นายท่านขี้เหนียวเหมือนไม่ใช่คน แต่ยามที่ใจกว้างขึ้นมาก็ยิ่งเหมือนไม่ใช่คนเข้าไปใหญ่

เฉินหลิงจวินกระโดดผลุงขึ้นมา เตรียมออกเดินทางต่ออีกครั้ง

หลี่หยวนกล่าว “โองการฉบับนั้นของเสิ่นหลิน และยังมีแผ่นหยกของข้า เจ้าเก็บเอาไว้กับตัวก่อน หากราชวงศ์ต้าหยวนมีพวกตาไร้แววมาขัดขวาง เจ้าก็เอาออกมา ครั้งหน้าที่เดินลงน้ำกลับมาที่นี่ค่อยคืนก็ยังไม่สาย”

เฉินหลิงจวินลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ

ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เฉินหลิงจวินกลัวมากว่าอยู่ดีๆ จะมีนักพรตเฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนคนหนึ่งของหน่วยฉงเสวียนโผล่ออกมาแล้วตบตนให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว

เฉินหลิงจวินตัดสินใจแล้วว่าจะหาวิธีเพิ่มความกล้าให้ตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกแข้งขาอ่อน เดินไม่ไหวเป็นแน่

คิดอยู่นาน ก่อนจะถามหลี่หยวนว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่านายท่านของข้าเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ที่มีน้อยนิดในใต้หล้านี้ ข้าเรียนรู้วิชาอย่างผิวเผินจากนายท่านมาบ้าง จะแสดงให้เจ้าดู เจ้าจะได้ไม่คิดว่าข้าขี้โม้”

หลี่หยวนยกมือขึ้น “ไม่ต้อง ถือว่าพี่น้องขอร้องเจ้า ข้ากลัวว่าจะแสบตา”

คิดไม่ถึงว่าเฉินหลิงจวินจะแสดงกระบวนท่าแล้ว เขายืนด้วยท่าไก่ทองขาเดียว จากนั้นเหวี่ยงแขนสองข้างไปด้านหลัง โน้มตัวมาด้านหน้า ถามว่า “ท่าต้าเผิง (นกในตำนานของจีน) สยายปีกของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?!”

หลี่หยวนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ตาบอดแล้ว”

เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ สะพายหีบไม้ไผ่ให้เรียบร้อย มือถือไม้เท้าเดินป่า พลิ้วกายจากไปไกล

หลี่หยวนนั่งขัดสมาธิ ไม่ได้หันหน้าไปมอง เพียงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “เทียนจวินน้อยของหน่วนฉงเสวียนมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ทำไม คิดจะมาหาเรื่องพี่น้องของข้ารึ หากเจ้ากล้าลงมือกับเฉินหลิงจวินก็อย่ามาโทษหากข้าทำให้หน่วยฉงเสวียนต้องจมอยู่ใต้น้ำ”

บัณฑิตชุดดำอายุน้อยในมือถือพัดพับคนหนึ่งยกเท้าเดินอยู่บนก้อนเมฆขาว บนเอวห้อยถุงสีเหลืองทองใบเล็ก มีประกายแสงเมฆเรืองรองเอ่อล้นออกมาจากถุงใบนั้น มองแล้วพร่าตามากเป็นพิเศษ

คนผู้นี้มานั่งลงข้างหลี่หยวน ใช้พัดพับที่หุบเข้าหากันตีฝ่ามือเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลี่สุ่ยเจิ้งคิดมากเกินไปแล้ว ข้าหยางมู่เม่ากับเฉินคนดีผู้นั้นคือสหายร่วมทุกข์ที่หาได้ยากในใต้หล้าแห่งนี้ น่าเสียดายที่จากลากันที่หุบเขาผีร้าย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้พบเจอกันอีก ถึงขั้นคิดถึงพี่ชายคนดีแล้วนะนี่”

หลี่หยวนกล่าวอย่างกังขา “เฉินคนดี พี่ชายคนดี? หมายถึงเฉินผิงอันรึ?”

บัณฑิตพลันกล่าวอย่างคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ข้ากับเฉินคนดีเป็นพี่น้องคนรุ่นเดียวกัน หลี่สุ่ยเจิ้งก็สาบานเป็นพี่น้องกับเฉินหลิงจวินอีก โอ้ แบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าข้ามีลำดับศักดิ์สูงกว่าหลี่เจิ้งหนึ่งขั้นหรอกหรือ?”

หลี่หยวนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เทียนจวินน้อยดีใจก็ดีแล้ว”

บัณฑิตกล่าว “มังกรฝนสะบัดหางกลางเมฆดำ หันหลังให้แผ่นฟ้ากว้างสีคราม”

หลี่หยวนกล่าวอย่างเดือดดาล “ทำไม จะมาแข่งแต่งกลอนกับข้ารึ?!”

บัณฑิตยิ้มเอ่ย “แข่งแต่งกลอนกับหลี่สุ่ยเจิ้งไม่สู้ไปดูเฉินหลิงจวินต่อยหมัดยังดีกว่า”

วางแผนปัดแข้งปัดขากับเฉินคนดีผู้นั้นต่างหากจึงจะสนุกที่สุด

หลี่หยวนพลันเอ่ยอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “เทียนจวินน้อย สิบคนรุ่นเยาว์คราวนี้ ลำดับของเจ้าก็ยังอยู่รั้งท้ายเหมือนเดิมนะ”

บัณฑิตพยักหน้า “อยู่ท้ายสุดย่อมดี แสดงว่ามีความหวัง”

รายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งที่มาจากสำนักฉงหลินของอุตรกุรุทวีป ไม่เพียงแต่คัดเลือกสิบคนรุ่นเยาว์ของทวีปตัวเอง ยังเลือกสิบคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีปที่เป็นเพื่อนบ้านด้วย เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปกลับไม่ค่อยให้ความสนใจฝ่ายหลังเท่าใดนัก

เนื่องจากฉีจิ่งหลงได้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย แน่นอนว่าต้องไม่อยู่ในอันดับสิบคนล่าสุด ไม่อย่างนั้นก็ไม่เห็นสำนักกระบี่แห่งหนึ่งอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว สำนักฉงหลินกังวลว่าบนภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงกับภูเขาตี่ลี่จะถูกผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยปาดจนราบเป็นหน้ากลอง

ใบหน้าคนเก่าแก่มีอยู่เยอะ ยังคงเป็นหลินซู่ที่อยู่ในอันดับหนึ่งไม่ขยับเขยื้อน

ผู้ฝึกตนอิสระหวงซี ผู้ฝึกยุทธ์ซิ่วเหนียง ศัตรูคู่อาฆาตที่เกือบจะตัดสินเป็นตายกันบนภูเขาตี่ลี่ก็ยังคงติดอันดับอยู่เหมือนเดิม

หยางจิ้นซานที่อยู่คอขวดขอบเขตเดินทางไกล หยางหนิงซิ่งเทียนจวินน้อยแห่งหน่วยฉงเสวียน เทพธิดาหลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิง

ที่เหลืออีกสองคนล้วนเป็นคนที่ทุกคนคาดการณ์กันไว้ มีเพียงสตรีคนเดียวที่ทำให้คนเกิดการคาดเดากันไม่หยุด คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาสิงโตที่จู่ๆ ก็โผล่มา หลี่หลิ่ว

ส่วนสวีเซวี่ยนที่ถูกเฮ้อเสี่ยวเหลียงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส อันที่จริงหากคิดจะติดอันดับก็ไม่ยาก แต่สำนักฉงหลินไม่กล้าจัดคนผู้นี้ไว้ในอันดับ เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้สวีเซวี่ยนก็กลายเป็นตัวตลกของอุตรกุรุทวีปแล้ว

ส่วนแจกันสมบัติทวีป นอกจากสิบคนรุ่นเยาว์แล้วยังมีสิบคนในอันดับสำรองเพิ่มมาอีก คนมากมายเพียงนี้คาดว่าผู้ฝึกตนอุตรกุรุทวีปเห็นแล้วต้องง่วงนอนแน่นอน

หม่าขู่เสวียน วิญญูชนใหญ่แห่งสำนักศึกษากวานหู หนึ่งในกุมารทองกุมารีหยกของสำนักโองการเทพในอดีต เจียงอวิ้นบุตรอนุภรรยาของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เด็กหนุ่มคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งที่ฝันว่าได้ไปเยือนขุนเขากลางแล้วองค์เทพช่วยเหลือจึงได้รับกระบี่เซียนตกทอดเล่มหนึ่งมาครอง เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตจึงเป็นดั่งผ่าลำปล้องไม้ไผ่อะไรนั่น…

บัณฑิตจุ๊ปากยิ้มกล่าว “ไม่มีพี่ชายคนดีได้อย่างไร รายงานของสำนักฉงหลินฉบับนี้ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”

หลี่หยวนเริ่มสงสัยแล้วว่าเฉินผิงอันไปมีเรื่องกับเทียนจวินน้อยผู้นี้ได้อย่างไร ด้วยนิสัยคนดีเกินเหตุจนเหมือนโง่งมของเฉินผิงอันนั้น คงไม่ใช่ว่าเสียเปรียบอีกฝ่ายครั้งใหญ่ไปแล้วหรอกนะ?

บัณฑิตกล่าว “ข้าจะไปชมเรื่องสนุกก่อนล่ะ คงไม่นั่งอาบแดดเป็นเพื่อนหลี่สุ่ยเจิ้งแล้ว จะไปดูมาดของเซียนกระบี่เว่ยผู้นั้นสักหน่อย”

หลี่หยวนเอ่ย “หน่วยฉงเสวียนคิดอย่างไรกันแน่?”

บัณฑิตคลี่ยิ้ม “ข้าคือหยางมู่เม่า จะไปรู้ความคิดของหน่วยฉงเสวียนได้อย่างไร”

หลี่หยวนเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าไม่อายบ้างหรือไร? เทียนจวินน้อยดีๆ คนหนึ่ง เหตุใดถึงกลายเป็นคนทุเรศแบบนี้ได้!”

บัณฑิตหัวเราะดังลั่น ครั้นจึงทะยานลมจากไปไกล

‘คนรุ่นเยาว์’ ที่สามารถเข้าตาอุตรกุรุทวีปได้อย่างแท้จริง อันที่จริงมีแค่สองคนเท่านั้น ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบแห่งต้าหลี เซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ เป็นคนรุ่นเยาว์จริง เพราะเพิ่งจะอายุประมาณห้าสิบปีเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว ด้วยขอบเขตของคนทั้งสองในทุกวันนี้ เรียกได้ว่าอายุน้อยจนชวนให้คนโมโห

คนผู้หนึ่งที่เป็นดั่ง ‘ไท่ซ่างหวง’ ของสกุลซ่งต้าหลี คนผู้หนึ่งที่เป็นเซียนกระบี่อย่างแท้จริง เพิ่งจะได้มาอยู่ในลำดับสิบคนรุ่นเยาว์ อันที่จริงไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร

สำนักฉงหลินไม่ได้กลัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ แต่เพราะเว่ยจิ้นเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยปักหลักอยู่ที่นั่นนานหลายปี คิดดูแล้วคงจะคุ้นเคยกับฉีจิ่งหลงเจ้าสำนัก หวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักกระบี่ไท่ฮุย และลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ควันธูปเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะหามาได้จากการผลัดกันชนจอกสุราบนโต๊ะเหล้า

แล้วนับประสาอะไรกับที่สำหรับในสายตาของผู้ฝึกกระบี่อุตรกุรุทวีปแล้ว เซียนกระบี่ของใต้หล้าแบ่งออกเป็นแค่สองประเภทเท่านั้น นั่นคือวีรบุรุษที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ กับพวกคนไร้ประโยชน์ที่ไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่

ต่อให้เป็นป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่บุคคลอันดับหนึ่งแห่งทางทิศเหนือ ในทางส่วนตัวก็ยังถูกผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปพูดจาเสียดสีเหน็บแนม

ดังนั้นสำหรับเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะแล้ว ต่อให้จะเป็นสำนักฉงหลินที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ด้วยเลย ก็ยังยินดีจะให้ความเคารพอยู่หลายส่วน

ส่วนข้อที่ว่าเว่ยจิ้นจะตอบแทนความเคารพส่วนนี้อย่างไร ก็ยิ่งสมกับเป็นอุตรกุรุทวีปแล้ว

ข้ามทวีปมาถามกระบี่กับเทียนจวินเซี่ยสือ

……

สตรีผู้หนึ่งขึ้นฝั่งทางทิศเหนือของใบถงทวีปอย่างเงียบเชียบ ไปตามหาเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ริมน้ำของใบถงทวีปท่านหนึ่งอย่าง จั่วโย่ว

ทุกวันนี้ตระกูลเซียนอักษรจงทั้งหมดของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าจะเป็นสำนักกุยหยก สำนักฝูจี ภูเขาไท่ผิง ล้วนกำลังทำการก่อสร้างบุกเบิกพื้นที่ครั้งใหญ่ สำนักใบถงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นางเจอกับจั่วโย่วแล้วก็บอกว่าตัวเองชื่อฉางมิ่ง มาจากคุก วันหน้าจะไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว

จั่วโย่วได้ยินคำอธิบายที่นางมีต่อศิษย์น้องเล็กของตนก็ทำเพียงแค่พยักหน้า จากนั้นเอ่ยเพียงสองคำว่า “ดีมาก”

ฉางมิ่งทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 690.4 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 690.4 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จากนั้นหลี่หยวนก็รีบไปที่ตำหนักวารีหนานซวินเพื่อเยี่ยมเยือนเสิ่นหลินเหนียงเนียงเทพวารีที่กำลังจะกลายเป็นผู้บัญชาการณ์ของตน ในเมื่อมีเรื่องให้ต้องขอร้องคนอื่นจึงอดลำบากใจไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเสิ่นหลินจะมอบโองการฉบับหนึ่งที่ประทับตราประทับอาคมคำว่า ‘หลิงหยวนกง’ ให้หลี่หยวนโดยตรง ยังถามด้วยว่าต้องการให้นางช่วยขนย้ายน้ำหรือไม่

หลี่หยวนถือม้วนโองการไว้ในมือ เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “เสิ่นหลิน เจ้ากำลังจะเลื่อนขั้นเป็นหลิงหยวนกง ไม่กลัวว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อน ทำให้ขัดแย้งกับราชวงศ์ต้าหยวนกับสกุลหยางหน่วยฉงเสวียนหรือ?”

พี่น้องเฉินหลิงจวินของเขาใจใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า พอได้ยินว่าเหนียงเนียงเทพวารีรู้จักกับนายท่านของตน บวกกับหลี่หยวนเองก็บอกเป็นนัยเรื่องบางอย่างที่ไม่ควรบอกแก่เขาจริงๆ ยกตัวอย่างเช่นยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยประโยคหนึ่งว่าเจ้าน่าจะเข้าใจ ไม่ว่าจะรูปโฉมหรือบุคลิกภาพของเจ้านายหญิงแห่งตำหนักวารีหนานซวินก็ล้วนดีเยี่ยมทั้งหมด นับแต่โบราณมาพวกเซียนน้ำมักจะรักและเลื่อมใสบัณฑิตเป็นที่สุด อีกทั้งนายท่านของเจ้าก็ยังเป็นคนหนุ่มหล่อเหลามีความสามารถ หลี่หยวนยื่นสองนิ้วออกมาจิ้มกันเบาๆ ดังนั้นตอนนั้นเฉินหลิงจวินจึงเชื่อว่าเป็นจริง กอดไหล่หลี่หยวนเอ่ยว่า ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ไปๆๆ ข้าจะไปดูเสียหน่อยว่าฮูหยินน้อยของนายท่านบ้านข้าหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่

พอไปถึงตำหนักวารีหนานซวิน เฉินหลิงจวินก็ไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกแม้แต่น้อยจริงๆ บวกกับที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าเสิ่นหลินถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้เป็นหลิงหยวนกงแห่งลำน้ำใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ทำตัวห่างเหินกับเหนียงเนียงเทพวารีแม้แต่น้อย ตามหลักแล้วเสิ่นหลินที่นิสัยสุภาพเรียบร้อยย่อมไม่มีความรู้สึกแย่ต่องูน้ำจากต่างทวีปอย่างเฉินหลิงจวิน แต่ก็ต้องไม่มีความรู้สึกอันดีต่อเขาได้เป็นแน่ หากไม่เป็นเพราะเฉินหลิงจวินคือเด็กชายสวมชุดสีเขียว คาดว่าวันหน้าตำหนักวารีหนานซวินคงไม่เปิดประตูให้เฉินหลิงจวินอีกแล้ว ในสายตาของหลี่หยวนตอนนั้น ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรมีตนอยู่ในถ้ำสวรรค์วังมังกร พี่น้องเฉินหลิงจวินจะยังต้องสนใจด้วยหรือว่าสตรีอย่างเสิ่นหลินจะชอบหรือไม่ชอบเขา

เวลานี้เสิ่นหลินยิ้มบางๆ ย้อนถามว่า “ไม่ใช่ว่าต้องเป็นราชวงศ์ต้าหยวนกับหน่วยฉงเสวียนหรอกหรือที่ต้องกังวลว่าจะขัดแย้งกับข้า?”

หลี่หยวนยกนิ้วโป้งให้ “สตรีไม่เป็นรองบุรุษ! ประโยคนี้กล่าวได้อย่างถูกต้อง ข้านับถือยิ่งนัก!”

กระทั่งหลี่หยวนออกไปจากถ้ำสวรรค์วังมังกรแล้ว เฉินหลิงจวินก็ได้เผยร่างจริง พกแผ่นหยกเริ่มทำการโปรยฝน

ภูเขาสายน้ำพันลี้อยู่ดีๆ ก็มีเมฆดำทะมึนก่อตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ก่อนที่ฝนหวานฉ่ำจะพร่างพรมลงมา

ผู้ฝึกลมปราณในพื้นที่ที่ทะยานลมมาดูเพราะเห็นภาพบรรยากาศผิดปกติของที่แห่งนี้พากันประสานมือคำนับขอบคุณงูเขียวที่อยู่ท่ามกลางก้อนเมฆตัวนั้น

หลี่หยวนพบว่าเฉินหลิงจวินโปรยฝนได้ไม่คล่องแคล่วเท่าใดนัก จึงลงมือช่วยจัดระเบียบทะเลเมฆม่านฝนให้กับเขา

หนึ่งชั่วยามต่อมา หลี่หยวนนั่งอยู่บนเมฆก้อนหนึ่ง เฉินหลิงจวินกลับคืนสู่ร่างมนุษย์มาอยู่ข้างกายหลี่หยวน ทิ้งตัวนอนหงายอย่างเหน็ดเหนื่อย แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยขอบคุณหลี่หยวนไปคำหนึ่ง

เงียบงันกันไปนาน

หลี่หยวนมองภูเขาสายน้ำในโลกมนุษย์ที่ชุ่มชื่นเพราะฝนเทกระหน่ำไปห่าใหญ่ก็ปรบมือยิ้มกล่าว “ท้องน้ำยามแล้งเห็นเพียงดินเหลือง สกุณาบินเหนื่อยร้อนตาย ปลากลายเป็นตั๊กแตน ดินศาลน้ำควันผุด มังกรดินเลื้อยออกมา ท้องฟ้าแจ่มกระจ่าง ชะล้างดินพันลี้ให้โล้นเตียน…”

เฉินหลิงจวินลุกขึ้นมานั่งแล้ว เขาทอดสายตามองพื้นดินอย่างเหม่อลอย

เขาเป็นคนแบบนี้เสมอมา ปากชอบพูดจาแข็งกระด้าง เวลาทำอะไรก็ไม่รู้จักหนักเบา ดังนั้นพอโปรยฝนเสร็จ แน่นอนว่าต้องดีใจ ไม่รู้สึกเสียใจภายหลังใดๆ แต่ในอนาคตเรื่องของการเลียบลำน้ำจะถูกราชวงศ์ต้าหยวนขัดขวาง หรือไม่พอไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์แล้วทัณฑ์สวรรค์บนมหามรรคาจะเพิ่มมากขึ้น เป็นเหตุให้การเดินลงน้ำในท้ายที่สุดไม่สำเร็จก็ทำให้เฉินหลิงจวินเป็นกังวลเหมือนกัน ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับจูเหลี่ยนอย่างไร แล้วจะคุยโวโอ้อวดตนต่อหน้าพวกเผยเฉียน หน่วนซู่ หมี่ลี่ได้อย่างไร? ก็เหมือนอย่างที่จูเหลี่ยนพูด ขาดก็แค่ไม่ได้ระบุว่าต้องกินข้าว ต้องถ่ายตรงไหนเท่านั้น หากถึงขนาดนี้แล้วยังเดินลงน้ำกลายเป็นมังกรไม่สำเร็จ เขาเฉินหลิงจวินก็สามารถกระโดดลงน้ำฆ่าตัวตายได้แล้ว

ดังนั้นเฉินหลิงจวินจึงหวังเพียงอย่างเดียวว่า ขอให้นายท่านที่เป็นคนดีที่สุดในใต้หล้ากลับบ้านเกิดไปก่อนที่ตนจะกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็พอแล้ว

มีนายท่านอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ถึงอย่างไรก็ทำให้คนสบายใจได้มากกว่า ต่อให้ทำผิด อย่างมากก็แค่ถูกเขาด่าไม่กี่คำ หากว่าทำถูก บนใบหน้าของนายท่านหนุ่มก็มีรอยยิ้มเหมือนกัน

แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินหลิงจวินยังคิดถึงทรัพย์สินส่วนนั้นของนายท่านอย่างมาก ด้วยนิสัยของนายท่าน ต้องยังมีหินดีงูเหลืออยู่หลายก้อนแน่นอน เขาเฉินหลิงจวินไม่ต้องใช้หินดีงู แต่นางเด็กโง่หน่วนซู่กับงูดำบนภูเขาฉีตุนตัวนั้น และงูเหลือมยักษ์ที่อยู่บนภูเขาหวงหู ต่างก็ยังต้องการใช้ ยามที่นายท่านขี้เหนียวเหมือนไม่ใช่คน แต่ยามที่ใจกว้างขึ้นมาก็ยิ่งเหมือนไม่ใช่คนเข้าไปใหญ่

เฉินหลิงจวินกระโดดผลุงขึ้นมา เตรียมออกเดินทางต่ออีกครั้ง

หลี่หยวนกล่าว “โองการฉบับนั้นของเสิ่นหลิน และยังมีแผ่นหยกของข้า เจ้าเก็บเอาไว้กับตัวก่อน หากราชวงศ์ต้าหยวนมีพวกตาไร้แววมาขัดขวาง เจ้าก็เอาออกมา ครั้งหน้าที่เดินลงน้ำกลับมาที่นี่ค่อยคืนก็ยังไม่สาย”

เฉินหลิงจวินลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ

ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เฉินหลิงจวินกลัวมากว่าอยู่ดีๆ จะมีนักพรตเฒ่าที่เปี่ยมไปด้วยมาดแห่งเซียนคนหนึ่งของหน่วยฉงเสวียนโผล่ออกมาแล้วตบตนให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว

เฉินหลิงจวินตัดสินใจแล้วว่าจะหาวิธีเพิ่มความกล้าให้ตัวเองก่อน ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกแข้งขาอ่อน เดินไม่ไหวเป็นแน่

คิดอยู่นาน ก่อนจะถามหลี่หยวนว่า “เจ้าไม่รู้หรอกว่านายท่านของข้าเป็นปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธ์ที่มีน้อยนิดในใต้หล้านี้ ข้าเรียนรู้วิชาอย่างผิวเผินจากนายท่านมาบ้าง จะแสดงให้เจ้าดู เจ้าจะได้ไม่คิดว่าข้าขี้โม้”

หลี่หยวนยกมือขึ้น “ไม่ต้อง ถือว่าพี่น้องขอร้องเจ้า ข้ากลัวว่าจะแสบตา”

คิดไม่ถึงว่าเฉินหลิงจวินจะแสดงกระบวนท่าแล้ว เขายืนด้วยท่าไก่ทองขาเดียว จากนั้นเหวี่ยงแขนสองข้างไปด้านหลัง โน้มตัวมาด้านหน้า ถามว่า “ท่าต้าเผิง (นกในตำนานของจีน) สยายปีกของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?!”

หลี่หยวนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ตาบอดแล้ว”

เฉินหลิงจวินหัวเราะฮ่าๆ สะพายหีบไม้ไผ่ให้เรียบร้อย มือถือไม้เท้าเดินป่า พลิ้วกายจากไปไกล

หลี่หยวนนั่งขัดสมาธิ ไม่ได้หันหน้าไปมอง เพียงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “เทียนจวินน้อยของหน่วนฉงเสวียนมาเร็วขนาดนี้เชียวหรือ? ทำไม คิดจะมาหาเรื่องพี่น้องของข้ารึ หากเจ้ากล้าลงมือกับเฉินหลิงจวินก็อย่ามาโทษหากข้าทำให้หน่วยฉงเสวียนต้องจมอยู่ใต้น้ำ”

บัณฑิตชุดดำอายุน้อยในมือถือพัดพับคนหนึ่งยกเท้าเดินอยู่บนก้อนเมฆขาว บนเอวห้อยถุงสีเหลืองทองใบเล็ก มีประกายแสงเมฆเรืองรองเอ่อล้นออกมาจากถุงใบนั้น มองแล้วพร่าตามากเป็นพิเศษ

คนผู้นี้มานั่งลงข้างหลี่หยวน ใช้พัดพับที่หุบเข้าหากันตีฝ่ามือเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลี่สุ่ยเจิ้งคิดมากเกินไปแล้ว ข้าหยางมู่เม่ากับเฉินคนดีผู้นั้นคือสหายร่วมทุกข์ที่หาได้ยากในใต้หล้าแห่งนี้ น่าเสียดายที่จากลากันที่หุบเขาผีร้าย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้พบเจอกันอีก ถึงขั้นคิดถึงพี่ชายคนดีแล้วนะนี่”

หลี่หยวนกล่าวอย่างกังขา “เฉินคนดี พี่ชายคนดี? หมายถึงเฉินผิงอันรึ?”

บัณฑิตพลันกล่าวอย่างคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ข้ากับเฉินคนดีเป็นพี่น้องคนรุ่นเดียวกัน หลี่สุ่ยเจิ้งก็สาบานเป็นพี่น้องกับเฉินหลิงจวินอีก โอ้ แบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าข้ามีลำดับศักดิ์สูงกว่าหลี่เจิ้งหนึ่งขั้นหรอกหรือ?”

หลี่หยวนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “เทียนจวินน้อยดีใจก็ดีแล้ว”

บัณฑิตกล่าว “มังกรฝนสะบัดหางกลางเมฆดำ หันหลังให้แผ่นฟ้ากว้างสีคราม”

หลี่หยวนกล่าวอย่างเดือดดาล “ทำไม จะมาแข่งแต่งกลอนกับข้ารึ?!”

บัณฑิตยิ้มเอ่ย “แข่งแต่งกลอนกับหลี่สุ่ยเจิ้งไม่สู้ไปดูเฉินหลิงจวินต่อยหมัดยังดีกว่า”

วางแผนปัดแข้งปัดขากับเฉินคนดีผู้นั้นต่างหากจึงจะสนุกที่สุด

หลี่หยวนพลันเอ่ยอย่างคนมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “เทียนจวินน้อย สิบคนรุ่นเยาว์คราวนี้ ลำดับของเจ้าก็ยังอยู่รั้งท้ายเหมือนเดิมนะ”

บัณฑิตพยักหน้า “อยู่ท้ายสุดย่อมดี แสดงว่ามีความหวัง”

รายงานขุนเขาสายน้ำฉบับหนึ่งที่มาจากสำนักฉงหลินของอุตรกุรุทวีป ไม่เพียงแต่คัดเลือกสิบคนรุ่นเยาว์ของทวีปตัวเอง ยังเลือกสิบคนรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีปที่เป็นเพื่อนบ้านด้วย เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนบนภูเขาของอุตรกุรุทวีปกลับไม่ค่อยให้ความสนใจฝ่ายหลังเท่าใดนัก

เนื่องจากฉีจิ่งหลงได้เป็นเจ้าสำนักคนใหม่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย แน่นอนว่าต้องไม่อยู่ในอันดับสิบคนล่าสุด ไม่อย่างนั้นก็ไม่เห็นสำนักกระบี่แห่งหนึ่งอยู่ในสายตาเกินไปแล้ว สำนักฉงหลินกังวลว่าบนภูเขาที่อยู่ใกล้เคียงกับภูเขาตี่ลี่จะถูกผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยปาดจนราบเป็นหน้ากลอง

ใบหน้าคนเก่าแก่มีอยู่เยอะ ยังคงเป็นหลินซู่ที่อยู่ในอันดับหนึ่งไม่ขยับเขยื้อน

ผู้ฝึกตนอิสระหวงซี ผู้ฝึกยุทธ์ซิ่วเหนียง ศัตรูคู่อาฆาตที่เกือบจะตัดสินเป็นตายกันบนภูเขาตี่ลี่ก็ยังคงติดอันดับอยู่เหมือนเดิม

หยางจิ้นซานที่อยู่คอขวดขอบเขตเดินทางไกล หยางหนิงซิ่งเทียนจวินน้อยแห่งหน่วยฉงเสวียน เทพธิดาหลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิง

ที่เหลืออีกสองคนล้วนเป็นคนที่ทุกคนคาดการณ์กันไว้ มีเพียงสตรีคนเดียวที่ทำให้คนเกิดการคาดเดากันไม่หยุด คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของยอดเขาสิงโตที่จู่ๆ ก็โผล่มา หลี่หลิ่ว

ส่วนสวีเซวี่ยนที่ถูกเฮ้อเสี่ยวเหลียงทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส อันที่จริงหากคิดจะติดอันดับก็ไม่ยาก แต่สำนักฉงหลินไม่กล้าจัดคนผู้นี้ไว้ในอันดับ เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้สวีเซวี่ยนก็กลายเป็นตัวตลกของอุตรกุรุทวีปแล้ว

ส่วนแจกันสมบัติทวีป นอกจากสิบคนรุ่นเยาว์แล้วยังมีสิบคนในอันดับสำรองเพิ่มมาอีก คนมากมายเพียงนี้คาดว่าผู้ฝึกตนอุตรกุรุทวีปเห็นแล้วต้องง่วงนอนแน่นอน

หม่าขู่เสวียน วิญญูชนใหญ่แห่งสำนักศึกษากวานหู หนึ่งในกุมารทองกุมารีหยกของสำนักโองการเทพในอดีต เจียงอวิ้นบุตรอนุภรรยาของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน เด็กหนุ่มคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋งที่ฝันว่าได้ไปเยือนขุนเขากลางแล้วองค์เทพช่วยเหลือจึงได้รับกระบี่เซียนตกทอดเล่มหนึ่งมาครอง เรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตจึงเป็นดั่งผ่าลำปล้องไม้ไผ่อะไรนั่น…

บัณฑิตจุ๊ปากยิ้มกล่าว “ไม่มีพี่ชายคนดีได้อย่างไร รายงานของสำนักฉงหลินฉบับนี้ทำให้ข้าผิดหวังยิ่งนัก”

หลี่หยวนเริ่มสงสัยแล้วว่าเฉินผิงอันไปมีเรื่องกับเทียนจวินน้อยผู้นี้ได้อย่างไร ด้วยนิสัยคนดีเกินเหตุจนเหมือนโง่งมของเฉินผิงอันนั้น คงไม่ใช่ว่าเสียเปรียบอีกฝ่ายครั้งใหญ่ไปแล้วหรอกนะ?

บัณฑิตกล่าว “ข้าจะไปชมเรื่องสนุกก่อนล่ะ คงไม่นั่งอาบแดดเป็นเพื่อนหลี่สุ่ยเจิ้งแล้ว จะไปดูมาดของเซียนกระบี่เว่ยผู้นั้นสักหน่อย”

หลี่หยวนเอ่ย “หน่วยฉงเสวียนคิดอย่างไรกันแน่?”

บัณฑิตคลี่ยิ้ม “ข้าคือหยางมู่เม่า จะไปรู้ความคิดของหน่วยฉงเสวียนได้อย่างไร”

หลี่หยวนเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าไม่อายบ้างหรือไร? เทียนจวินน้อยดีๆ คนหนึ่ง เหตุใดถึงกลายเป็นคนทุเรศแบบนี้ได้!”

บัณฑิตหัวเราะดังลั่น ครั้นจึงทะยานลมจากไปไกล

‘คนรุ่นเยาว์’ ที่สามารถเข้าตาอุตรกุรุทวีปได้อย่างแท้จริง อันที่จริงมีแค่สองคนเท่านั้น ซ่งจ่างจิ้งผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสิบแห่งต้าหลี เซียนกระบี่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ เป็นคนรุ่นเยาว์จริง เพราะเพิ่งจะอายุประมาณห้าสิบปีเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาแล้ว ด้วยขอบเขตของคนทั้งสองในทุกวันนี้ เรียกได้ว่าอายุน้อยจนชวนให้คนโมโห

คนผู้หนึ่งที่เป็นดั่ง ‘ไท่ซ่างหวง’ ของสกุลซ่งต้าหลี คนผู้หนึ่งที่เป็นเซียนกระบี่อย่างแท้จริง เพิ่งจะได้มาอยู่ในลำดับสิบคนรุ่นเยาว์ อันที่จริงไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร

สำนักฉงหลินไม่ได้กลัวผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบของแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ แต่เพราะเว่ยจิ้นเคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ เคยปักหลักอยู่ที่นั่นนานหลายปี คิดดูแล้วคงจะคุ้นเคยกับฉีจิ่งหลงเจ้าสำนัก หวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักกระบี่ไท่ฮุย และลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงเป็นอย่างดี ความสัมพันธ์ควันธูปเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะหามาได้จากการผลัดกันชนจอกสุราบนโต๊ะเหล้า

แล้วนับประสาอะไรกับที่สำหรับในสายตาของผู้ฝึกกระบี่อุตรกุรุทวีปแล้ว เซียนกระบี่ของใต้หล้าแบ่งออกเป็นแค่สองประเภทเท่านั้น นั่นคือวีรบุรุษที่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ กับพวกคนไร้ประโยชน์ที่ไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่

ต่อให้เป็นป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่บุคคลอันดับหนึ่งแห่งทางทิศเหนือ ในทางส่วนตัวก็ยังถูกผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปพูดจาเสียดสีเหน็บแนม

ดังนั้นสำหรับเว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะแล้ว ต่อให้จะเป็นสำนักฉงหลินที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ด้วยเลย ก็ยังยินดีจะให้ความเคารพอยู่หลายส่วน

ส่วนข้อที่ว่าเว่ยจิ้นจะตอบแทนความเคารพส่วนนี้อย่างไร ก็ยิ่งสมกับเป็นอุตรกุรุทวีปแล้ว

ข้ามทวีปมาถามกระบี่กับเทียนจวินเซี่ยสือ

……

สตรีผู้หนึ่งขึ้นฝั่งทางทิศเหนือของใบถงทวีปอย่างเงียบเชียบ ไปตามหาเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ริมน้ำของใบถงทวีปท่านหนึ่งอย่าง จั่วโย่ว

ทุกวันนี้ตระกูลเซียนอักษรจงทั้งหมดของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าจะเป็นสำนักกุยหยก สำนักฝูจี ภูเขาไท่ผิง ล้วนกำลังทำการก่อสร้างบุกเบิกพื้นที่ครั้งใหญ่ สำนักใบถงเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

นางเจอกับจั่วโย่วแล้วก็บอกว่าตัวเองชื่อฉางมิ่ง มาจากคุก วันหน้าจะไปฝึกตนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว

จั่วโย่วได้ยินคำอธิบายที่นางมีต่อศิษย์น้องเล็กของตนก็ทำเพียงแค่พยักหน้า จากนั้นเอ่ยเพียงสองคำว่า “ดีมาก”

ฉางมิ่งทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+