กระบี่จงมา 690.5 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 690.5 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จั่วโย่วยืนอยู่ริมน้ำ “รอให้เรื่องทางนี้เสร็จแล้ว ข้าจะไปรับศิษย์น้องกลับมา”

ฉางมิ่งหน้าม่อย จริงด้วย จริงด้วย ใต้เท้าอิ่นกวานคาดเดาได้แม่นยำจริงๆ นางจึงได้แต่เอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านเคยบอกว่า หากท่านผู้อาวุโสมีความคิดเช่นนี้ก็หวังว่าท่านผู้อาวุโส…”

จั่วโย่วโบกมือ เอ่ยว่า “ใครเป็นศิษย์พี่ใครเป็นศิษย์น้องกันแน่? ไร้กฎเกณฑ์เสียจริง”

ฉางมิ่งบื้อใบ้พูดไม่ออก

จั่วโย่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ฉวยโอกาสตอนที่ยังพอมีเวลาว่างเอ่ยว่า “ข้าจะไปที่ลำคลองม่ายเหอสักหน่อย คงไม่ไปส่งเจ้าแล้ว”

แล้วจั่วโย่วก็ทะยานลมจากไปไกลโดยตรง

ฉางมิ่งเองก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้จึงออกจากใบถงทวีป มุ่งตรงไปยังแจกันสมบัติทวีป

ท่ามกลางม่านราตรี ในนครเมืองเซิ่นจิ่งแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน เจียงซ่างเจินกำลังพูดคุยกับเฉาโจวฮูหยินอย่างถูกคอ นางชมแสงจันทร์ เจียงซ่างเจินชมความงามของนาง

เฉาโจวฮูหยินที่มีชาติกำเนิดมาจากดอกโบตั๋นผู้นี้เป็นโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมืองอย่างสมชื่อ คืนนี้นับว่าไม่เสียเที่ยวที่มาเยือน

ในจุดที่อยู่สูงอย่างถึงที่สุดมีอสนีบาตสะเทือนเลือนลั่น

เจียงซ่างเจินเพ่งสายตามองไป เซียนกระบี่ผู้นั้นผ่านทางมา เขาจึงหัวเราะร่าเสียงดังพลางลุกขึ้นยืน เอ่ยขออภัยเฉาโจวฮูหยินหนึ่งคำ จำแลงร่างกลายเป็นสายรุ้งจากไป ราวกับว่าไม่เห็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์นครเซิ่นจิ่งอยู่ในสายตา

เฉาโจวฮูหยินผู้นั้นเหม่อลอยไปพักใหญ่ก็ยังไม่คืนสติ บัณฑิตยากจนที่มีมาดสง่างามผู้นี้ไม่ได้บอกกับตนว่าเป็นปัญญาชนที่เดินทางมาสอบในเมืองหลวง เพียงแต่ว่าในกระเป๋าฟีบแบนก็เลยได้แต่ทำหน้าหนามาขอพักอาศัยในอารามหรอกหรือ?

ครู่หนึ่งต่อมา เจียงซ่างเจินที่ถูกกระบี่หนึ่งฟันร่วงลงบนพื้นสะบัดฝุ่นที่อยู่บนร่างทิ้งอย่างขุ่นเคือง แอบหวนกลับคืนมายังนครเซิ่นจิ่ง กลับมาที่อารามเพื่อขออภัยเฉาโจวฮูหยินอีกครั้ง

สายตาของเฉาโจวฮูหยินฉายแววตำหนิ เอามือกุมไว้ตรงหัวใจ “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

บุรุษถือจอก พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่ถามฮูหยินว่าใช่แขกจากบนฟ้าที่หล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์หรือไม่ แต่ฮูหยินกลับถามชื่อแซ่ของข้า แบบนี้จะไม่ยิ่งทำให้คนธรรมดาอย่างข้ายิ่งสามัญเข้าไปใหญ่หรอกหรือ?”

เฉาโจวฮูหยินทอดถอนใจหนึ่งที โบกชายแขนเสื้อกล่าว “ไปๆๆ พูดอะไรไม่เป็นการเป็นงานสักคำ ไม่กล้าดื่มเหล้าร่วมกับเจ้าแล้ว”

เจียงซ่างเจินลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะอำลา เพียงแต่ว่าวางไม้เท้าอันนั้นไว้บนโต๊ะสุรา และเฉาโจวฮูหยินก็ไม่ได้เอ่ยเตือน

แสงกระบี่เส้นหนึ่งหล่นร่วงลงหน้าตำหนักปี้โหยวที่ตั้งอยู่ริมตลิ่งลำคลองม่ายเหอ เอ่ยกับผีสาวคนเฝ้าประตูว่า “ไปแจ้งกับเหนียงเนียงเทพวารีของพวกเจ้าที…”

ไม่รอให้จั่วโย่วพูดจบ เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอที่กำลังกินบะหมี่ผัดปลาไหลก็สัมผัสได้ว่ามีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งมาเยือนหน้าประตูกะทันหัน เพราะกังวลว่าคนเฝ้าประตูบ้านตนเป็นเพียงผีตนหนึ่ง หากไม่ระวังอาจทำให้เซียนกระบี่รังเกียจว่าเกะกะสายตาแล้วจะถูกฟันตาย นางจึงได้แต่ย่อพื้นที่มาถึงหน้าประตูใหญ่ในเสี้ยววินาที แก้มยังพองป่อง ก่นด่าเสียงอู้อี้ได้ยินไม่ชัดเจนพลางเดินข้ามธรณีประตูใหญ่มา เป็นเซียนกระบี่แล้วร้ายกาจนักหรือ มารดามันเถอะมาก่วนเวลากินอาหารมื้อดึกของข้า…พอเห็นบุรุษที่ไม่ได้หน้าตาดีสักเท่าไรคนนั้น นางก็เรอดังเอิ้ก จากนั้นก็ถามเสียงดังว่า “มาทำอะไร?”

จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ข้าชื่อจั่วโย่ว เป็นศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน”

เหนียงเนียงเทพวารีแห่งลำคลองม่ายเหออึ้งงันเป็นไก่ไม้ก่อน จากนั้นดวงตาสองข้างก็เปล่งประกายเจิดจ้า ยกมือตบฉาดลงบนหน้าตัวเอง ไม่ได้ฝันไปจริงๆ ด้วย!

มารดาเถอะ ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแต่ละคนหล่อเหลาสง่างามไม่แพ้กันเลย!

……

ริมตลิ่งลำน้ำใหญ่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

ชุยตงซานกำลังเปิดตำราเล่มหนึ่งอ่าน

หลิ่วชิงเฟิงกินบ๊ะจ่างที่ค่อนข้างแข็งและเย็นอยู่ด้านข้าง เคี้ยวอย่างเชื่องช้า

ชุยตงซานปิดตำราลง โยนหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมที่เพิ่งจัดพิมพ์อย่างกำเริบเสิบสานให้กับหลิ่วชิงเฟิง “เจ้าลองอ่านดูสิ”

หลิ่วชิงเฟิงรับตำรามา กินบ๊ะจ่างพลางอ่านตำราไปด้วย แรกเริ่มยังเปิดหน้าหนังสือไวมาก แต่กลับยังกินบ๊ะจ่างช้ามากเหมือนเดิม

ดูเหมือนหลิ่วชิงเฟิงจะอ่านเจอถึงจุดที่น่าสนใจจึงหัวเราะ ยามเปิดตำราจึงช้าลง เป็นเรื่องราวของขุนเขาสายน้ำระหว่างเพื่อนรักคู่หนึ่ง อายุไม่ถือว่าต่างกันมาก แค่ประมาณเจ็ดแปดปีเท่านั้น ล้วนมีชาติกำเนิดมาจากตรอกยากจน คนที่อายุน้อย สุดท้ายไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าทะเลสาบชิ่งจู๋ กลับกลายเป็นว่าได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนก่อน ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ในอีกตรอกและอายุมากกว่า ตอนที่ออกจากบ้านเกิดยังเป็นผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งได้ฝึกวิชาหมัด คนหนึ่งชื่อกู้ช่าน คนหนึ่งชื่อเฉินผิงอัน (ทั้งชื่อกู้ช่านและเฉินผิงอันในเรื่องเล่านี้เขียนคนละแบบกับตัวละครกู้ช่าน เฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าอ่านออกเสียงเหมือนกัน) กู้ช่านอายุน้อยๆ ก็ไปอยู่ทะเลสาบชิ่งจู๋ที่มีผู้ฝึกตนอิสระมากมายดุจก้อนเมฆ จึงลักพาตัวเด็กสาวอายุน้อยมากมายให้มาเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อในจวนตัวเอง หมายจะมอบให้แก่เฉินผิงอันที่ตนมองเป็นดั่งพี่ชาย ส่วนฝ่ายหลังก็เป็นผู้นำแห่งสิบสหายของทะเลสาบชิ่งจู๋

เรื่องเล่าคร่าวๆ แบ่งออกเป็นสองสาย แต่เรื่องราวดำเนินไปพร้อมกัน กู้ช่านที่อยู่ในทะเลสาบชิ่งจู๋ตั้งตนเป็นพญามาร ส่วนเฉินผิงอันออกท่องขุนเขาสายน้ำเพียงลำพัง สุดท้ายคนทั้งสองกลับมาพบเจอกันอีกครั้ง คนหนุ่มที่กลายเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธแล้วได้ช่วยเหลือกู้ช่านที่ฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างพร่ำเพื่อเอาไว้ สุดท้ายจ่ายเงินทองให้กับผู้เคราะห์ร้ายพอเป็นพิธี ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตายอย่างลวกๆ ไม่กี่ครั้ง พยายามที่จะอุดปากคน หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จผู้ฝึกยุทธหนุ่มก็จากไปอย่างเงียบเชียบ กู้ช่านก็ยิ่งบดบังชื่อแซ่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

สุดท้ายยังคงเป็นสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ร่วมมือกับกองทัพม้าเหล็กที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่เก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ ช่วยจัดงานพิธีกรรมทั้งทางลัทธิพุทธและลัทธิเต๋า

ชุยตงซานยิ้มถาม “หลังจากอ่านเสร็จ รู้สึกเป็นอย่างไร?”

หลิ่วชิงเฟิงย้อนถาม “คนสองกลุ่มที่เขียนและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ จุดจบเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ชุยตงซานกล่าว “ไม่ตายก็บาดเจ็บ”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้าเอ่ยว่า “นับว่ากะน้ำหนักความพอเหมาะพอดีได้ไม่เลว หากสังหารจนหมดสิ้น ถอนรากถอนโคนมากเกินไปก็เท่ากับว่าเห็นพวกนักอ่านบนภูเขาล่างภูเขาเป็นคนโง่กันหมด ในเมื่อผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่มีความรู้ด้านการประพันธ์ผู้นั้นยังนับว่าพอจะมีมโนธรรม อีกทั้งยังชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอม แน่นอนว่าไม่มีทางกระทำการโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่วางแผนเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง ยังจะต้องให้กู้ช่านทำเรื่องชั่วร้าย จากนั้นเฉินผิงอันก็จะปรากฎตัวมาขัดขวางอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าไม่ทันระวังเผยพิรุธ ถูกคนที่โชคดีรอดชีวิตจำตัวตนของเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สอดคล้องตามเหตุตามผลแล้ว”

“ไม่ใช่สอดคล้องตามเหตุตามผล แต่สอดคล้องกับเส้นสาย”

“ในรายงานขุนเขาสายน้ำ ภูเขาตระกูลเซียนที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ก่อนใครคือที่ใด?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เป็นสำนักเล็กๆ บนภูเขาที่ไม่เข้าขั้นแห่งหนึ่ง หาเงินด้วยวิธีการนี้โดยเฉพาะ ตอนนี้เผ่นแน่บหายหัวกันไปแล้ว แน่นอนว่าก็อาจถูกคนฆ่าปิดปาก ลงมือได้ค่อนข้างมิดชิด จึงยังตรวจสอบไม่พบ บอกตามตรง อันที่จริงข้าคร้านจะไปสืบเสาะด้วยซ้ำ”

หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จะว่าไปแล้วบทแรกๆ ของหนังสือเล่มนี้เป็นแค่บทสั้นๆ มีอักษรไม่กี่พันคำ แต่เขียนได้อย่างซื่อสัตย์น่าประทับใจ ความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญของชาวบ้านล้วนระบายออกมาผ่านปลายพู่กันจนหมดสิ้น เซียนซือบนภูเขาและบัณฑิตทั้งหลายควรจะตั้งใจอ่านจริงๆ”

ขนบธรรมเนียมในเรื่องต่างๆ ล้วนมีการเขียนบรรยายไว้ได้อย่างน่าสนใจ เฝ้าคืนดักขโมยน้ำที่คันนา เด็กหนุ่มขึ้นเขาไปตัดฟืนมาเผาถ่าน สะพายตะกร้าไม้ไผ่ลงจากภูเขา ต่อรองราคากับตระกูลคนรวยอยู่หน้าประตู ถูกฝ่ายหลังตวาดให้เดินลงจากบันไดไป ตอนที่เด็กหนุ่มรับเงินเหรียญทองแดงพวงนั้นมา เห็นว่าบนฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยด้าน

ช่วงหน้าหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ เด็กหนุ่มขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหารายได้ มือทั้งสองเป็นตุ่มพองจนปริแตก ตอนที่เก็บสมุนไพรต้องระมัดระวังอย่างมาก คราบเลือดบนมือจึงเปื้อนลงบนสมุนไพรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนที่ลงจากเขาไปขายให้ร้านยาจึงถูกกดราคา

ตอนที่เขียนบรรยายเรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ตัวอักษรแค่ไม่กี่คำ แต่ก็ทำให้คนที่อ่านไปถึงบทนำเกิดใจสงสารต่อเด็กหนุ่มแล้ว และในนั้นยังมีตัวอักษรที่มหัศจรรย์บางอย่างที่ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเข้าใจอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นในหนังสือบรรยายถึงขนบธรรมเนียม ‘เหนี่ยวข้าว’ ของเมืองเล็ก ซึ่งก็คือบอกว่ายามที่ข้าวสุกงอม เด็กกำพร้าและแม่หม้ายสามารถไปเก็บเศษซากเมล็ดข้าวที่เหลืออยู่หลังจากชาวนาเกี่ยวข้าวไปแล้วได้ ต่อให้จะไม่ใช่นาของตัวเอง ชาวนาคนอื่นก็ไม่มีทางขับไล่ ส่วนพวกชาวนาที่ร่างแข็งแรงกำยำก็จะไม่หันกลับมามองดู เป็นขนบธรรมเนียมที่เก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง

ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่ประโยคหนึ่ง เด็กหนุ่มช่วยหญิงหม้าย บางครั้งเงยหน้าขึ้นเห็นเรือนร่างของสตรีที่นั่งยองอยู่บนพื้นก็จะหน้าแดงก่ำ รีบก้มหน้าลง แล้วค่อยหันไปมองเมล็ดข้าวอวบอิ่มที่วางอยู่ด้านข้าง

การเงยหน้า ก้มหน้าและหันหน้านี้ก็อธิบายความคิดของเด็กหนุ่มที่ทำงานเหนื่อยได้แล้วว่าทั้งซื่อบริสุทธิ์ แต่ก็ซับซ้อนด้วย เพียงแค่ประโยคเดียวก็เขียนให้เขามีชีวิตขึ้นมาได้

เรื่องราวหลังจากบทนำ คาดว่าไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตตกอับหรือคนในยุทธภพ หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนบนภูเขาต่างก็ต้องชอบอ่านกันทั้งนั้น เพราะนอกจากความกำเริบเสิบสาน สังหารคนอย่างไร้ยำเกรงของกู้ช่านที่ทะเลสาบชิ่งจู๋แล้ว ก็ยังเขียนถึงเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์มากมายที่เด็กหนุ่มพบเจอมาหลังจากนั้น เรื่องราวน้อยใหญ่ที่พบเจอมาร้อยเรียงต่อกันไปทอดๆ แต่กลับไม่เด่นชัด

เก็บตำราหมัดเก่าแก่เล่มหนึ่งได้จากภูเขาลึก ออกจากบ้านไปท่องเที่ยวเจอกับยอดฝีมือนอกโลก หลังจากฝึกหมัดจนประสบความสำเร็จเล็กน้อยแล้วก็จับผลัดจับผลูได้เข้าไปในจวนตระกูลเซียน ได้เรียนรู้วิชาชั้นยอดหนึ่งบท ออกหมัดสังหารคน ทุกครั้งล้วนยึดหลักคุณธรรม ต่อให้เป็นการขึ้นเขาลงห้วยแล้วไปเจอกับภูตผีตัวประหลาด ก็ล้วนออกหมัดได้อย่างเด็ดเดี่ยว ออกหมัดอย่างเต็มคราบ มีมาดของวีรบุรุษอายุน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม

พบเจอกับเซียนน้ำเทพภูเขาจำนวนไม่น้อยก็ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ในบรรดานี้ยังมีการพบเจอกันอย่างผิวเผินกับสาวงามคนรู้ใจในยุทธภพ มีความรู้สึกอันดีร่วมกันกับภูตจิ้งจอกใสซื่อ เพื่อช่วยผีสาวงดงามตนหนึ่งชำระล้างมลทินจึงไปก่อเรื่องวุ่นวายที่ศาลเทพอภิบาลเมือง ฯลฯ เรื่องพวกนี้ก็เขียนได้อย่างน่าประทับใจ ช่างเป็นเด็กหนุ่มมีรักที่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาจริงๆ

ประเด็นสำคัญคือยังเขียนเรื่องที่จอมยุทธเด็กหนุ่มคนนั้นมานะตั้งใจเรียนระหว่างท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำไว้ค่อนข้างมาก หลังจากนั้นถึงจะเป็นเรื่องการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่ทะเลสาบชิ่งจู๋ อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน คลื่นลูกหนึ่งสงบคลื่นอีกลูกก็โถมตัวขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือกู้ช่านที่ล่วงเกินคนมากมายมาจากเงื้อมมือของผู้ฝึกตนอิสระได้สำเร็จ ในช่วงเวลาระหว่างนี้ผู้ฝึกยุทธหนุ่มแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาอันเฉียบแหลม อีกทั้งยังมีวิชาคาถาตระกูลเซียนติดกาย จึงมีโชคดีหลังโชคร้าย ได้รับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่งมา อีกทั้งยังมีเทพธิดาสองคนคอยให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ ถึงขั้นยอมแตกหักกับสำนักอย่างไม่เสียดาย นี่ก็มากพอจะให้พวกนักอ่านที่อ่านหนังสือเล่มนี้ติดงอมแงมแล้ว

หลิ่วชิงเฟิงพลันตระหนักได้ว่าในมือยังมีบ๊ะจ่างอีกเกือบครึ่งลูกที่ยังเหลืออยู่ จึงเขมือบกลืนลงไป

ทะเลสาบชิ่งจู๋ ทะเลสาบซูเจี่ยน ชิงจู๋หนันซู (สำนวนนี้แปลตรงตัวหมายถึงเอาแผ่นไม้ไผ่มาเขียนก็ยังเขียนได้ไม่หมด อุปมาว่าบาปหนาจนเกินบรรยาย)

กู้ช่าน ช่านที่แปลว่าเสียใจต่อความผิดที่ได้กระทำไป พ้องเสียงกับชื่อกู้ช่าน

เฉินผิงอัน แน่นอนว่าพ้องเสียงกับชื่อของเฉินผิงอัน

ช่วงท้ายของหนังสือเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘เห็นเพียงว่าจอมยุทธหนุ่มหันกลับไปมองทะเลสาบชิ่งจู๋ รู้สึกเพียงว่าถามใจตนเองแล้วไม่ละอาย แต่ก็อดกระวนกระวายใจไม่ได้ เขากระตุกคอเสื้อชุดเขียวที่คล้ายชุดของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไร้คำพูดไปเนิ่นนาน ภายใต้ความคิดนับร้อยนับพันที่ประดังประเดเข้าหา ทำได้เพียงกระดกเหล้าดื่มคำใหญ่ แล้วจากไปไกลอย่างคนใจหายผิดหวัง’

จากไปไกลอย่างใจหายผิดหวัง (มาจากประโยคสือหุนลั่วพั่ว ลั่วพั่วที่เขียนเหมือนชื่อภูเขาลั่วพั่ว) ช่างเขียนได้ดีนัก เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด

ส่วนหลังจากนั้นจอมยุทธหนุ่มจะเดินทางกลับบ้านเกิดหรือจะออกท่องยุทธภพต่อ ในหนังสือไม่ได้เขียนไว้

หลิ่วชิงเฟิงเอามือตบลงบนหนังสือที่ปิดลงเบาๆ พลันถามว่า “หากเฉินผิงอันมีโอกาสเปิดหนังสือเล่มนี้อ่าน จะเป็นอย่างไร?”

ชุยตงซานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ยามที่อ่านเจอตัวอักษรดีๆ บทกลอนดีๆ ไม่แน่ว่าอาจจะยังคัดลอกเอาไว้ อ่านจบแล้วคาดว่าคงรู้สึกว่าเฉินผิงอันผู้นั้นช่างน่าขำ ไม่เฉลียวฉลาดและไม่รอบคอบเอาเสียเลย เหมือนเขาซะเมื่อไหร่ นึกอยากจะแก้ไขบทแทนเจ้านักเขียนคนนั้นเลยกระมัง”

หลิ่วชิงเฟิงถามอีก “หากได้เจอกับคนเขียนคนนั้นกับตัวเองล่ะ?”

ชุยตงซานส่ายหน้า “เมื่อก่อนข้ารู้คำตอบ แต่ตอนนี้กลับไม่แน่ใจแล้ว”

หลิ่วชิงเฟิงดึงดันซักไซ้ถามอย่างหาได้ยาก “เมื่อก่อนจะต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียว ตอนนี้ได้เห็นเรื่องใหญ่ที่แท้จริงของบนโลกมาก่อนแล้วจึงไม่แน่เสมอไปว่าจะทำเช่นนั้น หรือว่าเมื่อก่อนไม่แน่เสมอไปว่าจะทำอย่างนั้น แต่ตอนนี้จะต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียว?”

ชุยตงซานทิ้งตัวหงายหลัง ยิ้มหน้าทะเล้น “สวรรค์เท่านั้นแหละที่รู้”

หลิ่วชิงเฟิงคืนหนังสือให้ชุยตงซาน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อ่านหนังสือจบ กินข้าวอิ่ม ทำเรื่องที่บัณฑิตสมควรทำ ถึงจะเรียกว่าเป็นบัณฑิต”

ชุยตงซานยิ้มรับแล้วกลับเริ่มกลิ้งตัวไปมาอยู่ข้างกายหลิ่วชิงเฟิง

หลิ่วชิงเฟิงกล่าวอย่างระอาใจ “ด้วยฝีมือของอาจารย์ชุย คิดจะห้ามขายหนังสือนี้อย่างสิ้นเชิง คงไม่ยากกระมัง”

ชุยตงซานทำเพียงแค่กลิ้งตัวอยู่บนพื้น ชายแขนเสื้อใหญ่ป่ายปัดส่งเดชจนฝุ่นคลุ้งตลบ

หลิ่วชิงเฟิงกุมขมับ

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไหล่ลู่คอตกเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าไม่โกรธแม้แต่น้อย ก็แค่รู้สึก…”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสริม “ผิดหวัง”

ชุยตงซานส่ายหน้า “ผิดแล้ว ตรงกันข้ามกันเลย”

ชุยตงซานยกมือขึ้น ประกบสองนิ้วแล้วชูขึ้นสูงเบาๆ “ยินดีเป็นแสงไฟหนึ่งดวงในห้องมืดมิดยามราตรี ส่องสว่างฝุ่นธุลีหมื่นลี้ร้อยพันปี”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 690.5 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 690.5 เรื่องราวเล็กๆ ของคนหนุ่มคนหนึ่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

จั่วโย่วยืนอยู่ริมน้ำ “รอให้เรื่องทางนี้เสร็จแล้ว ข้าจะไปรับศิษย์น้องกลับมา”

ฉางมิ่งหน้าม่อย จริงด้วย จริงด้วย ใต้เท้าอิ่นกวานคาดเดาได้แม่นยำจริงๆ นางจึงได้แต่เอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านเคยบอกว่า หากท่านผู้อาวุโสมีความคิดเช่นนี้ก็หวังว่าท่านผู้อาวุโส…”

จั่วโย่วโบกมือ เอ่ยว่า “ใครเป็นศิษย์พี่ใครเป็นศิษย์น้องกันแน่? ไร้กฎเกณฑ์เสียจริง”

ฉางมิ่งบื้อใบ้พูดไม่ออก

จั่วโย่วนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ฉวยโอกาสตอนที่ยังพอมีเวลาว่างเอ่ยว่า “ข้าจะไปที่ลำคลองม่ายเหอสักหน่อย คงไม่ไปส่งเจ้าแล้ว”

แล้วจั่วโย่วก็ทะยานลมจากไปไกลโดยตรง

ฉางมิ่งเองก็ทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่านี้จึงออกจากใบถงทวีป มุ่งตรงไปยังแจกันสมบัติทวีป

ท่ามกลางม่านราตรี ในนครเมืองเซิ่นจิ่งแห่งราชวงศ์ต้าเฉวียน เจียงซ่างเจินกำลังพูดคุยกับเฉาโจวฮูหยินอย่างถูกคอ นางชมแสงจันทร์ เจียงซ่างเจินชมความงามของนาง

เฉาโจวฮูหยินที่มีชาติกำเนิดมาจากดอกโบตั๋นผู้นี้เป็นโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมืองอย่างสมชื่อ คืนนี้นับว่าไม่เสียเที่ยวที่มาเยือน

ในจุดที่อยู่สูงอย่างถึงที่สุดมีอสนีบาตสะเทือนเลือนลั่น

เจียงซ่างเจินเพ่งสายตามองไป เซียนกระบี่ผู้นั้นผ่านทางมา เขาจึงหัวเราะร่าเสียงดังพลางลุกขึ้นยืน เอ่ยขออภัยเฉาโจวฮูหยินหนึ่งคำ จำแลงร่างกลายเป็นสายรุ้งจากไป ราวกับว่าไม่เห็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์นครเซิ่นจิ่งอยู่ในสายตา

เฉาโจวฮูหยินผู้นั้นเหม่อลอยไปพักใหญ่ก็ยังไม่คืนสติ บัณฑิตยากจนที่มีมาดสง่างามผู้นี้ไม่ได้บอกกับตนว่าเป็นปัญญาชนที่เดินทางมาสอบในเมืองหลวง เพียงแต่ว่าในกระเป๋าฟีบแบนก็เลยได้แต่ทำหน้าหนามาขอพักอาศัยในอารามหรอกหรือ?

ครู่หนึ่งต่อมา เจียงซ่างเจินที่ถูกกระบี่หนึ่งฟันร่วงลงบนพื้นสะบัดฝุ่นที่อยู่บนร่างทิ้งอย่างขุ่นเคือง แอบหวนกลับคืนมายังนครเซิ่นจิ่ง กลับมาที่อารามเพื่อขออภัยเฉาโจวฮูหยินอีกครั้ง

สายตาของเฉาโจวฮูหยินฉายแววตำหนิ เอามือกุมไว้ตรงหัวใจ “เจ้าเป็นใครกันแน่?”

บุรุษถือจอก พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่ถามฮูหยินว่าใช่แขกจากบนฟ้าที่หล่นร่วงลงมายังโลกมนุษย์หรือไม่ แต่ฮูหยินกลับถามชื่อแซ่ของข้า แบบนี้จะไม่ยิ่งทำให้คนธรรมดาอย่างข้ายิ่งสามัญเข้าไปใหญ่หรอกหรือ?”

เฉาโจวฮูหยินทอดถอนใจหนึ่งที โบกชายแขนเสื้อกล่าว “ไปๆๆ พูดอะไรไม่เป็นการเป็นงานสักคำ ไม่กล้าดื่มเหล้าร่วมกับเจ้าแล้ว”

เจียงซ่างเจินลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะอำลา เพียงแต่ว่าวางไม้เท้าอันนั้นไว้บนโต๊ะสุรา และเฉาโจวฮูหยินก็ไม่ได้เอ่ยเตือน

แสงกระบี่เส้นหนึ่งหล่นร่วงลงหน้าตำหนักปี้โหยวที่ตั้งอยู่ริมตลิ่งลำคลองม่ายเหอ เอ่ยกับผีสาวคนเฝ้าประตูว่า “ไปแจ้งกับเหนียงเนียงเทพวารีของพวกเจ้าที…”

ไม่รอให้จั่วโย่วพูดจบ เหนียงเนียงเทพวารีลำคลองม่ายเหอที่กำลังกินบะหมี่ผัดปลาไหลก็สัมผัสได้ว่ามีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งมาเยือนหน้าประตูกะทันหัน เพราะกังวลว่าคนเฝ้าประตูบ้านตนเป็นเพียงผีตนหนึ่ง หากไม่ระวังอาจทำให้เซียนกระบี่รังเกียจว่าเกะกะสายตาแล้วจะถูกฟันตาย นางจึงได้แต่ย่อพื้นที่มาถึงหน้าประตูใหญ่ในเสี้ยววินาที แก้มยังพองป่อง ก่นด่าเสียงอู้อี้ได้ยินไม่ชัดเจนพลางเดินข้ามธรณีประตูใหญ่มา เป็นเซียนกระบี่แล้วร้ายกาจนักหรือ มารดามันเถอะมาก่วนเวลากินอาหารมื้อดึกของข้า…พอเห็นบุรุษที่ไม่ได้หน้าตาดีสักเท่าไรคนนั้น นางก็เรอดังเอิ้ก จากนั้นก็ถามเสียงดังว่า “มาทำอะไร?”

จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ข้าชื่อจั่วโย่ว เป็นศิษย์พี่ของเฉินผิงอัน”

เหนียงเนียงเทพวารีแห่งลำคลองม่ายเหออึ้งงันเป็นไก่ไม้ก่อน จากนั้นดวงตาสองข้างก็เปล่งประกายเจิดจ้า ยกมือตบฉาดลงบนหน้าตัวเอง ไม่ได้ฝันไปจริงๆ ด้วย!

มารดาเถอะ ลูกศิษย์ของผู้เฒ่าเหวินเซิ่งแต่ละคนหล่อเหลาสง่างามไม่แพ้กันเลย!

……

ริมตลิ่งลำน้ำใหญ่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีป

ชุยตงซานกำลังเปิดตำราเล่มหนึ่งอ่าน

หลิ่วชิงเฟิงกินบ๊ะจ่างที่ค่อนข้างแข็งและเย็นอยู่ด้านข้าง เคี้ยวอย่างเชื่องช้า

ชุยตงซานปิดตำราลง โยนหนังสือเล่มใหม่เอี่ยมที่เพิ่งจัดพิมพ์อย่างกำเริบเสิบสานให้กับหลิ่วชิงเฟิง “เจ้าลองอ่านดูสิ”

หลิ่วชิงเฟิงรับตำรามา กินบ๊ะจ่างพลางอ่านตำราไปด้วย แรกเริ่มยังเปิดหน้าหนังสือไวมาก แต่กลับยังกินบ๊ะจ่างช้ามากเหมือนเดิม

ดูเหมือนหลิ่วชิงเฟิงจะอ่านเจอถึงจุดที่น่าสนใจจึงหัวเราะ ยามเปิดตำราจึงช้าลง เป็นเรื่องราวของขุนเขาสายน้ำระหว่างเพื่อนรักคู่หนึ่ง อายุไม่ถือว่าต่างกันมาก แค่ประมาณเจ็ดแปดปีเท่านั้น ล้วนมีชาติกำเนิดมาจากตรอกยากจน คนที่อายุน้อย สุดท้ายไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าทะเลสาบชิ่งจู๋ กลับกลายเป็นว่าได้เดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนก่อน ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อยู่ในอีกตรอกและอายุมากกว่า ตอนที่ออกจากบ้านเกิดยังเป็นผู้ฝึกยุทธที่เพิ่งได้ฝึกวิชาหมัด คนหนึ่งชื่อกู้ช่าน คนหนึ่งชื่อเฉินผิงอัน (ทั้งชื่อกู้ช่านและเฉินผิงอันในเรื่องเล่านี้เขียนคนละแบบกับตัวละครกู้ช่าน เฉินผิงอัน เพียงแต่ว่าอ่านออกเสียงเหมือนกัน) กู้ช่านอายุน้อยๆ ก็ไปอยู่ทะเลสาบชิ่งจู๋ที่มีผู้ฝึกตนอิสระมากมายดุจก้อนเมฆ จึงลักพาตัวเด็กสาวอายุน้อยมากมายให้มาเป็นแม่นางเปิดสาบเสื้อในจวนตัวเอง หมายจะมอบให้แก่เฉินผิงอันที่ตนมองเป็นดั่งพี่ชาย ส่วนฝ่ายหลังก็เป็นผู้นำแห่งสิบสหายของทะเลสาบชิ่งจู๋

เรื่องเล่าคร่าวๆ แบ่งออกเป็นสองสาย แต่เรื่องราวดำเนินไปพร้อมกัน กู้ช่านที่อยู่ในทะเลสาบชิ่งจู๋ตั้งตนเป็นพญามาร ส่วนเฉินผิงอันออกท่องขุนเขาสายน้ำเพียงลำพัง สุดท้ายคนทั้งสองกลับมาพบเจอกันอีกครั้ง คนหนุ่มที่กลายเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธแล้วได้ช่วยเหลือกู้ช่านที่ฆ่าคนบริสุทธิ์อย่างพร่ำเพื่อเอาไว้ สุดท้ายจ่ายเงินทองให้กับผู้เคราะห์ร้ายพอเป็นพิธี ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้คนตายอย่างลวกๆ ไม่กี่ครั้ง พยายามที่จะอุดปากคน หลังจากทำเรื่องเหล่านี้เสร็จผู้ฝึกยุทธหนุ่มก็จากไปอย่างเงียบเชียบ กู้ช่านก็ยิ่งบดบังชื่อแซ่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

สุดท้ายยังคงเป็นสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ร่วมมือกับกองทัพม้าเหล็กที่เฝ้าพิทักษ์พื้นที่เก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ ช่วยจัดงานพิธีกรรมทั้งทางลัทธิพุทธและลัทธิเต๋า

ชุยตงซานยิ้มถาม “หลังจากอ่านเสร็จ รู้สึกเป็นอย่างไร?”

หลิ่วชิงเฟิงย้อนถาม “คนสองกลุ่มที่เขียนและจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ จุดจบเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

ชุยตงซานกล่าว “ไม่ตายก็บาดเจ็บ”

หลิ่วชิงเฟิงพยักหน้าเอ่ยว่า “นับว่ากะน้ำหนักความพอเหมาะพอดีได้ไม่เลว หากสังหารจนหมดสิ้น ถอนรากถอนโคนมากเกินไปก็เท่ากับว่าเห็นพวกนักอ่านบนภูเขาล่างภูเขาเป็นคนโง่กันหมด ในเมื่อผู้ฝึกยุทธหนุ่มที่มีความรู้ด้านการประพันธ์ผู้นั้นยังนับว่าพอจะมีมโนธรรม อีกทั้งยังชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอม แน่นอนว่าไม่มีทางกระทำการโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่วางแผนเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง ยังจะต้องให้กู้ช่านทำเรื่องชั่วร้าย จากนั้นเฉินผิงอันก็จะปรากฎตัวมาขัดขวางอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าไม่ทันระวังเผยพิรุธ ถูกคนที่โชคดีรอดชีวิตจำตัวตนของเขาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็สอดคล้องตามเหตุตามผลแล้ว”

“ไม่ใช่สอดคล้องตามเหตุตามผล แต่สอดคล้องกับเส้นสาย”

“ในรายงานขุนเขาสายน้ำ ภูเขาตระกูลเซียนที่แนะนำหนังสือเล่มนี้ก่อนใครคือที่ใด?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เป็นสำนักเล็กๆ บนภูเขาที่ไม่เข้าขั้นแห่งหนึ่ง หาเงินด้วยวิธีการนี้โดยเฉพาะ ตอนนี้เผ่นแน่บหายหัวกันไปแล้ว แน่นอนว่าก็อาจถูกคนฆ่าปิดปาก ลงมือได้ค่อนข้างมิดชิด จึงยังตรวจสอบไม่พบ บอกตามตรง อันที่จริงข้าคร้านจะไปสืบเสาะด้วยซ้ำ”

หลิ่วชื่อเฉิงเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จะว่าไปแล้วบทแรกๆ ของหนังสือเล่มนี้เป็นแค่บทสั้นๆ มีอักษรไม่กี่พันคำ แต่เขียนได้อย่างซื่อสัตย์น่าประทับใจ ความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญของชาวบ้านล้วนระบายออกมาผ่านปลายพู่กันจนหมดสิ้น เซียนซือบนภูเขาและบัณฑิตทั้งหลายควรจะตั้งใจอ่านจริงๆ”

ขนบธรรมเนียมในเรื่องต่างๆ ล้วนมีการเขียนบรรยายไว้ได้อย่างน่าสนใจ เฝ้าคืนดักขโมยน้ำที่คันนา เด็กหนุ่มขึ้นเขาไปตัดฟืนมาเผาถ่าน สะพายตะกร้าไม้ไผ่ลงจากภูเขา ต่อรองราคากับตระกูลคนรวยอยู่หน้าประตู ถูกฝ่ายหลังตวาดให้เดินลงจากบันไดไป ตอนที่เด็กหนุ่มรับเงินเหรียญทองแดงพวงนั้นมา เห็นว่าบนฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยด้าน

ช่วงหน้าหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ เด็กหนุ่มขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรหารายได้ มือทั้งสองเป็นตุ่มพองจนปริแตก ตอนที่เก็บสมุนไพรต้องระมัดระวังอย่างมาก คราบเลือดบนมือจึงเปื้อนลงบนสมุนไพรอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตอนที่ลงจากเขาไปขายให้ร้านยาจึงถูกกดราคา

ตอนที่เขียนบรรยายเรื่องเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้ตัวอักษรแค่ไม่กี่คำ แต่ก็ทำให้คนที่อ่านไปถึงบทนำเกิดใจสงสารต่อเด็กหนุ่มแล้ว และในนั้นยังมีตัวอักษรที่มหัศจรรย์บางอย่างที่ยิ่งทำให้ชายหนุ่มเข้าใจอย่างชัดเจน ยกตัวอย่างเช่นในหนังสือบรรยายถึงขนบธรรมเนียม ‘เหนี่ยวข้าว’ ของเมืองเล็ก ซึ่งก็คือบอกว่ายามที่ข้าวสุกงอม เด็กกำพร้าและแม่หม้ายสามารถไปเก็บเศษซากเมล็ดข้าวที่เหลืออยู่หลังจากชาวนาเกี่ยวข้าวไปแล้วได้ ต่อให้จะไม่ใช่นาของตัวเอง ชาวนาคนอื่นก็ไม่มีทางขับไล่ ส่วนพวกชาวนาที่ร่างแข็งแรงกำยำก็จะไม่หันกลับมามองดู เป็นขนบธรรมเนียมที่เก่าแก่โบราณอย่างยิ่ง

ความมหัศจรรย์นั้นอยู่ที่ประโยคหนึ่ง เด็กหนุ่มช่วยหญิงหม้าย บางครั้งเงยหน้าขึ้นเห็นเรือนร่างของสตรีที่นั่งยองอยู่บนพื้นก็จะหน้าแดงก่ำ รีบก้มหน้าลง แล้วค่อยหันไปมองเมล็ดข้าวอวบอิ่มที่วางอยู่ด้านข้าง

การเงยหน้า ก้มหน้าและหันหน้านี้ก็อธิบายความคิดของเด็กหนุ่มที่ทำงานเหนื่อยได้แล้วว่าทั้งซื่อบริสุทธิ์ แต่ก็ซับซ้อนด้วย เพียงแค่ประโยคเดียวก็เขียนให้เขามีชีวิตขึ้นมาได้

เรื่องราวหลังจากบทนำ คาดว่าไม่ว่าจะเป็นบัณฑิตตกอับหรือคนในยุทธภพ หรือไม่ก็ผู้ฝึกตนบนภูเขาต่างก็ต้องชอบอ่านกันทั้งนั้น เพราะนอกจากความกำเริบเสิบสาน สังหารคนอย่างไร้ยำเกรงของกู้ช่านที่ทะเลสาบชิ่งจู๋แล้ว ก็ยังเขียนถึงเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์มากมายที่เด็กหนุ่มพบเจอมาหลังจากนั้น เรื่องราวน้อยใหญ่ที่พบเจอมาร้อยเรียงต่อกันไปทอดๆ แต่กลับไม่เด่นชัด

เก็บตำราหมัดเก่าแก่เล่มหนึ่งได้จากภูเขาลึก ออกจากบ้านไปท่องเที่ยวเจอกับยอดฝีมือนอกโลก หลังจากฝึกหมัดจนประสบความสำเร็จเล็กน้อยแล้วก็จับผลัดจับผลูได้เข้าไปในจวนตระกูลเซียน ได้เรียนรู้วิชาชั้นยอดหนึ่งบท ออกหมัดสังหารคน ทุกครั้งล้วนยึดหลักคุณธรรม ต่อให้เป็นการขึ้นเขาลงห้วยแล้วไปเจอกับภูตผีตัวประหลาด ก็ล้วนออกหมัดได้อย่างเด็ดเดี่ยว ออกหมัดอย่างเต็มคราบ มีมาดของวีรบุรุษอายุน้อยที่เปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม

พบเจอกับเซียนน้ำเทพภูเขาจำนวนไม่น้อยก็ถูกชะตากันตั้งแต่แรกเห็น ในบรรดานี้ยังมีการพบเจอกันอย่างผิวเผินกับสาวงามคนรู้ใจในยุทธภพ มีความรู้สึกอันดีร่วมกันกับภูตจิ้งจอกใสซื่อ เพื่อช่วยผีสาวงดงามตนหนึ่งชำระล้างมลทินจึงไปก่อเรื่องวุ่นวายที่ศาลเทพอภิบาลเมือง ฯลฯ เรื่องพวกนี้ก็เขียนได้อย่างน่าประทับใจ ช่างเป็นเด็กหนุ่มมีรักที่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาจริงๆ

ประเด็นสำคัญคือยังเขียนเรื่องที่จอมยุทธเด็กหนุ่มคนนั้นมานะตั้งใจเรียนระหว่างท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำไว้ค่อนข้างมาก หลังจากนั้นถึงจะเป็นเรื่องการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งที่ทะเลสาบชิ่งจู๋ อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน คลื่นลูกหนึ่งสงบคลื่นอีกลูกก็โถมตัวขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือกู้ช่านที่ล่วงเกินคนมากมายมาจากเงื้อมมือของผู้ฝึกตนอิสระได้สำเร็จ ในช่วงเวลาระหว่างนี้ผู้ฝึกยุทธหนุ่มแสดงให้เห็นถึงสติปัญญาอันเฉียบแหลม อีกทั้งยังมีวิชาคาถาตระกูลเซียนติดกาย จึงมีโชคดีหลังโชคร้าย ได้รับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบหนึ่งมา อีกทั้งยังมีเทพธิดาสองคนคอยให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ ถึงขั้นยอมแตกหักกับสำนักอย่างไม่เสียดาย นี่ก็มากพอจะให้พวกนักอ่านที่อ่านหนังสือเล่มนี้ติดงอมแงมแล้ว

หลิ่วชิงเฟิงพลันตระหนักได้ว่าในมือยังมีบ๊ะจ่างอีกเกือบครึ่งลูกที่ยังเหลืออยู่ จึงเขมือบกลืนลงไป

ทะเลสาบชิ่งจู๋ ทะเลสาบซูเจี่ยน ชิงจู๋หนันซู (สำนวนนี้แปลตรงตัวหมายถึงเอาแผ่นไม้ไผ่มาเขียนก็ยังเขียนได้ไม่หมด อุปมาว่าบาปหนาจนเกินบรรยาย)

กู้ช่าน ช่านที่แปลว่าเสียใจต่อความผิดที่ได้กระทำไป พ้องเสียงกับชื่อกู้ช่าน

เฉินผิงอัน แน่นอนว่าพ้องเสียงกับชื่อของเฉินผิงอัน

ช่วงท้ายของหนังสือเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘เห็นเพียงว่าจอมยุทธหนุ่มหันกลับไปมองทะเลสาบชิ่งจู๋ รู้สึกเพียงว่าถามใจตนเองแล้วไม่ละอาย แต่ก็อดกระวนกระวายใจไม่ได้ เขากระตุกคอเสื้อชุดเขียวที่คล้ายชุดของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ ไร้คำพูดไปเนิ่นนาน ภายใต้ความคิดนับร้อยนับพันที่ประดังประเดเข้าหา ทำได้เพียงกระดกเหล้าดื่มคำใหญ่ แล้วจากไปไกลอย่างคนใจหายผิดหวัง’

จากไปไกลอย่างใจหายผิดหวัง (มาจากประโยคสือหุนลั่วพั่ว ลั่วพั่วที่เขียนเหมือนชื่อภูเขาลั่วพั่ว) ช่างเขียนได้ดีนัก เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด

ส่วนหลังจากนั้นจอมยุทธหนุ่มจะเดินทางกลับบ้านเกิดหรือจะออกท่องยุทธภพต่อ ในหนังสือไม่ได้เขียนไว้

หลิ่วชิงเฟิงเอามือตบลงบนหนังสือที่ปิดลงเบาๆ พลันถามว่า “หากเฉินผิงอันมีโอกาสเปิดหนังสือเล่มนี้อ่าน จะเป็นอย่างไร?”

ชุยตงซานคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ยามที่อ่านเจอตัวอักษรดีๆ บทกลอนดีๆ ไม่แน่ว่าอาจจะยังคัดลอกเอาไว้ อ่านจบแล้วคาดว่าคงรู้สึกว่าเฉินผิงอันผู้นั้นช่างน่าขำ ไม่เฉลียวฉลาดและไม่รอบคอบเอาเสียเลย เหมือนเขาซะเมื่อไหร่ นึกอยากจะแก้ไขบทแทนเจ้านักเขียนคนนั้นเลยกระมัง”

หลิ่วชิงเฟิงถามอีก “หากได้เจอกับคนเขียนคนนั้นกับตัวเองล่ะ?”

ชุยตงซานส่ายหน้า “เมื่อก่อนข้ารู้คำตอบ แต่ตอนนี้กลับไม่แน่ใจแล้ว”

หลิ่วชิงเฟิงดึงดันซักไซ้ถามอย่างหาได้ยาก “เมื่อก่อนจะต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียว ตอนนี้ได้เห็นเรื่องใหญ่ที่แท้จริงของบนโลกมาก่อนแล้วจึงไม่แน่เสมอไปว่าจะทำเช่นนั้น หรือว่าเมื่อก่อนไม่แน่เสมอไปว่าจะทำอย่างนั้น แต่ตอนนี้จะต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียว?”

ชุยตงซานทิ้งตัวหงายหลัง ยิ้มหน้าทะเล้น “สวรรค์เท่านั้นแหละที่รู้”

หลิ่วชิงเฟิงคืนหนังสือให้ชุยตงซาน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อ่านหนังสือจบ กินข้าวอิ่ม ทำเรื่องที่บัณฑิตสมควรทำ ถึงจะเรียกว่าเป็นบัณฑิต”

ชุยตงซานยิ้มรับแล้วกลับเริ่มกลิ้งตัวไปมาอยู่ข้างกายหลิ่วชิงเฟิง

หลิ่วชิงเฟิงกล่าวอย่างระอาใจ “ด้วยฝีมือของอาจารย์ชุย คิดจะห้ามขายหนังสือนี้อย่างสิ้นเชิง คงไม่ยากกระมัง”

ชุยตงซานทำเพียงแค่กลิ้งตัวอยู่บนพื้น ชายแขนเสื้อใหญ่ป่ายปัดส่งเดชจนฝุ่นคลุ้งตลบ

หลิ่วชิงเฟิงกุมขมับ

ชุยตงซานลุกขึ้นนั่ง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไหล่ลู่คอตกเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าไม่โกรธแม้แต่น้อย ก็แค่รู้สึก…”

หลิ่วชิงเฟิงเอ่ยเสริม “ผิดหวัง”

ชุยตงซานส่ายหน้า “ผิดแล้ว ตรงกันข้ามกันเลย”

ชุยตงซานยกมือขึ้น ประกบสองนิ้วแล้วชูขึ้นสูงเบาๆ “ยินดีเป็นแสงไฟหนึ่งดวงในห้องมืดมิดยามราตรี ส่องสว่างฝุ่นธุลีหมื่นลี้ร้อยพันปี”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+