กระบี่จงมา 700.2 อันดับหนึ่งในใต้หล้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 700.2 อันดับหนึ่งในใต้หล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลู่เฉินถือห่วงเหล็กไว้ในมือ สองเข่างอลงเบาๆ ตั้งท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียนของผู้ฝึกยุทธ จากนั้นก็เหวี่ยงร่างหมุนหนึ่งตลบ เท้าหนึ่งเหยียบลงบนพื้น เท้าหนึ่งตวัดยกขึ้น โน้มร่างไปด้านหน้า ขว้างห่วงเหล็กนั้นออกไปเต็มแรง มันกลายเป็นสายรุ้งพร่างพราวเส้นหนึ่งที่แหวกอากาศพุ่งตรงไปยังม่านฟ้าที่อริยะลัทธิขงจื๊อเฝ้าพิทักษ์อยู่

นักพรตน้อยยืดคอยาวออกไป เอ่ยเตือนว่า “อย่าขว้างจนเบี้ยวเล่า กลายเป็นว่าจะทำให้อริยะลัทธิขงจื๊อเห็นเรื่องตลกเอาได้”

นักพรตซุนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่ควรกังวลว่าของสิ่งนี้จะไปกระแทกให้อริยะลัทธิขงจื๊อหัวปูดหรอกหรือ? บัณฑิตรักหน้าตาเป็นที่สุด ถึงเวลานั้นหากศาลบุ๋นเอาเรื่องขึ้นมา ลู่เฉินเป็นคนขว้างห่วงเหล็กก็จริง แต่ห่วงเหล็กกลับเป็นของเจ้า ดังนั้นเจ้ากับสหายนักพรตลู่จึงมีความผิดกันคนละครึ่ง เขาสามารถโยนภาระแล้วเผ่นหนีได้ แต่เจ้าที่พกพาพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งติดตัวมาด้วยจะหนีไปไหนได้?”

นักพรตน้อยหัวเราะแห้งอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”

แล้วก็หันมาถลึงตาใส่ลู่เฉินอย่างดุดัน

ลู่เฉินพยักหน้า “ใจนิ่งมือแม่นยำ ชี้ไปที่ไหนก็ไปที่นั่น ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน”

นักพรตซุนพยักหน้า “ชี้ไปที่ไหนตีไปที่นั่น”

นักพรตน้อยรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะขึ้นทุกทีแล้ว มองลู่เฉินที่ลงมือช่วยตนแวบหนึ่ง แล้วก็หันไปมองนักพรตซุนที่ช่วยพูดแทนตนอีกแวบหนึ่ง รู้สึกไม่ค่อยจะแน่ใจขึ้นมาแล้ว

นักพรตซุนส่ายหน้า

นักพรตเซาฮว่อผู้นี้เป็นเจ้าโง่น้อยจริงๆ ห่วงเหล็กขว้างไปไกลกลางอากาศ ไปทีก็ห่างไกลนับหมื่นลี้ ลำพังเพียงแค่ริ้วคลื่นลมปราณที่ทิ้งไว้ตลอดเส้นทางนั้นก็มากพอจะให้ลู่เฉินคำนวณขุนเขาสายน้ำและหมื่นสรรพสิ่งได้แม่นยำยิ่งกว่าเดิมแล้ว

นี่ทำให้นักพรตซุนรู้สึกคิดถึงสหายนักพรตเฉินที่พบเจอกันโดยบังเอิญที่อุตรกุรุทวีปอย่างมาก

นั่นต่างหากถึงจะเป็นคนที่ยินดีใช้สมองขบคิดเรื่องราวอย่างแท้จริง แล้วก็คู่ควรจะแบกรับแผนการอันยาวไกลของเจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่จริงๆ

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล พบเจอกันบนภูเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เป็นสหายร่วมทุกข์ ความสัมพันธ์สนิทแน่นแฟ้น ดังนั้นถึงได้พบเจอกันด้วยดีและจากลากันด้วยดี

‘สหายนักพรตเฉิน เป็นคนต้องมีคุณธรรมหน่อย’

‘สหายนักพรตซุน ค้าขายต้องยุติธรรมหน่อย!’

นักพรตซุนเวลานี้ลูบหนวดคลี่ยิ้ม คนหนุ่มที่สมองเฉียบไวเช่นนี้ยังคงชวนให้คนชื่นชอบได้อยู่มาก เพียงแต่ว่าทุกที่ที่เขาผ่านไม่เหลือแม้พืชหญ้าสักต้นเกินไปหน่อย ยังดีที่ก่อนจะจากลากัน ประโยคจริงใจสุดท้ายที่เอ่ยว่า ‘ท่านนักพรตมรรคายาวไกล’ ก็ล้วนได้ชดเชยทุกอย่างกลับมาแล้ว

ซานชิงที่เงียบงันมาตลอดพลันถามว่า “ศิษย์พี่เล็ก ข้าอยากออกเดินทางไกลเพียงลำพัง ได้หรือไม่?”

ลู่เฉินตบหน้าผากตัวเอง ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกัน ถามเรื่องพวกนี้ทำไม หรือว่าไม่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวเจ้าก็เดินออกไปจากพื้นที่ร้อยจั้งไม่ได้แล้ว?”

นักพรตซุนลูบหนวดยิ้มกล่าว “สหายนักพรตลู่ ขอแสดงความยินดีด้วยที่หาศิษย์น้องที่ดีมาได้”

ซานชิงหันไปคารวะศิษย์พี่เล็กกับนักพรตซุน จากนั้นก็หมุนตัวเดินก้าวเดียวห่างไปร้อยจั้ง ระหว่างที่ทะยานลมก็ได้ฝ่าทะลุขอบเขตสู่ขอบเขตหยกดิบแล้ว

แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ทางทิศตะวันตกก็มีชาวพุทธคนหนึ่งฝ่าทะลุขอบเขตเช่นกัน

ลู่เฉินพยักหน้า สะบัดข้อมือ “ยังดีๆ เกือบจะทนไม่ไหวแล้วเชียว”

นักพรตซุนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายนักพรตลู่จะทำให้ตัวเองลำบากไปไย คราวหน้าแค่บอกกับผินเต้าสักคำก็พอ เรื่องของฝ่ามือเดียว ใครเป็นคนตีก็เหมือนกันนั่นแหละ”

นักพรตน้อยถามอย่างเป็นกังวลว่า “เจ้าลัทธิลู่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าวันหน้าข้าจะต้องนำน้ำเต้า ‘โต้วเหลียง’ ไปให้ศาลบุ๋นยืม? อาจารย์ของข้าร่ายเวทอำพรางตาไว้ด้วยตัวเอง อีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้รู้เรื่องของใบถงทวีปสักหน่อย…”

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ตัวอยู่ในตำแหน่งสูง ทุกวันอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็ได้แต่คิดอะไรส่งเดชไปเรื่อยเท่านั้น เดาโน่นเดานี่ คิดไปเหนือคิดไปใต้”

นักพรตน้อยยื่นมือไปลูบน้ำเต้ายักษ์สีทองด้านหลังตัวเอง

ลู่เฉินเอ่ย “โต้วเหลียงลูกนี้ เจ้าอารามผู้เฒ่า เจ้า อริยะปราชญ์ของที่แห่งนี้ ศาลบุ๋นแห่งแผ่นดินกลาง ซิ่วหู่แห่งแจกันสมบัติทวีป หยางเหล่าโถว วกวนอ้อมค้อมกันไปตลอดทาง สุดท้ายก็ต้องส่งไปให้ถึงมือของแม่นางแซ่หลี่คนหนึ่ง”

นักพรตน้อยขมวดคิ้ว “เจ้าลัทธิลู่เดาเองส่งเดชอีกแล้วหรือ?”

รู้สึกตัดใจไม่ลงกับการจากลาครั้งนี้อยู่บ้าง แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ‘โต้วเหลียง’ ลูกนี้จะยังต้องกลับคืนมาก็ตาม

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เคยคิดหรือไม่ว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูก แรกเริ่มสุดมาจากฝีมือใคร?”

เถาวัลย์เถาหนึ่งออกผลเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูก สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือหนึ่งบางหนึ่งของใต้หล้าไพศาล

เส้นสายเจ็ดเส้นหมุนโคจร ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง

มรรคาจารย์เต๋าอยู่ว่างจึงใช้สิ่งนี้มาพิศมรรคา นั่งมองสระดอกบัวดูดอกไม้ผลิดอกไม้ร่วง ดูว่าหยดน้ำหล่นลงตรงที่ใด ก็คือหลักการเดียวกัน

มรรคาจารย์เต๋ามีมรรคกถาเลิศล้ำเทียมฟ้า แต่กลับไม่คิดจะทำอะไรจริงๆ แน่นอนว่าศาลบุ๋นก็ย่อมไม่มีเหตุผลให้สะบั้นเส้นสายที่หยั่งรากลงในใต้หล้าไพศาลเหล่านี้

นักพรตน้อยเอ่ย “แน่นอน จากนั้นล่ะ?”

นักพรตซุนยิ้มบางๆ “สีซอให้ควายฟัง ไก่คุยกับเป็ด”

นี่เรียกว่าด่าทีด่าถึงสี่แล้ว

ลู่เฉินกล่าวอย่างระอาใจ “นักพรตซุน ข้ายังคงเคารพครูบาอาจารย์อย่างมากนะ”

นักพรตซุนพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ผินเต้าแก่แล้วเลยเลอะเลือน หูไม่ค่อยดีแล้ว”

ลู่เฉินเพียงคลี่ยิ้มรับ

ถึงอย่างไรขนาดอาจารย์ของตนก็ยังไม่ถือสา ตนที่เป็นลูกศิษย์ก็ยิ่งไม่ควรต้องยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เหลือเพียงนักพรตน้อยที่สมองเหมือนมีแต่แป้งเปียก

เขารู้แค่ว่ามรรคจารย์เต๋าเป็นผู้ปลูกเถาวัลย์น้ำเต้าเส้นนั้นด้วยตัวเอง หลังจากมัน ‘ออกผล’ แล้วก็กลายมาเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่ดีที่สุดของใต้หล้า

เถาน้ำเต้าที่ ‘ได้รับสภาพแวดล้อมที่เงื่อนไขดีเป็นพิเศษจึงฟูมฟักออกมา’ ของเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานเส้นนั้น แน่นอนว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงได้ติด

น้ำเต้าลูกใหญ่สีทองอร่ามที่นักพรตน้อยสะพายอยู่บนหลังลูกนี้ ในฐานะหนึ่งในเจ็ดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีค่าหายากที่สุดบนโลก มีนามว่า ‘โต้วเหลียง’ (ปริมาณที่มากมายมหาศาล) บรรจุน้ำทะเลบูรพาไว้นับไม่ถ้วน เล่าลือกันว่าถึงขนาดที่ระดับผิวน้ำทะเลบูรพาลดลงไปหลายฉื่อ เพียงแต่อาจารย์เจ้าอารามไม่ได้ให้เขาเอาไว้เลี้ยงกระบี่ กลับกลายเป็นว่าให้เอามาไว้จับเจียว เลี้ยงเจียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะ ‘บินทะยาน’ ไปยังใต้หล้ามืดสลัว เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ได้แอบทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งสำเร็จแล้ว

ตอนนั้นหลี่หลิ่วและกู้ช่านกลับมาพบกันอีกครั้งที่หินพักมังกรบนทะเล บนหินพักมังกรกลับไม่มีเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่ไปโปรยฝนมาพักผ่อนแม้แต่ตัวเดียว ก็คือเหตุผลข้อนี้ เพราะเจียวน้ำในมหาสมุทรสองฝากฝั่งของใบถงทวีปแทบจะถูกนักพรตผู้เฒ่าจับมาจนสิ้นแล้ว เจียวน้ำในน่านมหาสมุทรแถบอื่นก็มีหลายตัวที่เป็นฝ่ายเข้ามาอยู่ใน ‘โต้วเหลียง’ เอง ส่วนร่องเจียวหลงที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาห้อยหัวกับสำนักอวี่หลงนั้น เจียวที่เหนื่อยล้าไม่จำเป็นต้องหยุดพักบนหินพักมังกรระหว่างทาง

ตอนนั้นอริยะลัทธิขงจื๊อไม่ได้ขัดขวางเรื่องนี้ แน่นอนว่าศาลบุ๋นย่อมมีการคิดพิจารณาเป็นของตัวเอง

นอกจากนี้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกหกลูกที่มีมูลค่าควรเมืองก็แบ่งออกเป็นลูกที่เลี้ยงกระบี่ไว้มากที่สุด ชื่อว่า ‘หนิวเหมา’ (ขนวัว) ชื่อไม่ไพเราะ แต่ระดับขั้นและพลังอำนาจกลับล้วนน่าตะลึงอย่างยิ่ง แล้วก็สามารถช่วยให้เจ้าของช่วงชิงความสัมพันธ์และมิตรภาพจากผู้ฝึกกระบี่กับเซียนกระบี่บนภูเขามาได้มากที่สุด

ลูกที่ช่วยให้ตัวอ่อนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก่อรูปก่อร่างได้เร็วที่สุดมีชื่อว่า ‘จงหนันซานลู่’ (เส้นทางภูเขาจงหนัน) ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่พรสวรรค์ดีเยี่ยม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตยิ่งมาก หากได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ก็จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนได้ดีที่สุด

ลูกที่เลี้ยงกระบี่บินออกมาได้แข็งแกร่งทนทานที่สุดก็มีชื่อประหลาดเช่นกัน มีแค่คำเดียว ‘ซาน’ (สาม)

ลูกที่ทำให้ประกายกระบี่เฉียบคมที่สุด หนึ่งกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทลายหมื่นอาคม กระบี่ในน้ำเต้ากลับสามารถทำลายหมื่นกระบี่ มีชื่อว่า ‘ซินซื่อ’ ที่แปลว่าสมหวังดังใจปรารถนา

กระบี่บินที่เล็กที่สุดบางที่สุด ออกกระบี่เร็วที่สุด สามารถหลอมจนถึงขั้นไร้รูปลักษณ์ที่แท้จริง มองเมินแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้คือ ‘ลี่จี๋’ (โดยทันที)

รวมไปถึงสามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายของเจ้านาย เหมาะกับการบรรจุสุรา ผู้ฝึกตนดื่มสุราก็คือกำลังดูดดังปราณกระบี่ อีกทั้งยังไร้ภัยร้ายซ่อนแฝง มีชื่อว่า ‘เหมยจิ่ว’ (สุราเลิศรส) เรื่องราวงดงามมีความหมายในโลกมนุษย์ การดื่มสุราหมักเลิศรสคืออันดับหนึ่ง

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่รวมแล้วเจ็ดลูก ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาอยู่ในใต้หล้าไพศาลเพียงที่เดียว

แจกันสมบัติทวีปแห่งเล็กๆ มีโชควาสนาสูงเทียมฟ้า ได้ครอบครองถึงสองลูก ‘หนิวเหมา’ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีม่วงทองของภูเขาตะวันเที่ยงเคยมอบให้กับผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งที่ทางสำนักฝากความหวังให้สูงอย่าง ซูเจี้ย

แน่นอนว่าไม่ใช่ของตกทอดจากบรรพบุรุษของภูเขาตะวันเที่ยง ภูเขาตะวันเที่ยงไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากขนาดนั้น ถือว่าได้มาครอบครองกลางทางมากกว่า

ศาลลมหิมะก็มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีขาวหิมะลูกหนึ่ง เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ที่อายุเพียงสี่สิบปีก็เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเป็นผู้ได้ไปครอบครองนานแล้ว นักพรตน้อยเดาเอาว่านั่นก็คือน้ำเต้า ‘เหมยจิ่ว’

นอกจากนี้ลูกศิษย์ใหญ่ของเจ้านครจักรพรรดิขาวแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้น้ำเต้า ‘ซาน’ ไปครอง เทพแห่งเงินทองสกุลหลิวแห่งธวัลทวีปกึ่งซื้อกึ่งแย่ง ได้ ‘จงหนานซาน’ ไป เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาเนิ่นนาน ไม่เคยเอาออกมาให้ใครดูง่ายๆ เคยป่าวประกาศว่ามันจะกลายมาเป็นหนึ่งในสินสอดของหลิวโยวโจวทายาทสายตรงในวันแต่งงาน

ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่ทางทิศเหนือของอุตรกุรุทวีปได้ ‘จงหนานซานลู่’ ไปครอง

แต่ ‘ซินซื่อ’ และ ‘ลี่จี๋’ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สองลูกที่เหมาะให้ผู้ฝึกกระบี่ใช้ในการจับคู่เข่นฆ่า มีพลังในการโจมตีมากที่สุดกลับหายไปไม่รู้ร่องรอยมาโดยตลอด

นักพรตน้อยคิดจะกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืน ดังนั้นจึงหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “เจ้าลัทธิลู่ ต้องการไปพบลูกหลานสกุลลู่บางคนหรือไม่?”

ลู่เฉินเจอลู่ไถ แค่คิดก็ทำให้คนรู้สึกว่าน่าสนใจแล้ว

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เด็กคนหนึ่งที่ขนาดอยู่ภูเขาห้อยหัวก็ยังไม่อาจจุดธูปหอมซานชิงได้ ไม่ต้องพบเจอกันดีกว่า”

นักพรตซุนทอดสายตามองทิศไกล จุ๊ปากเอ่ยชื่นชม ซานชิงตัวดี นับว่าน่าสนใจอยู่บ้าง

แม้ปากจะบอกว่าออกเดินทางไกล แต่กลับพุ่งตรงไปยังภูเขาใหม่เอี่ยมที่อารามเสวียนตูเพิ่งได้ครอบครอง ดูจากท่าทางนั้นคงต้องการสังหารคนของสายอารามเสวียนตูที่ขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดให้หมดสิ้นเลยกระมัง?

ลู่เฉินร้องปัดโธ่หนึ่งทีแล้วกระทืบเท้า “ไม่เข้าท่าเลย ไม่เข้าท่าเลย ไม่กลัวว่าศิษย์พี่เล็กจะถูกนักพรตซุนซ้อมตายบ้างเลยหรือไร?”

นักพรตซุนพยักหน้า “ไล่หมาเข้าไปในซอยตัน หมาจนตรอกย่อมร้อนใจอยากระโดดกำแพงหนี”

นักพรตซุนถึงขนาดพูดเช่นนี้แล้ว ลู่เฉินก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว

แต่จากนั้นนักพรตซุนก็หลุดหัวเราะพรืด “เหตุผลเป็นเหตุผลนี้จริง แต่จะฆ่าได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? บนร่างมีสมบัติอยู่มากมาย พลังการต่อสู้และตบะเพิ่มไปอีกขั้นแล้วอย่างไร? สายเซียนกระบี่อารามเสวียนตูของผินเต้าไม่ได้มีเงินร่ำรวยเหมือนพวกเซียนน้อยใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง แต่หากพูดถึงเรื่องการต่อยตีก็ยังพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง”

ภิกษุเด็กหนุ่มทางทิศตะวันตกคนหนึ่งฝ่าทะลุขอบเขตแทบจะเวลาเดียวกันกับซานชิง

นักพรตหญิงสะพายกระบี่รูปโฉมอ่อนเยาว์คนหนึ่งของอารามเสวียนตูฝ่าทะลุขอบเขตช้ากว่าเล็กน้อย

แต่เมื่อพกกระบี่มาเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างซานชิงก็พอจะมีพลังการต่อสู้อยู่บ้าง แม้จะบอกว่ายากที่จะได้รับชัยชนะ แต่แค่ถ่วงเวลาซานชิงได้ชั่วครู่ชั่วยามก็พอแล้ว

ผู้ฝึกตนของอารามเสวียนตูลงจากเขามาทำเรื่องต่างๆ หากไม่ยอมให้คนด่าอย่างสุภาพปรองดอง ไม่คิดจะต่อยตีกับใครง่ายๆ ก็เลือกลงมือโดยตรง อีกทั้งยังจะต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายด้วย

นอกจากนี้ผู้ฝึกตนของอารามเสวียนตูยัง…ชอบที่จะร้องเรียกพวกพ้องมารุมซ้อมศัตรูอีกด้วย

ดังนั้นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างของอารามเสวียนตูจึงมักจะเคยเห็นสถานการณ์ใหญ่เทียมฟ้ากันมานักต่อนักแล้ว

แน่นอนว่าพอเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้วก็ห้ามทำอะไรเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้อีก ตามคำกล่าวของบรรพจารย์ผู้เฒ่าก็คือ หากแพร่ออกไปจะไม่น่าฟัง

ส่วนเรื่องที่ว่าลับหลังจากที่ไม่ทำอะไรโจ่งแจ้งแล้วจะเป็นอย่างไร นักพรตซุนมักออกมาท่องเที่ยวด้านนอกอยู่ตลอด มองไม่เห็นไม่ได้ยิน แน่นอนว่าไม่คิดจะไปควบคุม ผินเต้ารับลูกศิษย์ ลูกศิษย์รับศิษย์หลาน เพียงแค่ถ่ายทอดมรรคกถา สั่งสอนเวทกระบี่กันไปก็พอ วันหน้าลงจากเขาไปหาประสบการณ์จะสร้างหน้าตาให้อารามเสวียนตูหรือทำให้ขายหน้า พวกเจ้าก็คิดดูเอาเองแล้วกัน

ในความเป็นจริงแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาซุนไหวจงไม่เคยสนใจเรื่องเล็กๆ

เพราะมีประโยคติดปากคำหนึ่งว่า ‘ผินเต้าฝึกตนประสบความสำเร็จ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งอย่างมาก’

เจ้าอารามผู้เฒ่าดูแลแค่เรื่องใหญ่เท่านั้น

ดังนั้นจึงมีคำพูดติดปากอีกประโยคว่า ‘ชั่วชีวิตนี้ผินเต้าอุตส่าห์มานะฝึกกระบี่ก็เพื่ออธิบายเหตุผลกับคนโง่หรือ?’

อันที่จริงหลังจากที่มาอยู่ตรงประตูใหญ่สองบานที่เปิดใหม่ของใต้หล้าแห่งที่ห้า ลู่เฉินก็มักจะนับนิ้วคำนวณอยู่บ่อยๆ

นักพรตซุนถาม “คิดถึงใต้หล้าไพศาลขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ลู่เฉินยิ้มบางๆ “ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูเปิดแผงดูดวงมานานหลายปีขนาดนั้น ย่อมมีความผูกพันอย่างเลี่ยงไม่ได้”

นักพรตซุนสะบัดชายแขนเสื้อ ยกมือขึ้นแล้วก็นับนิ้วรัวเร็วราวกับบิน ก่อนจะร้องเอ๊ะหนึ่งทีแล้วเอ่ยว่า “บังเอิญอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าสหายนักพรตลู่ออกเดินทางไกลไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองได้แค่ไม่กี่ปี เทียบกับผินเต้าแล้วยังน้อยกว่ามาก แต่ผลกรรมกลับลึกล้ำขนาดนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าพวกเราสองคนต่างคนต่างเดิน นับแต่นี้ไม่ได้เจอกันอีก ทว่ากลับยังมีผลกรรมอีกเล็กน้อยที่ผสานรวมกัน แต่ของผินเต้าเป็นกรรมดี ของสหายนักพรตลู่กลับเป็นกรรมเลว ผินเต้าล่ะกลัดกลุ้มแทนเจ้าจริงๆ”

ลู่เฉินเอ่ยคล้อยตาม “กลุ้มจริงๆ น่ะสิ”

เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เฉาสือก็เพิ่งจะเป็นขอบเขตยอดเขา

ปีนั้นเขาหวนกลับคืนสู่ใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิด อยู่ที่เมืองเล็กตั้งแผงดูดวงทำนายชะตาชีวิตให้คนอื่น น่าเสียดายที่ข้างกายเขามีเพียงนกขมิ้นบุ๋นที่ตรวจสอบชะตาบุ๋นได้แค่ตัวเดียว หากมีนกขมิ้นบู๊อีกตัว เวทอำพรางตาของฉีจิ้งชุนก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว

ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ ไม่นับนิ้วอนุมานเหตุการณ์ล่วงหน้าอีก

นักพรตซุนยังคงแตะนิ้วอยู่ในชายแขนเสื้อไม่หยุด ยิ้มเอ่ยว่า “แค่นี้สหายนักพรตลู่ก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ?”

ลู่เฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าอารามเลิกแสร้งแสดงสักทีเถอะ”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 700.2 อันดับหนึ่งในใต้หล้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 700.2 อันดับหนึ่งในใต้หล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ลู่เฉินถือห่วงเหล็กไว้ในมือ สองเข่างอลงเบาๆ ตั้งท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียนของผู้ฝึกยุทธ จากนั้นก็เหวี่ยงร่างหมุนหนึ่งตลบ เท้าหนึ่งเหยียบลงบนพื้น เท้าหนึ่งตวัดยกขึ้น โน้มร่างไปด้านหน้า ขว้างห่วงเหล็กนั้นออกไปเต็มแรง มันกลายเป็นสายรุ้งพร่างพราวเส้นหนึ่งที่แหวกอากาศพุ่งตรงไปยังม่านฟ้าที่อริยะลัทธิขงจื๊อเฝ้าพิทักษ์อยู่

นักพรตน้อยยืดคอยาวออกไป เอ่ยเตือนว่า “อย่าขว้างจนเบี้ยวเล่า กลายเป็นว่าจะทำให้อริยะลัทธิขงจื๊อเห็นเรื่องตลกเอาได้”

นักพรตซุนหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ไม่ควรกังวลว่าของสิ่งนี้จะไปกระแทกให้อริยะลัทธิขงจื๊อหัวปูดหรอกหรือ? บัณฑิตรักหน้าตาเป็นที่สุด ถึงเวลานั้นหากศาลบุ๋นเอาเรื่องขึ้นมา ลู่เฉินเป็นคนขว้างห่วงเหล็กก็จริง แต่ห่วงเหล็กกลับเป็นของเจ้า ดังนั้นเจ้ากับสหายนักพรตลู่จึงมีความผิดกันคนละครึ่ง เขาสามารถโยนภาระแล้วเผ่นหนีได้ แต่เจ้าที่พกพาพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งติดตัวมาด้วยจะหนีไปไหนได้?”

นักพรตน้อยหัวเราะแห้งอย่างกระอักกระอ่วน “ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ไม่ถึงขั้นนั้นหรอก”

แล้วก็หันมาถลึงตาใส่ลู่เฉินอย่างดุดัน

ลู่เฉินพยักหน้า “ใจนิ่งมือแม่นยำ ชี้ไปที่ไหนก็ไปที่นั่น ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน”

นักพรตซุนพยักหน้า “ชี้ไปที่ไหนตีไปที่นั่น”

นักพรตน้อยรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะขึ้นทุกทีแล้ว มองลู่เฉินที่ลงมือช่วยตนแวบหนึ่ง แล้วก็หันไปมองนักพรตซุนที่ช่วยพูดแทนตนอีกแวบหนึ่ง รู้สึกไม่ค่อยจะแน่ใจขึ้นมาแล้ว

นักพรตซุนส่ายหน้า

นักพรตเซาฮว่อผู้นี้เป็นเจ้าโง่น้อยจริงๆ ห่วงเหล็กขว้างไปไกลกลางอากาศ ไปทีก็ห่างไกลนับหมื่นลี้ ลำพังเพียงแค่ริ้วคลื่นลมปราณที่ทิ้งไว้ตลอดเส้นทางนั้นก็มากพอจะให้ลู่เฉินคำนวณขุนเขาสายน้ำและหมื่นสรรพสิ่งได้แม่นยำยิ่งกว่าเดิมแล้ว

นี่ทำให้นักพรตซุนรู้สึกคิดถึงสหายนักพรตเฉินที่พบเจอกันโดยบังเอิญที่อุตรกุรุทวีปอย่างมาก

นั่นต่างหากถึงจะเป็นคนที่ยินดีใช้สมองขบคิดเรื่องราวอย่างแท้จริง แล้วก็คู่ควรจะแบกรับแผนการอันยาวไกลของเจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่จริงๆ

หวนนึกถึงอดีตอันห่างไกล พบเจอกันบนภูเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ปฏิบัติต่อกันด้วยความจริงใจ เป็นสหายร่วมทุกข์ ความสัมพันธ์สนิทแน่นแฟ้น ดังนั้นถึงได้พบเจอกันด้วยดีและจากลากันด้วยดี

‘สหายนักพรตเฉิน เป็นคนต้องมีคุณธรรมหน่อย’

‘สหายนักพรตซุน ค้าขายต้องยุติธรรมหน่อย!’

นักพรตซุนเวลานี้ลูบหนวดคลี่ยิ้ม คนหนุ่มที่สมองเฉียบไวเช่นนี้ยังคงชวนให้คนชื่นชอบได้อยู่มาก เพียงแต่ว่าทุกที่ที่เขาผ่านไม่เหลือแม้พืชหญ้าสักต้นเกินไปหน่อย ยังดีที่ก่อนจะจากลากัน ประโยคจริงใจสุดท้ายที่เอ่ยว่า ‘ท่านนักพรตมรรคายาวไกล’ ก็ล้วนได้ชดเชยทุกอย่างกลับมาแล้ว

ซานชิงที่เงียบงันมาตลอดพลันถามว่า “ศิษย์พี่เล็ก ข้าอยากออกเดินทางไกลเพียงลำพัง ได้หรือไม่?”

ลู่เฉินตบหน้าผากตัวเอง ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องรุ่นเดียวกัน ถามเรื่องพวกนี้ทำไม หรือว่าไม่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวเจ้าก็เดินออกไปจากพื้นที่ร้อยจั้งไม่ได้แล้ว?”

นักพรตซุนลูบหนวดยิ้มกล่าว “สหายนักพรตลู่ ขอแสดงความยินดีด้วยที่หาศิษย์น้องที่ดีมาได้”

ซานชิงหันไปคารวะศิษย์พี่เล็กกับนักพรตซุน จากนั้นก็หมุนตัวเดินก้าวเดียวห่างไปร้อยจั้ง ระหว่างที่ทะยานลมก็ได้ฝ่าทะลุขอบเขตสู่ขอบเขตหยกดิบแล้ว

แทบจะเวลาเดียวกันนั้น ทางทิศตะวันตกก็มีชาวพุทธคนหนึ่งฝ่าทะลุขอบเขตเช่นกัน

ลู่เฉินพยักหน้า สะบัดข้อมือ “ยังดีๆ เกือบจะทนไม่ไหวแล้วเชียว”

นักพรตซุนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายนักพรตลู่จะทำให้ตัวเองลำบากไปไย คราวหน้าแค่บอกกับผินเต้าสักคำก็พอ เรื่องของฝ่ามือเดียว ใครเป็นคนตีก็เหมือนกันนั่นแหละ”

นักพรตน้อยถามอย่างเป็นกังวลว่า “เจ้าลัทธิลู่ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าวันหน้าข้าจะต้องนำน้ำเต้า ‘โต้วเหลียง’ ไปให้ศาลบุ๋นยืม? อาจารย์ของข้าร่ายเวทอำพรางตาไว้ด้วยตัวเอง อีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้รู้เรื่องของใบถงทวีปสักหน่อย…”

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ตัวอยู่ในตำแหน่งสูง ทุกวันอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็ได้แต่คิดอะไรส่งเดชไปเรื่อยเท่านั้น เดาโน่นเดานี่ คิดไปเหนือคิดไปใต้”

นักพรตน้อยยื่นมือไปลูบน้ำเต้ายักษ์สีทองด้านหลังตัวเอง

ลู่เฉินเอ่ย “โต้วเหลียงลูกนี้ เจ้าอารามผู้เฒ่า เจ้า อริยะปราชญ์ของที่แห่งนี้ ศาลบุ๋นแห่งแผ่นดินกลาง ซิ่วหู่แห่งแจกันสมบัติทวีป หยางเหล่าโถว วกวนอ้อมค้อมกันไปตลอดทาง สุดท้ายก็ต้องส่งไปให้ถึงมือของแม่นางแซ่หลี่คนหนึ่ง”

นักพรตน้อยขมวดคิ้ว “เจ้าลัทธิลู่เดาเองส่งเดชอีกแล้วหรือ?”

รู้สึกตัดใจไม่ลงกับการจากลาครั้งนี้อยู่บ้าง แม้ว่าสุดท้ายแล้ว ‘โต้วเหลียง’ ลูกนี้จะยังต้องกลับคืนมาก็ตาม

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เคยคิดหรือไม่ว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูก แรกเริ่มสุดมาจากฝีมือใคร?”

เถาวัลย์เถาหนึ่งออกผลเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูก สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็คือหนึ่งบางหนึ่งของใต้หล้าไพศาล

เส้นสายเจ็ดเส้นหมุนโคจร ผสานรวมกันเป็นหนึ่ง

มรรคาจารย์เต๋าอยู่ว่างจึงใช้สิ่งนี้มาพิศมรรคา นั่งมองสระดอกบัวดูดอกไม้ผลิดอกไม้ร่วง ดูว่าหยดน้ำหล่นลงตรงที่ใด ก็คือหลักการเดียวกัน

มรรคาจารย์เต๋ามีมรรคกถาเลิศล้ำเทียมฟ้า แต่กลับไม่คิดจะทำอะไรจริงๆ แน่นอนว่าศาลบุ๋นก็ย่อมไม่มีเหตุผลให้สะบั้นเส้นสายที่หยั่งรากลงในใต้หล้าไพศาลเหล่านี้

นักพรตน้อยเอ่ย “แน่นอน จากนั้นล่ะ?”

นักพรตซุนยิ้มบางๆ “สีซอให้ควายฟัง ไก่คุยกับเป็ด”

นี่เรียกว่าด่าทีด่าถึงสี่แล้ว

ลู่เฉินกล่าวอย่างระอาใจ “นักพรตซุน ข้ายังคงเคารพครูบาอาจารย์อย่างมากนะ”

นักพรตซุนพูดด้วยน้ำเสียงสงสัย “เจ้าพูดอะไรน่ะ? ผินเต้าแก่แล้วเลยเลอะเลือน หูไม่ค่อยดีแล้ว”

ลู่เฉินเพียงคลี่ยิ้มรับ

ถึงอย่างไรขนาดอาจารย์ของตนก็ยังไม่ถือสา ตนที่เป็นลูกศิษย์ก็ยิ่งไม่ควรต้องยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่อง

เหลือเพียงนักพรตน้อยที่สมองเหมือนมีแต่แป้งเปียก

เขารู้แค่ว่ามรรคจารย์เต๋าเป็นผู้ปลูกเถาวัลย์น้ำเต้าเส้นนั้นด้วยตัวเอง หลังจากมัน ‘ออกผล’ แล้วก็กลายมาเป็นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เจ็ดลูกที่ดีที่สุดของใต้หล้า

เถาน้ำเต้าที่ ‘ได้รับสภาพแวดล้อมที่เงื่อนไขดีเป็นพิเศษจึงฟูมฟักออกมา’ ของเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนแห่งเรือนชุนฟานเส้นนั้น แน่นอนว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงได้ติด

น้ำเต้าลูกใหญ่สีทองอร่ามที่นักพรตน้อยสะพายอยู่บนหลังลูกนี้ ในฐานะหนึ่งในเจ็ดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่มีค่าหายากที่สุดบนโลก มีนามว่า ‘โต้วเหลียง’ (ปริมาณที่มากมายมหาศาล) บรรจุน้ำทะเลบูรพาไว้นับไม่ถ้วน เล่าลือกันว่าถึงขนาดที่ระดับผิวน้ำทะเลบูรพาลดลงไปหลายฉื่อ เพียงแต่อาจารย์เจ้าอารามไม่ได้ให้เขาเอาไว้เลี้ยงกระบี่ กลับกลายเป็นว่าให้เอามาไว้จับเจียว เลี้ยงเจียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนที่จะ ‘บินทะยาน’ ไปยังใต้หล้ามืดสลัว เจ้าอารามผู้เฒ่าก็ได้แอบทำเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งสำเร็จแล้ว

ตอนนั้นหลี่หลิ่วและกู้ช่านกลับมาพบกันอีกครั้งที่หินพักมังกรบนทะเล บนหินพักมังกรกลับไม่มีเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่ไปโปรยฝนมาพักผ่อนแม้แต่ตัวเดียว ก็คือเหตุผลข้อนี้ เพราะเจียวน้ำในมหาสมุทรสองฝากฝั่งของใบถงทวีปแทบจะถูกนักพรตผู้เฒ่าจับมาจนสิ้นแล้ว เจียวน้ำในน่านมหาสมุทรแถบอื่นก็มีหลายตัวที่เป็นฝ่ายเข้ามาอยู่ใน ‘โต้วเหลียง’ เอง ส่วนร่องเจียวหลงที่ตั้งอยู่ระหว่างภูเขาห้อยหัวกับสำนักอวี่หลงนั้น เจียวที่เหนื่อยล้าไม่จำเป็นต้องหยุดพักบนหินพักมังกรระหว่างทาง

ตอนนั้นอริยะลัทธิขงจื๊อไม่ได้ขัดขวางเรื่องนี้ แน่นอนว่าศาลบุ๋นย่อมมีการคิดพิจารณาเป็นของตัวเอง

นอกจากนี้น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อีกหกลูกที่มีมูลค่าควรเมืองก็แบ่งออกเป็นลูกที่เลี้ยงกระบี่ไว้มากที่สุด ชื่อว่า ‘หนิวเหมา’ (ขนวัว) ชื่อไม่ไพเราะ แต่ระดับขั้นและพลังอำนาจกลับล้วนน่าตะลึงอย่างยิ่ง แล้วก็สามารถช่วยให้เจ้าของช่วงชิงความสัมพันธ์และมิตรภาพจากผู้ฝึกกระบี่กับเซียนกระบี่บนภูเขามาได้มากที่สุด

ลูกที่ช่วยให้ตัวอ่อนกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตก่อรูปก่อร่างได้เร็วที่สุดมีชื่อว่า ‘จงหนันซานลู่’ (เส้นทางภูเขาจงหนัน) ยิ่งเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่พรสวรรค์ดีเยี่ยม กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตยิ่งมาก หากได้ครอบครองน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้ก็จะช่วยส่งเสริมสนับสนุนได้ดีที่สุด

ลูกที่เลี้ยงกระบี่บินออกมาได้แข็งแกร่งทนทานที่สุดก็มีชื่อประหลาดเช่นกัน มีแค่คำเดียว ‘ซาน’ (สาม)

ลูกที่ทำให้ประกายกระบี่เฉียบคมที่สุด หนึ่งกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ทลายหมื่นอาคม กระบี่ในน้ำเต้ากลับสามารถทำลายหมื่นกระบี่ มีชื่อว่า ‘ซินซื่อ’ ที่แปลว่าสมหวังดังใจปรารถนา

กระบี่บินที่เล็กที่สุดบางที่สุด ออกกระบี่เร็วที่สุด สามารถหลอมจนถึงขั้นไร้รูปลักษณ์ที่แท้จริง มองเมินแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้คือ ‘ลี่จี๋’ (โดยทันที)

รวมไปถึงสามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงเรือนกายของเจ้านาย เหมาะกับการบรรจุสุรา ผู้ฝึกตนดื่มสุราก็คือกำลังดูดดังปราณกระบี่ อีกทั้งยังไร้ภัยร้ายซ่อนแฝง มีชื่อว่า ‘เหมยจิ่ว’ (สุราเลิศรส) เรื่องราวงดงามมีความหมายในโลกมนุษย์ การดื่มสุราหมักเลิศรสคืออันดับหนึ่ง

น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่รวมแล้วเจ็ดลูก ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงมาอยู่ในใต้หล้าไพศาลเพียงที่เดียว

แจกันสมบัติทวีปแห่งเล็กๆ มีโชควาสนาสูงเทียมฟ้า ได้ครอบครองถึงสองลูก ‘หนิวเหมา’ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีม่วงทองของภูเขาตะวันเที่ยงเคยมอบให้กับผู้ฝึกกระบี่หญิงคนหนึ่งที่ทางสำนักฝากความหวังให้สูงอย่าง ซูเจี้ย

แน่นอนว่าไม่ใช่ของตกทอดจากบรรพบุรุษของภูเขาตะวันเที่ยง ภูเขาตะวันเที่ยงไม่ได้มีกำลังทรัพย์มากขนาดนั้น ถือว่าได้มาครอบครองกลางทางมากกว่า

ศาลลมหิมะก็มีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีขาวหิมะลูกหนึ่ง เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ที่อายุเพียงสี่สิบปีก็เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเป็นผู้ได้ไปครอบครองนานแล้ว นักพรตน้อยเดาเอาว่านั่นก็คือน้ำเต้า ‘เหมยจิ่ว’

นอกจากนี้ลูกศิษย์ใหญ่ของเจ้านครจักรพรรดิขาวแห่งทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้น้ำเต้า ‘ซาน’ ไปครอง เทพแห่งเงินทองสกุลหลิวแห่งธวัลทวีปกึ่งซื้อกึ่งแย่ง ได้ ‘จงหนานซาน’ ไป เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีมาเนิ่นนาน ไม่เคยเอาออกมาให้ใครดูง่ายๆ เคยป่าวประกาศว่ามันจะกลายมาเป็นหนึ่งในสินสอดของหลิวโยวโจวทายาทสายตรงในวันแต่งงาน

ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่ทางทิศเหนือของอุตรกุรุทวีปได้ ‘จงหนานซานลู่’ ไปครอง

แต่ ‘ซินซื่อ’ และ ‘ลี่จี๋’ น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สองลูกที่เหมาะให้ผู้ฝึกกระบี่ใช้ในการจับคู่เข่นฆ่า มีพลังในการโจมตีมากที่สุดกลับหายไปไม่รู้ร่องรอยมาโดยตลอด

นักพรตน้อยคิดจะกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืน ดังนั้นจึงหัวเราะคิกคักเอ่ยว่า “เจ้าลัทธิลู่ ต้องการไปพบลูกหลานสกุลลู่บางคนหรือไม่?”

ลู่เฉินเจอลู่ไถ แค่คิดก็ทำให้คนรู้สึกว่าน่าสนใจแล้ว

ลู่เฉินยิ้มกล่าว “เด็กคนหนึ่งที่ขนาดอยู่ภูเขาห้อยหัวก็ยังไม่อาจจุดธูปหอมซานชิงได้ ไม่ต้องพบเจอกันดีกว่า”

นักพรตซุนทอดสายตามองทิศไกล จุ๊ปากเอ่ยชื่นชม ซานชิงตัวดี นับว่าน่าสนใจอยู่บ้าง

แม้ปากจะบอกว่าออกเดินทางไกล แต่กลับพุ่งตรงไปยังภูเขาใหม่เอี่ยมที่อารามเสวียนตูเพิ่งได้ครอบครอง ดูจากท่าทางนั้นคงต้องการสังหารคนของสายอารามเสวียนตูที่ขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดให้หมดสิ้นเลยกระมัง?

ลู่เฉินร้องปัดโธ่หนึ่งทีแล้วกระทืบเท้า “ไม่เข้าท่าเลย ไม่เข้าท่าเลย ไม่กลัวว่าศิษย์พี่เล็กจะถูกนักพรตซุนซ้อมตายบ้างเลยหรือไร?”

นักพรตซุนพยักหน้า “ไล่หมาเข้าไปในซอยตัน หมาจนตรอกย่อมร้อนใจอยากระโดดกำแพงหนี”

นักพรตซุนถึงขนาดพูดเช่นนี้แล้ว ลู่เฉินก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว

แต่จากนั้นนักพรตซุนก็หลุดหัวเราะพรืด “เหตุผลเป็นเหตุผลนี้จริง แต่จะฆ่าได้ง่ายขนาดนั้นเชียวหรือ? บนร่างมีสมบัติอยู่มากมาย พลังการต่อสู้และตบะเพิ่มไปอีกขั้นแล้วอย่างไร? สายเซียนกระบี่อารามเสวียนตูของผินเต้าไม่ได้มีเงินร่ำรวยเหมือนพวกเซียนน้อยใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง แต่หากพูดถึงเรื่องการต่อยตีก็ยังพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง”

ภิกษุเด็กหนุ่มทางทิศตะวันตกคนหนึ่งฝ่าทะลุขอบเขตแทบจะเวลาเดียวกันกับซานชิง

นักพรตหญิงสะพายกระบี่รูปโฉมอ่อนเยาว์คนหนึ่งของอารามเสวียนตูฝ่าทะลุขอบเขตช้ากว่าเล็กน้อย

แต่เมื่อพกกระบี่มาเผชิญหน้ากับศัตรูอย่างซานชิงก็พอจะมีพลังการต่อสู้อยู่บ้าง แม้จะบอกว่ายากที่จะได้รับชัยชนะ แต่แค่ถ่วงเวลาซานชิงได้ชั่วครู่ชั่วยามก็พอแล้ว

ผู้ฝึกตนของอารามเสวียนตูลงจากเขามาทำเรื่องต่างๆ หากไม่ยอมให้คนด่าอย่างสุภาพปรองดอง ไม่คิดจะต่อยตีกับใครง่ายๆ ก็เลือกลงมือโดยตรง อีกทั้งยังจะต้องต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายด้วย

นอกจากนี้ผู้ฝึกตนของอารามเสวียนตูยัง…ชอบที่จะร้องเรียกพวกพ้องมารุมซ้อมศัตรูอีกด้วย

ดังนั้นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างของอารามเสวียนตูจึงมักจะเคยเห็นสถานการณ์ใหญ่เทียมฟ้ากันมานักต่อนักแล้ว

แน่นอนว่าพอเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้วก็ห้ามทำอะไรเปิดเผยโจ่งแจ้งเช่นนี้อีก ตามคำกล่าวของบรรพจารย์ผู้เฒ่าก็คือ หากแพร่ออกไปจะไม่น่าฟัง

ส่วนเรื่องที่ว่าลับหลังจากที่ไม่ทำอะไรโจ่งแจ้งแล้วจะเป็นอย่างไร นักพรตซุนมักออกมาท่องเที่ยวด้านนอกอยู่ตลอด มองไม่เห็นไม่ได้ยิน แน่นอนว่าไม่คิดจะไปควบคุม ผินเต้ารับลูกศิษย์ ลูกศิษย์รับศิษย์หลาน เพียงแค่ถ่ายทอดมรรคกถา สั่งสอนเวทกระบี่กันไปก็พอ วันหน้าลงจากเขาไปหาประสบการณ์จะสร้างหน้าตาให้อารามเสวียนตูหรือทำให้ขายหน้า พวกเจ้าก็คิดดูเอาเองแล้วกัน

ในความเป็นจริงแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาซุนไหวจงไม่เคยสนใจเรื่องเล็กๆ

เพราะมีประโยคติดปากคำหนึ่งว่า ‘ผินเต้าฝึกตนประสบความสำเร็จ ดังนั้นจิตใจจึงสงบนิ่งอย่างมาก’

เจ้าอารามผู้เฒ่าดูแลแค่เรื่องใหญ่เท่านั้น

ดังนั้นจึงมีคำพูดติดปากอีกประโยคว่า ‘ชั่วชีวิตนี้ผินเต้าอุตส่าห์มานะฝึกกระบี่ก็เพื่ออธิบายเหตุผลกับคนโง่หรือ?’

อันที่จริงหลังจากที่มาอยู่ตรงประตูใหญ่สองบานที่เปิดใหม่ของใต้หล้าแห่งที่ห้า ลู่เฉินก็มักจะนับนิ้วคำนวณอยู่บ่อยๆ

นักพรตซุนถาม “คิดถึงใต้หล้าไพศาลขนาดนั้นเชียวหรือ?”

ลู่เฉินยิ้มบางๆ “ตอนอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูเปิดแผงดูดวงมานานหลายปีขนาดนั้น ย่อมมีความผูกพันอย่างเลี่ยงไม่ได้”

นักพรตซุนสะบัดชายแขนเสื้อ ยกมือขึ้นแล้วก็นับนิ้วรัวเร็วราวกับบิน ก่อนจะร้องเอ๊ะหนึ่งทีแล้วเอ่ยว่า “บังเอิญอีกแล้ว คิดไม่ถึงว่าสหายนักพรตลู่ออกเดินทางไกลไปอยู่ต่างบ้านต่างเมืองได้แค่ไม่กี่ปี เทียบกับผินเต้าแล้วยังน้อยกว่ามาก แต่ผลกรรมกลับลึกล้ำขนาดนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าพวกเราสองคนต่างคนต่างเดิน นับแต่นี้ไม่ได้เจอกันอีก ทว่ากลับยังมีผลกรรมอีกเล็กน้อยที่ผสานรวมกัน แต่ของผินเต้าเป็นกรรมดี ของสหายนักพรตลู่กลับเป็นกรรมเลว ผินเต้าล่ะกลัดกลุ้มแทนเจ้าจริงๆ”

ลู่เฉินเอ่ยคล้อยตาม “กลุ้มจริงๆ น่ะสิ”

เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เฉาสือก็เพิ่งจะเป็นขอบเขตยอดเขา

ปีนั้นเขาหวนกลับคืนสู่ใต้หล้าอันเป็นบ้านเกิด อยู่ที่เมืองเล็กตั้งแผงดูดวงทำนายชะตาชีวิตให้คนอื่น น่าเสียดายที่ข้างกายเขามีเพียงนกขมิ้นบุ๋นที่ตรวจสอบชะตาบุ๋นได้แค่ตัวเดียว หากมีนกขมิ้นบู๊อีกตัว เวทอำพรางตาของฉีจิ้งชุนก็ใช้ไม่ได้ผลแล้ว

ลู่เฉินสะบัดชายแขนเสื้อ ไม่นับนิ้วอนุมานเหตุการณ์ล่วงหน้าอีก

นักพรตซุนยังคงแตะนิ้วอยู่ในชายแขนเสื้อไม่หยุด ยิ้มเอ่ยว่า “แค่นี้สหายนักพรตลู่ก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ?”

ลู่เฉินกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าอารามเลิกแสร้งแสดงสักทีเถอะ”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+