กระบี่จงมา 702.4 ท่ามกลางลมหิมะ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 702.4 ท่ามกลางลมหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจิ้งต้าเฟิงเดินทางจากอุตรกุรุทวีปไปเยือนธวัลทวีป จากนั้นยังต้องผ่านหลิวเสียทวีป เกราะทองทวีป แล้วค่อยเดินทางผ่านประตูใหญ่ที่ตั้งอยู่ภาคกลางของฝูเหยาทวีป เพราะเป็นผู้ฝึกยุทธจากทวีปอื่น อีกทั้งยังไม่ใช่ขอบเขตร่างทอง ดังนั้นจึงต้องอาศัยเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงเป็นค่าผ่านด่านเข้าประตูไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า ไปทางทิศเหนือสุดของใต้หล้าแห่งใหม่

ฝูเหยาทวีปไม่เหมือนกับใบถงทวีปที่หากขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดลงไปล้วนสามารถรอดพ้นหายนะได้ อย่าว่าแต่เซียนดินโอสถทองเลย ห้าขอบเขตกลางทุกคนในทวีป ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปแล้วก็อย่าเพ้อฝันว่าจะได้ข้ามประตูใหญ่บานนั้นไป ไม่อย่างนั้นเงินเทพเซียนที่จำเป็นต้องจ่ายก็สามารถทำให้สำนักแห่งหนึ่งหรือไม่ก็ผู้ถ่ายทอดมรรคาที่เป็นห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งรู้สึกเสียดายจนปวดไปถึงเนื้อใน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ว่ามีเงินก็จบเรื่องแล้วเท่านั้น ยังต้องมีผู้อาวุโสในสำนักหรือสหายร่วมสำนักที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่ารบตายอยู่บนเส้นแนวรบริมชายฝั่งทะเลบูรพาของฝูเหยาทวีป ถึงจะมีรายชื่อสำหรับผ่านด่าน นี่ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าหลายคนที่ไร้ความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต โดยเฉพาะคนที่จิตวิญญาณมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมโทรมต่างก็พากันไปยังพื้นที่แถบริมทะเล

เพื่อบุกเบิกทางรอดให้กับเด็กรุ่นหลังของตัวเอง มอบมหามรรคาในการฝึกตนเส้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยอันตรายและโชควาสนา

นี่จึงแสดงให้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีของฝูเหยาทวีปอย่างชัดเจน

บนภูเขาและล่างภูเขาของฝูเหยาทวีปเชื่อมโยงถึงกัน ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันมาจนเคยชินแล้ว กลับกลายเป็นว่าเมื่อเทียบกับใบถงทวีปที่เป็นดั่งน้ำตายบ่อหนึ่งแล้วยังมีคาวเลือดเข้มข้นมากกว่า

เมื่อสองเท้าของเจิ้งต้าเฟิงเหยียบลงบนผืนแผ่นดินของใต้หล้าแห่งนี้ เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทองอย่างเงียบเชียบแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีการประทานโชคจากชะตาบู๊ เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ในบรรดาผู้ฝึกยุทธของใต้หล้าแห่งนี้มีผู้มีพรสวรรค์ขอบเขตหกที่ขัดเกลาเรือนกายได้อย่างดีเยี่ยมคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ การที่มาเยือนที่แห่งนี้ก็หนีไม่พ้นเพราะไม่อาจช่วงชิงการประทานพรจากโชคชะตาบู๊มาจากใต้หล้าไพศาลได้ จึงคิดจะมาช่วงชิงผลประโยชน์จากที่นี่ คนประเภทนี้เจิ้งต้าเฟิงดูแคลนที่จะเห็นอีกฝ่ายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันด้วยซ้ำ

สำหรับวัตถุอย่างโชคชะตาบู๊นั้น เจิ้งต้าเฟิงไม่สนใจแม้แต่น้อย ตนจะใช้ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนเป็นขอบเขตเจ็ดได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งขอบเขตแปดขอบเขตเก้าก็ล้วนเหมือนกัน ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ร้อนใจสักนิดเลยจริงๆ หากตาเฒ่าร้อนใจเพราะเรื่องนี้ย่อมให้เขาตรงไปรอที่ใบถงทวีปก่อนแล้วค่อยมาที่นี่แล้ว ในความเป็นจริงแล้วตาเฒ่าเคยเตือนเขามานานแล้วว่า อย่าเห็นโชคชะตาบู๊เป็นของในกระเป๋าตัวเอง นั่นไม่มีความหมาย มีแค่การฝ่าทะลุขอบเขตอย่างรวดเร็วเท่านั้นที่เป็นภารกิจอันดับหนึ่ง แค่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบโดยเร็วก็พอแล้ว

ช้าสุดหนึ่งร้อยปี อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นคอขวดขอบเขตยอดเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็อยู่เฉยๆ รอความตายไปที่ใต้หล้าแห่งนั้นก็แล้วกัน

เจิ้งต้าเฟิงคิดจะไปดูแถบใจกลางของฟ้าดินสักหน่อย ได้ยินมาว่าท่ามกลางสงครามใหญ่ กำแพงเมืองปราณกระบี่อาศัยการ ‘บินทะยาน’ เก็บนครแห่งนั้นเอาไว้ และตอนนี้นครแห่งนั้นก็หล่นลงอยู่ที่นั่น

ไม่ต่างจากตอนที่เจิ้งต้าเฟิงเข้ามายังใต้หล้าแห่งใหม่เท่าใดนัก นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป หวงถิงผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิดก็ข้ามผ่านประตูบานใหญ่อีกบานเข้ามายังใต้หล้าแห่งนี้เช่นกัน นางพกกระบี่ออกเดินทางไกลเพียงลำพัง ตลอดทางขี่กระบี่ไปอย่างว่องไว ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง หนึ่งเดือนให้หลังนางถึงหยุดพัก จากนั้นก็เลือกภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งที่มองแล้วค่อนข้างถูกชะตา คิดว่าจะหล่อเลี้ยงบำรุงปณิธานกระบี่อยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะชักนำให้ตัวประหลาดตัวหนึ่งมาสนใจ เรื่องดีมาเป็นคู่ ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ แล้วยังเจอพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ที่เหมาะแก่การฝึกตนอีกแห่งหนึ่ง ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เต็มไปด้วยสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน ล้วนอยู่เหนือการคาดการณ์ทั้งสิ้น

หากจะพูดถึงเรื่องของโชควาสนา หวงถิงมีโชคด้านนี้ไม่เลวมาโดยตลอดจริงๆ ไม่อย่างนั้นตอนนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งแจกันสมบัติทวีปคงไม่ถูกเรียกขานให้เป็นหวงถิงคนที่สอง

หลังจากหวงถิงเลื่อนขั้นเป็นหยกดิบ นางก็ตั้งศิลาก้อนหนึ่งไว้บนยอดเขา ใช้กระบี่สลักสามคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิง’ จากนั้นก็ลงจากเขาไปเตร็ดเตร่ต่อ ย้อนกลับไปทางเดิม ดูสิว่าจะพบเจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาได้บ้างหรือไม่

แต่ไหนแต่ไรมานางก็ชอบบุญคุณความแค้นในยุทธภพเสมอ

ระหว่างที่ขี่กระบี่ลงใต้ หวงถิงเจอกับบัณฑิตชุดดำที่อายุน้อยแต่กลับอำพรางตัวอย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายแค่เจอหน้ากันก็แยกย้าย

ดูเหมือนว่าบัณฑิตชุดดำก่อนหน้านี้จะรู้จักนาง จึงเป็นฝ่ายหุบพัด หยุดเดิน ผงกศีรษะทักทายนาง

หวงถิงไม่ได้สนใจ

หลังจากนั้นก็เจอกับผู้ฝึกตนที่เดินทางไปทางเหนือมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่หวงถิงรู้ว่าตอนนี้พวกนายท่านผู้เฒ่าเทพเซียนของใบถงทวีปกำลัง ‘ย้ายภูเขา’ นอกจากขนบธรรมเนียมบนภูเขาเก่าๆ ที่ยิ่งนานก็ยิ่งเข้มข้นแล้ว ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่อย่างอื่นด้วย ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณของเมธีร้อยสำนัก สำนักหยินหยางที่สามารถอนุมานหาตำแหน่ง เลือกหาสถานที่ที่เหมาะสมแก่การเดินทางไกล สำนักภูมิศาสตร์ รวมไปถึงสำนักกสิกรรม สำนักโอสถ และสำนักการค้าที่เชี่ยวชาญด้านเงินต่อเงินเป็นที่สุด ต่างก็ได้กลายเป็นคนเนื้อหอมที่ผู้คนพากันแย่งชิง สรุปก็คือทั้งหมดนี้สามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณที่สร้างภูเขามีค่าตัวเพิ่มขึ้นอีกเป็นทบทวี

ส่วนสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขาในอดีตอย่างผู้ฝึกกระบี่ สำนักการทหาร สำนักนิติธรรม นักพรตหญิงเรือนซือเตา เมื่อภูเขาห้อยหัวหายวับไปกับตา สถานการณ์ในใต้หล้าก็ยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย ใต้หล้าในทุกวันนี้นอกจากพื้นที่ใจกลางแล้ว สี่ทิศอย่างออกตกเหนือใต้ ผู้ฝึกกระบี่มีน้อยมากจริงๆ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารส่วนใหญ่ก็ถูกบ้านเกิดบังคับให้เข้าร่วมกองทัพ สำนักนิติธรรมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ส่วนนักพรตหญิงเรือนซือเตาก็อย่าว่าแต่ที่นี่เลย คาดว่าแม้แต่ในใต้หล้าไพศาลก็คงเหลืออยู่แค่ไม่กี่คนแล้ว

ใต้หล้าแห่งใหม่แห่งนี้ ในศักราชเจียชุนปีที่ห้า ยิ่งมีคนดีคนเลวปะปนกันมากขึ้นเรื่อยๆ

หยางหนิงเจินที่เป็นทั้งผู้ฝึกยุทธคอขวดโอสถทอง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตน ได้ใช้นามแฝงว่าหยางเหิงสิง เขากับหยางหนิงซิ่งผู้เป็นน้องชายที่หล่อหลอมกระจกซานซานจิ่วโหวของภูเขากระจกวิเศษไว้ได้นานแล้วล้วนทยอยกันเข้ามาในใต้หล้าแห่งที่ห้า พี่น้องสองคนไม่เคยได้ทักทายกัน ถึงขั้นที่ว่าไม่คิดจะมาเจอหน้ากันด้วย

ในฐานะเทียนจวินน้อยของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน หยางหนิงซิ่งได้รวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุได้ครบถ้วนแล้ว มาที่นี่ก็เพียงแค่ฝ่าทะลุขอบเขตหยกดิบ แล้วค่อยกลายเป็นเซียนเหริน

ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งไม่ทราบความเป็นมาชื่อว่าสู่จงสู่ เจ้าคนที่มาจากทวีปใหญ่แห่งใดก็ยังไม่มีใครทราบผู้นี้ได้ยึดครองพื้นที่ขุนเขาเขียวน้ำใสไปแห่งหนึ่ง สร้างหอเฉาหรานขึ้นมาแล้วร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำ ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนเซียนดินคนใดเข้าไปในรัศมีสามร้อยลี้ ไม่อย่างนั้นจะถูกสังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น ข้างกายของคนผู้นี้มีสาวใช้หลายคนติดตามมาด้วย มีนามว่าเสี่ยวพิง เจี้ยนเซ่อ ไฉ่อี ต้าเสียน ฮวาอิ่ง พวกนางถึงขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางกันทั้งหมด

จีไห่เจ้าสำนักฝูจี เวทคาถาอันเป็นรากฐานของสำนักคือการเขียนอักษรคำเขียวเชื้อเชิญเทพ แล้วยังสามารถเชิญเซียนผีมาได้อีกด้วย

จีไห่จึงเชิญแม่ทัพเทพ ‘จัวหลิ่ว’ ท่านหนึ่ง กับเซียนผี ‘ฮวายา’ อีกท่านหนึ่ง ขอบเขตของทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นก่อกำเนิด ได้จับมือกันคุ้มครองเจ้าสำนักฝูจีคนถัดไปให้เข้ามาในใต้หล้าแห่งใหม่

ผู้ฝึกตนอิสระสวมชุดขาวรัดเข็มขัดพลิ้วไสวคนหนึ่งมีโฉมหน้าเป็นเด็กหนุ่ม หลังจากเข้ามายังใต้หล้าแห่งนี้ผ่านทางใบถงทวีปก็ไม่ได้รีบร้อนออกดินทาง กลับยังเริ่มเตร็ดเตร่ไปทั่วสารทิศ คัดเลือกหาตัวผู้ฝึกลมปราณที่เป็นนักกวี นักแต่งถ้อยคำ นักแต่งบทเพลงและนักเขียนกาพย์กลอนมาโดยเฉพาะ หลังจากที่คนเหล่านี้รีบร้อนกรูกันเข้ามาในใต้หล้าแห่งใหม่แล้วก็เริ่มร่ายพรสวรรค์ด้านการแต่งกลอนแต่งกวีของตัวเองเสียงดัง ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำห้าวหาญ บทกลอนชายแดน ถ้อยคำไพเราะละมุนละไม บทกวีเซียนท่องเที่ยว หรือแม้แต่คำบ่นของสตรีในห้องหอก็ยังเอาออกมาใช้ เพียงแค่หวังว่าจะเกิดการขานรับกับฟ้าดินแห่งใหม่ อาศัยความสามารถด้านตัวอักษรด้านการประพันธ์ของตนมาผสานมรรคาเล็กกับฟ้าดินใหญ่

หลังจากเด็กหนุ่มคนนั้นหมดสิ้นซึ่งความสนใจอันแปลกใหม่ ในที่สุดก็เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง สุดท้ายเลือกริมน้ำที่ประกายผิวน้ำกับเมฆอรุโณทัยสาดส่องรัศมีแสงร่วมกัน เด็กหนุ่มปูเสื้อแล้วนั่งลง หยิบพู่กันกับหมึกออกมา หลับตาลง อาศัยความทรงจำของตัวเองวาดม้วนภาพขุนเขาสายน้ำยาวหมื่นลี้ ตั้งชื่อให้ว่าเจี้ยจื่อ (เมล็ดมัสตาร์ด) และยังมีม้วนภาพยาวอีกม้วนที่มีเพียงหมึกดำหนึ่งจุด แต่กลับตั้งชื่อให้ว่าขุนเขาสายน้ำ

เด็กหนุ่มควักตราประทับออกมาสองอัน แล้วประทับตราคำว่า ‘สถานที่อันงดงามที่แสงจันทร์ส่องกระทบเมฆขาว’ ลงบนม้วนภาพเจี้ยจื่อ ส่วนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำนั้นประทับตราคำว่า ‘เคยเมามายเพื่อดอกเหมยนานสิบปี ทั้งเสียเวลาครึ่งชีวีเพื่อหมักดอกกุ้ย’

เด็กหนุ่มทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองมือสอดรองต่างหมอน พึมพำด้วยรอยยิ้มว่า “สิ่งที่ทำให้ใจข้าหวั่นไหวได้ แสงจันทร์ คนงาม หิมะตก แสงกระบี่”

นครของกำแพงเมืองปราณกระบี่เพิ่งจะตั้งชื่อว่านครบินทะยาน

ลู่เฉินหวนกลับคืนมายังใต้หล้ามืดสลัว นักพรตซุนล่วงหน้ามาก่อนเขา และกลับไปยังอารามเสวียนตูแล้ว

ลู่เฉินไปถึงป๋ายอวี้จิงก็ได้พบเจอกับศิษย์พี่เรือนกายสูงใหญ่ผู้นั้น เขาเดินปรี่เข้าหาอีกฝ่ายด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน ก่อนไปฟุบตัวอยู่บนราวระเบียงที่สูงที่สุดของนครที่สูงที่สุดในห้านคร ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องโมโห อารามเสวียนตู ตั้งแต่นักพรตซุนไปจนถึงนักพรตน้อยที่ลำดับศักดิ์เล็กที่สุดล้วนมีอารมณ์กับศิษย์พี่กันทั้งนั้น”

ลู่เฉินมองก้อนเมฆที่เดี๋ยวลอยขึ้นเดี๋ยวลดตัวลงต่ำประหนึ่งคลื่นน้ำบนมหาสมุทรแล้วเอ่ยเบาๆ “ปล่อยให้คนกันเองมีอารมณ์บ้าง ก็ถือว่าเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งนะ”

สำหรับเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงผู้นี้ ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัว ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกตนหรือไม่ เขาก็ล้วนถือว่าอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน

อารมณ์หลายอย่างไม่ถือว่ามีเหตุผล แต่ลู่เฉินกลับบอกว่านี่ก็คือเหตุผล

นักพรตร่างสูงใหญ่เงียบไม่ต่อคำ

ลู่เฉินหมุนตัวกลับมา เอนหลังพิงระเบียง ยืดแขนบิดขี้เกียจ “มีศิษย์น้องที่ไหนที่ไม่ช่วยศิษย์พี่แต่ไปช่วยคนนอกบ้าง? ห้าร้อยหลิงกวาน ไม่มีพลาดไปแน่”

เต๋าเหล่าเอ้อร์เอ่ย “เจ้าหมอนั่นยังถูกกดอยู่ใต้ภูเขาทัวเยว่หรือ?”

ลู่เฉินหัวเราะ “จะโทษคนอื่นไม่ได้ ใครใช้ให้ปีนั้นเขาที่เป็นแค่แขกคนหนึ่ง อยู่ดีไม่ว่าดีดันเขียนตัวอักษรใต้พื้นรองเท้า ฝั่งหนึ่งเขียนคำว่าเต๋าเหล่าเอ้อร์ อีกฝั่งหนึ่งเขียนคำว่าลู่เฉินเล่า นี่ก็คือกรรมตามสนองกระมัง”

……

บนและล่างภูเขาของใบถงทวีปมีเส้นอาณาเขตเส้นหนึ่งแบ่งชัดเจนมาตลอดเวลา หนึ่งเป็นเพราะกองกำลังตระกูลเซียนของทวีปนี้ไม่ได้มีมากมายเหมือนทวีปอื่น นอกจากนี้ก็เพราะผู้ฝึกตนของใบถงทวีปเคยชินกับการกวาดหิมะแค่หน้าบ้านใครหน้าบ้านมัน (เปรียบเปรยว่าไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น) มานานแล้ว สำหรับความสนใจต่อชาวบ้านร้านตลาดล่างภูเขาจึงไกลห่างจากอีกแปดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาลมากนัก

และอาณาเขตของใบถงทวีปก็กว้างใหญ่ไพศาล นี่จึงเป็นเหตุให้บริเวณส่วนใหญ่ในทวีปมีสถานที่ที่เป็นด่านปิดอยู่มากมาย จึงไม่รู้ว่าวิถีทางโลกไม่สงบสุขมานานแล้ว

เมืองหลวงของแคว้นเล็กใต้อาณัติห่างไกลแห่งหนึ่ง ตระกูลชนชั้นสูงตระกูลหนึ่งที่เป็นทั้งตระกูลขุนนางแล้วก็เป็นทั้งตระกูลปัญญาชน ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบปีคนหนึ่งกำลังหยิบเอาของสองชิ้นออกมาให้หลานชายที่เพิ่งเริ่มเรียนหนังสือ หนึ่งคือถ้วยกระเบื้องทุ่ยซือถังที่ฮ่องเต้เคยใช้ อีกชิ้นหนึ่งคือหมึกที่ใช้ในพระราชวงศ์ของจิ้นซือถังที่กษัตริย์มอบให้เป็นรางวัล อธิบายให้หลานชายที่รักฟังว่าเหตุใดทุ่ยซือถังถึงได้เผาถ้วยกระเบื้องใบนี้ เหตุใดจิ้นซือถังถึงได้สร้างหมึกนี้ขึ้นมา แล้วเหตุใดถอยเพื่อไปคิด (ทุ่ยเอ่อร์ซือ ตรงกับคำว่าทุ่ยซือถัง) แล้วยังจะรุกหน้ามาขบคิดอีก (จิ้นเอ่อร์ซือ ตรงกับคำว่าจิ้นซือถัง)

ในอำเภอเล็กแห่งหนึ่ง ด้านล่างแท่นการแสดง เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังจีบนิ้วค้อมเอวเลียนแบบนักแสดงหญิง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำและพวกสตรีโตเต็มวัยทั้งหลายต่างก็ไม่ได้สนใจ ทว่าคนเฒ่าคนแก่เห็นแล้วกลับก่นด่าอยู่หลายคำ

ปัญญาชนที่ออกทัศนาจรคนหนึ่งหยุดพักที่จุดพักม้า เปิดผลงานของนักประพันธ์ราชวงศ์ก่อนอ่าน ตอนที่อ่านเจอในตำราบอกว่าบ่อน้ำสามารถบอกเวลา รวมไปถึงดอกไม้กฎเกณฑ์ที่เติบโตในพระราชวัง ต่างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง

ชายเสเพลคนหนึ่งที่ปากเต็มไปด้วยฟันเหลืองเป็นหัวหน้าของพวกอันธพาลว่างงานกลุ่มหนึ่ง อยู่บ้านเกิดมีชีวิตสุขสบายที่ได้กินเนื้อชิ้นโตทุกวัน แค่เคยได้ยินว่าบนภูเขาอาจมีเทพเซียนอยู่จริง แต่พวกเขากลับไม่อิจฉาแม้แต่น้อย

เขตการปกครองแห่งหนึ่งมีคนผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญในการเลียนแบบอักษรภาพ เลียนแบบได้เหมือนจนสามารถใช้ของปลอมสวมรอยของจริง ดังนั้นจึงคิดเงินตามจำนวนตัวอักษร ราคาสูงมาก กำลังต่อรองราคากับลูกค้าเก่า

จากนั้นวันหนึ่งต่อมา ทุกอย่างนี้ล้วนหายไปสิ้น

ตรงจุดที่เมฆดำทะมึนรวมตัวกันหนาแน่น กลางอากาศเหนือภูเขาตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแห่งหนึ่งของใบถงทวีปพลันมีช่องโหว่ถูกแหวกออกมา แสงแดดสาดส่อง อาวุธหล่นลงบนพื้น ก่อนที่ปีศาจใหญ่ตนหนึ่งจะร่วงกระแทกพื้นตามมาติดๆ

ก่อนที่หินยักษ์ใหญ่เท่าภูเขาก้อนหนึ่งจะขว้างแนวเฉียงกระแทกเข้าใส่นครโอ่อ่าอันเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์แห่งหนึ่ง

บนหินใหญ่คือเด็กสาวรูปร่างอรชร นางเดินลากดาบ ด้านหลังติดตามมาด้วยหุ่นเชิดสวมเสื้อเกราะที่ทุกก้าวเดินล้วนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน

ในศักราชเจียชุนปีที่หกของใต้หล้าแห่งที่ห้า

ใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ นอกจากสำนักศึกษาสามแห่งและภูเขาตระกูลเซียนสิบกว่าแห่งแล้ว ที่เหลือล้วนถูกข้าศึกยึดได้ทั้งหมด

ในช่วงเวลาระหว่างนี้วิญญูชนสำนักศึกษาในอดีตนามว่าจงขุยพลันปรากฎตัวบนโลก ช่วยกอบกู้สถานการณ์อันเลวร้าย

ส่วนที่ถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป ท่ามกลางการออกทะเลไปเข่นฆ่าครั้งหนึ่ง เฉาสือฝ่าทะลุขอบเขตสู่ขอบเขตสิบ กลับกลายเป็นคนที่หันมาแว้งฆ่าปีศาจใหญ่

ที่ราบน้ำแข็งแห่งหนึ่งของธวัลทวีปที่ฟ้าดินหนาวเหน็บตลอดทั้งปี ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่เดินทางขึ้นเหนือเสี่ยงอันตรายไปสังหารปีศาจได้เจอเข้ากับปีศาจที่แข็งแกร่งเกินเทียมทาน ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมอันสิ้นหวัง ได้แต่ทุ่มสุดชีวิตหนีตายไปทางทิศใต้ ขณะที่สิ้นเรี่ยวหมดแรง แต่ละคนได้แต่รอความตายนั้นเอง เห็นเพียงว่าท่ามกลางหิมะขาวโพลนทางทิศเหนือ มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาอย่างเนิบช้า ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่า ด้านหลังสะพายหีบไม้ไผ่เขียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 702.4 ท่ามกลางลมหิมะ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 702.4 ท่ามกลางลมหิมะ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจิ้งต้าเฟิงเดินทางจากอุตรกุรุทวีปไปเยือนธวัลทวีป จากนั้นยังต้องผ่านหลิวเสียทวีป เกราะทองทวีป แล้วค่อยเดินทางผ่านประตูใหญ่ที่ตั้งอยู่ภาคกลางของฝูเหยาทวีป เพราะเป็นผู้ฝึกยุทธจากทวีปอื่น อีกทั้งยังไม่ใช่ขอบเขตร่างทอง ดังนั้นจึงต้องอาศัยเงินเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงเป็นค่าผ่านด่านเข้าประตูไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้า ไปทางทิศเหนือสุดของใต้หล้าแห่งใหม่

ฝูเหยาทวีปไม่เหมือนกับใบถงทวีปที่หากขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดลงไปล้วนสามารถรอดพ้นหายนะได้ อย่าว่าแต่เซียนดินโอสถทองเลย ห้าขอบเขตกลางทุกคนในทวีป ภายใต้สถานการณ์โดยทั่วไปแล้วก็อย่าเพ้อฝันว่าจะได้ข้ามประตูใหญ่บานนั้นไป ไม่อย่างนั้นเงินเทพเซียนที่จำเป็นต้องจ่ายก็สามารถทำให้สำนักแห่งหนึ่งหรือไม่ก็ผู้ถ่ายทอดมรรคาที่เป็นห้าขอบเขตบนท่านหนึ่งรู้สึกเสียดายจนปวดไปถึงเนื้อใน อีกทั้งยังไม่ใช่แค่ว่ามีเงินก็จบเรื่องแล้วเท่านั้น ยังต้องมีผู้อาวุโสในสำนักหรือสหายร่วมสำนักที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่ารบตายอยู่บนเส้นแนวรบริมชายฝั่งทะเลบูรพาของฝูเหยาทวีป ถึงจะมีรายชื่อสำหรับผ่านด่าน นี่ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าหลายคนที่ไร้ความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขต โดยเฉพาะคนที่จิตวิญญาณมีแนวโน้มว่าจะเสื่อมโทรมต่างก็พากันไปยังพื้นที่แถบริมทะเล

เพื่อบุกเบิกทางรอดให้กับเด็กรุ่นหลังของตัวเอง มอบมหามรรคาในการฝึกตนเส้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยอันตรายและโชควาสนา

นี่จึงแสดงให้เห็นขนบธรรมเนียมประเพณีของฝูเหยาทวีปอย่างชัดเจน

บนภูเขาและล่างภูเขาของฝูเหยาทวีปเชื่อมโยงถึงกัน ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันมาจนเคยชินแล้ว กลับกลายเป็นว่าเมื่อเทียบกับใบถงทวีปที่เป็นดั่งน้ำตายบ่อหนึ่งแล้วยังมีคาวเลือดเข้มข้นมากกว่า

เมื่อสองเท้าของเจิ้งต้าเฟิงเหยียบลงบนผืนแผ่นดินของใต้หล้าแห่งนี้ เขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นโอสถทองอย่างเงียบเชียบแล้ว เพียงแต่ว่าไม่มีการประทานโชคจากชะตาบู๊ เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ในบรรดาผู้ฝึกยุทธของใต้หล้าแห่งนี้มีผู้มีพรสวรรค์ขอบเขตหกที่ขัดเกลาเรือนกายได้อย่างดีเยี่ยมคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่ การที่มาเยือนที่แห่งนี้ก็หนีไม่พ้นเพราะไม่อาจช่วงชิงการประทานพรจากโชคชะตาบู๊มาจากใต้หล้าไพศาลได้ จึงคิดจะมาช่วงชิงผลประโยชน์จากที่นี่ คนประเภทนี้เจิ้งต้าเฟิงดูแคลนที่จะเห็นอีกฝ่ายเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันด้วยซ้ำ

สำหรับวัตถุอย่างโชคชะตาบู๊นั้น เจิ้งต้าเฟิงไม่สนใจแม้แต่น้อย ตนจะใช้ขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดเลื่อนเป็นขอบเขตเจ็ดได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งขอบเขตแปดขอบเขตเก้าก็ล้วนเหมือนกัน ไม่สำคัญเลยแม้แต่น้อย เขาไม่ร้อนใจสักนิดเลยจริงๆ หากตาเฒ่าร้อนใจเพราะเรื่องนี้ย่อมให้เขาตรงไปรอที่ใบถงทวีปก่อนแล้วค่อยมาที่นี่แล้ว ในความเป็นจริงแล้วตาเฒ่าเคยเตือนเขามานานแล้วว่า อย่าเห็นโชคชะตาบู๊เป็นของในกระเป๋าตัวเอง นั่นไม่มีความหมาย มีแค่การฝ่าทะลุขอบเขตอย่างรวดเร็วเท่านั้นที่เป็นภารกิจอันดับหนึ่ง แค่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบโดยเร็วก็พอแล้ว

ช้าสุดหนึ่งร้อยปี อย่างน้อยที่สุดต้องเป็นคอขวดขอบเขตยอดเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นวันหน้าก็อยู่เฉยๆ รอความตายไปที่ใต้หล้าแห่งนั้นก็แล้วกัน

เจิ้งต้าเฟิงคิดจะไปดูแถบใจกลางของฟ้าดินสักหน่อย ได้ยินมาว่าท่ามกลางสงครามใหญ่ กำแพงเมืองปราณกระบี่อาศัยการ ‘บินทะยาน’ เก็บนครแห่งนั้นเอาไว้ และตอนนี้นครแห่งนั้นก็หล่นลงอยู่ที่นั่น

ไม่ต่างจากตอนที่เจิ้งต้าเฟิงเข้ามายังใต้หล้าแห่งใหม่เท่าใดนัก นักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป หวงถิงผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิดก็ข้ามผ่านประตูบานใหญ่อีกบานเข้ามายังใต้หล้าแห่งนี้เช่นกัน นางพกกระบี่ออกเดินทางไกลเพียงลำพัง ตลอดทางขี่กระบี่ไปอย่างว่องไว ท่าทางเหนื่อยล้าจากการเดินทาง หนึ่งเดือนให้หลังนางถึงหยุดพัก จากนั้นก็เลือกภูเขาใหญ่ลูกหนึ่งที่มองแล้วค่อนข้างถูกชะตา คิดว่าจะหล่อเลี้ยงบำรุงปณิธานกระบี่อยู่ที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะชักนำให้ตัวประหลาดตัวหนึ่งมาสนใจ เรื่องดีมาเป็นคู่ ฝ่าทะลุขอบเขตเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ แล้วยังเจอพื้นที่มงคลถ้ำสวรรค์ที่เหมาะแก่การฝึกตนอีกแห่งหนึ่ง ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เต็มไปด้วยสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดิน ล้วนอยู่เหนือการคาดการณ์ทั้งสิ้น

หากจะพูดถึงเรื่องของโชควาสนา หวงถิงมีโชคด้านนี้ไม่เลวมาโดยตลอดจริงๆ ไม่อย่างนั้นตอนนั้นเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งแจกันสมบัติทวีปคงไม่ถูกเรียกขานให้เป็นหวงถิงคนที่สอง

หลังจากหวงถิงเลื่อนขั้นเป็นหยกดิบ นางก็ตั้งศิลาก้อนหนึ่งไว้บนยอดเขา ใช้กระบี่สลักสามคำว่า ‘ภูเขาไท่ผิง’ จากนั้นก็ลงจากเขาไปเตร็ดเตร่ต่อ ย้อนกลับไปทางเดิม ดูสิว่าจะพบเจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาได้บ้างหรือไม่

แต่ไหนแต่ไรมานางก็ชอบบุญคุณความแค้นในยุทธภพเสมอ

ระหว่างที่ขี่กระบี่ลงใต้ หวงถิงเจอกับบัณฑิตชุดดำที่อายุน้อยแต่กลับอำพรางตัวอย่างลึกล้ำ เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายแค่เจอหน้ากันก็แยกย้าย

ดูเหมือนว่าบัณฑิตชุดดำก่อนหน้านี้จะรู้จักนาง จึงเป็นฝ่ายหุบพัด หยุดเดิน ผงกศีรษะทักทายนาง

หวงถิงไม่ได้สนใจ

หลังจากนั้นก็เจอกับผู้ฝึกตนที่เดินทางไปทางเหนือมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่หวงถิงรู้ว่าตอนนี้พวกนายท่านผู้เฒ่าเทพเซียนของใบถงทวีปกำลัง ‘ย้ายภูเขา’ นอกจากขนบธรรมเนียมบนภูเขาเก่าๆ ที่ยิ่งนานก็ยิ่งเข้มข้นแล้ว ก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงแบบใหม่อย่างอื่นด้วย ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ในบรรดาผู้ฝึกลมปราณของเมธีร้อยสำนัก สำนักหยินหยางที่สามารถอนุมานหาตำแหน่ง เลือกหาสถานที่ที่เหมาะสมแก่การเดินทางไกล สำนักภูมิศาสตร์ รวมไปถึงสำนักกสิกรรม สำนักโอสถ และสำนักการค้าที่เชี่ยวชาญด้านเงินต่อเงินเป็นที่สุด ต่างก็ได้กลายเป็นคนเนื้อหอมที่ผู้คนพากันแย่งชิง สรุปก็คือทั้งหมดนี้สามารถช่วยให้ผู้ฝึกลมปราณที่สร้างภูเขามีค่าตัวเพิ่มขึ้นอีกเป็นทบทวี

ส่วนสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขาในอดีตอย่างผู้ฝึกกระบี่ สำนักการทหาร สำนักนิติธรรม นักพรตหญิงเรือนซือเตา เมื่อภูเขาห้อยหัวหายวับไปกับตา สถานการณ์ในใต้หล้าก็ยิ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วย ใต้หล้าในทุกวันนี้นอกจากพื้นที่ใจกลางแล้ว สี่ทิศอย่างออกตกเหนือใต้ ผู้ฝึกกระบี่มีน้อยมากจริงๆ ผู้ฝึกตนสำนักการทหารส่วนใหญ่ก็ถูกบ้านเกิดบังคับให้เข้าร่วมกองทัพ สำนักนิติธรรมก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ส่วนนักพรตหญิงเรือนซือเตาก็อย่าว่าแต่ที่นี่เลย คาดว่าแม้แต่ในใต้หล้าไพศาลก็คงเหลืออยู่แค่ไม่กี่คนแล้ว

ใต้หล้าแห่งใหม่แห่งนี้ ในศักราชเจียชุนปีที่ห้า ยิ่งมีคนดีคนเลวปะปนกันมากขึ้นเรื่อยๆ

หยางหนิงเจินที่เป็นทั้งผู้ฝึกยุทธคอขวดโอสถทอง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกตน ได้ใช้นามแฝงว่าหยางเหิงสิง เขากับหยางหนิงซิ่งผู้เป็นน้องชายที่หล่อหลอมกระจกซานซานจิ่วโหวของภูเขากระจกวิเศษไว้ได้นานแล้วล้วนทยอยกันเข้ามาในใต้หล้าแห่งที่ห้า พี่น้องสองคนไม่เคยได้ทักทายกัน ถึงขั้นที่ว่าไม่คิดจะมาเจอหน้ากันด้วย

ในฐานะเทียนจวินน้อยของตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียน หยางหนิงซิ่งได้รวบรวมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุได้ครบถ้วนแล้ว มาที่นี่ก็เพียงแค่ฝ่าทะลุขอบเขตหยกดิบ แล้วค่อยกลายเป็นเซียนเหริน

ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งไม่ทราบความเป็นมาชื่อว่าสู่จงสู่ เจ้าคนที่มาจากทวีปใหญ่แห่งใดก็ยังไม่มีใครทราบผู้นี้ได้ยึดครองพื้นที่ขุนเขาเขียวน้ำใสไปแห่งหนึ่ง สร้างหอเฉาหรานขึ้นมาแล้วร่ายตราผนึกขุนเขาสายน้ำ ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนเซียนดินคนใดเข้าไปในรัศมีสามร้อยลี้ ไม่อย่างนั้นจะถูกสังหารอย่างไม่มีข้อยกเว้น ข้างกายของคนผู้นี้มีสาวใช้หลายคนติดตามมาด้วย มีนามว่าเสี่ยวพิง เจี้ยนเซ่อ ไฉ่อี ต้าเสียน ฮวาอิ่ง พวกนางถึงขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางกันทั้งหมด

จีไห่เจ้าสำนักฝูจี เวทคาถาอันเป็นรากฐานของสำนักคือการเขียนอักษรคำเขียวเชื้อเชิญเทพ แล้วยังสามารถเชิญเซียนผีมาได้อีกด้วย

จีไห่จึงเชิญแม่ทัพเทพ ‘จัวหลิ่ว’ ท่านหนึ่ง กับเซียนผี ‘ฮวายา’ อีกท่านหนึ่ง ขอบเขตของทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นก่อกำเนิด ได้จับมือกันคุ้มครองเจ้าสำนักฝูจีคนถัดไปให้เข้ามาในใต้หล้าแห่งใหม่

ผู้ฝึกตนอิสระสวมชุดขาวรัดเข็มขัดพลิ้วไสวคนหนึ่งมีโฉมหน้าเป็นเด็กหนุ่ม หลังจากเข้ามายังใต้หล้าแห่งนี้ผ่านทางใบถงทวีปก็ไม่ได้รีบร้อนออกดินทาง กลับยังเริ่มเตร็ดเตร่ไปทั่วสารทิศ คัดเลือกหาตัวผู้ฝึกลมปราณที่เป็นนักกวี นักแต่งถ้อยคำ นักแต่งบทเพลงและนักเขียนกาพย์กลอนมาโดยเฉพาะ หลังจากที่คนเหล่านี้รีบร้อนกรูกันเข้ามาในใต้หล้าแห่งใหม่แล้วก็เริ่มร่ายพรสวรรค์ด้านการแต่งกลอนแต่งกวีของตัวเองเสียงดัง ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำห้าวหาญ บทกลอนชายแดน ถ้อยคำไพเราะละมุนละไม บทกวีเซียนท่องเที่ยว หรือแม้แต่คำบ่นของสตรีในห้องหอก็ยังเอาออกมาใช้ เพียงแค่หวังว่าจะเกิดการขานรับกับฟ้าดินแห่งใหม่ อาศัยความสามารถด้านตัวอักษรด้านการประพันธ์ของตนมาผสานมรรคาเล็กกับฟ้าดินใหญ่

หลังจากเด็กหนุ่มคนนั้นหมดสิ้นซึ่งความสนใจอันแปลกใหม่ ในที่สุดก็เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวเพียงลำพัง สุดท้ายเลือกริมน้ำที่ประกายผิวน้ำกับเมฆอรุโณทัยสาดส่องรัศมีแสงร่วมกัน เด็กหนุ่มปูเสื้อแล้วนั่งลง หยิบพู่กันกับหมึกออกมา หลับตาลง อาศัยความทรงจำของตัวเองวาดม้วนภาพขุนเขาสายน้ำยาวหมื่นลี้ ตั้งชื่อให้ว่าเจี้ยจื่อ (เมล็ดมัสตาร์ด) และยังมีม้วนภาพยาวอีกม้วนที่มีเพียงหมึกดำหนึ่งจุด แต่กลับตั้งชื่อให้ว่าขุนเขาสายน้ำ

เด็กหนุ่มควักตราประทับออกมาสองอัน แล้วประทับตราคำว่า ‘สถานที่อันงดงามที่แสงจันทร์ส่องกระทบเมฆขาว’ ลงบนม้วนภาพเจี้ยจื่อ ส่วนม้วนภาพขุนเขาสายน้ำนั้นประทับตราคำว่า ‘เคยเมามายเพื่อดอกเหมยนานสิบปี ทั้งเสียเวลาครึ่งชีวีเพื่อหมักดอกกุ้ย’

เด็กหนุ่มทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองมือสอดรองต่างหมอน พึมพำด้วยรอยยิ้มว่า “สิ่งที่ทำให้ใจข้าหวั่นไหวได้ แสงจันทร์ คนงาม หิมะตก แสงกระบี่”

นครของกำแพงเมืองปราณกระบี่เพิ่งจะตั้งชื่อว่านครบินทะยาน

ลู่เฉินหวนกลับคืนมายังใต้หล้ามืดสลัว นักพรตซุนล่วงหน้ามาก่อนเขา และกลับไปยังอารามเสวียนตูแล้ว

ลู่เฉินไปถึงป๋ายอวี้จิงก็ได้พบเจอกับศิษย์พี่เรือนกายสูงใหญ่ผู้นั้น เขาเดินปรี่เข้าหาอีกฝ่ายด้วยท่วงท่าเกียจคร้าน ก่อนไปฟุบตัวอยู่บนราวระเบียงที่สูงที่สุดของนครที่สูงที่สุดในห้านคร ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ต้องโมโห อารามเสวียนตู ตั้งแต่นักพรตซุนไปจนถึงนักพรตน้อยที่ลำดับศักดิ์เล็กที่สุดล้วนมีอารมณ์กับศิษย์พี่กันทั้งนั้น”

ลู่เฉินมองก้อนเมฆที่เดี๋ยวลอยขึ้นเดี๋ยวลดตัวลงต่ำประหนึ่งคลื่นน้ำบนมหาสมุทรแล้วเอ่ยเบาๆ “ปล่อยให้คนกันเองมีอารมณ์บ้าง ก็ถือว่าเป็นเหตุผลอย่างหนึ่งนะ”

สำหรับเจ้าลัทธิสามของป๋ายอวี้จิงผู้นี้ ตลอดทั้งใต้หล้ามืดสลัว ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกตนหรือไม่ เขาก็ล้วนถือว่าอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน

อารมณ์หลายอย่างไม่ถือว่ามีเหตุผล แต่ลู่เฉินกลับบอกว่านี่ก็คือเหตุผล

นักพรตร่างสูงใหญ่เงียบไม่ต่อคำ

ลู่เฉินหมุนตัวกลับมา เอนหลังพิงระเบียง ยืดแขนบิดขี้เกียจ “มีศิษย์น้องที่ไหนที่ไม่ช่วยศิษย์พี่แต่ไปช่วยคนนอกบ้าง? ห้าร้อยหลิงกวาน ไม่มีพลาดไปแน่”

เต๋าเหล่าเอ้อร์เอ่ย “เจ้าหมอนั่นยังถูกกดอยู่ใต้ภูเขาทัวเยว่หรือ?”

ลู่เฉินหัวเราะ “จะโทษคนอื่นไม่ได้ ใครใช้ให้ปีนั้นเขาที่เป็นแค่แขกคนหนึ่ง อยู่ดีไม่ว่าดีดันเขียนตัวอักษรใต้พื้นรองเท้า ฝั่งหนึ่งเขียนคำว่าเต๋าเหล่าเอ้อร์ อีกฝั่งหนึ่งเขียนคำว่าลู่เฉินเล่า นี่ก็คือกรรมตามสนองกระมัง”

……

บนและล่างภูเขาของใบถงทวีปมีเส้นอาณาเขตเส้นหนึ่งแบ่งชัดเจนมาตลอดเวลา หนึ่งเป็นเพราะกองกำลังตระกูลเซียนของทวีปนี้ไม่ได้มีมากมายเหมือนทวีปอื่น นอกจากนี้ก็เพราะผู้ฝึกตนของใบถงทวีปเคยชินกับการกวาดหิมะแค่หน้าบ้านใครหน้าบ้านมัน (เปรียบเปรยว่าไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่น) มานานแล้ว สำหรับความสนใจต่อชาวบ้านร้านตลาดล่างภูเขาจึงไกลห่างจากอีกแปดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาลมากนัก

และอาณาเขตของใบถงทวีปก็กว้างใหญ่ไพศาล นี่จึงเป็นเหตุให้บริเวณส่วนใหญ่ในทวีปมีสถานที่ที่เป็นด่านปิดอยู่มากมาย จึงไม่รู้ว่าวิถีทางโลกไม่สงบสุขมานานแล้ว

เมืองหลวงของแคว้นเล็กใต้อาณัติห่างไกลแห่งหนึ่ง ตระกูลชนชั้นสูงตระกูลหนึ่งที่เป็นทั้งตระกูลขุนนางแล้วก็เป็นทั้งตระกูลปัญญาชน ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบปีคนหนึ่งกำลังหยิบเอาของสองชิ้นออกมาให้หลานชายที่เพิ่งเริ่มเรียนหนังสือ หนึ่งคือถ้วยกระเบื้องทุ่ยซือถังที่ฮ่องเต้เคยใช้ อีกชิ้นหนึ่งคือหมึกที่ใช้ในพระราชวงศ์ของจิ้นซือถังที่กษัตริย์มอบให้เป็นรางวัล อธิบายให้หลานชายที่รักฟังว่าเหตุใดทุ่ยซือถังถึงได้เผาถ้วยกระเบื้องใบนี้ เหตุใดจิ้นซือถังถึงได้สร้างหมึกนี้ขึ้นมา แล้วเหตุใดถอยเพื่อไปคิด (ทุ่ยเอ่อร์ซือ ตรงกับคำว่าทุ่ยซือถัง) แล้วยังจะรุกหน้ามาขบคิดอีก (จิ้นเอ่อร์ซือ ตรงกับคำว่าจิ้นซือถัง)

ในอำเภอเล็กแห่งหนึ่ง ด้านล่างแท่นการแสดง เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังจีบนิ้วค้อมเอวเลียนแบบนักแสดงหญิง ชายฉกรรจ์ร่างกำยำและพวกสตรีโตเต็มวัยทั้งหลายต่างก็ไม่ได้สนใจ ทว่าคนเฒ่าคนแก่เห็นแล้วกลับก่นด่าอยู่หลายคำ

ปัญญาชนที่ออกทัศนาจรคนหนึ่งหยุดพักที่จุดพักม้า เปิดผลงานของนักประพันธ์ราชวงศ์ก่อนอ่าน ตอนที่อ่านเจอในตำราบอกว่าบ่อน้ำสามารถบอกเวลา รวมไปถึงดอกไม้กฎเกณฑ์ที่เติบโตในพระราชวัง ต่างก็รู้สึกสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง

ชายเสเพลคนหนึ่งที่ปากเต็มไปด้วยฟันเหลืองเป็นหัวหน้าของพวกอันธพาลว่างงานกลุ่มหนึ่ง อยู่บ้านเกิดมีชีวิตสุขสบายที่ได้กินเนื้อชิ้นโตทุกวัน แค่เคยได้ยินว่าบนภูเขาอาจมีเทพเซียนอยู่จริง แต่พวกเขากลับไม่อิจฉาแม้แต่น้อย

เขตการปกครองแห่งหนึ่งมีคนผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญในการเลียนแบบอักษรภาพ เลียนแบบได้เหมือนจนสามารถใช้ของปลอมสวมรอยของจริง ดังนั้นจึงคิดเงินตามจำนวนตัวอักษร ราคาสูงมาก กำลังต่อรองราคากับลูกค้าเก่า

จากนั้นวันหนึ่งต่อมา ทุกอย่างนี้ล้วนหายไปสิ้น

ตรงจุดที่เมฆดำทะมึนรวมตัวกันหนาแน่น กลางอากาศเหนือภูเขาตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแห่งหนึ่งของใบถงทวีปพลันมีช่องโหว่ถูกแหวกออกมา แสงแดดสาดส่อง อาวุธหล่นลงบนพื้น ก่อนที่ปีศาจใหญ่ตนหนึ่งจะร่วงกระแทกพื้นตามมาติดๆ

ก่อนที่หินยักษ์ใหญ่เท่าภูเขาก้อนหนึ่งจะขว้างแนวเฉียงกระแทกเข้าใส่นครโอ่อ่าอันเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์แห่งหนึ่ง

บนหินใหญ่คือเด็กสาวรูปร่างอรชร นางเดินลากดาบ ด้านหลังติดตามมาด้วยหุ่นเชิดสวมเสื้อเกราะที่ทุกก้าวเดินล้วนทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน

ในศักราชเจียชุนปีที่หกของใต้หล้าแห่งที่ห้า

ใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ นอกจากสำนักศึกษาสามแห่งและภูเขาตระกูลเซียนสิบกว่าแห่งแล้ว ที่เหลือล้วนถูกข้าศึกยึดได้ทั้งหมด

ในช่วงเวลาระหว่างนี้วิญญูชนสำนักศึกษาในอดีตนามว่าจงขุยพลันปรากฎตัวบนโลก ช่วยกอบกู้สถานการณ์อันเลวร้าย

ส่วนที่ถ้ำซานสุ่ยของฝูเหยาทวีป ท่ามกลางการออกทะเลไปเข่นฆ่าครั้งหนึ่ง เฉาสือฝ่าทะลุขอบเขตสู่ขอบเขตสิบ กลับกลายเป็นคนที่หันมาแว้งฆ่าปีศาจใหญ่

ที่ราบน้ำแข็งแห่งหนึ่งของธวัลทวีปที่ฟ้าดินหนาวเหน็บตลอดทั้งปี ผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งที่เดินทางขึ้นเหนือเสี่ยงอันตรายไปสังหารปีศาจได้เจอเข้ากับปีศาจที่แข็งแกร่งเกินเทียมทาน ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมอันสิ้นหวัง ได้แต่ทุ่มสุดชีวิตหนีตายไปทางทิศใต้ ขณะที่สิ้นเรี่ยวหมดแรง แต่ละคนได้แต่รอความตายนั้นเอง เห็นเพียงว่าท่ามกลางหิมะขาวโพลนทางทิศเหนือ มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาอย่างเนิบช้า ในมือนางถือไม้เท้าเดินป่า ด้านหลังสะพายหีบไม้ไผ่เขียว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+