กระบี่จงมา 714.2 เฉินสืออี

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 714.2 เฉินสืออี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พลังอำนาจของเฉินผิงอันพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไหนเลยจะยังมีไฟโทสะมีสีหน้าเคียดแค้นอยู่อีก เขาพยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเห็นด้วย สีหน้ายังแฝงความละอายใจไว้อีกหลายส่วน แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ข้ามาจากตรอกเก่าโทรมของโลกมนุษย์ เจ้ามาจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า แม่นางเซอเยว่คือเจ๋อเซียนในตำรา จะมาพิถีพิถันกับข้าไปไย แบบนี้ไม่ใช่ว่าแม่นางเซอเยว่รังแกคนอื่นหรอกหรือ”

ที่แท้การที่ได้พูดคุยกับใครสักคนก็คือเรื่องที่มีความสุขเรื่องหนึ่งในชีวิต

นี่แทบทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจจากใจจริงแล้ว

จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอ่านเจอในตำราว่ามีคนที่ชอบดื่มเหล้า แต่กลับต้องตื่นขึ้นมาเพียงลำพัง จึงร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังเศร้าอาดูร

ตอนนั้นรู้สึกเพียงว่าขอบเขตของอริยะปราชญ์สูงเกินไป วิสัยทัศน์ของตนต่ำเกินไป จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องร้องไห้ ปีนั้นจึงรู้สึกว่าวันหน้าหากเดินทางไกล พออ่านตำราได้มากแล้วก็จะเข้าใจได้เอง

รอกระทั่งรู้ว่าเหตุใดคนโบราณถึงร้องไห้ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ไม่ต้องรู้เลยจะดีกว่า

รถของคนโบราณเคลื่อนไปถึงทางตัน ยังมีทางเดิมให้เดินย้อนกลับ

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงใช้ตัวมีดสองเล่มตบซีกหน้าของตัวเองเบาๆ เลียนแบบสตรีผู้นั้น

ทุกครั้งที่เซอเยว่โมโห ก่อนจะลงมือมักจะยกสองมือขึ้นตบใบหน้าตัวเองแรงๆ ตามความเคยชิน

พูดพล่ามเป็นเพื่อนเจ้ามานานขนาดนี้ ถึงท้ายที่สุดกลับยังไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าโอกาสบนมหามรรคาอยู่ที่คนผู้นี้ แล้วยังจะต้องมาคอยฟังเขาพูดจาเหน็บแนมเสียดสีมากมายเพียงนั้น ทำให้นางเกิดไฟโทสะแล้วจริงๆ

เวลาอย่างนี้ยังกล้ามาเลียนแบบข้าอีกหรือ?!

เซอเยว่ตบแก้มข้างหนึ่งของตัวเองเต็มแรง ทันใดนั้นตรงแก้มฝั่งนั้นของนางก็มีแสงสว่างแผ่ออกมาสี่ทิศ ก่อนจะกลายเป็นเส้นแสงจำนวนนับไม่ถ้วน เป็นแสงจันทร์ที่ถูกนางดึงมาหล่อหลอมจนกลายเป็นเหมือนน้ำ ประหนึ่งแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลริน มองข้ามตราผนึกที่มีในกำแพงเมืองปราณกระบี่และกระโจมเจี่ยจื่อไป แสงจันทร์เล็กละเอียดแผ่อวลไปทั่วทุกหนแห่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนี้

บนหัวกำแพงเมืองยังมี ‘เซอเยว่’ ที่ยืนอยู่ที่เดิม นางถูกมีดสองเล่มแทง เล่มหนึ่งปาดคอ เล่มหนึ่งแทงเข้าตรงหัวใจ

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาของเซอเยว่เท่านั้น หนีไม่พ้นนำมาใช้ทดสอบความเร็วในการออกมีดของฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงระดับความคมของมีด

วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเซอเยว่สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งอย่างเจียงซ่างเจินเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ถึงจะตามหาจุดที่ร่างจริงของนางอยู่ได้ ต่อให้อิ่นกวานผู้นี้จะผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น

เซอเยว่สามารถหลบเลี่ยง ยิ่งสามารถปล่อย ‘กระบี่บิน’ เหมือนเซียนกระบี่หยกดิบได้ ประหนึ่งผู้ฝึกตนเซียนเหรินที่เรียกเวทคาถาร้อยพันรูปแบบออกมาใช้

หากเซอเยว่คิดจะเรียนวิชาคาถา ต่อให้วิชาของเจ้าจะเป็นวิชาที่สืบทอดกันมาโดยเฉพาะ เป็นความลับไม่แพร่งพรายแค่ไหน ขอแค่ถูกแสงจันทร์สาดส่อง หากขอบเขตไม่ต่างกันมากเกินไปล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นขอแค่นางได้ ‘เห็นมาก่อน’ ครั้งเดียว นางก็สามารถดึงเอาปณิธานแท้จริงของวิชานั้นๆ มาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดส่วน

ไม่ใช่ว่าเซอเยว่ดูแคลนใต้เท้าอิ่นกวานที่ขึ้นชื่อว่ามีฝีมือเก่งกาจกลยุทธหลากหลายผู้นี้จริงๆ

ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากจะพูดถึงวิธีการในการเข่นฆ่าที่มากมายดารดาษ ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน เซอเยว่คืออันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรี

ดังนั้นในบันทึกลับของกระโจมเจี่ยจื่อ แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายผู้นี้จึงมีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘คลังยุทโธปกรณ์แห่งใต้หล้า’

ยันต์ กระบี่บิน กายธรรมร่างทอง หุ่นเชิดกลไก ร่างจริงเผ่าปีศาจ เสื้อเกราะตระกูลเซียน สมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตี…

ขอแค่ในใจข้าคิดถึงก็สามารถจำแลงออกมาใช้ได้ วัสดุก็หนีไม่พ้นแสงจันทร์ของข้า

ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งเรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาทั่วไป หากเซอเยว่ต้องการก็มีได้เช่นเดียวกัน

น่าเสียดายก็แต่เซอเยว่มีขีดจำกัดที่ตบะในทุกวันนี้ ‘เรือนกายผู้ฝึกยุทธ’ ในทุกวันนี้ของนางจึงมีระดับความแข็งแกร่งทนทานอยู่แค่ระดับที่เก้าเท่านั้น อีกทั้งเซอเยว่เองก็ไม่ค่อยชอบศาสตร์การต่อสู้ที่ประชิดตัวสักเท่าไร ก็เหมือนดวงจันทร์ที่สาดส่องแสงไปทั่วโลกมนุษย์ แต่ดวงจันทร์กลับลอยสูงอยู่บนฟ้าเท่านั้น

‘เซอเยว่’ คนแรกโดนมีดสั้นแทงไปสองจุด เพราะเซอเยว่จงใจสร้างเรือนกายของขอบเขตเดินทางไกลขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เหนือการคาดการณ์ จุดจบของนางมีแต่ต้องตายคาที่เท่านั้น

เมื่อภาพมายาของสตรีหน้ากลมสวมเสื้อผ้าฝ้ายสวมรองเท้าผ้าแหลกสลายไป แสงจันทร์ก็หายวับไปอย่างร่องรอย ไม่มีเบาะแสให้ตามหา

แม้เฉินผิงอันจะติดตามเซอเยว่อีกคนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างจึงวูบหายไปด้วย แต่ในบริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงเมือง ก่อนที่มือทั้งสองของเขาจะปล่อยมีดออกไป ฝ่ามือข้างหนึ่งก็ได้เกิดภาพปรากฎการณ์ผิดปกติขึ้นมาแล้ว ตราประทับอาคมที่ใสกระจ่างไร้มลทินชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่กลางฝ่ามือ คือคำบัญชาวิชาห้าอสนี

เวทห้าอสนีดั้งเดิมที่บังเกิดขึ้นได้ตามใจปรารถนานี้ไม่ได้โจมตีภาพลวงตาของเซอเยว่ รับมือกับคู่ต่อสู้ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ไหนเลยจะต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงมากมายเพียงนี้

เพียงแต่ว่าเมื่อแสงสายฟ้าสะเทือนเลือนลั่น ก่อนที่มีดทั้งสองเล่มจะสังหารศัตรูก็ได้สาดแสงไกลหลายสิบจั้ง นี่ก็เพื่อใช้มันสำรวจหาเบาะแสของแสงจันทร์ที่กระจายตัวหายไป หากทั้งสองฝ่ายเพียงแค่ประมือกันในช่วงเวลาสั้นๆ ต่อให้เพียงแค่ชนกันเล็กน้อยเท่านั้น แต่เฉินผิงอันก็ยังสามารถฉกฉวยโอกาสได้เปรียบมาได้ก่อนเสี้ยวหนึ่ง หนึ่งเสี้ยวก็คือหนึ่งในหมื่น เฉินผิงอันก็มีหวังที่จะทำให้อีกฝ่ายกลายไปเป็นหนึ่งหมื่นของการจับคู่เข่นฆ่ากันระหว่างบนภูเขาและล่างภูเขา!

หนึ่งในหมื่นของศัตรู ข้าจะมอบกลับให้เจ้าหนึ่งหมื่น

ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ รับรองแขกอย่างมีมารยาท

เรียกได้ว่าใจเจ้าสมดังปรารถนาข้า

เพียงแต่น่าเสียดายที่แม่นางเซอเยว่ผู้นั้นทำตัวห่างเหินเกินไป ไม่ได้ทิ้งช่องโหว่นี้เอาไว้

ก็ดีเหมือนกัน

ไม่อย่างนั้นคำว่าสิบคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าจะไม่ทำให้คนผิดหวังมากหรอกหรือ

ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะมีคุณสมบัติอะไรเลื่อนมาอยู่อันดับเดียวกับนาง?!

บนม่านฟ้าของฟ้าดินเล็ก เฉินผิงอันใช้มีดทั้งสองเล่มปั่นคว้านแสงจันทร์วงใหญ่ จากนั้นก็ทะยานลมลอยตัว ก้มหน้าลงมองหัวกำแพงเมือง

ร่างของเซอเยว่แยกออกเป็นสามร่าง ต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างไกลกันมาก

นอกจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่แท้จริงของผู้ฝึกกระบี่สองเล่มอย่างนกในกรงและจันทร์ในบ่อแล้ว

เฉินผิงอันยังมีกระบี่บินของผู้ฝึกลมปราณที่ผ่านการหลอมใหญ่อีกสองเล่มอย่างชูอีสืออู่ บวกกับกระบี่จำลองของเซียนกระบี่จากภูเขาชังกระบี่อีกสองเล่ม ไฮเหลยและซงเจิน

จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย ไฮเหลยกับซงเจินก็เหมือนสายฟ้าแลบที่พุ่งเข้าหาสตรีสองคนในนั้น

ส่วนตัวเฉินผิงอันเองกลับหดย่อพื้นที่ พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวในจุดที่ห่างไปหลายพันจั้ง รับมือกับเซ่อเยว่ที่เมื่อเผชิญหน้ากับตนแล้วยังถึงขั้นตั้งกระบวนท่าหมัดรับมือศัตรู

ก่อนหน้านี้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลมิอาจต้านทานการโจมตีได้ไหว เจ้าก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเรือนกายของขอบเขตยอดเขา เพื่อชั่งน้ำหนักว่าหมัดขอบเขตยอดเขาของตัวเองหนักเท่าไรกันแน่หรือ?

คิดว่าตัวเองคือเซียวสวิ้นที่ออกหมัดจริงๆ หรือไร?!

เพียงแค่มองดูหมัดแรกที่เซอเยว่ใช้รับมือกับศัตรู ต่อให้เป็นคนระมัดระวังรอบคอบที่ชอบมองคู่ต่อสู้ให้มีฝีมือสูงไปอีกขั้นอย่างเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าวิชาหมัดของนางหยาบเกินไป จิตวิญญาณปลอมเกินไป รากฐานแย่เกินไป

บางทีผู้ฝึกยุทธเซอเยว่คนนี้อาจมีดีเพียงอย่างเดียว นั่นคือความเร็วไม่ช้า ให้ความรู้สึกเหมือนยามที่อวี้เจวี้ยนฟูถามหมัดในปีนั้นได้อยู่หลายส่วน

ชุดสีแดงสด ชายแขนเสื้อโบกสะบัดพึ่บพั่บ มือทั้งสองถือมีดสองเล่มพลิกหมุนกลับไปกลับมา ลำแสงไหลรินไม่หยุดนิ่ง ไล่ล่าตามศัตรู ผ่าหั่นฟ้าดิน

ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่มีเรือนกายขอบเขตยอดเขาและวิชาหมัดที่เคยเรียนรู้มาอย่างเสียเปล่า เพราะทำได้เพียงถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่า หลบแล้วหลบอีก

ต่อให้ความเร็วในการสลับตำแหน่งของนางจะเหนือกว่าหนึ่งขั้นอยู่ตลอดเวลา แต่เฉินผิงอันกลับมาปรากฎตัวอยู่ตรงจุดที่นางจะถอยหนีโดย ‘บังเอิญ’ อยู่หลายครั้ง เรียกได้ว่าอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน

ความตั้งใจเดิมของนางก็คือจะลองถามหมัดกับอีกฝ่ายดูเล็กน้อย ลองหยั่งเชิงระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายถามหมัดกันเช่นนี้ นางจะสมใจปรารถนาได้อย่างไร

เป็นขอบเขตยอดเขาเหมือนกัน เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกัน ทว่ายังห่างชั้นกันมากเหลือเกินจริงๆ

ตอนที่มีดเล่มหนึ่งกำลังจะแทงทะลุไหล่ของฝ่ายตรงข้าม เฉินผิงอันกลับหมุนตัวเปลี่ยนมาใช้ศอกถองกระแทกเข้าที่หน้าผากของเซอเยว่อย่างสบายๆ

เซอเยว่ถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้ง รองเท้าผ้าคู่ที่รวมตัวขึ้นจากแสงจันทร์แหลกสลายเป็นผุยผง หลังจากนางหยุดยืนนิ่งได้แล้วถึงได้ ‘สวม’ รองเท้าผ้าคู่ใหม่อีกครั้ง

คนหนุ่มผู้นั้นโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังกลับ ทิ้งแผ่นหลังไว้ให้กับเซอเยว่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาเช่นนั้น เขายิ้มหันมามองหน้า ถามด้วยสีหน้าเกียจคร้านว่า “ไม่สนุกเลยสักนิดใช่ไหม?”

ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่สีหน้าไร้อารมณ์ แม่นางหน้ากลมที่สวม ‘ชุดผ้าฝ้าย’ บนร่างมีชุดคลุมอาคมงดงามที่กลิ่นอายเซียนล่องลอยเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น และด้านนอกชุดคลุมอาคมก็มีเสื้อเกราะของสำนักการทหารห่มทับ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์แวววาวส่องแสงเจ็ดสี เจิดจ้าพร่าตาอย่างถึงที่สุด

ชุดคลุมอาคมไม่รู้จัก ทว่าเสื้อเกราะนั้นกลับพอจะเดาออก เฉินผิงอันเบิกตากว้าง กลับคืนมามีนิสัยของร้านผ้าห่อบุญอีกครั้ง ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “แม่นางเซอเยว่ ชุดเกราะที่จำแลงมาจากภาพมายาบนร่างเจ้าชิ้นนี้ก็คือเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ชื่อว่า ‘เจ็ดสี’ หรือ? ใช่แล้วๆ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ถือว่าเล็ก ประวัติศาสตร์จึงยาวนานไม่แพ้ที่อื่น อีกทั้งเจ้ายังมาจากดวงจันทร์ เป็นเผ่าพันธุ์เทพเซียนที่ต่อให้ข้าอิจฉาก็ยังอิจฉาไม่ไหว หรือว่านอกจากเจ็ดสีแล้วเจ้ายังเคยเห็นเสื้อเกราะอีกสองชิ้นอย่าง ‘อวิ๋นไห่’ กับ ‘เสียกวง’ แล้วด้วย?”

สหายรักจงขุยอ่านตำรามามากมาย ความรู้ยิ่งใหญ่ ปีนั้นแค่มองเสื้อเกราะบนร่างของเว่ยเซี่ยนก็รู้ประวัติความเป็นมาได้ทันที

ฝอกว๋อ ฮวาเปา ซานกุ่ย สุ่ยเซียน เสียกวง ไฉ่อี อวิ๋นไห่ ซีเยว่

‘บรรพบุรุษ’ เสื้อเกราะน้ำค้างหวานเจ็ดชิ้นแรกสุด นอกจากซีเยว่ที่เฉินผิงอันได้มาแล้วส่งต่อไปให้เว่ยเซี่ยนแล้ว ตามคำบอกของจงขุย ทุกวันนี้ว่ากันว่าเหลือแค่ซานกุ่ยกับไฉ่อี (ชุดหลากสี/ชุดที่มีสีสันสดใส หรือก็คือเจ็ดสีที่เฉินผิงอันเรียก) ที่เคยมีปรากฏบนบันทึกเท่านั้น นอกนั้นชิ้นที่เหลือล้วนไม่มีอยู่บนโลกแล้ว

ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ไม่เอ่ยคำใด ตั้งกระบวนท่าหมัดอีกครั้ง กระดิกนิ้วไปทางคนหนุ่มที่กวนโอ้ยน่าเตะอย่างถึงที่สุดผู้นั้น

ต่อให้หมัดจะหนักแค่ไหน คนกับมีดสองเล่ม ต่อให้ปรากฏตัวลับๆ ล่อๆ แค่ไหน แต่เจ้าจะสามารถฆ่าคนได้จริงๆ เลยหรือ?

สายตาของหญิงสาวเหมือนกำลังพูดว่า มีปัญญาก็ทำลายเรือนกายผู้ฝึกยุทธร่างนี้ให้สิ้นซากเสียเลยสิ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมพูดคุยกับเจ้าสักคำสองคำ

เฉินผิงอันนึกถึงเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ที่โชคดีได้มาชิ้นนั้นก็ยากมากที่จะไม่นึกถึงคนบางคนและเรื่องบางเรื่อง

บางครั้งก็จำต้องยอมรับว่า ยิ่งเห็นมากเท่าไร ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งไม่ผ่อนคลายสบายใจมากเท่านั้น นี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีไปซะทั้งหมด

เพราะง่ายที่จะทำให้คนยอมรับชะตากรรม

ยังดีที่แต่ไหนแต่ไรมาการยอมรับชะตากรรมของเฉินผิงอันก็เพื่อที่จะได้ไม่ต้องยอมรับชะตากรรมในบางช่วงเวลา

ไม่อย่างนั้นเรื่องราวบนโลกใบนี้ หากไม่ทันระวังปล่อยให้ความทุกข์และความสุขเชื่อมโยงถึงกัน กลับจะทำให้คนที่เคยชินกับการระมัดระวังตัวรู้สึกยากจะทานทนเป็นพิเศษ

ในเมื่อแม่นางเซอเยว่ผู้นั้นรนหาที่เอง ตนก็ควรจะเอาความจริงใจมอบให้นางกลับคืนไปบ้าง

ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หากคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่ชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดมากเกินไป จะดูไม่เป็นสุภาพบุรุษสักเท่าไร!

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ใช้วิชาอภินิหารของห้าขอบเขตบนอย่างจักรวาลในชายแขนเสื้อเก็บมีดอาคมที่ใช้ได้อย่างคล่องมือคู่นั้นไป

เรื่องของการถามหมัด เขาปรารถนามานานเหลือเกินแล้ว

เฉินผิงอันนึกอยากจะให้นางปล่อยหมัดออกมาสักร้อยสักพันหมัดเลยด้วยซ้ำ ใช้ปณิธานหมัดยอดเขาของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาของนางนี้ต่อยลงมาบนร่างของตน

เพียงแต่ในขณะที่เฉินผิงอันกดขอบเขตยอดเขาของตัวเองลงสู่ขอบเขตที่ต่ำที่สุด ต่อให้ความเร็วของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่จะมากพอ แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะออกหมัดแม้แต่น้อย นางวางท่าชัดเจนว่าหากเฉินผิงอันไม่ปล่อยหมัดออกมาปะทะกัน ก็จะใช้เรือนกายบวกกับชุดคลุมอาคมและเสื้อเกราะเจ็ดสีบนร่างมารับหมัดนั้นของเขา

หากเฉินผิงอันคิดจะทำอย่างขอไปที เซอเยว่ก็ไม่คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรก็มีเวลาแค่หนึ่งก้านธูป เมื่อหมดเวลา นางก็จะจากไปอย่างตรงตามเวลา ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้แต่เลิกสะกดกลั้นความรู้สึกที่ทำให้ตัวเองอัดอั้นตันใจ ไม่เพียงแต่ต้องออกหมัดให้หนัก ยังต้องเพิ่มความเร็วในร่างกายตัวเองอีกหลายส่วน ใช้หนึ่งหมัดต่อยให้เสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่เป็นของจริงหรือของปลอมก็ยังไม่แน่ใจแตกยับ จากนั้นใช้อีกหมัดต่อยชุดคลุมอาคมที่ไม่รู้ชื่อให้แหลกลาญ สุดท้ายหนึ่งหมัดต่อยลงบนศีรษะของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่

ทุกอย่างล้วนกลายเป็นแสงจันทร์

เซอเยว่รู้ว่าหากใช้ขอบเขตเก้ามาหยั่งเชิงอิ่นกวานหนุ่มอีกครั้งจะไม่มีความหมายใดๆ เรือนกายของนางจึงสลายไปจากจุดเดิม แล้วจำแลงร่างจากหนึ่งเป็นสิบ กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนี้ ตรงหน้าผาและตรงปลายด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมืองก็มีอยู่สองคน

ไม่ได้มีรูปลักษณ์เป็นแม่นางหน้ากลมที่เหมือนคนที่พูดคุยง่ายอะไรอีกแล้ว แต่รูปร่างแตกต่างกันออกไป มีทั้งกายธรรมร่างทอง มีทั้งเซียนขี่กระบี่ แล้วก็มีทั้งร่างจริงของเผ่าปีศาจ

ต่อให้จะผสานรวมมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าร่างจริงของเซอเยว่อยู่ตรงไหน เก้าปลอมหนึ่งจริงงั้นหรือ? อาจจะเป็นจริงทั้งหมด หรือไม่ก็อาจจะปลอมทั้งหมดก็ได้

พวกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมเหล่านี้เปิดปากเอ่ยขึ้นพร้อมกันแต่น้ำเสียงแตกต่างว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่ใช้เซียนกระบี่ที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาด? แบบนั้นจะไม่ประหยัดแรงกายแรงใจมากกว่าหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เวลาหนึ่งก้านธูป อันที่จริงนานมากๆ เพียงแต่ว่าข้าเป็นคนที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ดังนั้นจึงทะนุถนอมทุกๆ ช่วงเวลาอย่างมาก”

ระหว่างที่พูด เท้าของเฉินผิงอันก็เหยียบอยู่บนวัตถุอย่างหนึ่ง เรือนกายจึงลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ เพราะใต้ฝ่าเท้าของเขามีสิ่งปลูกสร้างของป๋ายอวี้จิงจำลองขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา ประหนึ่งก้อนหินที่ผุดออกมาจากในน้ำ ค่อยๆ เผยให้เห็นรูปลักษณ์ทั้งหมด สุดท้ายยอดของป๋ายอวี้จิงก็สูงชะลูดเสียดฟ้าขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นเหตุให้เกือบจะแตะโดนแผ่นฟ้าถึงหยุดนิ่ง

อิ่นกวานหนุ่มที่สวมภูษาสวรรค์ ‘เจี้ยงจื่อ’ ของลัทธิเต๋าราวกับเซียนที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงท่านหนึ่งที่มีมรรคากถาสูงสุดเชื่อมแผ่นฟ้า เป็นเหตุให้สามารถก้าวเดินอย่างผ่อนคลายอยู่ที่นี่ได้

สองเท้าของเขาเหยียบอยู่บนยอดของป๋ายอวี้จิงก้าวแล้วก้าวเล่า สุดท้ายเดินมาหยุดอยู่ตรงชายคาตวัดงอนจุดหนึ่ง

เฉินผิงอันยื่นมือออกไปคว้า ในมือก็มีธงเซียนกระบี่ปรากฏ เขาเอามันเคาะลงบนความว่างเปล่าของม่านฟ้าที่อยู่รอบกาย ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นวงๆ แผ่เรียงต่อกันเป็นชั้นๆ ขยายออกไปไม่มีสิ้นสุด

เซอเยว่พลันถามว่า “ข้าไม่ใช่หลิวไฉผู้นั้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะ…เดือดดาล? เป็นเพราะเจ้าพอจะเดาตัวตนของหลิวไฉออกแล้ว? เพราะข้าไม่ใช่หลิวไฉ จึงช่วยพิสูจน์ความคิดบางอย่างในใจของเจ้าได้?”

เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ ยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร แม่นางเซอเยว่อย่าได้สงสัยอะไรไปส่งเดชเช่นนี้ คนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้แม่นางเซอเยว่มองไปตามแสงจันทร์ทั่วทุกแห่ง ย่ำจนรองเท้าผ้าฝ้ายสึกแล้วก็ยังหาตัวไม่เจอ ข้าจะไปคาดเดาออกได้อย่างไร”

เวลาหนึ่งก้านธูป ผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ทันใดนั้นจิตของเฉินผิงอันก็พลันสงบนิ่งเหมือนจมลงสู่ก้นบ่อโบราณ ดวงจิตเหมือนออกเดินทางไกลอย่างเสรี ความคิดไล่ตามริ้วคลื่นที่แผ่กระเพื่อมไปทั่วสี่ทิศ เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางเซอเยว่ ในฐานะของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ วันหน้าจะตั้งชื่อต้องระวังให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นย่อมง่ายที่จะเปิดเผยรากฐานมหามรรคา นี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงในการเดินท่องยุทธภพ จำเอาไว้ให้แม่นๆ เซอเยว่ เซอเยว่ เด่นชัดเกินไปแล้ว ไม่สู้ลองเลียนแบบเฝ่ยหรานผู้นั้น เหวินไฉ่เฝ่ยหราน ความเฉียบแหลมด้านวรรณคดี แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิตผู้สุภาพมีความรู้ หลังจากที่รับบรรพบุรุษกลับคืนสู่วงศ์ตระกูลแซ่เฉินก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”

เซอเยว่สิบคนนั้นคล้ายจะเกิดใจอยากเอาชนะจึงคิดว่า ‘ธรรมะเจ้าสูงหนึ่งฉื่อ ถ้าอย่างนั้นอธรรมของข้าก็จะสูงหนึ่งจั้ง’ ร่างจึงแปลงจากสิบเป็นร้อย ร้อยเป็นพัน บนหัวกำแพงเมือง ทุกหนทุกแห่งมีแต่นาง

‘เซอเยว่’ หนึ่งในนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวที่ปรากฏตัวด้วยร่างจริง นางแหงนหน้ามองสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตโอฬาร ยิ้มเอ่ยว่า “แต่ชื่อของข้าล้วนตั้งมาไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งใต้หล้าล้วนรับรู้ ยังจะมี ‘วันหน้า’ ได้อย่างไร? อีกอย่างข้าก็ไม่อยากเปลี่ยนชื่อด้วย”

บนจุดสูงของผืนฟ้ามีลมเย็นพัดโชยมาเป็นระลอก เสื้อผ้าและเส้นผมตรงจอนหูของคนหนุ่มล้วนปลิวไปตามสายลม

เขายิ้มเบาๆ ให้คำตอบว่า “ชาติหน้าไงล่ะ”

เซอเยว่ไม่ค่อยกริ่งเกรงวิธีการของเฉินผิงอันต่อจากนี้สักเท่าไรนัก นางก็แค่ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ไหว

เขาเป็นแค่ลำดับที่สิบเอ็ดเองนะ?! (สืออี)

ส่วนเจ้าคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของป๋ายอวี้จิงจำลองผู้นั้นก็คล้ายจะมองทะลุความคิดของเซอเยว่ได้ในปราดเดียว จึงเอ่ยว่า “หากไม่เป็นเพราะอยู่ที่นี่แล้วได้ยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพร ข้าย่อมไม่มีทางติดแม้กระทั่งอันดับที่สิบเอ็ดแน่นอน”

เซอเยว่พลันรู้สึกอยากจะลงมือกับเขาอย่างจริงจังขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ใช่แค่การหยั่งเชิงลองดูอีกต่อไป

เฉินผิงอันไม่ได้พูดมากเป็นการวาดงูเติมขาอะไร เพียงแค่กระตุกมุมปากเบาๆ สีหน้ามีเลศนัยวูบผ่านแล้วหายไป แต่กลับทำให้เซอเยว่มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

เหมือนเขากำลังพูดว่า ข้าสังหารเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน และอันที่จริงเจ้าก็สังหารข้าไม่ได้เช่นกัน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เอาจริงเอาจังกันหน่อย มาลองดูกันอีกสักตั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 714.2 เฉินสืออี

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 714.2 เฉินสืออี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พลังอำนาจของเฉินผิงอันพลันแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไหนเลยจะยังมีไฟโทสะมีสีหน้าเคียดแค้นอยู่อีก เขาพยักหน้ารับเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเห็นด้วย สีหน้ายังแฝงความละอายใจไว้อีกหลายส่วน แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ข้ามาจากตรอกเก่าโทรมของโลกมนุษย์ เจ้ามาจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า แม่นางเซอเยว่คือเจ๋อเซียนในตำรา จะมาพิถีพิถันกับข้าไปไย แบบนี้ไม่ใช่ว่าแม่นางเซอเยว่รังแกคนอื่นหรอกหรือ”

ที่แท้การที่ได้พูดคุยกับใครสักคนก็คือเรื่องที่มีความสุขเรื่องหนึ่งในชีวิต

นี่แทบทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจจากใจจริงแล้ว

จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอ่านเจอในตำราว่ามีคนที่ชอบดื่มเหล้า แต่กลับต้องตื่นขึ้นมาเพียงลำพัง จึงร้องไห้ด้วยความสิ้นหวังเศร้าอาดูร

ตอนนั้นรู้สึกเพียงว่าขอบเขตของอริยะปราชญ์สูงเกินไป วิสัยทัศน์ของตนต่ำเกินไป จึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดถึงต้องร้องไห้ ปีนั้นจึงรู้สึกว่าวันหน้าหากเดินทางไกล พออ่านตำราได้มากแล้วก็จะเข้าใจได้เอง

รอกระทั่งรู้ว่าเหตุใดคนโบราณถึงร้องไห้ ถึงได้รู้ว่าที่แท้ไม่ต้องรู้เลยจะดีกว่า

รถของคนโบราณเคลื่อนไปถึงทางตัน ยังมีทางเดิมให้เดินย้อนกลับ

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงใช้ตัวมีดสองเล่มตบซีกหน้าของตัวเองเบาๆ เลียนแบบสตรีผู้นั้น

ทุกครั้งที่เซอเยว่โมโห ก่อนจะลงมือมักจะยกสองมือขึ้นตบใบหน้าตัวเองแรงๆ ตามความเคยชิน

พูดพล่ามเป็นเพื่อนเจ้ามานานขนาดนี้ ถึงท้ายที่สุดกลับยังไม่รู้สึกเลยสักนิดว่าโอกาสบนมหามรรคาอยู่ที่คนผู้นี้ แล้วยังจะต้องมาคอยฟังเขาพูดจาเหน็บแนมเสียดสีมากมายเพียงนั้น ทำให้นางเกิดไฟโทสะแล้วจริงๆ

เวลาอย่างนี้ยังกล้ามาเลียนแบบข้าอีกหรือ?!

เซอเยว่ตบแก้มข้างหนึ่งของตัวเองเต็มแรง ทันใดนั้นตรงแก้มฝั่งนั้นของนางก็มีแสงสว่างแผ่ออกมาสี่ทิศ ก่อนจะกลายเป็นเส้นแสงจำนวนนับไม่ถ้วน เป็นแสงจันทร์ที่ถูกนางดึงมาหล่อหลอมจนกลายเป็นเหมือนน้ำ ประหนึ่งแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลริน มองข้ามตราผนึกที่มีในกำแพงเมืองปราณกระบี่และกระโจมเจี่ยจื่อไป แสงจันทร์เล็กละเอียดแผ่อวลไปทั่วทุกหนแห่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนี้

บนหัวกำแพงเมืองยังมี ‘เซอเยว่’ ที่ยืนอยู่ที่เดิม นางถูกมีดสองเล่มแทง เล่มหนึ่งปาดคอ เล่มหนึ่งแทงเข้าตรงหัวใจ

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาของเซอเยว่เท่านั้น หนีไม่พ้นนำมาใช้ทดสอบความเร็วในการออกมีดของฝ่ายตรงข้าม รวมไปถึงระดับความคมของมีด

วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของเซอเยว่สามารถทำให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินคนหนึ่งอย่างเจียงซ่างเจินเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ถึงจะตามหาจุดที่ร่างจริงของนางอยู่ได้ ต่อให้อิ่นกวานผู้นี้จะผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นแค่ขอบเขตหยกดิบเท่านั้น

เซอเยว่สามารถหลบเลี่ยง ยิ่งสามารถปล่อย ‘กระบี่บิน’ เหมือนเซียนกระบี่หยกดิบได้ ประหนึ่งผู้ฝึกตนเซียนเหรินที่เรียกเวทคาถาร้อยพันรูปแบบออกมาใช้

หากเซอเยว่คิดจะเรียนวิชาคาถา ต่อให้วิชาของเจ้าจะเป็นวิชาที่สืบทอดกันมาโดยเฉพาะ เป็นความลับไม่แพร่งพรายแค่ไหน ขอแค่ถูกแสงจันทร์สาดส่อง หากขอบเขตไม่ต่างกันมากเกินไปล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นขอแค่นางได้ ‘เห็นมาก่อน’ ครั้งเดียว นางก็สามารถดึงเอาปณิธานแท้จริงของวิชานั้นๆ มาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดส่วน

ไม่ใช่ว่าเซอเยว่ดูแคลนใต้เท้าอิ่นกวานที่ขึ้นชื่อว่ามีฝีมือเก่งกาจกลยุทธหลากหลายผู้นี้จริงๆ

ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากจะพูดถึงวิธีการในการเข่นฆ่าที่มากมายดารดาษ ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน เซอเยว่คืออันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรี

ดังนั้นในบันทึกลับของกระโจมเจี่ยจื่อ แม่นางหน้ากลมสวมชุดผ้าฝ้ายผู้นี้จึงมีคำเรียกขานที่ไพเราะว่า ‘คลังยุทโธปกรณ์แห่งใต้หล้า’

ยันต์ กระบี่บิน กายธรรมร่างทอง หุ่นเชิดกลไก ร่างจริงเผ่าปีศาจ เสื้อเกราะตระกูลเซียน สมบัติหนักที่ใช้ในการโจมตี…

ขอแค่ในใจข้าคิดถึงก็สามารถจำแลงออกมาใช้ได้ วัสดุก็หนีไม่พ้นแสงจันทร์ของข้า

ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งเรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาทั่วไป หากเซอเยว่ต้องการก็มีได้เช่นเดียวกัน

น่าเสียดายก็แต่เซอเยว่มีขีดจำกัดที่ตบะในทุกวันนี้ ‘เรือนกายผู้ฝึกยุทธ’ ในทุกวันนี้ของนางจึงมีระดับความแข็งแกร่งทนทานอยู่แค่ระดับที่เก้าเท่านั้น อีกทั้งเซอเยว่เองก็ไม่ค่อยชอบศาสตร์การต่อสู้ที่ประชิดตัวสักเท่าไร ก็เหมือนดวงจันทร์ที่สาดส่องแสงไปทั่วโลกมนุษย์ แต่ดวงจันทร์กลับลอยสูงอยู่บนฟ้าเท่านั้น

‘เซอเยว่’ คนแรกโดนมีดสั้นแทงไปสองจุด เพราะเซอเยว่จงใจสร้างเรือนกายของขอบเขตเดินทางไกลขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องที่เหนือการคาดการณ์ จุดจบของนางมีแต่ต้องตายคาที่เท่านั้น

เมื่อภาพมายาของสตรีหน้ากลมสวมเสื้อผ้าฝ้ายสวมรองเท้าผ้าแหลกสลายไป แสงจันทร์ก็หายวับไปอย่างร่องรอย ไม่มีเบาะแสให้ตามหา

แม้เฉินผิงอันจะติดตามเซอเยว่อีกคนไปเรียบร้อยแล้ว ร่างจึงวูบหายไปด้วย แต่ในบริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงเมือง ก่อนที่มือทั้งสองของเขาจะปล่อยมีดออกไป ฝ่ามือข้างหนึ่งก็ได้เกิดภาพปรากฎการณ์ผิดปกติขึ้นมาแล้ว ตราประทับอาคมที่ใสกระจ่างไร้มลทินชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมาอยู่กลางฝ่ามือ คือคำบัญชาวิชาห้าอสนี

เวทห้าอสนีดั้งเดิมที่บังเกิดขึ้นได้ตามใจปรารถนานี้ไม่ได้โจมตีภาพลวงตาของเซอเยว่ รับมือกับคู่ต่อสู้ที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ไหนเลยจะต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงมากมายเพียงนี้

เพียงแต่ว่าเมื่อแสงสายฟ้าสะเทือนเลือนลั่น ก่อนที่มีดทั้งสองเล่มจะสังหารศัตรูก็ได้สาดแสงไกลหลายสิบจั้ง นี่ก็เพื่อใช้มันสำรวจหาเบาะแสของแสงจันทร์ที่กระจายตัวหายไป หากทั้งสองฝ่ายเพียงแค่ประมือกันในช่วงเวลาสั้นๆ ต่อให้เพียงแค่ชนกันเล็กน้อยเท่านั้น แต่เฉินผิงอันก็ยังสามารถฉกฉวยโอกาสได้เปรียบมาได้ก่อนเสี้ยวหนึ่ง หนึ่งเสี้ยวก็คือหนึ่งในหมื่น เฉินผิงอันก็มีหวังที่จะทำให้อีกฝ่ายกลายไปเป็นหนึ่งหมื่นของการจับคู่เข่นฆ่ากันระหว่างบนภูเขาและล่างภูเขา!

หนึ่งในหมื่นของศัตรู ข้าจะมอบกลับให้เจ้าหนึ่งหมื่น

ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างจริงใจ รับรองแขกอย่างมีมารยาท

เรียกได้ว่าใจเจ้าสมดังปรารถนาข้า

เพียงแต่น่าเสียดายที่แม่นางเซอเยว่ผู้นั้นทำตัวห่างเหินเกินไป ไม่ได้ทิ้งช่องโหว่นี้เอาไว้

ก็ดีเหมือนกัน

ไม่อย่างนั้นคำว่าสิบคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าจะไม่ทำให้คนผิดหวังมากหรอกหรือ

ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะมีคุณสมบัติอะไรเลื่อนมาอยู่อันดับเดียวกับนาง?!

บนม่านฟ้าของฟ้าดินเล็ก เฉินผิงอันใช้มีดทั้งสองเล่มปั่นคว้านแสงจันทร์วงใหญ่ จากนั้นก็ทะยานลมลอยตัว ก้มหน้าลงมองหัวกำแพงเมือง

ร่างของเซอเยว่แยกออกเป็นสามร่าง ต่างฝ่ายต่างอยู่ห่างไกลกันมาก

นอกจากกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่แท้จริงของผู้ฝึกกระบี่สองเล่มอย่างนกในกรงและจันทร์ในบ่อแล้ว

เฉินผิงอันยังมีกระบี่บินของผู้ฝึกลมปราณที่ผ่านการหลอมใหญ่อีกสองเล่มอย่างชูอีสืออู่ บวกกับกระบี่จำลองของเซียนกระบี่จากภูเขาชังกระบี่อีกสองเล่ม ไฮเหลยและซงเจิน

จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย ไฮเหลยกับซงเจินก็เหมือนสายฟ้าแลบที่พุ่งเข้าหาสตรีสองคนในนั้น

ส่วนตัวเฉินผิงอันเองกลับหดย่อพื้นที่ พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวในจุดที่ห่างไปหลายพันจั้ง รับมือกับเซ่อเยว่ที่เมื่อเผชิญหน้ากับตนแล้วยังถึงขั้นตั้งกระบวนท่าหมัดรับมือศัตรู

ก่อนหน้านี้เรือนกายของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลมิอาจต้านทานการโจมตีได้ไหว เจ้าก็เลยเปลี่ยนมาเป็นเรือนกายของขอบเขตยอดเขา เพื่อชั่งน้ำหนักว่าหมัดขอบเขตยอดเขาของตัวเองหนักเท่าไรกันแน่หรือ?

คิดว่าตัวเองคือเซียวสวิ้นที่ออกหมัดจริงๆ หรือไร?!

เพียงแค่มองดูหมัดแรกที่เซอเยว่ใช้รับมือกับศัตรู ต่อให้เป็นคนระมัดระวังรอบคอบที่ชอบมองคู่ต่อสู้ให้มีฝีมือสูงไปอีกขั้นอย่างเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกว่าวิชาหมัดของนางหยาบเกินไป จิตวิญญาณปลอมเกินไป รากฐานแย่เกินไป

บางทีผู้ฝึกยุทธเซอเยว่คนนี้อาจมีดีเพียงอย่างเดียว นั่นคือความเร็วไม่ช้า ให้ความรู้สึกเหมือนยามที่อวี้เจวี้ยนฟูถามหมัดในปีนั้นได้อยู่หลายส่วน

ชุดสีแดงสด ชายแขนเสื้อโบกสะบัดพึ่บพั่บ มือทั้งสองถือมีดสองเล่มพลิกหมุนกลับไปกลับมา ลำแสงไหลรินไม่หยุดนิ่ง ไล่ล่าตามศัตรู ผ่าหั่นฟ้าดิน

ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่มีเรือนกายขอบเขตยอดเขาและวิชาหมัดที่เคยเรียนรู้มาอย่างเสียเปล่า เพราะทำได้เพียงถอยหนีครั้งแล้วครั้งเล่า หลบแล้วหลบอีก

ต่อให้ความเร็วในการสลับตำแหน่งของนางจะเหนือกว่าหนึ่งขั้นอยู่ตลอดเวลา แต่เฉินผิงอันกลับมาปรากฎตัวอยู่ตรงจุดที่นางจะถอยหนีโดย ‘บังเอิญ’ อยู่หลายครั้ง เรียกได้ว่าอันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน

ความตั้งใจเดิมของนางก็คือจะลองถามหมัดกับอีกฝ่ายดูเล็กน้อย ลองหยั่งเชิงระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายอีกฝ่าย เพียงแต่ว่าทั้งสองฝ่ายถามหมัดกันเช่นนี้ นางจะสมใจปรารถนาได้อย่างไร

เป็นขอบเขตยอดเขาเหมือนกัน เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกัน ทว่ายังห่างชั้นกันมากเหลือเกินจริงๆ

ตอนที่มีดเล่มหนึ่งกำลังจะแทงทะลุไหล่ของฝ่ายตรงข้าม เฉินผิงอันกลับหมุนตัวเปลี่ยนมาใช้ศอกถองกระแทกเข้าที่หน้าผากของเซอเยว่อย่างสบายๆ

เซอเยว่ถอยกรูดออกไปหลายสิบจั้ง รองเท้าผ้าคู่ที่รวมตัวขึ้นจากแสงจันทร์แหลกสลายเป็นผุยผง หลังจากนางหยุดยืนนิ่งได้แล้วถึงได้ ‘สวม’ รองเท้าผ้าคู่ใหม่อีกครั้ง

คนหนุ่มผู้นั้นโน้มตัวมาด้านหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังกลับ ทิ้งแผ่นหลังไว้ให้กับเซอเยว่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาเช่นนั้น เขายิ้มหันมามองหน้า ถามด้วยสีหน้าเกียจคร้านว่า “ไม่สนุกเลยสักนิดใช่ไหม?”

ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่สีหน้าไร้อารมณ์ แม่นางหน้ากลมที่สวม ‘ชุดผ้าฝ้าย’ บนร่างมีชุดคลุมอาคมงดงามที่กลิ่นอายเซียนล่องลอยเพิ่มมาอีกหนึ่งชิ้น และด้านนอกชุดคลุมอาคมก็มีเสื้อเกราะของสำนักการทหารห่มทับ ประกายแสงศักดิ์สิทธิ์แวววาวส่องแสงเจ็ดสี เจิดจ้าพร่าตาอย่างถึงที่สุด

ชุดคลุมอาคมไม่รู้จัก ทว่าเสื้อเกราะนั้นกลับพอจะเดาออก เฉินผิงอันเบิกตากว้าง กลับคืนมามีนิสัยของร้านผ้าห่อบุญอีกครั้ง ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่า “แม่นางเซอเยว่ ชุดเกราะที่จำแลงมาจากภาพมายาบนร่างเจ้าชิ้นนี้ก็คือเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ชื่อว่า ‘เจ็ดสี’ หรือ? ใช่แล้วๆ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่ถือว่าเล็ก ประวัติศาสตร์จึงยาวนานไม่แพ้ที่อื่น อีกทั้งเจ้ายังมาจากดวงจันทร์ เป็นเผ่าพันธุ์เทพเซียนที่ต่อให้ข้าอิจฉาก็ยังอิจฉาไม่ไหว หรือว่านอกจากเจ็ดสีแล้วเจ้ายังเคยเห็นเสื้อเกราะอีกสองชิ้นอย่าง ‘อวิ๋นไห่’ กับ ‘เสียกวง’ แล้วด้วย?”

สหายรักจงขุยอ่านตำรามามากมาย ความรู้ยิ่งใหญ่ ปีนั้นแค่มองเสื้อเกราะบนร่างของเว่ยเซี่ยนก็รู้ประวัติความเป็นมาได้ทันที

ฝอกว๋อ ฮวาเปา ซานกุ่ย สุ่ยเซียน เสียกวง ไฉ่อี อวิ๋นไห่ ซีเยว่

‘บรรพบุรุษ’ เสื้อเกราะน้ำค้างหวานเจ็ดชิ้นแรกสุด นอกจากซีเยว่ที่เฉินผิงอันได้มาแล้วส่งต่อไปให้เว่ยเซี่ยนแล้ว ตามคำบอกของจงขุย ทุกวันนี้ว่ากันว่าเหลือแค่ซานกุ่ยกับไฉ่อี (ชุดหลากสี/ชุดที่มีสีสันสดใส หรือก็คือเจ็ดสีที่เฉินผิงอันเรียก) ที่เคยมีปรากฏบนบันทึกเท่านั้น นอกนั้นชิ้นที่เหลือล้วนไม่มีอยู่บนโลกแล้ว

ผู้ฝึกยุทธเซอเยว่ไม่เอ่ยคำใด ตั้งกระบวนท่าหมัดอีกครั้ง กระดิกนิ้วไปทางคนหนุ่มที่กวนโอ้ยน่าเตะอย่างถึงที่สุดผู้นั้น

ต่อให้หมัดจะหนักแค่ไหน คนกับมีดสองเล่ม ต่อให้ปรากฏตัวลับๆ ล่อๆ แค่ไหน แต่เจ้าจะสามารถฆ่าคนได้จริงๆ เลยหรือ?

สายตาของหญิงสาวเหมือนกำลังพูดว่า มีปัญญาก็ทำลายเรือนกายผู้ฝึกยุทธร่างนี้ให้สิ้นซากเสียเลยสิ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะยอมพูดคุยกับเจ้าสักคำสองคำ

เฉินผิงอันนึกถึงเสื้อเกราะน้ำค้างหวานซีเยว่ที่โชคดีได้มาชิ้นนั้นก็ยากมากที่จะไม่นึกถึงคนบางคนและเรื่องบางเรื่อง

บางครั้งก็จำต้องยอมรับว่า ยิ่งเห็นมากเท่าไร ยิ่งรู้มากเท่าไรก็ยิ่งไม่ผ่อนคลายสบายใจมากเท่านั้น นี่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีไปซะทั้งหมด

เพราะง่ายที่จะทำให้คนยอมรับชะตากรรม

ยังดีที่แต่ไหนแต่ไรมาการยอมรับชะตากรรมของเฉินผิงอันก็เพื่อที่จะได้ไม่ต้องยอมรับชะตากรรมในบางช่วงเวลา

ไม่อย่างนั้นเรื่องราวบนโลกใบนี้ หากไม่ทันระวังปล่อยให้ความทุกข์และความสุขเชื่อมโยงถึงกัน กลับจะทำให้คนที่เคยชินกับการระมัดระวังตัวรู้สึกยากจะทานทนเป็นพิเศษ

ในเมื่อแม่นางเซอเยว่ผู้นั้นรนหาที่เอง ตนก็ควรจะเอาความจริงใจมอบให้นางกลับคืนไปบ้าง

ในฐานะผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หากคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่ชายหญิงไม่พึงใกล้ชิดมากเกินไป จะดูไม่เป็นสุภาพบุรุษสักเท่าไร!

เฉินผิงอันหมุนตัวกลับ ใช้วิชาอภินิหารของห้าขอบเขตบนอย่างจักรวาลในชายแขนเสื้อเก็บมีดอาคมที่ใช้ได้อย่างคล่องมือคู่นั้นไป

เรื่องของการถามหมัด เขาปรารถนามานานเหลือเกินแล้ว

เฉินผิงอันนึกอยากจะให้นางปล่อยหมัดออกมาสักร้อยสักพันหมัดเลยด้วยซ้ำ ใช้ปณิธานหมัดยอดเขาของผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาของนางนี้ต่อยลงมาบนร่างของตน

เพียงแต่ในขณะที่เฉินผิงอันกดขอบเขตยอดเขาของตัวเองลงสู่ขอบเขตที่ต่ำที่สุด ต่อให้ความเร็วของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่จะมากพอ แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะออกหมัดแม้แต่น้อย นางวางท่าชัดเจนว่าหากเฉินผิงอันไม่ปล่อยหมัดออกมาปะทะกัน ก็จะใช้เรือนกายบวกกับชุดคลุมอาคมและเสื้อเกราะเจ็ดสีบนร่างมารับหมัดนั้นของเขา

หากเฉินผิงอันคิดจะทำอย่างขอไปที เซอเยว่ก็ไม่คิดอะไรมาก ถึงอย่างไรก็มีเวลาแค่หนึ่งก้านธูป เมื่อหมดเวลา นางก็จะจากไปอย่างตรงตามเวลา ออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้แต่เลิกสะกดกลั้นความรู้สึกที่ทำให้ตัวเองอัดอั้นตันใจ ไม่เพียงแต่ต้องออกหมัดให้หนัก ยังต้องเพิ่มความเร็วในร่างกายตัวเองอีกหลายส่วน ใช้หนึ่งหมัดต่อยให้เสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่เป็นของจริงหรือของปลอมก็ยังไม่แน่ใจแตกยับ จากนั้นใช้อีกหมัดต่อยชุดคลุมอาคมที่ไม่รู้ชื่อให้แหลกลาญ สุดท้ายหนึ่งหมัดต่อยลงบนศีรษะของผู้ฝึกยุทธเซอเยว่

ทุกอย่างล้วนกลายเป็นแสงจันทร์

เซอเยว่รู้ว่าหากใช้ขอบเขตเก้ามาหยั่งเชิงอิ่นกวานหนุ่มอีกครั้งจะไม่มีความหมายใดๆ เรือนกายของนางจึงสลายไปจากจุดเดิม แล้วจำแลงร่างจากหนึ่งเป็นสิบ กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งนี้ ตรงหน้าผาและตรงปลายด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมืองก็มีอยู่สองคน

ไม่ได้มีรูปลักษณ์เป็นแม่นางหน้ากลมที่เหมือนคนที่พูดคุยง่ายอะไรอีกแล้ว แต่รูปร่างแตกต่างกันออกไป มีทั้งกายธรรมร่างทอง มีทั้งเซียนขี่กระบี่ แล้วก็มีทั้งร่างจริงของเผ่าปีศาจ

ต่อให้จะผสานรวมมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันก็ยังไม่ค่อยแน่ใจว่าร่างจริงของเซอเยว่อยู่ตรงไหน เก้าปลอมหนึ่งจริงงั้นหรือ? อาจจะเป็นจริงทั้งหมด หรือไม่ก็อาจจะปลอมทั้งหมดก็ได้

พวกคนที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมเหล่านี้เปิดปากเอ่ยขึ้นพร้อมกันแต่น้ำเสียงแตกต่างว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่ใช้เซียนกระบี่ที่เดินออกมาจากม้วนภาพวาด? แบบนั้นจะไม่ประหยัดแรงกายแรงใจมากกว่าหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เวลาหนึ่งก้านธูป อันที่จริงนานมากๆ เพียงแต่ว่าข้าเป็นคนที่ไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ดังนั้นจึงทะนุถนอมทุกๆ ช่วงเวลาอย่างมาก”

ระหว่างที่พูด เท้าของเฉินผิงอันก็เหยียบอยู่บนวัตถุอย่างหนึ่ง เรือนกายจึงลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ เพราะใต้ฝ่าเท้าของเขามีสิ่งปลูกสร้างของป๋ายอวี้จิงจำลองขนาดใหญ่ยักษ์แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นมา ประหนึ่งก้อนหินที่ผุดออกมาจากในน้ำ ค่อยๆ เผยให้เห็นรูปลักษณ์ทั้งหมด สุดท้ายยอดของป๋ายอวี้จิงก็สูงชะลูดเสียดฟ้าขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นเหตุให้เกือบจะแตะโดนแผ่นฟ้าถึงหยุดนิ่ง

อิ่นกวานหนุ่มที่สวมภูษาสวรรค์ ‘เจี้ยงจื่อ’ ของลัทธิเต๋าราวกับเซียนที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงท่านหนึ่งที่มีมรรคากถาสูงสุดเชื่อมแผ่นฟ้า เป็นเหตุให้สามารถก้าวเดินอย่างผ่อนคลายอยู่ที่นี่ได้

สองเท้าของเขาเหยียบอยู่บนยอดของป๋ายอวี้จิงก้าวแล้วก้าวเล่า สุดท้ายเดินมาหยุดอยู่ตรงชายคาตวัดงอนจุดหนึ่ง

เฉินผิงอันยื่นมือออกไปคว้า ในมือก็มีธงเซียนกระบี่ปรากฏ เขาเอามันเคาะลงบนความว่างเปล่าของม่านฟ้าที่อยู่รอบกาย ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นวงๆ แผ่เรียงต่อกันเป็นชั้นๆ ขยายออกไปไม่มีสิ้นสุด

เซอเยว่พลันถามว่า “ข้าไม่ใช่หลิวไฉผู้นั้น ดูเหมือนว่าเจ้าจะ…เดือดดาล? เป็นเพราะเจ้าพอจะเดาตัวตนของหลิวไฉออกแล้ว? เพราะข้าไม่ใช่หลิวไฉ จึงช่วยพิสูจน์ความคิดบางอย่างในใจของเจ้าได้?”

เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ ยิ้มพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร แม่นางเซอเยว่อย่าได้สงสัยอะไรไปส่งเดชเช่นนี้ คนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้แม่นางเซอเยว่มองไปตามแสงจันทร์ทั่วทุกแห่ง ย่ำจนรองเท้าผ้าฝ้ายสึกแล้วก็ยังหาตัวไม่เจอ ข้าจะไปคาดเดาออกได้อย่างไร”

เวลาหนึ่งก้านธูป ผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว

ทันใดนั้นจิตของเฉินผิงอันก็พลันสงบนิ่งเหมือนจมลงสู่ก้นบ่อโบราณ ดวงจิตเหมือนออกเดินทางไกลอย่างเสรี ความคิดไล่ตามริ้วคลื่นที่แผ่กระเพื่อมไปทั่วสี่ทิศ เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แม่นางเซอเยว่ ในฐานะของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจ วันหน้าจะตั้งชื่อต้องระวังให้มากหน่อย ไม่อย่างนั้นย่อมง่ายที่จะเปิดเผยรากฐานมหามรรคา นี่คือข้อห้ามใหญ่หลวงในการเดินท่องยุทธภพ จำเอาไว้ให้แม่นๆ เซอเยว่ เซอเยว่ เด่นชัดเกินไปแล้ว ไม่สู้ลองเลียนแบบเฝ่ยหรานผู้นั้น เหวินไฉ่เฝ่ยหราน ความเฉียบแหลมด้านวรรณคดี แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นบัณฑิตผู้สุภาพมีความรู้ หลังจากที่รับบรรพบุรุษกลับคืนสู่วงศ์ตระกูลแซ่เฉินก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”

เซอเยว่สิบคนนั้นคล้ายจะเกิดใจอยากเอาชนะจึงคิดว่า ‘ธรรมะเจ้าสูงหนึ่งฉื่อ ถ้าอย่างนั้นอธรรมของข้าก็จะสูงหนึ่งจั้ง’ ร่างจึงแปลงจากสิบเป็นร้อย ร้อยเป็นพัน บนหัวกำแพงเมือง ทุกหนทุกแห่งมีแต่นาง

‘เซอเยว่’ หนึ่งในนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวที่ปรากฏตัวด้วยร่างจริง นางแหงนหน้ามองสิ่งปลูกสร้างใหญ่โตโอฬาร ยิ้มเอ่ยว่า “แต่ชื่อของข้าล้วนตั้งมาไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งใต้หล้าล้วนรับรู้ ยังจะมี ‘วันหน้า’ ได้อย่างไร? อีกอย่างข้าก็ไม่อยากเปลี่ยนชื่อด้วย”

บนจุดสูงของผืนฟ้ามีลมเย็นพัดโชยมาเป็นระลอก เสื้อผ้าและเส้นผมตรงจอนหูของคนหนุ่มล้วนปลิวไปตามสายลม

เขายิ้มเบาๆ ให้คำตอบว่า “ชาติหน้าไงล่ะ”

เซอเยว่ไม่ค่อยกริ่งเกรงวิธีการของเฉินผิงอันต่อจากนี้สักเท่าไรนัก นางก็แค่ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ไหว

เขาเป็นแค่ลำดับที่สิบเอ็ดเองนะ?! (สืออี)

ส่วนเจ้าคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของป๋ายอวี้จิงจำลองผู้นั้นก็คล้ายจะมองทะลุความคิดของเซอเยว่ได้ในปราดเดียว จึงเอ่ยว่า “หากไม่เป็นเพราะอยู่ที่นี่แล้วได้ยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพร ข้าย่อมไม่มีทางติดแม้กระทั่งอันดับที่สิบเอ็ดแน่นอน”

เซอเยว่พลันรู้สึกอยากจะลงมือกับเขาอย่างจริงจังขึ้นมาบ้างแล้ว ไม่ใช่แค่การหยั่งเชิงลองดูอีกต่อไป

เฉินผิงอันไม่ได้พูดมากเป็นการวาดงูเติมขาอะไร เพียงแค่กระตุกมุมปากเบาๆ สีหน้ามีเลศนัยวูบผ่านแล้วหายไป แต่กลับทำให้เซอเยว่มองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน

เหมือนเขากำลังพูดว่า ข้าสังหารเจ้าไม่ได้อย่างแน่นอน และอันที่จริงเจ้าก็สังหารข้าไม่ได้เช่นกัน ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เอาจริงเอาจังกันหน่อย มาลองดูกันอีกสักตั้ง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+