กระบี่จงมา 730.6 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 730.6 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ห่างออกไปไกลอีกหน่อย ห่างไปพันลี้ อันที่จริงยังมีเซียนจับปลาที่มีชาติกำเนิดจากหลุมน้ำลู่อีกคนหนึ่งที่เนื่องจากทั้งสองฝ่ายทำการอนุมานเอาไว้ หลังจากที่เฉินหลิงจวินหอบหุ้มโชคชะตาน้ำของลำน้ำใหญ่พุ่งลงสู่มหาสมุทรแล้ว จะไปพักผ่อนที่จวนน้ำซึ่งถูกบุกเบิกไว้ชั่วคราวที่นั่น เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่รากฐานพลังชีวิต

สตรีสวมชุดเขียวเรือนกายอ้วนท้วนคนหนึ่งมาลอยตัวอยู่ข้างกายกงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ทั้งสองท่าน แล้วเอ่ยว่า “นายท่านให้ข้านำความมาบอกพวกเจ้าว่าไม่ต้องไปสืบเสาะหาความเป็นมาของคนผู้นั้น ให้ปล่อยเขาไป”

“ไม่เพียงเท่านี้ หากมีคนมาสืบเสาะรากฐานของคนผู้นี้โดยพลการ ยกตัวอย่างเช่นตำหนักฉงเสวียนแห่งต้าหยวนหรือสำนักมังกรน้ำ คิดจะหยั่งเชิงถามจากพวกเจ้า พวกเจ้าก็ลองเกลี้ยกล่อมลองขัดขวางดู หากขัดขวางไม่ได้ก็ให้บอกกับข้าสักคำ”

สตรีโตเต็มวัยยิ้มตาหยี “คิดจะทำให้น้ำท่วมกลบทับภูเขาอิงเอ๋อร์ของเรือนเทพสายฟ้า กงถิงโหวช่างเจ้าอารมณ์นัก”

หลี่หยวนยิ้มแต้ “ต้านต้านฮูหยินบั่นอายุขัยน้องชายแล้ว”

ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานแห่งหลุมน้ำลู่ผู้นี้มีฉายาเต๋าว่าชิงจง เรียกตัวเองว่า ‘ต้านต้านฮูหยิน’

และยังชอบตีสนิทบอกว่าตัวเองเป็นญาติกับผู้ที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ด้วย มีข่าวลือบอกว่านอกประตูใหญ่ของหลุมน้ำลู่แขวนกลอนคู่ตัวอักษรสีทองที่เขียนไว้ว่า ‘ตีระฆังบนนภากาศอันกว้างใหญ่ไพศาล เท้าเหยียบย่ำคลื่นน้ำสีเขียวมรกต’

ขอบเขตบินทะยานแล้วอย่างไร ป๋ายเหย่เคยเขียนกวีบทหนึ่งให้น้ำลู่แล้วอย่างไร ดูความเย่อหยิ่งของเจ้านี่สิ ผยองจนไม่เห็นหัวใครแล้ว มารดาเถอะ หากเจ้ามีความสามารถจริงๆ ก็ไปหยิ่งใส่ฮว่อหลงเจินเหรินพี่น้องคนดีของข้าดูสิ

สตรีจากไปพร้อมรอยยิ้ม อดไม่ไหวชำเลืองตามองผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่อยู่บนทะเลแวบหนึ่ง

แม้ว่าตอนที่นางปรากฏตัวจะเผยสีหน้าสุขุมไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับยังหวาดผวาไม่คลาย ไม่ได้ดีไปกว่าตอนที่พบเจอฮว่อหลงเจินเหรินเลย

ผู้พิฆาตมังกร คิดจะสังหารเผ่าพันธุ์น้ำ จะไม่ยิ่งง่ายดายเพียงแค่ยกมือหรอกหรือ

เฉินหลิงจวินฉลาดหัวไวยิ่งนัก แค่หาข้ออ้างลวกๆ มาอย่างหนึ่งแล้วเริ่มสบถด่าความแปลกประหลาดของกระแสน้ำในแถบนี้ไปพร้อมกับสหายท่านนี้ ไม่นานก็เริ่มเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง คิดไม่ถึงว่าพี่ชายคนนั้นจะแซ่เฉินเหมือนกัน ชื่อจั๋วหลิว (ขุ่นมัว/กระแสน้ำขุ่นมัว) ชื่อนี้ตั้งได้พอๆ กับพี่น้องป๋ายหมางคนดีเลย อีกทั้งแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนประเภทที่ผิดหวังมาจากการสอบเคอจวี่ (ในวงการขุนนางจะแบ่งออกเป็นฝ่ายน้ำขุ่นกับน้ำใส ฝ่ายน้ำใสจะหมายถึงขุนนางที่ตำแหน่งสูงทำงานดี ฝ่ายน้ำขุ่นคือตรงกันข้าม) เฉินหลิงจวินพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี เจ้าแซ่เฉิน ข้าแซ่เฉิน ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนจะไม่ใช่พี่น้องบ้านเดียวกันเมื่อห้าร้อยปีก่อนหรอกหรือ?

เฉินจั๋วหลิวยิ้มบางๆ

ก่อนหน้านี้ไปเจอพื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งหนึ่ง แล้วก็เจอคราบร่างเซียนร่างหนึ่งโดยบังเอิญ จึงคืนเนื้อหนังมังสาก่อนหน้านี้ให้กับสารถีหนุ่มแห่งอุตรกุรุทวีป

สารถี ‘ป๋ายหมาง’ ได้เงินเทพเซียนไปถุงหนึ่ง แลกเปลี่ยนมาด้วยการเดินลงลำน้ำสำเร็จของเฉินหลิงจวินในครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำมาสูญเปล่า ถึงเวลากลายเป็นว่าเหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงอย่างเปล่าประโยชน์ (ป๋ายหมางคือเหนื่อยเปล่า)

หากการเดินลงน้ำราบรื่น ปล่อยให้คลื่นมรสุมใหญ่ซัดเข้ารุกรานสองชายฝั่งอย่างกำเริบเสิบสาน ถ้าอย่างนั้นเฉินหลิงจวินเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบคงไม่ยาก ไม่ใช่มีแค่ร่างเจียวก่อกำเนิดอย่างในเวลานี้ ต้องมีเค้าโครงรูปร่างของมังกรที่แท้จริงเกิดขึ้นมาแล้ว ทว่า ‘เฉินจั๋วหลิว’ อาจอดรนทนไม่ไหว คืนเงินก่อน จากนั้นค่อยใช้กระบี่ตัดหัวพี่น้องคนดีของตนก็เป็นได้

อีกทั้งเมื่อครู่นี้หากผลสำเร็จบนมหามรรคาของเฉินหลิงจวินสูงกว่าเดิมไปอีกระดับหนึ่ง เลือกที่จะโหม่งหัวมาพุ่งชนเรือลำน้อยและสังหารคนที่อยู่สองข้างทางอย่างโอหัง ถ้าเช่นนั้น ‘เฉินจั๋วหลิว’ ก็ย่อมประหยัดแรงกายแรงใจมากกว่าเดิมแล้ว

เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่คนที่รับคนอื่นเป็นพี่น้อง ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองส่งเดช ตอนไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์จึงไปเดินเล่นรอบๆ มารอบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พบเจอป๋ายหมาง กลับกลายเป็นว่าได้มาเจอกับพี่น้องบ้านเดียวกันนั่งยองกินกุยหลิงเกา (ขนมหวานชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายเฉาก๊วย) อะไรนั่นอยู่ตรงท่าเรือของสวนน้ำค้างวสันต์ บังเอิญขนาดนี้เชียว หากไม่รับเป็นสหายคงน่าเสียดายเกินไปแล้ว ผลคือพอได้คุยกันกลับยิ่งถูกชะตา เฉินจั๋วหลิวผู้นั้นควักเอาถุงเงินเก่าใบหนึ่งออกมา ต่อให้ต้องตบหน้าตัวเองเป็นคนอ้วนก็จะต้องเลี้ยงอาหารเขาให้ได้ ทำเอาเฉินหลิงจวินที่มองดูอยู่รู้สึกเวทนานัก ได้ยินว่าเฉินจั๋วหลิวจะไปเสี่ยงดวงที่หุบเขาผีร้าย เพราะว่าทุกวันนี้นครจิงกวานของที่นั่นไม่มีวิญญาณวีรบุรุษห้าขอบเขตบนตนนั้นอยู่แล้ว โชควาสนาจึงมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พอเฉินหลิงจวินได้ยินก็รู้สึกว่าสามารถไปทางเดียวกันได้ เพียงแต่ว่าเฉินหลิงจวินยังอยากจะสืบหาข่าวของป๋ายหมางก่อน คิดไม่ถึงว่าเฉินจั๋วหลิวผู้นั้นก็เป็นคนใจกว้าง ถึงกับคอยเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนตนนานถึงสิบวัน กระเป๋าเงินว่างเปล่าไปเกินครึ่ง เหลือเพียงแค่ค่าเรือข้ามฟากเท่านั้น เฉินจั๋วหลิวจึงบอกว่ามีธุระให้ต้องไปทำแล้ว เฉินหลิงจวินตามหาป๋ายหมางอย่างยากลำบากอยู่นานก็ยังหาตัวเขาไม่เจอ จึงได้แต่บอกให้ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์ช่วยจับตาดูให้หน่อย แล้วถึงได้พาเฉินจั๋วหลิวนั่งเรือข้ามฟากไปยังชายหาดโครงกระดูกด้วยกัน

หลี่หยวนที่อยู่ริมลำน้ำใหญ่มองเรือข้ามฟากลำนั้นแล้วพลันขนลุกเยือก

เห็นเพียงว่าปัญญาชนชุดเขียวที่ยืนพิงราวรั้วคนนั้นหันมายิ้มตาหยีให้ตน เสิ่นหลินรีบยอบกายคารวะ เฉินจั๋วหลิวผู้นั้นถึงได้หมุนตัวจากไป

ไปเดินเที่ยวที่ชายหาดโครงกระดูกด้วยกันก่อน ต้องพูดกล่อมกันอยู่นาน เฉินหลิงจวินถึงสามารถโน้มน้าวเฉินจั๋วหลิวได้ว่าอย่าไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่ในหุบเขาผีร้ายเลย ติดตามเขาไปกินดีอยู่ดีที่แจกันสมบัติทวีปเถอะ!

เพียงแต่ว่าพอขึ้นเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาเดินทางลงใต้ ไปถึงท่าเรือตำหนักฉางชุน เฉินจั๋วหลิวกลับบอกว่าเดี๋ยวเขาค่อยตามไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินหลิงจวินจึงนัดหมายกับเขาว่าจะไปเจอกันที่ภูเขาลั่วพั่ว จากนั้นจึงเดินทางลงใต้ไปเพียงลำพัง

ไปถึงท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว สองเท้าสัมผัสพื้น เฉินหลิงจวินก็ยกมือเช็ดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเศร้าใจอย่างอดไม่ไหว

ห้อยยันต์กระบี่เรียบร้อยก็ทะยานลมไปยังหน้าประตูภูเขาบ้านตน พอเห็นเฉาฉิงหล่าง เฉินหลิงจวินก็หัวเราะฮ่าๆ นานพักใหญ่ ก้าวเดินเร็วๆ ไปหาเฉาฉิงหล่าง “ฉิงหล่างอ่า ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ขอบเขตยังเป็นดั่งมดไต่เนินเขาอยู่เลยนะ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”

เฉาฉิงหล่างยืนอยู่ที่เดิม พยักหน้ารับเบาๆ คลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด

เฉินหลิงจวินยิ้มถาม “หลายปีนี้ที่ข้าไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว มีใครรังแกเจ้าหรือไม่ บอกข้ามาคำเดียว ตอนนี้เป็นเรื่องแค่ฝ่ามือเดียวของพี่เฉินอย่างข้าแล้ว”

เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “ไม่มี”

เฉินหลิงจวินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เริ่มเดินก้าวยาวๆ ขึ้นภูเขา ไม่ได้เจอกับเฉินยวนจี เดี๋ยวนี้ไม่ขยันฝึกเดินนิ่งเลยหรือ

ทว่าเพียงไม่นานเฉินหลิงจวินก็ได้เจอกับแม่นางน้อยชุดดำที่กำลังเดินลาดตระเวนทั่วภูเขา เขาตีหน้าเคร่ง กลั้นยิ้ม ใช้ไม้เท้าปักตรึงพื้น ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

เมล็ดแตงหลายเมล็ดถูกนำมาทำเป็นอาวุธลับ แม่นางน้อยกระโดดผลุงขึ้นหนึ่งที บิดเอวหมุนตัว ตะโกนเสียงดังว่าเจ้าไปได้แล้วโยนอาวุธลับชิ้นหนึ่งออกไป

ตลอดทางที่เดินลาดตระเวนมานี้ก็คอยพูดว่าเจ้าไปได้ เจ้าไปได้อยู่ตลอด ทำเอาพวกต้นไม้ใบหญ้าไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน แต่ละต้นอึ้งงันเป็นไก่ไม้

เผยเฉียนยังไม่กลับมาจากเดินทางไกล ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาจึงไร้ศัตรูเทียมทานบนภูเขาลั่วพั่วอย่างแท้จริง

เฉินหลิงจวินกระแอมหนึ่งที “หมี่ลี่น้อย”

โจวหมี่ลี่อึ้งค้างอยู่กับที่ จากนั้นก็กอดคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก ชักเท้าวิ่งตะบึงมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน ตะโกนเสียงดังว่า “จิ่งชิง จิ่งชิง จิ่งชิง!”

ได้ยินชื่อที่จะได้ยินเฉพาะตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วชื่อนี้ เฉินหลิงจวินพลันตาแดงก่ำ หมี่ลี่น้อยกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ถูกคนรังแกหรือ? ใครกัน หากสู้ไหวข้าจะไปเล่นงานเขาให้เอง ต่อให้ต้องลงจากภูเขาออกเดินทางไกลก็ไม่กลัว”

เฉินหลิงจวินหัวเราะ ลูบศีรษะเล็กของหมี่ลี่น้อย ค้อมเอวลงต่ำถามว่า “นายท่านยังไม่กลับมาบ้านอีกหรือ?”

โจวหมี่ลี่พยักหน้า “หนทางยาวไกลขนาดนั้น เจ้าขุนเขาคนดีต้องเดินได้ช้าเป็นแน่”

เฉินหลิงจวินอืมรับหนึ่งที

เฉินหลิงจวินบอกให้หมี่ลี่น้อยนำทางไปหาเจ้าเด็กโง่เฉินหน่วนซู่ เขาจะไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อก่อน

ตลอดทางหมี่ลี่น้อยเล่าเรื่องมากมายในบ้านให้เขาฟัง สุดท้ายเอ่ยเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ของเจ้าขุนเขาคนดี เซียนกระบี่ใหญ่โต๊ะ แรกเริ่มยังเข้าใจเจ้าผิด กังวลว่าเจ้าจะรังแกพี่หญิงหน่วนซู่…”

แม่นางน้อยไม่ทันสังเกตเห็นว่านายท่านใหญ่เฉินที่มีท่าทางฮึกเหิมห้าวหาญมาโดยตลอด เวลานี้ฟันกระทบกันดังกึกๆ ถามเสียงสั่น “จั่ว…จั่วโย่ว?”

โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยเหมือนขอความดีความชอบ “วางใจเถอะ ข้าช่วยเจ้าอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่โต๊ะก็ยิ้มแล้วด้วย”

เฉินหลิงจวินเหมือนถูกฟ้าผ่า

เล่าลือกันว่าเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วไม่เคยยิ้มมาก่อน นั่นแสดงว่าต้องมีความหมายลึกซึ้งอย่างแน่นอน ต่อให้เห็นข้าแล้วไม่ถูกชะตา จะดีจะชั่วก็คงต้องมองข้าสักแวบก่อนกระมัง เป็นเซียนกระบี่ใหญ่แล้วอย่างไร เป็นเซียนกระบี่ใหญ่แล้วไม่ต้องใช้เหตุผลได้หรือ

เฉินหลิงจวินพลันรู้สึกเศร้าใจ ตีอกชกตัว ร้องคร่ำครวญไม่หยุด นายท่านใหญ่อย่างข้ากว่าจะเดินลงน้ำกลายร่างเป็นเจียวได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายกลับได้แค่ทำให้เรื่องของหนึ่งหมัดกลายเป็นเรื่องของหนึ่งกระบี่อย่างนั้นหรือ?

พอได้พบเจอกับเฉินหน่วนซู่อีกครั้ง เฉินหลิงจวินก็มีท่าทางกะปลกกะเปลี้ย เพียงแต่ว่าพอไปถึงศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ เฉินหลิงจวินก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง วางหีบไม้ไผ่และไม้เท้าเดินป่าไว้นอกประตู ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา

หลังจากนั้นไม่นานเฉินหลิงจวินก็กลับมามีสีหน้าสดใสดังเดิม ไปหาน้องชายอวิ๋นจื่อที่ภูเขาฮุยเหมิง หรือไม่ก็ไปหาหงเซี่ยที่ยอดเขาหวงหู

บังเอิญยิ่งนักที่เผ่าพันธุ์เจียวหลงสามตัวต่างก็พากันทยอยเดินลงน้ำได้สำเร็จ

ภูเขาลั่วพั่วมีความหมายของมหามรรคาใกล้ชิดกับน้ำอยู่หลายส่วนจริงๆ

อันที่จริงความประทับใจที่หงเซี่ยมีต่อเฉินหลิงจวินนั้นดีเยี่ยมอย่างมาก แล้วก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง นางมักจะรู้สึกว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ถึงอย่างไรก็มีเฉินหลิงจวินอยู่เบื้องหน้าต้านรับหมัดหนึ่งเอาไว้ก่อน…

เพียงแต่ว่านิสัยของหงเซี่ยเย็นชา ไม่ค่อยเปิดเผยอารมณ์ให้เห็นเท่าใดนัก อีกทั้งอยู่บนภูเขาหวงหูนางเองก็ระมัดระวังตัวมากเกินไป ถึงทำให้ดูมีมารยาทและค่อนข้างห่างเหินกับเฉินหลิงจวิน

หากจะพูดถึงความขี้ขลาดแล้ว หงเซี่ยที่แอบสร้างจวนน้ำอยู่บนภูเขาหวงหูเงียบๆ นับว่าขี้ขลาดกว่าเฉินหลิงจวินแห่งภูเขาลั่วพั่วมากนัก ไม่ใช่ว่าหงเซี่ยเป็นพวกคนที่อ่อนแอขี้ขลาดจริงๆ งูเหลือมยักษ์ภูเขาหวงหูที่สามารถช่วงชิงโชควาสนาบนมหามรรคาในถ้ำสวรรค์หลีจูกับ ‘หนีชิวน้อย’ ได้ เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงแต่กำเนิด นิสัยต้องไม่มีทางดีไปได้ยังไงแน่นอน

แม้แต่หร่วนซิ่ว เฉินหลิงจวินก็ยังเคยด่าต่อหน้ามาก่อน และตอนนั้นยังอยู่ที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของหร่วนฉงอย่างจริงแท้แน่นอนด้วย นายท่านบ้านตนกล้าไหม? ย่อมไม่กล้า

แน่นอนว่าเฉินหลิงจวินรู้ดีว่าตัวเองทำผิดจึงต้องแก้ไข เขาต้องไปโขกหัวขออภัยอริยะหร่วนอยู่หลายครั้ง ช่างตีเหล็กหร่วนผู้นั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ว่าสีหน้าในเวลานั้นไม่ค่อยน่ามองก็เท่านั้น

วันนี้เฉินหลิงจวินมานั่งเล่นอยู่ตรงโต๊ะหินริมหน้าผาเป็นเพื่อนพี่น้องอวี๋หมี่และหมี่ลี่น้อย เฉินหลิงจวินบอกให้น้องชายคนเดียวของตนอย่างอวิ๋นจื่อเผยร่างจริง เอาหัววางทาบไว้ริมหน้าผา ร่างจริงห้อยเลื้อยอยู่บนผนังหน้าผา หมี่ลี่น้อยหลับตาลง เบี่ยงตัวออกหมัดไม่หยุด สุดท้ายต่อยจนงูเหลือมยักษ์หล่นร่วงไปจากหน้าผา…และยังทำแบบนี้อยู่ทุกวัน ส่วนอวิ๋นจื่อนั้นจะคิดอะไร คาดว่าอาจมีใจนึกอยากตายแล้วก็เป็นได้ ไม่ใช่ว่ารู้สึกลำบากใจที่ภูตน้ำน้อยแห่งทะเลสาบคนใบ้หยอกเล่นกับตนเช่นนี้ แต่เป็นเซียนกระบี่คอขวดหยกดิบที่ยิ้มตาหยีแทะเมล็ดแตงผู้นั้นที่ทำให้อวิ๋นจื่อรู้สึกขนลุกขนชัน

วันนี้อวิ๋นจื่อเตรียมจะไถลตัวไปตามหน้าผา พลันสังเกตเห็นว่า ‘อวี๋หมี่’ ชุดเขียวผู้นั้นมีรอยยิ้มประหลาด มันจึงหันศีรษะไปมอง เห็นว่าอีกด้านหนึ่งของหน้าผามีคนแปลกหน้าแต่ลมปราณคุ้นเคยอย่างยิ่งผู้หนึ่งปรากฎตัว

หญิงสาวเรือนกายสูงเพรียวผู้หนึ่ง นางเองก็ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือและสะพายหีบไม้ไผ่สีเขียวเช่นกัน

หมี่ลี่น้อยเบิกตากว้าง มองตาค้างอยู่นาน ก่อนจะรีบเดินไปข้างกายของนาง แม่นางน้อยเงยหน้าขึ้น พึมพำถามว่า “เผยเฉียนล่ะ?”

แม่นางน้อยชุดดำที่ยังคงตัวเล็กอยู่เหมือนเดิมกำลังมองเผยเฉียนที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับถามว่าเผยเฉียนที่นางคุ้นเคยคนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว

ตอนนี้เผยเฉียนตัวสูงมาก ทำให้โจวหมี่ลี่ที่เมื่อก่อนมักจะเขย่งเท้าพูดคุยกับนางถึงกับลืมเขย่งเท้าไปแล้ว

พอคำพูดหลุดออกจากปาก หมี่ลี่น้อยก็รู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว จึงก้มหน้าลง ยกมือเกาหัว

เผยเฉียนยื่นมือมากดศีรษะของหมี่ลี่น้อย นางเองก็ถามว่า “เมล็ดแตงล่ะ?”

โจวหมี่ลี่โถมตัวกอดเผยเฉียน แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น ยิ่งสะอึกสะอื้นไม่เป็นคำ บ่นเบาๆ ว่าทำไมเผยเฉียนต้องรอให้ตัวสูงขนาดนี้ก่อนถึงหักใจกลับมาบ้านได้

……

พอเผยเฉียนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว บนภูเขาก็มีคนใบ้น้อยนามอาหมานเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แต่เขาไม่สนิทกับใครทั้งนั้น สุดท้ายเผยเฉียนจึงให้เขาไปอยู่ที่ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง ให้ไปเป็นลูกจ้างช่วยงานอยู่ที่นั่น

หมี่อวี้ใช้นามแฝงว่าอวี๋หมี่ ผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบ

ชุยเหวยแห่งหอบูชากระบี่ที่ลงจากเขาออกเดินทางไกล ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด

สุยโย่วเปียนที่ดูจากท่าทางแล้วจะเป็นนกพิราบมายึดรังนกกางเขนที่หอบูชากระบี่ ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง

ตามคำกล่าวบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปในอดีตก็คือเซียนกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่และเซียนกระบี่อาวุโส รวมแล้วมีสามเซียนกระบี่

เฉินหลิงจวิน หงเซี่ย เพ่ยเซียง สองเจียวน้ำหนึ่งภูตจิ้งจอก รวมแล้วก่อกำเนิดสามคน

อวิ๋นจื่อเดินลงน้ำสำเร็จ ความเคลื่อนไหวไม่ได้ยิ่งใหญ่รุนแรงเหมือนหงเซี่ย เพียงแค่เดินผ่านลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝู ขอบเขตโอสถทอง

ยังมีการเปลี่ยนแปลงน้อยใหญ่อีกมากมาย

ล้วนทำให้เผยเฉียนรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าใดนัก

วันนี้เผยเฉียนเดินเท้าไปที่หอบูชากระบี่ เคยมีพี่หญิงนักพรตหญิงหน้าตางดงามคนหนึ่ง หวงถิงผู้ฝึกกระบี่แห่งภูเขาไท่ผิงใบถงทวีปเคยสอนเวทวานรสะพายกระบี่และวิชาลากดาบให้กับเผยเฉียน

เพียงแต่ว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ เอาแต่พกดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ไว้เล่นๆ เท่านั้น

วันหน้าจะไม่เป็นอย่างนี้แล้ว

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 730.6 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 730.6 ชีวิตคนราวกับคอยวนเวียนอยู่ในตรอกทรุดโทรม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ห่างออกไปไกลอีกหน่อย ห่างไปพันลี้ อันที่จริงยังมีเซียนจับปลาที่มีชาติกำเนิดจากหลุมน้ำลู่อีกคนหนึ่งที่เนื่องจากทั้งสองฝ่ายทำการอนุมานเอาไว้ หลังจากที่เฉินหลิงจวินหอบหุ้มโชคชะตาน้ำของลำน้ำใหญ่พุ่งลงสู่มหาสมุทรแล้ว จะไปพักผ่อนที่จวนน้ำซึ่งถูกบุกเบิกไว้ชั่วคราวที่นั่น เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่รากฐานพลังชีวิต

สตรีสวมชุดเขียวเรือนกายอ้วนท้วนคนหนึ่งมาลอยตัวอยู่ข้างกายกงโหวแห่งลำน้ำใหญ่ทั้งสองท่าน แล้วเอ่ยว่า “นายท่านให้ข้านำความมาบอกพวกเจ้าว่าไม่ต้องไปสืบเสาะหาความเป็นมาของคนผู้นั้น ให้ปล่อยเขาไป”

“ไม่เพียงเท่านี้ หากมีคนมาสืบเสาะรากฐานของคนผู้นี้โดยพลการ ยกตัวอย่างเช่นตำหนักฉงเสวียนแห่งต้าหยวนหรือสำนักมังกรน้ำ คิดจะหยั่งเชิงถามจากพวกเจ้า พวกเจ้าก็ลองเกลี้ยกล่อมลองขัดขวางดู หากขัดขวางไม่ได้ก็ให้บอกกับข้าสักคำ”

สตรีโตเต็มวัยยิ้มตาหยี “คิดจะทำให้น้ำท่วมกลบทับภูเขาอิงเอ๋อร์ของเรือนเทพสายฟ้า กงถิงโหวช่างเจ้าอารมณ์นัก”

หลี่หยวนยิ้มแต้ “ต้านต้านฮูหยินบั่นอายุขัยน้องชายแล้ว”

ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานแห่งหลุมน้ำลู่ผู้นี้มีฉายาเต๋าว่าชิงจง เรียกตัวเองว่า ‘ต้านต้านฮูหยิน’

และยังชอบตีสนิทบอกว่าตัวเองเป็นญาติกับผู้ที่ภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ด้วย มีข่าวลือบอกว่านอกประตูใหญ่ของหลุมน้ำลู่แขวนกลอนคู่ตัวอักษรสีทองที่เขียนไว้ว่า ‘ตีระฆังบนนภากาศอันกว้างใหญ่ไพศาล เท้าเหยียบย่ำคลื่นน้ำสีเขียวมรกต’

ขอบเขตบินทะยานแล้วอย่างไร ป๋ายเหย่เคยเขียนกวีบทหนึ่งให้น้ำลู่แล้วอย่างไร ดูความเย่อหยิ่งของเจ้านี่สิ ผยองจนไม่เห็นหัวใครแล้ว มารดาเถอะ หากเจ้ามีความสามารถจริงๆ ก็ไปหยิ่งใส่ฮว่อหลงเจินเหรินพี่น้องคนดีของข้าดูสิ

สตรีจากไปพร้อมรอยยิ้ม อดไม่ไหวชำเลืองตามองผู้ฝึกลมปราณหนุ่มที่อยู่บนทะเลแวบหนึ่ง

แม้ว่าตอนที่นางปรากฏตัวจะเผยสีหน้าสุขุมไม่สะทกสะท้าน แต่ในใจกลับยังหวาดผวาไม่คลาย ไม่ได้ดีไปกว่าตอนที่พบเจอฮว่อหลงเจินเหรินเลย

ผู้พิฆาตมังกร คิดจะสังหารเผ่าพันธุ์น้ำ จะไม่ยิ่งง่ายดายเพียงแค่ยกมือหรอกหรือ

เฉินหลิงจวินฉลาดหัวไวยิ่งนัก แค่หาข้ออ้างลวกๆ มาอย่างหนึ่งแล้วเริ่มสบถด่าความแปลกประหลาดของกระแสน้ำในแถบนี้ไปพร้อมกับสหายท่านนี้ ไม่นานก็เริ่มเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง คิดไม่ถึงว่าพี่ชายคนนั้นจะแซ่เฉินเหมือนกัน ชื่อจั๋วหลิว (ขุ่นมัว/กระแสน้ำขุ่นมัว) ชื่อนี้ตั้งได้พอๆ กับพี่น้องป๋ายหมางคนดีเลย อีกทั้งแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนประเภทที่ผิดหวังมาจากการสอบเคอจวี่ (ในวงการขุนนางจะแบ่งออกเป็นฝ่ายน้ำขุ่นกับน้ำใส ฝ่ายน้ำใสจะหมายถึงขุนนางที่ตำแหน่งสูงทำงานดี ฝ่ายน้ำขุ่นคือตรงกันข้าม) เฉินหลิงจวินพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี เจ้าแซ่เฉิน ข้าแซ่เฉิน ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนจะไม่ใช่พี่น้องบ้านเดียวกันเมื่อห้าร้อยปีก่อนหรอกหรือ?

เฉินจั๋วหลิวยิ้มบางๆ

ก่อนหน้านี้ไปเจอพื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งหนึ่ง แล้วก็เจอคราบร่างเซียนร่างหนึ่งโดยบังเอิญ จึงคืนเนื้อหนังมังสาก่อนหน้านี้ให้กับสารถีหนุ่มแห่งอุตรกุรุทวีป

สารถี ‘ป๋ายหมาง’ ได้เงินเทพเซียนไปถุงหนึ่ง แลกเปลี่ยนมาด้วยการเดินลงลำน้ำสำเร็จของเฉินหลิงจวินในครั้งนี้ ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ทำมาสูญเปล่า ถึงเวลากลายเป็นว่าเหน็ดเหนื่อยเปลืองแรงอย่างเปล่าประโยชน์ (ป๋ายหมางคือเหนื่อยเปล่า)

หากการเดินลงน้ำราบรื่น ปล่อยให้คลื่นมรสุมใหญ่ซัดเข้ารุกรานสองชายฝั่งอย่างกำเริบเสิบสาน ถ้าอย่างนั้นเฉินหลิงจวินเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบคงไม่ยาก ไม่ใช่มีแค่ร่างเจียวก่อกำเนิดอย่างในเวลานี้ ต้องมีเค้าโครงรูปร่างของมังกรที่แท้จริงเกิดขึ้นมาแล้ว ทว่า ‘เฉินจั๋วหลิว’ อาจอดรนทนไม่ไหว คืนเงินก่อน จากนั้นค่อยใช้กระบี่ตัดหัวพี่น้องคนดีของตนก็เป็นได้

อีกทั้งเมื่อครู่นี้หากผลสำเร็จบนมหามรรคาของเฉินหลิงจวินสูงกว่าเดิมไปอีกระดับหนึ่ง เลือกที่จะโหม่งหัวมาพุ่งชนเรือลำน้อยและสังหารคนที่อยู่สองข้างทางอย่างโอหัง ถ้าเช่นนั้น ‘เฉินจั๋วหลิว’ ก็ย่อมประหยัดแรงกายแรงใจมากกว่าเดิมแล้ว

เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าถึงอย่างไรตนก็ไม่ใช่คนที่รับคนอื่นเป็นพี่น้อง ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองส่งเดช ตอนไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์จึงไปเดินเล่นรอบๆ มารอบหนึ่ง แต่กลับไม่ได้พบเจอป๋ายหมาง กลับกลายเป็นว่าได้มาเจอกับพี่น้องบ้านเดียวกันนั่งยองกินกุยหลิงเกา (ขนมหวานชนิดหนึ่งลักษณะคล้ายเฉาก๊วย) อะไรนั่นอยู่ตรงท่าเรือของสวนน้ำค้างวสันต์ บังเอิญขนาดนี้เชียว หากไม่รับเป็นสหายคงน่าเสียดายเกินไปแล้ว ผลคือพอได้คุยกันกลับยิ่งถูกชะตา เฉินจั๋วหลิวผู้นั้นควักเอาถุงเงินเก่าใบหนึ่งออกมา ต่อให้ต้องตบหน้าตัวเองเป็นคนอ้วนก็จะต้องเลี้ยงอาหารเขาให้ได้ ทำเอาเฉินหลิงจวินที่มองดูอยู่รู้สึกเวทนานัก ได้ยินว่าเฉินจั๋วหลิวจะไปเสี่ยงดวงที่หุบเขาผีร้าย เพราะว่าทุกวันนี้นครจิงกวานของที่นั่นไม่มีวิญญาณวีรบุรุษห้าขอบเขตบนตนนั้นอยู่แล้ว โชควาสนาจึงมีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง พอเฉินหลิงจวินได้ยินก็รู้สึกว่าสามารถไปทางเดียวกันได้ เพียงแต่ว่าเฉินหลิงจวินยังอยากจะสืบหาข่าวของป๋ายหมางก่อน คิดไม่ถึงว่าเฉินจั๋วหลิวผู้นั้นก็เป็นคนใจกว้าง ถึงกับคอยเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่นี่เป็นเพื่อนตนนานถึงสิบวัน กระเป๋าเงินว่างเปล่าไปเกินครึ่ง เหลือเพียงแค่ค่าเรือข้ามฟากเท่านั้น เฉินจั๋วหลิวจึงบอกว่ามีธุระให้ต้องไปทำแล้ว เฉินหลิงจวินตามหาป๋ายหมางอย่างยากลำบากอยู่นานก็ยังหาตัวเขาไม่เจอ จึงได้แต่บอกให้ทางฝั่งของสวนน้ำค้างวสันต์ช่วยจับตาดูให้หน่อย แล้วถึงได้พาเฉินจั๋วหลิวนั่งเรือข้ามฟากไปยังชายหาดโครงกระดูกด้วยกัน

หลี่หยวนที่อยู่ริมลำน้ำใหญ่มองเรือข้ามฟากลำนั้นแล้วพลันขนลุกเยือก

เห็นเพียงว่าปัญญาชนชุดเขียวที่ยืนพิงราวรั้วคนนั้นหันมายิ้มตาหยีให้ตน เสิ่นหลินรีบยอบกายคารวะ เฉินจั๋วหลิวผู้นั้นถึงได้หมุนตัวจากไป

ไปเดินเที่ยวที่ชายหาดโครงกระดูกด้วยกันก่อน ต้องพูดกล่อมกันอยู่นาน เฉินหลิงจวินถึงสามารถโน้มน้าวเฉินจั๋วหลิวได้ว่าอย่าไปเป็นผู้ฝึกตนอิสระอยู่ในหุบเขาผีร้ายเลย ติดตามเขาไปกินดีอยู่ดีที่แจกันสมบัติทวีปเถอะ!

เพียงแต่ว่าพอขึ้นเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาเดินทางลงใต้ ไปถึงท่าเรือตำหนักฉางชุน เฉินจั๋วหลิวกลับบอกว่าเดี๋ยวเขาค่อยตามไปที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว เฉินหลิงจวินจึงนัดหมายกับเขาว่าจะไปเจอกันที่ภูเขาลั่วพั่ว จากนั้นจึงเดินทางลงใต้ไปเพียงลำพัง

ไปถึงท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว สองเท้าสัมผัสพื้น เฉินหลิงจวินก็ยกมือเช็ดน้ำตาแห่งความเจ็บปวดเศร้าใจอย่างอดไม่ไหว

ห้อยยันต์กระบี่เรียบร้อยก็ทะยานลมไปยังหน้าประตูภูเขาบ้านตน พอเห็นเฉาฉิงหล่าง เฉินหลิงจวินก็หัวเราะฮ่าๆ นานพักใหญ่ ก้าวเดินเร็วๆ ไปหาเฉาฉิงหล่าง “ฉิงหล่างอ่า ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี ขอบเขตยังเป็นดั่งมดไต่เนินเขาอยู่เลยนะ แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”

เฉาฉิงหล่างยืนอยู่ที่เดิม พยักหน้ารับเบาๆ คลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด

เฉินหลิงจวินยิ้มถาม “หลายปีนี้ที่ข้าไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว มีใครรังแกเจ้าหรือไม่ บอกข้ามาคำเดียว ตอนนี้เป็นเรื่องแค่ฝ่ามือเดียวของพี่เฉินอย่างข้าแล้ว”

เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “ไม่มี”

เฉินหลิงจวินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ไม่นานก็เริ่มเดินก้าวยาวๆ ขึ้นภูเขา ไม่ได้เจอกับเฉินยวนจี เดี๋ยวนี้ไม่ขยันฝึกเดินนิ่งเลยหรือ

ทว่าเพียงไม่นานเฉินหลิงจวินก็ได้เจอกับแม่นางน้อยชุดดำที่กำลังเดินลาดตระเวนทั่วภูเขา เขาตีหน้าเคร่ง กลั้นยิ้ม ใช้ไม้เท้าปักตรึงพื้น ยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

เมล็ดแตงหลายเมล็ดถูกนำมาทำเป็นอาวุธลับ แม่นางน้อยกระโดดผลุงขึ้นหนึ่งที บิดเอวหมุนตัว ตะโกนเสียงดังว่าเจ้าไปได้แล้วโยนอาวุธลับชิ้นหนึ่งออกไป

ตลอดทางที่เดินลาดตระเวนมานี้ก็คอยพูดว่าเจ้าไปได้ เจ้าไปได้อยู่ตลอด ทำเอาพวกต้นไม้ใบหญ้าไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืน แต่ละต้นอึ้งงันเป็นไก่ไม้

เผยเฉียนยังไม่กลับมาจากเดินทางไกล ใต้เท้าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาจึงไร้ศัตรูเทียมทานบนภูเขาลั่วพั่วอย่างแท้จริง

เฉินหลิงจวินกระแอมหนึ่งที “หมี่ลี่น้อย”

โจวหมี่ลี่อึ้งค้างอยู่กับที่ จากนั้นก็กอดคานหาบสีทองและไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก ชักเท้าวิ่งตะบึงมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินหลิงจวิน ตะโกนเสียงดังว่า “จิ่งชิง จิ่งชิง จิ่งชิง!”

ได้ยินชื่อที่จะได้ยินเฉพาะตอนอยู่บนภูเขาลั่วพั่วชื่อนี้ เฉินหลิงจวินพลันตาแดงก่ำ หมี่ลี่น้อยกล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ถูกคนรังแกหรือ? ใครกัน หากสู้ไหวข้าจะไปเล่นงานเขาให้เอง ต่อให้ต้องลงจากภูเขาออกเดินทางไกลก็ไม่กลัว”

เฉินหลิงจวินหัวเราะ ลูบศีรษะเล็กของหมี่ลี่น้อย ค้อมเอวลงต่ำถามว่า “นายท่านยังไม่กลับมาบ้านอีกหรือ?”

โจวหมี่ลี่พยักหน้า “หนทางยาวไกลขนาดนั้น เจ้าขุนเขาคนดีต้องเดินได้ช้าเป็นแน่”

เฉินหลิงจวินอืมรับหนึ่งที

เฉินหลิงจวินบอกให้หมี่ลี่น้อยนำทางไปหาเจ้าเด็กโง่เฉินหน่วนซู่ เขาจะไปจุดธูปที่ศาลบรรพจารย์บนยอดเขาจี้เซ่อก่อน

ตลอดทางหมี่ลี่น้อยเล่าเรื่องมากมายในบ้านให้เขาฟัง สุดท้ายเอ่ยเบาๆ ว่า “ศิษย์พี่ของเจ้าขุนเขาคนดี เซียนกระบี่ใหญ่โต๊ะ แรกเริ่มยังเข้าใจเจ้าผิด กังวลว่าเจ้าจะรังแกพี่หญิงหน่วนซู่…”

แม่นางน้อยไม่ทันสังเกตเห็นว่านายท่านใหญ่เฉินที่มีท่าทางฮึกเหิมห้าวหาญมาโดยตลอด เวลานี้ฟันกระทบกันดังกึกๆ ถามเสียงสั่น “จั่ว…จั่วโย่ว?”

โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับเบาๆ เอ่ยเหมือนขอความดีความชอบ “วางใจเถอะ ข้าช่วยเจ้าอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว เซียนกระบี่ใหญ่โต๊ะก็ยิ้มแล้วด้วย”

เฉินหลิงจวินเหมือนถูกฟ้าผ่า

เล่าลือกันว่าเซียนกระบี่ใหญ่จั่วโย่วไม่เคยยิ้มมาก่อน นั่นแสดงว่าต้องมีความหมายลึกซึ้งอย่างแน่นอน ต่อให้เห็นข้าแล้วไม่ถูกชะตา จะดีจะชั่วก็คงต้องมองข้าสักแวบก่อนกระมัง เป็นเซียนกระบี่ใหญ่แล้วอย่างไร เป็นเซียนกระบี่ใหญ่แล้วไม่ต้องใช้เหตุผลได้หรือ

เฉินหลิงจวินพลันรู้สึกเศร้าใจ ตีอกชกตัว ร้องคร่ำครวญไม่หยุด นายท่านใหญ่อย่างข้ากว่าจะเดินลงน้ำกลายร่างเป็นเจียวได้สำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย สุดท้ายกลับได้แค่ทำให้เรื่องของหนึ่งหมัดกลายเป็นเรื่องของหนึ่งกระบี่อย่างนั้นหรือ?

พอได้พบเจอกับเฉินหน่วนซู่อีกครั้ง เฉินหลิงจวินก็มีท่าทางกะปลกกะเปลี้ย เพียงแต่ว่าพอไปถึงศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ เฉินหลิงจวินก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง วางหีบไม้ไผ่และไม้เท้าเดินป่าไว้นอกประตู ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา

หลังจากนั้นไม่นานเฉินหลิงจวินก็กลับมามีสีหน้าสดใสดังเดิม ไปหาน้องชายอวิ๋นจื่อที่ภูเขาฮุยเหมิง หรือไม่ก็ไปหาหงเซี่ยที่ยอดเขาหวงหู

บังเอิญยิ่งนักที่เผ่าพันธุ์เจียวหลงสามตัวต่างก็พากันทยอยเดินลงน้ำได้สำเร็จ

ภูเขาลั่วพั่วมีความหมายของมหามรรคาใกล้ชิดกับน้ำอยู่หลายส่วนจริงๆ

อันที่จริงความประทับใจที่หงเซี่ยมีต่อเฉินหลิงจวินนั้นดีเยี่ยมอย่างมาก แล้วก็มีความเห็นแก่ตัวอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง นางมักจะรู้สึกว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมา ถึงอย่างไรก็มีเฉินหลิงจวินอยู่เบื้องหน้าต้านรับหมัดหนึ่งเอาไว้ก่อน…

เพียงแต่ว่านิสัยของหงเซี่ยเย็นชา ไม่ค่อยเปิดเผยอารมณ์ให้เห็นเท่าใดนัก อีกทั้งอยู่บนภูเขาหวงหูนางเองก็ระมัดระวังตัวมากเกินไป ถึงทำให้ดูมีมารยาทและค่อนข้างห่างเหินกับเฉินหลิงจวิน

หากจะพูดถึงความขี้ขลาดแล้ว หงเซี่ยที่แอบสร้างจวนน้ำอยู่บนภูเขาหวงหูเงียบๆ นับว่าขี้ขลาดกว่าเฉินหลิงจวินแห่งภูเขาลั่วพั่วมากนัก ไม่ใช่ว่าหงเซี่ยเป็นพวกคนที่อ่อนแอขี้ขลาดจริงๆ งูเหลือมยักษ์ภูเขาหวงหูที่สามารถช่วงชิงโชควาสนาบนมหามรรคาในถ้ำสวรรค์หลีจูกับ ‘หนีชิวน้อย’ ได้ เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงแต่กำเนิด นิสัยต้องไม่มีทางดีไปได้ยังไงแน่นอน

แม้แต่หร่วนซิ่ว เฉินหลิงจวินก็ยังเคยด่าต่อหน้ามาก่อน และตอนนั้นยังอยู่ที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีซึ่งเป็นพื้นที่อิทธิพลของหร่วนฉงอย่างจริงแท้แน่นอนด้วย นายท่านบ้านตนกล้าไหม? ย่อมไม่กล้า

แน่นอนว่าเฉินหลิงจวินรู้ดีว่าตัวเองทำผิดจึงต้องแก้ไข เขาต้องไปโขกหัวขออภัยอริยะหร่วนอยู่หลายครั้ง ช่างตีเหล็กหร่วนผู้นั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ว่าสีหน้าในเวลานั้นไม่ค่อยน่ามองก็เท่านั้น

วันนี้เฉินหลิงจวินมานั่งเล่นอยู่ตรงโต๊ะหินริมหน้าผาเป็นเพื่อนพี่น้องอวี๋หมี่และหมี่ลี่น้อย เฉินหลิงจวินบอกให้น้องชายคนเดียวของตนอย่างอวิ๋นจื่อเผยร่างจริง เอาหัววางทาบไว้ริมหน้าผา ร่างจริงห้อยเลื้อยอยู่บนผนังหน้าผา หมี่ลี่น้อยหลับตาลง เบี่ยงตัวออกหมัดไม่หยุด สุดท้ายต่อยจนงูเหลือมยักษ์หล่นร่วงไปจากหน้าผา…และยังทำแบบนี้อยู่ทุกวัน ส่วนอวิ๋นจื่อนั้นจะคิดอะไร คาดว่าอาจมีใจนึกอยากตายแล้วก็เป็นได้ ไม่ใช่ว่ารู้สึกลำบากใจที่ภูตน้ำน้อยแห่งทะเลสาบคนใบ้หยอกเล่นกับตนเช่นนี้ แต่เป็นเซียนกระบี่คอขวดหยกดิบที่ยิ้มตาหยีแทะเมล็ดแตงผู้นั้นที่ทำให้อวิ๋นจื่อรู้สึกขนลุกขนชัน

วันนี้อวิ๋นจื่อเตรียมจะไถลตัวไปตามหน้าผา พลันสังเกตเห็นว่า ‘อวี๋หมี่’ ชุดเขียวผู้นั้นมีรอยยิ้มประหลาด มันจึงหันศีรษะไปมอง เห็นว่าอีกด้านหนึ่งของหน้าผามีคนแปลกหน้าแต่ลมปราณคุ้นเคยอย่างยิ่งผู้หนึ่งปรากฎตัว

หญิงสาวเรือนกายสูงเพรียวผู้หนึ่ง นางเองก็ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือและสะพายหีบไม้ไผ่สีเขียวเช่นกัน

หมี่ลี่น้อยเบิกตากว้าง มองตาค้างอยู่นาน ก่อนจะรีบเดินไปข้างกายของนาง แม่นางน้อยเงยหน้าขึ้น พึมพำถามว่า “เผยเฉียนล่ะ?”

แม่นางน้อยชุดดำที่ยังคงตัวเล็กอยู่เหมือนเดิมกำลังมองเผยเฉียนที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับถามว่าเผยเฉียนที่นางคุ้นเคยคนนั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว

ตอนนี้เผยเฉียนตัวสูงมาก ทำให้โจวหมี่ลี่ที่เมื่อก่อนมักจะเขย่งเท้าพูดคุยกับนางถึงกับลืมเขย่งเท้าไปแล้ว

พอคำพูดหลุดออกจากปาก หมี่ลี่น้อยก็รู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไปแล้ว จึงก้มหน้าลง ยกมือเกาหัว

เผยเฉียนยื่นมือมากดศีรษะของหมี่ลี่น้อย นางเองก็ถามว่า “เมล็ดแตงล่ะ?”

โจวหมี่ลี่โถมตัวกอดเผยเฉียน แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น ยิ่งสะอึกสะอื้นไม่เป็นคำ บ่นเบาๆ ว่าทำไมเผยเฉียนต้องรอให้ตัวสูงขนาดนี้ก่อนถึงหักใจกลับมาบ้านได้

……

พอเผยเฉียนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว บนภูเขาก็มีคนใบ้น้อยนามอาหมานเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แต่เขาไม่สนิทกับใครทั้งนั้น สุดท้ายเผยเฉียนจึงให้เขาไปอยู่ที่ร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง ให้ไปเป็นลูกจ้างช่วยงานอยู่ที่นั่น

หมี่อวี้ใช้นามแฝงว่าอวี๋หมี่ ผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตหยกดิบ

ชุยเหวยแห่งหอบูชากระบี่ที่ลงจากเขาออกเดินทางไกล ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิด

สุยโย่วเปียนที่ดูจากท่าทางแล้วจะเป็นนกพิราบมายึดรังนกกางเขนที่หอบูชากระบี่ ผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทอง

ตามคำกล่าวบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปในอดีตก็คือเซียนกระบี่ เซียนกระบี่ใหญ่และเซียนกระบี่อาวุโส รวมแล้วมีสามเซียนกระบี่

เฉินหลิงจวิน หงเซี่ย เพ่ยเซียง สองเจียวน้ำหนึ่งภูตจิ้งจอก รวมแล้วก่อกำเนิดสามคน

อวิ๋นจื่อเดินลงน้ำสำเร็จ ความเคลื่อนไหวไม่ได้ยิ่งใหญ่รุนแรงเหมือนหงเซี่ย เพียงแค่เดินผ่านลำคลองหลงซวีและแม่น้ำเถี่ยฝู ขอบเขตโอสถทอง

ยังมีการเปลี่ยนแปลงน้อยใหญ่อีกมากมาย

ล้วนทำให้เผยเฉียนรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าใดนัก

วันนี้เผยเฉียนเดินเท้าไปที่หอบูชากระบี่ เคยมีพี่หญิงนักพรตหญิงหน้าตางดงามคนหนึ่ง หวงถิงผู้ฝึกกระบี่แห่งภูเขาไท่ผิงใบถงทวีปเคยสอนเวทวานรสะพายกระบี่และวิชาลากดาบให้กับเผยเฉียน

เพียงแต่ว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ เอาแต่พกดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ไว้เล่นๆ เท่านั้น

วันหน้าจะไม่เป็นอย่างนี้แล้ว

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+