กระบี่จงมา 750.2 แสวงหาความจริงในฝัน เซียนเหรินป้อนหมัด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 750.2 แสวงหาความจริงในฝัน เซียนเหรินป้อนหมัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางผู่มองเซียนสาวห้าขอบเขตบนที่น่าสงสาร นี่ผู้อาวุโส ‘เจ้าขุนเขาเฉิน’ ผู้นี้ยังกังวลว่าจะตีคนผิดอีกหรือ?

ช่วงหลายปีมานี้หันเจี้ยงซู่ที่อยู่ในใบถงทวีปกำลังอยู่ในช่วงมีหน้ามีตา การประชุมยอดเขาหลายครั้ง ยกตัวอย่างครั้งที่สำนักศึกษาต้าฝู นางก็ปรากฏตัวด้วย หลายปีมานี้หยางผู่ยืนกรานจะมาเฝ้าประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง อาศัยสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสำนักศึกษา ถึงได้ไม่ตายไปอย่างเฉียบพลัน ระหว่างนี้หันเจี้ยงซู่เคยมาเยือนครั้งหนึ่ง ขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนภูเขาไท่ผิง นางปักหลักพักอยู่ตรงซากที่ตั้งศาลบรรพจารย์นานมาก หยางผู่คอยติดตามนางอยู่ไกลๆ ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งสองฝ่ายไม่เคยพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว

ยากที่จะจินตนาการได้ว่า เซียนสาวคนหนึ่งที่เคยทำให้หยางผู่รู้สึกว่านางสูงส่งจนมิอาจปีนป่าย จะถูกคนกระชากผมลากมาตลอดทางแล้วโยนทิ้งบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ

กว่าจะฟื้นคืนสติมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กลับต้องมาเจอประโยคที่ว่า ‘กลายเป็นภาพแขวน กินควันธูป’ เข้าอีก หยางผู่รู้ว่าหันเจี้ยงซู่ไม่ได้ต้องการให้ตนสงสารเห็นใจ แต่เขาก็อดเวทนาเซียนสาวขอบเขตหยกดิบคนนี้ไม่ได้จริงๆ

นอกจากความสงสารแล้ว ยังรู้สึกสาแก่ใจอยู่หลายส่วน เพียงแต่ไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มท้องตลอดหลายปีมานี้ถูกสุราราดรดเข้าไปจึงสงบเย็นได้เกินครึ่ง ชำเลืองตามองหันเจี้ยงซู่ด้วยความระมัดระวัง สมน้ำหน้า

ดูเหมือนว่าคิดแบบนี้จะไม่ค่อยสมควรเท่าใด แต่หยางผู่ก็ยังคิดอดไม่ไหว

ผู้อาวุโสแซ่เฉินท่านนี้ก็ช่าง…เข้าใจพูดนัก ก่อนหน้านี้บุคคลตัวเล็กๆ อย่างตนอยู่ข้างกาย ผู้อาวุโสกลับไม่มีมาดใดๆ เลย มีน้ำใจไมตรี แล้วยังเลี้ยงเหล้าเขาอีก

เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ หยางผู่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้หลายส่วน

เหมือนยามที่พลิกอ่านตำราอยู่ในสำนักศึกษาอย่างไรอย่างนั้น

เฉินผิงอันยื่นมือสองข้างออกมาจากชายแขนเสื้อ จิตวิญญาณของผู้ฝึกตนสองส่วนที่รวมเป็นหนึ่งกลุ่มถูกกักตัวให้ลอยอยู่กลางอากาศ เนื้อหนังมังสาของสองร่างยังอยู่ที่เดิม ก่อนหน้านี้ถูกแปะยันต์หุ่นเชิดไว้ร่างละแผ่น เวลานี้จึงเริ่มทะยานลมมาที่หน้าประตูภูเขาด้วยตัวเองแล้ว สีหน้าของพวกเขาทึ่มทื่อ เหมือนศพเดินได้สองตน แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้ปล่อยให้จิตวิญญาณผสานรวมเข้าไปในร่างของผู้ฝึกตน แต่ให้ลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา จึงส่ายไหวไปตามสายลม จากนั้นหยิบยันต์อีกสองแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ เวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบก็แปะลงไปบนจิตวิญญาณ เกิดแรงกระเพื่อมสะเทือนไม่หยุด เพียงแต่ว่าเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้านกลับไม่ได้ดังเข้าหูหยางผู่แม้แต่นิดเดียว

หันเจี้ยงซู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้

ความคิดจิตใจของนางล้วนอยู่บนร่างของนักพรต ‘หนุ่ม’ ที่เก็บซ่อนอำพรางตัวมาโดยตลอดผู้นั้น

เจ้าคนผู้นี้ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินแน่นอน!

เซียนเหรินที่สามารถกักขังปิ่นปะการังของนางได้อย่างกำเริบเสิบสาน นางก็ได้แต่อดทนกับเขาไปก่อน ฝึกตนอยู่บนภูเขา เสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะต้องมีสักวันที่ต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนกลับมาได้ นางหันเจี้ยงซู่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากเสียหน่อย! สำนักว่านเหยาบ้านตนก็ยิ่งเป็นสำนักที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อใบถงทวีป! นางไม่เชื่อหรอกว่าคนผู้นี้จะกล้าลงมือสังหารอย่างเหี้ยมโหด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แค่ต้องยอมก้มหัวชั่วครู่ชั่วยามจะเป็นอะไรไป

วันนี้ถือว่าแผนการล่มไม่เป็นท่าแล้ว เจ้าหมอนี่ช่างมีกลอุบายมีวิธีการที่ดียิ่งนัก ก่อนหน้านี้พอลงมือก็ร่ายเวทอำพรางตาสองชั้นไว้ในเวลาเดียวกัน ชั้นหนึ่งคือแสร้งเป็นเซียนกระบี่ เรียกกระบี่จำลองของกระบี่เซียนคล้ายคลึงกับของภูเขาชังกระบี่ออกมา อีกทั้งยังทยอยกันออกมาสองเล่มด้วย!

อีกชั้นหนึ่งคือใช้ค่ายกลตัดขาดฟ้าดิน แสร้งทำเป็นว่ามีภาพบรรยากาศของอริยะพิทักษ์ฟ้าดินเล็ก ถึงได้ทำให้จิตแห่งมรรคาของนางสูญเสียการควบคุมไปในเสี้ยววินาที ผลคือที่แท้ก็เป็นเกาเจินลัทธิเต๋าห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่ควบการฝึกวิชายันต์และวิชาค่ายกลไปพร้อมกัน มิน่าเล่าถึงได้จงใจไม่สวมกวานเต๋า ชุดคลุมเต๋าก็ไม่สวม กระทั่งหลังจากเรียกใช้ค่ายกลยันต์นี้ ถูกกายธรรมของวิชาแห่งชะตาชีวิตของนางไปกระตุ้นพุ่งชนเข้า ถึงได้ถูกบีบให้เผยชุดคลุมอาคมที่ต้องไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอนออกมา ภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ไพศาล กวานดอกบัวของหนึ่งในสามสายแห่งป๋ายอวี้จิง ปณิธานแห่งเต๋าล่องลอย นี่ไม่อาจแสร้งทำออกมาได้แน่นอน แววตาเล็กน้อยแค่นี้นางยังพอมีอยู่บ้าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยันต์ปราณกระบี่ที่สยบกำราบอยู่ในช่องโพรงลมปราณสำคัญของนางเหล่านั้นที่รับมือได้ยากที่สุด เป็นเหตุให้ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งจำต้องนอนกองอยู่บนพื้นแต่โดยดี ถึงขั้นที่ว่าตอนนอนอยู่หน้าประตูภูเขา นางยังไม่กล้ามองมากเกินหนึ่งครั้งหรือฟังมากเกินสักหนึ่งประโยคเลยด้วยซ้ำ

มีเพียงเรื่องเดียวที่นางสงสัยก็คือกวานเต๋าชิ้นนั้น ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไป เอามือไปจับประคองถึงได้สลายภาพมายาริ้วคลื่นที่มีความคล้ายคลึงกับกวานหางปลาได้ มีความเป็นไปได้มากว่าร่างจริงของกวานเต๋าอาจไม่ใช่ของแทนตัวของเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิง เพราะกังวลว่าหลังจบเรื่องจะถูกสำนักของตนสืบสาวเบาะแสไปแก้แค้น? ดังนั้นถึงได้แสร้งสร้างภาพกวานดอกบัวมาเป็นที่พึ่ง? ขณะเดียวกันก็ปิดบังสายเต๋าที่แท้จริงของตัวเอง?

ไม่ถูกสิ! ด้วยนิสัยใจคอของคนผู้นี้ต้องไม่มีทางเผยพิรุธต่อหน้าตนแน่นอน กวานหางปลาเป็นของแทนตัวของสายเต๋าเหล่าเอ้อแห่งป๋ายอวี้จิง ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีการที่อีกฝ่ายเอามาสยบใจคนด้วย! นักพรตที่ยินดีลงมือต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อภูเขาไท่ผิงเช่นนี้ ใช่แล้ว ต้องเป็นคนต่างถิ่นของใบถงทวีปที่มาจากสายเจ้าลัทธิใหญ่ป๋ายอวี้จิงเหมือนกับภูเขาไท่ผิงอย่างแน่นอน มาจากสำนักเบื้องล่างสายหลักของป๋ายอวี้จิงจากทวีปอื่นในใต้หล้าไพศาล? เพราะนางเคยได้ยินบิดาบอกว่า เจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงหายตัวไปนานมากแล้ว จึงเป็นเหตุให้แม้กระทั่งภูเขาไท่ผิงเลื่อนเป็นเทียนจวินก็ยังไม่ปรากฎตัว ดังนั้นถึงได้บอกว่าความคิดจิตใจของนักพรต ‘หนุ่ม’ ที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้แปรปรวนไม่แน่นอน กลอุบายลึกล้ำไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!

ในเมื่อทั้งสองฝ่ายผูกปมแค้นกันลึกล้ำเช่นนี้แล้ว ก่อนที่คนผู้นี้จะออกไปจากใบถงทวีป ต่อให้สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็ต้องทิ้งชีวิตครึ่งหนึ่งไว้ที่นี่! นางหันเจี้ยงซู่และสำนักว่านเหยาไม่มีเหตุผลให้ต้องทนรับความอัปยศเช่นนี้!

เจียงซ่างเจินมองหันเจี้ยงซู่ แม้จะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เฉินผิงอันกับนาง ‘ประลองฝีมือ’ กันไปอย่างไร แต่เขามั่นใจเรื่องหนึ่ง พี่หญิงเจี้ยงซู่ผู้นี้คงถูกพี่ชายคนดีหลอกไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

เจียงซ่างเจินย่อมต้องรู้จักพี่หญิงเจี้ยงซู่ผู้นี้ แต่หันเจี้ยงซู่กลับไม่รู้จักเขา นี่ปกติอย่างมาก ในอดีตเคยเดินทางไปท่องเที่ยวพื้นที่มงคลสามภูเขา เจียงซ่างเจินได้เปลี่ยนชื่อและโฉมหน้า เพราะความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ จึงถูกนางไล่ฆ่าไม่เลิกรา ภายหลังหันเจี้ยงซู่ไปเยือนสำนักกุยหยกพร้อมกับบิดาขอบเขตเซียนเหรินของนาง เจียงซ่างเจินก็ไม่ได้เป็นเจ้าสำนักอีกต่อไปแล้ว ทั้งยัง ‘ปิดด่าน’ ไปหลบซ่อนตัวเพื่อความสงบ ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้พบหน้ากัน ส่วนรายงานขุนเขาสายน้ำทั้งหมดของใบถงทวีปในอดีต ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเอาเจียงซ่างเจินมากล่าวตำหนิ เพราะถึงอย่างไรหากทำเช่นนั้นเจียงซ่างเจินจะต้องไปเอ่ยขอบคุณถึงบ้านด้วยตัวเอง

สี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขา โดยทั่วไปแล้วพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกตนสำนักนิติธรรม นักพรตเรือนซือเตาและคนเชื่อดาบ

แต่ก็มีสี่ผีตอแยยากที่ชื่อเสียงขจรขจายไกลหมื่นลี้บนรายงานขุนเขาสายน้ำของแต่ละทวีป ชาติสุนัขบางคนที่ยามทะยานลมชอบท่องบทกวี

คนพายเรือเฒ่าที่เคยถ่อเรือให้ลู่เฉินเจ้าลัทธิสาม ฝีปากด่าคนไร้เทียมทาน

เจียงซ่างเจินที่เป็นบุปผาบานในกำแพงแต่สิ่งกลิ่นหอมไปนอกกำแพง ก่อกวนสร้างวีรกรรมถึงเพียงนั้นอยู่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ กลับยังไม่ตาย ความสามารถในการหลบหนีล้ำเลิศ ฝีมือการทำให้คนสะอิดสะเอียนยิ่งไร้ศัตรูทัดทานมากกว่า

และยังมีผู้ฝึกตนหญิงอีกคนหนึ่งของนครจักรพรรดิขาวที่เวลาปกติอารมณ์ร้ายอย่างมาก แต่ดันมีวิชานอกรีตมากมาย บางครั้งก็ยังมีความอดทนดีเยี่ยม

ว่ากันว่าทุกวันนี้ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นรักและเอ็นดูคนหนึ่งผู้หนึ่งที่ไร้แซ่ มีแต่ชื่อว่า ‘ช่านหราน’ ศิษย์หลานที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในนครจักรพรรดิขาวอย่างมาก แล้วยังลงมือต่อสู้ครั้งใหญ่กับสำนักแห่งหนึ่งในแผ่นดินกลางเพื่อศิษย์หลานคนนี้อย่างไม่เสียดาย นางใช้วิธีการมากมายจนน่าเหลือเชื่อร่วมมือกับศิษย์หลาน ใช้เวลาไปนานห้าปี คนสองคนท้าทายหนึ่งสำนัก เป็นเหตุให้เจิ้งจวีจงจำต้องส่งกระบี่บินกลับมายังนครจักรพรรดิขาว ส่วนเนื้อหาในจดหมายลับฉบับนั้น ผู้คนพูดกันไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าเป็นการเอ่ยห้ามปราม ให้หยุดแต่พอสมควร บ้างก็บอกว่าตำหนิที่นางไม่รู้จักปกป้องมรรคาให้ดี เวทคาถาแย่เกินไป และยิ่งมีคำกล่าวที่ว่า เจิ้งจวีจงถึงขั้นให้คำแนะนำอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อนแก่ ‘ช่านหราน’ ลูกศิษย์คนสุดท้ายว่าควรลงมืออย่างไรถึงจะเห็นผลทันตา…สรุปก็คือตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลมีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เดาความคิดของเจิ้งจวีจงออก

เจียงซ่างเจินเปิดปากยิ้มเอ่ย “เซียนดินใหญ่สองคน คนหนึ่งโอสถทอง คนหนึ่งก่อกำเนิด ยอดฝีมือโอสถทองนั้นไม่รู้จัก แต่พี่ใหญ่ก่อกำเนิดท่านนี้ข้ากลับเคยโชคดีได้พบหน้ามาก่อนครั้งหนึ่ง มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ กลายเป็นเค่อชิงของเสี่ยวหลงชิวได้ไม่กี่ปี ช่วยไม่ได้ ทุกวันนี้เทพเซียนบนภูเขามีน้อยเกินไป ไม่ว่าคนประเภทไหนก็ล้วนวิ่งขึ้นไปบนภูเขาได้ทั้งนั้น สะบัดตัวทีเดียวก็กลายมาเป็นเสาหินกลางกระแสน้ำของขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปได้แล้ว”

เฉินผิงอันเหล่ตามอง ‘พี่ใหญ่ก่อกำเนิด’ คนนั้น กลุ่มดวงวิญญาณที่ร้องโหยหวนไม่หยุดอยู่ ‘เหนือศีรษะตัวเอง’ คล้ายจะสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาเสี้ยวหนึ่งจึงข่มกลั้นความเจ็บปวดราวถูกเลาะกระดูกถูกคว้านหัวใจ รีบหยุดเสียงร้องลงทันใด ไม่เสียแรงที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ เมื่อเทียบกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลแล้ว สามารถอดทนกับความเจ็บปวดได้มากกว่า

เสี่ยวหลงชิวคือสำนักเบื้องล่างของต้าหลงชิวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่คือคนงานทำกระจกตระกูลเซียน กระจกวิเศษที่ต้าหลงชิวสร้างขึ้นมีชื่อเสียงเลื่องลือ พูดถึงแค่หกสายของกระจกส่องมาร กระจกมังกรน้ำหนึ่งในนั้นที่ใช้สยบกำราบภูตผีเผ่าพันธ์น้ำโดยเฉพาะก็ถูกคนงานทำกระจกของต้าหลงชิวผูกขาดไว้แล้ว ส่วนผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิวในใบถงทวีปนั้น ปีนั้นย้ายบ้านค่อนข้างเร็ว ภายหลังกลับบ้านก็ไม่ช้า พวกเขาหมายตาในอาณาเขตของภูเขาไท่ผิงก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะหนึ่งในสมบัติหนักที่เป็นศูนย์กลางค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำของภูเขาไท่ผิงก็คือกระจกโบราณที่ปีนั้นเทียนจวินผู้เฒ่าใช้ตามหาตัวปีศาจใหญ่ เห็นได้ชัดว่าทั้งต้าและเสี่ยวหลงชิวต่างก็หวังว่าจะอาศัยท่วงทำนองที่เหลืออยู่ในกระจกโบราณมาอนุมานไปถึงต้นกำเนิด สุดท้ายสร้างกระจกโบราณภูเขาไท่ผิงจำลองบานหนึ่งออกมา จากนั้น จากนั้นจะยังเป็นอย่างไรได้อีก ก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำนะสิ ทุกวันนี้ผู้คนพากันไล่ฆ่ากากเดนเผ่าปีศาจที่ไม่เป็นโล้เป็นพายในสี่ทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของหลิวเสียทวีปและธวัลทวีปที่แต่ละคนฮึกเหิมไม่แพ้กัน ต่อให้ต้องลำบากเดินทางไกลพันหมื่นลี้ข้ามทวีปก็ไม่หวั่น คนอย่างเซียนกระบี่ ‘สวีจวิน’ เค่อชิงสกุลหลิวที่อยู่ในท่าเรือชวีซานนั้นนับว่ามีคุณธรรมแล้ว บวกกับที่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เคยลงสนามรบต่อสู้อย่างจริงจังในเกราะทองทวีปช่วงแรกเริ่มของสงครามมาก่อน หรือยกตัวอย่างเช่นตอนนั้นหวานเหยียนเหล่าจิ่งสติวิปลาส ก็เป็นสวีเซี่ยที่ปิดบังชื่อแซ่ อำพรางตบะที่แท้จริงที่ยืดอกเสนอตัวออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ส่งกระบี่ออกไปอย่างเฉียบขาด ช่วยต้านรับความเสียหายให้แก่เกราะทองทวีปไปไม่น้อย เจียงซ่างเจินจึงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับอีกฝ่ายได้

ในที่สุดหันเจี้ยงซู่ก็นั่งหลังตรง ขัดสมาธิ นางยกหลังมือขึ้นมาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากก่อน จากนั้นจึงลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิง สีหน้านิ่งสงบจนหยางผู่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อรู้สึกขนลุก

ต่อให้หยางผู่จะไม่สนใจเรื่องนอกบ้านมากแค่ไหนก็ยังรู้ว่ายิ่งเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาประเภทนี้ก็ยิ่งทำให้คนกริ่งเกรงได้มากเท่านั้น

และข้างกายของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบคนนี้ ยังมีดาบแคบพิฆาตที่ออกจากฝักปักตรึงอยู่ด้วย

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ แสร้งทำท่าว่าจะลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พี่หญิงเจี้ยงซู่ มาดดีขนาดนี้เชียวหรือ กระดูกแข็งเสียจริง นับถือๆ เลื่อมใสๆ”

หันเจี้ยงซู่ผู้นั้นลุกขึ้นยืนตามจิตใต้สำนึก ทำท่าเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ ชุดคลุมอาคมสีแดงเข้มบนร่างปล่อยประกายแสงเจิดจ้า แสงศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งแสงจันทร์ทรงกลดทับซ้อน แสงรุ้งซ้อนกันหนาชั้น ยิ่งขับให้นางราวกับเทพหญิงที่เดินออกมาจากตำหนักดวงจันทร์

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะกลับลงไปนั่งดังเดิมอีกครั้งแล้ว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นน้อยๆ เอาแต่มองหันเจี้ยงซู่อยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะเอ่ยอะไร เงียบไปนานพักใหญ่ถึงกล่าวว่า “มองจนข้าปวดตา ปวดคอไปหมดแล้ว”

หันเจี้ยงซู่เตรียมจะเก็บภาพบรรยากาศของชุดคลุมอาคมกลับมา ทว่าเส้นเอ็นหัวใจกลับพลันขึงตึงแน่น ชั่วพริบตานั้นหันเจี้ยงซู่ก็เตรียมจะโคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งทันที เป็นดินของห้าธาตุ มาจากขุนเขาเก่าของแคว้นล่มสลายที่ในอดีตบิดาของนางขนย้ายจากใบถงทวีปมายังพื้นที่มงคลสามภูเขา เป็นเหตุให้วิชาการหลบหนีของหันเจี้ยงซู่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ในขณะที่หันเจี้ยงซู่เตรียมจะอำพรางตัวหนีหายไปในดิน นาทีถัดมาร่างทั้งร่างก็ถูก ‘กระแทก’ ออกมาจากพื้นดิน ถูกอาจารย์ค่ายกลที่เชี่ยวชาญวิถียันต์คนนั้นกระชากหัวแล้วออกแรงกดลง แผ่นหลังของนางกระแทกจนพื้นดินแตกปริเหมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ พละกำลังของอีกฝ่ายพอเหมาะพอดี ทั้งสามารถสยบช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของหันเจี้ยงซู่ได้ แล้วยังไม่ถึงขั้นทำให้ร่างของนางจมลึกลงไปในดิน

หยางผู่นั่งเหม่ออยู่บนขั้นบันได มองไม่เห็นเลยว่าผู้อาวุโสแซ่เฉินลงมืออย่างไร แต่กลับเห็นภาพที่ชุดสีเขียวนั้นยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบลงแรงๆ และเท้าก็เหยียบอยู่บนใบหน้าของสตรีพอดี

เท้าหนึ่งเหยียบอยู่บนใบหน้าของหันเจี้ยงซู่ “มารดาเถอะ เจ้าแม่งยังมีหน้ามามองภูเขาไท่ผิงต่อหน้าข้าอีกหรือ?!”

แล้วก็กระทืบลงไปอีกที กระทืบจนทั้งศีรษะของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งจมลงไปในพื้นดินแล้ว ผู้อาวุโสที่ถูกเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงเรียกว่า ‘เจ้าขุนเขา’ กระทืบไปด่าอย่างเดือดดาลไปด้วย “มองเข้าสิ! มองให้มาก! เบิกตากว้างมองให้ข้าผู้อาวุโสเสียดีๆ!”

เจียงซ่างเจินไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง สีหน้าของเขาเป็นธรรมชาติราวกับกำลังชมทิวทัศน์ที่งดงามอย่างไรอย่างนั้น น่าเสียดายข้างมือไม่มีสุรา นี่คือความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์แบบแล้ว

พี่น้องเฉินไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธคอขวด…ขอบเขตยอดเขา สามารถมองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบของใบถงทวีปได้เลย

เจียงซ่างเจินชำเลืองตาไปเห็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ปากอ้าตาค้างอยู่ด้านข้างก็หัวเราะ ยังอ่อนเยาว์เกินไปนัก ‘เฉินผิงอัน (เขียนด้วยชื่อในนิยายของเฉินผิงอัน พ้องเสียงกับชื่อเฉินผิงอันตัวจริง) ผู้รักหยกถนอมบุปผา’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในแจกันสมบัติทวีป คงจะรู้จักกระมัง? ก็คือเจ้าขุนเขาหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเจ้าหยางผู่นี่ไง ชื่อเสียงสมคำเล่าลือมากเลยใช่หรือไม่?

เจียงซ่างเจินกระแอมเบาๆ สองสามที เอามือที่กำเป็นหมัดมาวางไว้ข้างปาก ยิ้มจนตาหยี

ในช่วงเวลาที่ไม่อยากจะหวนกลับไปนึกถึง ช่วงเวลาที่ทุกวันต้องอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายเหล่านั้น มีบางเรื่องราวที่ทำให้เจียงซ่างเจินรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง

ยกตัวอย่างเช่นได้เจอกับแม่นางน้อยหน้ากลมคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างถูกคอ หรือยกตัวอย่างเช่นฝ่ายในของเผ่าปีศาจที่มีคำกล่าวว่าใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวานที่แพร่หลายอย่างยิ่ง จนเป็นเหตุให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อทั้งบนและล่างภูเขาของใบถงทวีป ไม่ต้องสนว่าใช้วิธีการใดถึงมีชีวิตอยู่รอดมาได้ ต่างก็เคยได้ยินคำกล่าวที่มีน้ำหนักอย่างมากนี้ บวกกับรายชื่อคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า บุคคลอันดับที่สิบเอ็ดอันดับสุดท้ายก็คือ ‘อิ่นกวาน’ ดังนั้นบนยอดเขาของใบถงทวีปทุกวันนี้ต่างก็เสียดายกันอย่างมากที่ผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนี้ ปีนั้นอายุยังไม่ถึงสี่สิบปี อายุน้อยๆ ก็เลื่อนสู่ตำแหน่งสูงขนาดนี้ได้แล้ว น่าเสียดายที่ติดตาม ‘นครบินทะยาน’ ไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้ว ไม่อย่างนั้นหากอยู่ในใต้หล้าไพศาล ขอแค่ได้ร่วมมือกับพวกฉีถิงจี้หรือลู่จือไม่ว่าคนใดก็ตาม หรืออาจจะก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาด้วยตัวเองไปเลย ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าไพศาลบ้านของตนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องมีเจ้าสำนักเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลก แต่กลับลุกผงาดอย่างว่องไวเพิ่มมาคนหนึ่งแน่นอน ที่สำคัญที่สุดก็คือคนผู้นี้ยังหนุ่ม ยังหนุ่มอย่างมาก!

ส่วนพวกผู้ฝึกตนใบถงทวีปที่อยู่กึ่งกลางภูเขานั้น แทบไม่มีความเข้าใจใดๆ ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ จึงเคยชินที่จะมอง ‘เหนืออิ่นกวาน’ เป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

กระบี่จงมา 750.2 แสวงหาความจริงในฝัน เซียนเหรินป้อนหมัด

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 750.2 แสวงหาความจริงในฝัน เซียนเหรินป้อนหมัด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หยางผู่มองเซียนสาวห้าขอบเขตบนที่น่าสงสาร นี่ผู้อาวุโส ‘เจ้าขุนเขาเฉิน’ ผู้นี้ยังกังวลว่าจะตีคนผิดอีกหรือ?

ช่วงหลายปีมานี้หันเจี้ยงซู่ที่อยู่ในใบถงทวีปกำลังอยู่ในช่วงมีหน้ามีตา การประชุมยอดเขาหลายครั้ง ยกตัวอย่างครั้งที่สำนักศึกษาต้าฝู นางก็ปรากฏตัวด้วย หลายปีมานี้หยางผู่ยืนกรานจะมาเฝ้าประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง อาศัยสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสำนักศึกษา ถึงได้ไม่ตายไปอย่างเฉียบพลัน ระหว่างนี้หันเจี้ยงซู่เคยมาเยือนครั้งหนึ่ง ขึ้นเขามาเยี่ยมเยือนภูเขาไท่ผิง นางปักหลักพักอยู่ตรงซากที่ตั้งศาลบรรพจารย์นานมาก หยางผู่คอยติดตามนางอยู่ไกลๆ ตั้งแต่ต้นจนจบทั้งสองฝ่ายไม่เคยพูดคุยกันแม้แต่คำเดียว

ยากที่จะจินตนาการได้ว่า เซียนสาวคนหนึ่งที่เคยทำให้หยางผู่รู้สึกว่านางสูงส่งจนมิอาจปีนป่าย จะถูกคนกระชากผมลากมาตลอดทางแล้วโยนทิ้งบนพื้นอย่างไม่ใส่ใจ

กว่าจะฟื้นคืนสติมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย กลับต้องมาเจอประโยคที่ว่า ‘กลายเป็นภาพแขวน กินควันธูป’ เข้าอีก หยางผู่รู้ว่าหันเจี้ยงซู่ไม่ได้ต้องการให้ตนสงสารเห็นใจ แต่เขาก็อดเวทนาเซียนสาวขอบเขตหยกดิบคนนี้ไม่ได้จริงๆ

นอกจากความสงสารแล้ว ยังรู้สึกสาแก่ใจอยู่หลายส่วน เพียงแต่ไฟโทสะที่อัดอั้นอยู่เต็มท้องตลอดหลายปีมานี้ถูกสุราราดรดเข้าไปจึงสงบเย็นได้เกินครึ่ง ชำเลืองตามองหันเจี้ยงซู่ด้วยความระมัดระวัง สมน้ำหน้า

ดูเหมือนว่าคิดแบบนี้จะไม่ค่อยสมควรเท่าใด แต่หยางผู่ก็ยังคิดอดไม่ไหว

ผู้อาวุโสแซ่เฉินท่านนี้ก็ช่าง…เข้าใจพูดนัก ก่อนหน้านี้บุคคลตัวเล็กๆ อย่างตนอยู่ข้างกาย ผู้อาวุโสกลับไม่มีมาดใดๆ เลย มีน้ำใจไมตรี แล้วยังเลี้ยงเหล้าเขาอีก

เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ หยางผู่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาได้หลายส่วน

เหมือนยามที่พลิกอ่านตำราอยู่ในสำนักศึกษาอย่างไรอย่างนั้น

เฉินผิงอันยื่นมือสองข้างออกมาจากชายแขนเสื้อ จิตวิญญาณของผู้ฝึกตนสองส่วนที่รวมเป็นหนึ่งกลุ่มถูกกักตัวให้ลอยอยู่กลางอากาศ เนื้อหนังมังสาของสองร่างยังอยู่ที่เดิม ก่อนหน้านี้ถูกแปะยันต์หุ่นเชิดไว้ร่างละแผ่น เวลานี้จึงเริ่มทะยานลมมาที่หน้าประตูภูเขาด้วยตัวเองแล้ว สีหน้าของพวกเขาทึ่มทื่อ เหมือนศพเดินได้สองตน แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้ปล่อยให้จิตวิญญาณผสานรวมเข้าไปในร่างของผู้ฝึกตน แต่ให้ลอยอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา จึงส่ายไหวไปตามสายลม จากนั้นหยิบยันต์อีกสองแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ เวลาเพียงชั่วประกายไฟแลบก็แปะลงไปบนจิตวิญญาณ เกิดแรงกระเพื่อมสะเทือนไม่หยุด เพียงแต่ว่าเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้านกลับไม่ได้ดังเข้าหูหยางผู่แม้แต่นิดเดียว

หันเจี้ยงซู่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นภาพนี้

ความคิดจิตใจของนางล้วนอยู่บนร่างของนักพรต ‘หนุ่ม’ ที่เก็บซ่อนอำพรางตัวมาโดยตลอดผู้นั้น

เจ้าคนผู้นี้ต้องเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินแน่นอน!

เซียนเหรินที่สามารถกักขังปิ่นปะการังของนางได้อย่างกำเริบเสิบสาน นางก็ได้แต่อดทนกับเขาไปก่อน ฝึกตนอยู่บนภูเขา เสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ไม่จำเป็นต้องกลัว เพราะต้องมีสักวันที่ต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีคืนกลับมาได้ นางหันเจี้ยงซู่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากเสียหน่อย! สำนักว่านเหยาบ้านตนก็ยิ่งเป็นสำนักที่มีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อใบถงทวีป! นางไม่เชื่อหรอกว่าคนผู้นี้จะกล้าลงมือสังหารอย่างเหี้ยมโหด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แค่ต้องยอมก้มหัวชั่วครู่ชั่วยามจะเป็นอะไรไป

วันนี้ถือว่าแผนการล่มไม่เป็นท่าแล้ว เจ้าหมอนี่ช่างมีกลอุบายมีวิธีการที่ดียิ่งนัก ก่อนหน้านี้พอลงมือก็ร่ายเวทอำพรางตาสองชั้นไว้ในเวลาเดียวกัน ชั้นหนึ่งคือแสร้งเป็นเซียนกระบี่ เรียกกระบี่จำลองของกระบี่เซียนคล้ายคลึงกับของภูเขาชังกระบี่ออกมา อีกทั้งยังทยอยกันออกมาสองเล่มด้วย!

อีกชั้นหนึ่งคือใช้ค่ายกลตัดขาดฟ้าดิน แสร้งทำเป็นว่ามีภาพบรรยากาศของอริยะพิทักษ์ฟ้าดินเล็ก ถึงได้ทำให้จิตแห่งมรรคาของนางสูญเสียการควบคุมไปในเสี้ยววินาที ผลคือที่แท้ก็เป็นเกาเจินลัทธิเต๋าห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่ควบการฝึกวิชายันต์และวิชาค่ายกลไปพร้อมกัน มิน่าเล่าถึงได้จงใจไม่สวมกวานเต๋า ชุดคลุมเต๋าก็ไม่สวม กระทั่งหลังจากเรียกใช้ค่ายกลยันต์นี้ ถูกกายธรรมของวิชาแห่งชะตาชีวิตของนางไปกระตุ้นพุ่งชนเข้า ถึงได้ถูกบีบให้เผยชุดคลุมอาคมที่ต้องไม่ใช่ของปลอมอย่างแน่นอนออกมา ภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ไพศาล กวานดอกบัวของหนึ่งในสามสายแห่งป๋ายอวี้จิง ปณิธานแห่งเต๋าล่องลอย นี่ไม่อาจแสร้งทำออกมาได้แน่นอน แววตาเล็กน้อยแค่นี้นางยังพอมีอยู่บ้าง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งยันต์ปราณกระบี่ที่สยบกำราบอยู่ในช่องโพรงลมปราณสำคัญของนางเหล่านั้นที่รับมือได้ยากที่สุด เป็นเหตุให้ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งจำต้องนอนกองอยู่บนพื้นแต่โดยดี ถึงขั้นที่ว่าตอนนอนอยู่หน้าประตูภูเขา นางยังไม่กล้ามองมากเกินหนึ่งครั้งหรือฟังมากเกินสักหนึ่งประโยคเลยด้วยซ้ำ

มีเพียงเรื่องเดียวที่นางสงสัยก็คือกวานเต๋าชิ้นนั้น ก่อนหน้านี้คนผู้นั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไป เอามือไปจับประคองถึงได้สลายภาพมายาริ้วคลื่นที่มีความคล้ายคลึงกับกวานหางปลาได้ มีความเป็นไปได้มากว่าร่างจริงของกวานเต๋าอาจไม่ใช่ของแทนตัวของเจ้าลัทธิลู่แห่งป๋ายอวี้จิง เพราะกังวลว่าหลังจบเรื่องจะถูกสำนักของตนสืบสาวเบาะแสไปแก้แค้น? ดังนั้นถึงได้แสร้งสร้างภาพกวานดอกบัวมาเป็นที่พึ่ง? ขณะเดียวกันก็ปิดบังสายเต๋าที่แท้จริงของตัวเอง?

ไม่ถูกสิ! ด้วยนิสัยใจคอของคนผู้นี้ต้องไม่มีทางเผยพิรุธต่อหน้าตนแน่นอน กวานหางปลาเป็นของแทนตัวของสายเต๋าเหล่าเอ้อแห่งป๋ายอวี้จิง ขณะเดียวกันก็เป็นวิธีการที่อีกฝ่ายเอามาสยบใจคนด้วย! นักพรตที่ยินดีลงมือต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อภูเขาไท่ผิงเช่นนี้ ใช่แล้ว ต้องเป็นคนต่างถิ่นของใบถงทวีปที่มาจากสายเจ้าลัทธิใหญ่ป๋ายอวี้จิงเหมือนกับภูเขาไท่ผิงอย่างแน่นอน มาจากสำนักเบื้องล่างสายหลักของป๋ายอวี้จิงจากทวีปอื่นในใต้หล้าไพศาล? เพราะนางเคยได้ยินบิดาบอกว่า เจ้าลัทธิใหญ่ของป๋ายอวี้จิงหายตัวไปนานมากแล้ว จึงเป็นเหตุให้แม้กระทั่งภูเขาไท่ผิงเลื่อนเป็นเทียนจวินก็ยังไม่ปรากฎตัว ดังนั้นถึงได้บอกว่าความคิดจิตใจของนักพรต ‘หนุ่ม’ ที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำผู้นี้แปรปรวนไม่แน่นอน กลอุบายลึกล้ำไม่ธรรมดาเลยจริงๆ!

ในเมื่อทั้งสองฝ่ายผูกปมแค้นกันลึกล้ำเช่นนี้แล้ว ก่อนที่คนผู้นี้จะออกไปจากใบถงทวีป ต่อให้สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็ต้องทิ้งชีวิตครึ่งหนึ่งไว้ที่นี่! นางหันเจี้ยงซู่และสำนักว่านเหยาไม่มีเหตุผลให้ต้องทนรับความอัปยศเช่นนี้!

เจียงซ่างเจินมองหันเจี้ยงซู่ แม้จะไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เฉินผิงอันกับนาง ‘ประลองฝีมือ’ กันไปอย่างไร แต่เขามั่นใจเรื่องหนึ่ง พี่หญิงเจี้ยงซู่ผู้นี้คงถูกพี่ชายคนดีหลอกไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

เจียงซ่างเจินย่อมต้องรู้จักพี่หญิงเจี้ยงซู่ผู้นี้ แต่หันเจี้ยงซู่กลับไม่รู้จักเขา นี่ปกติอย่างมาก ในอดีตเคยเดินทางไปท่องเที่ยวพื้นที่มงคลสามภูเขา เจียงซ่างเจินได้เปลี่ยนชื่อและโฉมหน้า เพราะความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ จึงถูกนางไล่ฆ่าไม่เลิกรา ภายหลังหันเจี้ยงซู่ไปเยือนสำนักกุยหยกพร้อมกับบิดาขอบเขตเซียนเหรินของนาง เจียงซ่างเจินก็ไม่ได้เป็นเจ้าสำนักอีกต่อไปแล้ว ทั้งยัง ‘ปิดด่าน’ ไปหลบซ่อนตัวเพื่อความสงบ ทั้งสองฝ่ายจึงไม่ได้พบหน้ากัน ส่วนรายงานขุนเขาสายน้ำทั้งหมดของใบถงทวีปในอดีต ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าเอาเจียงซ่างเจินมากล่าวตำหนิ เพราะถึงอย่างไรหากทำเช่นนั้นเจียงซ่างเจินจะต้องไปเอ่ยขอบคุณถึงบ้านด้วยตัวเอง

สี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขา โดยทั่วไปแล้วพูดถึงผู้ฝึกกระบี่ ผู้ฝึกตนสำนักนิติธรรม นักพรตเรือนซือเตาและคนเชื่อดาบ

แต่ก็มีสี่ผีตอแยยากที่ชื่อเสียงขจรขจายไกลหมื่นลี้บนรายงานขุนเขาสายน้ำของแต่ละทวีป ชาติสุนัขบางคนที่ยามทะยานลมชอบท่องบทกวี

คนพายเรือเฒ่าที่เคยถ่อเรือให้ลู่เฉินเจ้าลัทธิสาม ฝีปากด่าคนไร้เทียมทาน

เจียงซ่างเจินที่เป็นบุปผาบานในกำแพงแต่สิ่งกลิ่นหอมไปนอกกำแพง ก่อกวนสร้างวีรกรรมถึงเพียงนั้นอยู่ในอุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ กลับยังไม่ตาย ความสามารถในการหลบหนีล้ำเลิศ ฝีมือการทำให้คนสะอิดสะเอียนยิ่งไร้ศัตรูทัดทานมากกว่า

และยังมีผู้ฝึกตนหญิงอีกคนหนึ่งของนครจักรพรรดิขาวที่เวลาปกติอารมณ์ร้ายอย่างมาก แต่ดันมีวิชานอกรีตมากมาย บางครั้งก็ยังมีความอดทนดีเยี่ยม

ว่ากันว่าทุกวันนี้ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นรักและเอ็นดูคนหนึ่งผู้หนึ่งที่ไร้แซ่ มีแต่ชื่อว่า ‘ช่านหราน’ ศิษย์หลานที่เพิ่งจะเข้ามาอยู่ในนครจักรพรรดิขาวอย่างมาก แล้วยังลงมือต่อสู้ครั้งใหญ่กับสำนักแห่งหนึ่งในแผ่นดินกลางเพื่อศิษย์หลานคนนี้อย่างไม่เสียดาย นางใช้วิธีการมากมายจนน่าเหลือเชื่อร่วมมือกับศิษย์หลาน ใช้เวลาไปนานห้าปี คนสองคนท้าทายหนึ่งสำนัก เป็นเหตุให้เจิ้งจวีจงจำต้องส่งกระบี่บินกลับมายังนครจักรพรรดิขาว ส่วนเนื้อหาในจดหมายลับฉบับนั้น ผู้คนพูดกันไปหลากหลาย บ้างก็บอกว่าเป็นการเอ่ยห้ามปราม ให้หยุดแต่พอสมควร บ้างก็บอกว่าตำหนิที่นางไม่รู้จักปกป้องมรรคาให้ดี เวทคาถาแย่เกินไป และยิ่งมีคำกล่าวที่ว่า เจิ้งจวีจงถึงขั้นให้คำแนะนำอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อนแก่ ‘ช่านหราน’ ลูกศิษย์คนสุดท้ายว่าควรลงมืออย่างไรถึงจะเห็นผลทันตา…สรุปก็คือตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลมีคนแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่เดาความคิดของเจิ้งจวีจงออก

เจียงซ่างเจินเปิดปากยิ้มเอ่ย “เซียนดินใหญ่สองคน คนหนึ่งโอสถทอง คนหนึ่งก่อกำเนิด ยอดฝีมือโอสถทองนั้นไม่รู้จัก แต่พี่ใหญ่ก่อกำเนิดท่านนี้ข้ากลับเคยโชคดีได้พบหน้ามาก่อนครั้งหนึ่ง มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ กลายเป็นเค่อชิงของเสี่ยวหลงชิวได้ไม่กี่ปี ช่วยไม่ได้ ทุกวันนี้เทพเซียนบนภูเขามีน้อยเกินไป ไม่ว่าคนประเภทไหนก็ล้วนวิ่งขึ้นไปบนภูเขาได้ทั้งนั้น สะบัดตัวทีเดียวก็กลายมาเป็นเสาหินกลางกระแสน้ำของขุนเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปได้แล้ว”

เฉินผิงอันเหล่ตามอง ‘พี่ใหญ่ก่อกำเนิด’ คนนั้น กลุ่มดวงวิญญาณที่ร้องโหยหวนไม่หยุดอยู่ ‘เหนือศีรษะตัวเอง’ คล้ายจะสัมผัสได้ถึงสายตาเย็นชาเสี้ยวหนึ่งจึงข่มกลั้นความเจ็บปวดราวถูกเลาะกระดูกถูกคว้านหัวใจ รีบหยุดเสียงร้องลงทันใด ไม่เสียแรงที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ เมื่อเทียบกับเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลแล้ว สามารถอดทนกับความเจ็บปวดได้มากกว่า

เสี่ยวหลงชิวคือสำนักเบื้องล่างของต้าหลงชิวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่คือคนงานทำกระจกตระกูลเซียน กระจกวิเศษที่ต้าหลงชิวสร้างขึ้นมีชื่อเสียงเลื่องลือ พูดถึงแค่หกสายของกระจกส่องมาร กระจกมังกรน้ำหนึ่งในนั้นที่ใช้สยบกำราบภูตผีเผ่าพันธ์น้ำโดยเฉพาะก็ถูกคนงานทำกระจกของต้าหลงชิวผูกขาดไว้แล้ว ส่วนผู้ฝึกตนของเสี่ยวหลงชิวในใบถงทวีปนั้น ปีนั้นย้ายบ้านค่อนข้างเร็ว ภายหลังกลับบ้านก็ไม่ช้า พวกเขาหมายตาในอาณาเขตของภูเขาไท่ผิงก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องประหลาด เพราะหนึ่งในสมบัติหนักที่เป็นศูนย์กลางค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาสายน้ำของภูเขาไท่ผิงก็คือกระจกโบราณที่ปีนั้นเทียนจวินผู้เฒ่าใช้ตามหาตัวปีศาจใหญ่ เห็นได้ชัดว่าทั้งต้าและเสี่ยวหลงชิวต่างก็หวังว่าจะอาศัยท่วงทำนองที่เหลืออยู่ในกระจกโบราณมาอนุมานไปถึงต้นกำเนิด สุดท้ายสร้างกระจกโบราณภูเขาไท่ผิงจำลองบานหนึ่งออกมา จากนั้น จากนั้นจะยังเป็นอย่างไรได้อีก ก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำนะสิ ทุกวันนี้ผู้คนพากันไล่ฆ่ากากเดนเผ่าปีศาจที่ไม่เป็นโล้เป็นพายในสี่ทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของหลิวเสียทวีปและธวัลทวีปที่แต่ละคนฮึกเหิมไม่แพ้กัน ต่อให้ต้องลำบากเดินทางไกลพันหมื่นลี้ข้ามทวีปก็ไม่หวั่น คนอย่างเซียนกระบี่ ‘สวีจวิน’ เค่อชิงสกุลหลิวที่อยู่ในท่าเรือชวีซานนั้นนับว่ามีคุณธรรมแล้ว บวกกับที่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เคยลงสนามรบต่อสู้อย่างจริงจังในเกราะทองทวีปช่วงแรกเริ่มของสงครามมาก่อน หรือยกตัวอย่างเช่นตอนนั้นหวานเหยียนเหล่าจิ่งสติวิปลาส ก็เป็นสวีเซี่ยที่ปิดบังชื่อแซ่ อำพรางตบะที่แท้จริงที่ยืดอกเสนอตัวออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว ส่งกระบี่ออกไปอย่างเฉียบขาด ช่วยต้านรับความเสียหายให้แก่เกราะทองทวีปไปไม่น้อย เจียงซ่างเจินจึงหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับอีกฝ่ายได้

ในที่สุดหันเจี้ยงซู่ก็นั่งหลังตรง ขัดสมาธิ นางยกหลังมือขึ้นมาเช็ดคราบเลือดตรงมุมปากก่อน จากนั้นจึงลูบเส้นผมที่ยุ่งเหยิง สีหน้านิ่งสงบจนหยางผู่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อรู้สึกขนลุก

ต่อให้หยางผู่จะไม่สนใจเรื่องนอกบ้านมากแค่ไหนก็ยังรู้ว่ายิ่งเป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาประเภทนี้ก็ยิ่งทำให้คนกริ่งเกรงได้มากเท่านั้น

และข้างกายของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบคนนี้ ยังมีดาบแคบพิฆาตที่ออกจากฝักปักตรึงอยู่ด้วย

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ แสร้งทำท่าว่าจะลุกขึ้นยืน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พี่หญิงเจี้ยงซู่ มาดดีขนาดนี้เชียวหรือ กระดูกแข็งเสียจริง นับถือๆ เลื่อมใสๆ”

หันเจี้ยงซู่ผู้นั้นลุกขึ้นยืนตามจิตใต้สำนึก ทำท่าเหมือนเผชิญกับศัตรูตัวฉกาจ ชุดคลุมอาคมสีแดงเข้มบนร่างปล่อยประกายแสงเจิดจ้า แสงศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งแสงจันทร์ทรงกลดทับซ้อน แสงรุ้งซ้อนกันหนาชั้น ยิ่งขับให้นางราวกับเทพหญิงที่เดินออกมาจากตำหนักดวงจันทร์

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันจะกลับลงไปนั่งดังเดิมอีกครั้งแล้ว จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นน้อยๆ เอาแต่มองหันเจี้ยงซู่อยู่อย่างนั้นโดยไม่คิดจะเอ่ยอะไร เงียบไปนานพักใหญ่ถึงกล่าวว่า “มองจนข้าปวดตา ปวดคอไปหมดแล้ว”

หันเจี้ยงซู่เตรียมจะเก็บภาพบรรยากาศของชุดคลุมอาคมกลับมา ทว่าเส้นเอ็นหัวใจกลับพลันขึงตึงแน่น ชั่วพริบตานั้นหันเจี้ยงซู่ก็เตรียมจะโคจรวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งทันที เป็นดินของห้าธาตุ มาจากขุนเขาเก่าของแคว้นล่มสลายที่ในอดีตบิดาของนางขนย้ายจากใบถงทวีปมายังพื้นที่มงคลสามภูเขา เป็นเหตุให้วิชาการหลบหนีของหันเจี้ยงซู่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง ในขณะที่หันเจี้ยงซู่เตรียมจะอำพรางตัวหนีหายไปในดิน นาทีถัดมาร่างทั้งร่างก็ถูก ‘กระแทก’ ออกมาจากพื้นดิน ถูกอาจารย์ค่ายกลที่เชี่ยวชาญวิถียันต์คนนั้นกระชากหัวแล้วออกแรงกดลง แผ่นหลังของนางกระแทกจนพื้นดินแตกปริเหมือนใยแมงมุมขนาดใหญ่ พละกำลังของอีกฝ่ายพอเหมาะพอดี ทั้งสามารถสยบช่องโพรงลมปราณที่สำคัญของหันเจี้ยงซู่ได้ แล้วยังไม่ถึงขั้นทำให้ร่างของนางจมลึกลงไปในดิน

หยางผู่นั่งเหม่ออยู่บนขั้นบันได มองไม่เห็นเลยว่าผู้อาวุโสแซ่เฉินลงมืออย่างไร แต่กลับเห็นภาพที่ชุดสีเขียวนั้นยกเท้าข้างหนึ่งกระทืบลงแรงๆ และเท้าก็เหยียบอยู่บนใบหน้าของสตรีพอดี

เท้าหนึ่งเหยียบอยู่บนใบหน้าของหันเจี้ยงซู่ “มารดาเถอะ เจ้าแม่งยังมีหน้ามามองภูเขาไท่ผิงต่อหน้าข้าอีกหรือ?!”

แล้วก็กระทืบลงไปอีกที กระทืบจนทั้งศีรษะของผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งจมลงไปในพื้นดินแล้ว ผู้อาวุโสที่ถูกเจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียงเรียกว่า ‘เจ้าขุนเขา’ กระทืบไปด่าอย่างเดือดดาลไปด้วย “มองเข้าสิ! มองให้มาก! เบิกตากว้างมองให้ข้าผู้อาวุโสเสียดีๆ!”

เจียงซ่างเจินไม่ได้รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ถูกต้อง สีหน้าของเขาเป็นธรรมชาติราวกับกำลังชมทิวทัศน์ที่งดงามอย่างไรอย่างนั้น น่าเสียดายข้างมือไม่มีสุรา นี่คือความบกพร่องเพียงหนึ่งเดียวในความสมบูรณ์แบบแล้ว

พี่น้องเฉินไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกยุทธคอขวด…ขอบเขตยอดเขา สามารถมองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบของใบถงทวีปได้เลย

เจียงซ่างเจินชำเลืองตาไปเห็นลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ปากอ้าตาค้างอยู่ด้านข้างก็หัวเราะ ยังอ่อนเยาว์เกินไปนัก ‘เฉินผิงอัน (เขียนด้วยชื่อในนิยายของเฉินผิงอัน พ้องเสียงกับชื่อเฉินผิงอันตัวจริง) ผู้รักหยกถนอมบุปผา’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในแจกันสมบัติทวีป คงจะรู้จักกระมัง? ก็คือเจ้าขุนเขาหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเจ้าหยางผู่นี่ไง ชื่อเสียงสมคำเล่าลือมากเลยใช่หรือไม่?

เจียงซ่างเจินกระแอมเบาๆ สองสามที เอามือที่กำเป็นหมัดมาวางไว้ข้างปาก ยิ้มจนตาหยี

ในช่วงเวลาที่ไม่อยากจะหวนกลับไปนึกถึง ช่วงเวลาที่ทุกวันต้องอยู่ท่ามกลางความเป็นความตายเหล่านั้น มีบางเรื่องราวที่ทำให้เจียงซ่างเจินรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาได้บ้าง

ยกตัวอย่างเช่นได้เจอกับแม่นางน้อยหน้ากลมคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างถูกคอ หรือยกตัวอย่างเช่นฝ่ายในของเผ่าปีศาจที่มีคำกล่าวว่าใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวานที่แพร่หลายอย่างยิ่ง จนเป็นเหตุให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต่อทั้งบนและล่างภูเขาของใบถงทวีป ไม่ต้องสนว่าใช้วิธีการใดถึงมีชีวิตอยู่รอดมาได้ ต่างก็เคยได้ยินคำกล่าวที่มีน้ำหนักอย่างมากนี้ บวกกับรายชื่อคนรุ่นเยาว์สิบคนของหลายใต้หล้า บุคคลอันดับที่สิบเอ็ดอันดับสุดท้ายก็คือ ‘อิ่นกวาน’ ดังนั้นบนยอดเขาของใบถงทวีปทุกวันนี้ต่างก็เสียดายกันอย่างมากที่ผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่คนนี้ ปีนั้นอายุยังไม่ถึงสี่สิบปี อายุน้อยๆ ก็เลื่อนสู่ตำแหน่งสูงขนาดนี้ได้แล้ว น่าเสียดายที่ติดตาม ‘นครบินทะยาน’ ไปยังใต้หล้าแห่งที่ห้าแล้ว ไม่อย่างนั้นหากอยู่ในใต้หล้าไพศาล ขอแค่ได้ร่วมมือกับพวกฉีถิงจี้หรือลู่จือไม่ว่าคนใดก็ตาม หรืออาจจะก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาด้วยตัวเองไปเลย ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าไพศาลบ้านของตนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องมีเจ้าสำนักเซียนกระบี่หนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบนโลก แต่กลับลุกผงาดอย่างว่องไวเพิ่มมาคนหนึ่งแน่นอน ที่สำคัญที่สุดก็คือคนผู้นี้ยังหนุ่ม ยังหนุ่มอย่างมาก!

ส่วนพวกผู้ฝึกตนใบถงทวีปที่อยู่กึ่งกลางภูเขานั้น แทบไม่มีความเข้าใจใดๆ ต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ จึงเคยชินที่จะมอง ‘เหนืออิ่นกวาน’ เป็นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปแล้ว

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+