กระบี่จงมา 764.3 บนยอดเขาจี้เซ่อ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 764.3 บนยอดเขาจี้เซ่อ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ริมลำน้ำใหญ่ หม่าขู่เสวียนอยู่คนเดียวลำพัง เขายืดแขนบิดขี้เกียจ ยืดเส้นยืดสายคลายกล้ามเนื้อ จากนั้นก็สอดสิบนิ้วเข้าด้วยกัน รอคอยการถามหมัดที่อุตส่าห์อดทนรออย่างยากลำบากมานานหลายปี ช่างมาถึงช้ายิ่งนัก ทำให้เขาต้องรอนานเหลือเกิน

แต่วันนี้น่าจะสามารถเปลี่ยนมาเป็นการถามกระบี่ได้แล้ว

อวี๋สืออู้สหายครึ่งตัวจากไปอย่างรู้กาลเทศะแล้ว อวี๋สืออู้ก็มีข้อนี้นี่แหละที่ดีที่สุด คำพูดดีๆ ที่ระคายหูเหล่านี้ ยินดีจะพูดครั้งสองครั้ง แต่กลับไม่พูดมากนัก ไม่ทำให้คนรู้สึกรังเกียจ

คนชุดเขียวที่หันหลังให้กับประตูใหญ่ของศาลลำน้ำเดินมาข้างหน้าอย่างเชื่องช้า มือกระบี่ที่เกิดมาก็ถนัดซ้ายห้อยกระบี่ไว้ทางฝั่งขวา นิ้วโป้งมือขวาดันด้ามกระบี่ ไม่รีบร้อนผลักกระบี่ออกจากฝัก

กระบี่ยาวเล่มนี้มีชื่อว่า ‘เย่โหยว’ (เที่ยวเตร่ยามค่ำคืน/เดินทางยามค่ำคืน)

พกกระบี่เย่โหยว แสงกระบี่ที่ส่องออกมาด้านนอกสว่างจ้าราวกับแสงจันทร์ ท่ามกลางม่านราตรีของโลกมนุษย์ มือกระบี่ถือกระบี่ ประหนึ่งถือโคมถือเทียน

หม่าขู่เสวียนใช้เสียงในใจถามมาแต่ไกล “จะให้ข้าสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาหรือไม่? กฎเดิม วาดวงกลมวงหนึ่ง ใครพ้นออกนอกวงคนนั้นแพ้?”

เฉินผิงอันค้อมเอวลงเล็กน้อย มือซ้ายกำ ‘เย่โหยว’ ชักกระบี่ออกจากฝัก แล้วพุ่งกระโจนไปข้างหน้า

เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง เฉินผิงอันหนึ่งคนหนึ่งกระบี่พาหม่าขู่เสวียนที่อยู่ริมลำน้ำใหญ่หายตัวไปจากฟ้าดินแห่งนี้ด้วยกัน

สองครั้งที่ได้ต่อสู้กับหม่าขู่เสวียน แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นเฉินผิงอันที่เงียบงันเป็นคนใบ้ หม่าขู่เสวียนเป็นคนที่ชอบพร่ำพูดไม่หยุด หลังจากวันนี้ไป นิสัยที่ไม่ค่อยดีนี้ เชื่อว่าหม่าขู่เสวียนต้องแก้ไขอย่างแน่นอน

นกในกรง หม่าขู่เสวียนเข้ามาในฟ้าดินที่ปราณกระบี่ตัดสลับถักทอ กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เขาหรี่ตาลง เห็นเพียงว่าตรงม่านฟ้าพลันมีแสงจุดหนึ่งโผล่พรวดออกมา

ระหว่างแสงกระบี่หนึ่งจุดกับหม่าขู่เสวียนที่ยังคงหยุดนิ่งไม่ขยับนั้น ฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน ก่อนจะค่อยๆ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างทององค์แล้วองค์เล่าลุกขึ้นมายืนตระหง่าน กายธรรมร่างทองบางส่วนเป็นของแท้แน่นอน บางส่วนเป็นวัตถุในจินตนาการของหม่าขู่เสวียน สรุปแล้วมีมากถึงสิบสององค์

สิ่งศักดิ์สิทธิ์ร่างสูงตระหง่านง้ำทั้งสิบสององค์หยุดลอยอยู่กลางอากาศ ใต้ฝ่าเท้าล้วนเหยียบอยู่บนดวงดาวเก่าแก่ซึ่งเป็นสิ่งที่หม่าขู่เสวียนจินตนาการออกมาเช่นกัน

ส่วนหม่าขู่เสวียนนั้นถูกย่อส่วนจนเหมือนเมล็ดงาหนึ่งเมล็ด ประหนึ่งจิตหยินเดินทางไกลของผู้ฝึกตนที่ออกมาท่องเที่ยวนอกฟ้า แล้วมองเห็นตะวันจันทราดารานั้นอยู่ไกลๆ

ท่ามกลางฟ้าดินเล็กของผู้อื่น เกิดเป็นฟ้าดินเล็กของตัวเอง

หนึ่งกระบี่ฟันฉับลงมา แสงกระบี่ที่เดิมทีเป็นเส้นตรงทยอยกันเกิดการหักงอสิบเอ็ดครั้ง แต่กระนั้นก็ยังคงเป็นหนึ่งกระบี่ที่ฟันเข้าใส่ร่างทองสิ่งศักดิ์สิทธิ์สิบสองร่างที่บ้างจริงบ้างเท็จเหล่านั้น

หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด เรือนกายที่เล็กเท่าเมล็ดงาถึงกับกลายมาเป็นภาพมายาไปโดยตรง

ทว่าหลังจากที่ร่างของหม่าขู่เสวียนหายไป ฟ้าดินเล็กปราณกระบี่นกในกรงกลับเริ่มขยายใหญ่ด้วยตัวเอง เพราะว่ามีซากปรักบรรพกาลแห่งหนึ่งผุดลอยขึ้นมา คือธารดวงดาวผืนใหญ่ที่หมุนเป็นน้ำวน

พอจะมองเห็นประตูสวรรค์สูงตระหง่านสี่บานที่ตั้งอยู่คนละด้านได้รำไร ถูกกลบทับถูกสาดสะท้อนอยู่ท่ามกลางความพร่างพราวของธารดวงดาว

ท่ามกลางน้ำวนธารดวงดาวนั้นมีเส้นด้ายสีทองเส้นหนึ่งที่สะดุดตาอย่างถึงที่สุด

สองด้านตะวันออกและตะวันตก ตะวันจันทราลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง อีกทั้งต่างฝ่ายต่างก็ลากดึงเอาเส้นทางเดินขึ้นสู่สวรรค์ที่เป็นแสงเจ็ดสีอยู่ในรูปลักษณ์เป็นเกลียวเหมือนก้นหอยขึ้นมา

ก่อนศึกใหญ่ที่หอบเอาสองใต้หล้าเข้ามารวมไว้ด้วยกัน หอบินทะยานสองแห่ง แห่งหนึ่งคือ ‘ซุ้มก้ามปู’ ที่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในสภาพสมบูรณ์แบบ แห่งหนึ่งคือภูเขาทัวเยว่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เส้นทางขาดสะบั้นไปนานแล้ว ดินแดนแห่งการบินทะยานก็คือ ‘สรวงสวรรค์’ ที่แม้แต่บรรพจารย์ของสามลัทธิก็ยังไม่อาจทำลายตราผนึกได้อย่างสิ้นเชิง เพราะ ‘ตราผนึกขุนเขาสายน้ำ’ ของที่นั่นคือดวงดาวที่มีจำนวนหลายพันหลายหมื่น ล้วนจำแลงมาจากโครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จากนั้นก็เชื่อมโยงผูกพันเข้ากับแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวที่เป็น ‘ความจริงบางอย่าง’ ซึ่งจำแลงมาจากมหามรรคาเส้นหนึ่ง

หากจะพูดถึงเรื่องค่ายกล ซากปรักของสรวงสวรรค์แห่งนั้นก็ถือเป็นต้นกำเนิดของค่ายกลในหลายใต้หล้า

สงครามใหญ่ในปีนั้นเคยมีผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์กลุ่มใหญ่ที่เนื่องจากไม่อาจถอยออกจากซากปรักสนามรบได้ทันเวลา ร่างอยู่ข้างในนั้นเป็นเวลานาน นาทีใดนาทีหนึ่งเลือดเนื้อจึงถึงกับค่อยๆ ยุ่ยสลายกลายเป็นโครงกระดูกที่ตั้งวางอยู่ ก่อนจะสร้างเป็นร่างทองขึ้นมา สุดท้ายภายใต้การชักนำของค่ายกล อาศัยนิสัยแห่งเทพชนิดหนึ่งที่ซุกซ่อนอยู่ของตัวเองมาทำการผสานมหามรรคาด้วยตัวเอง สลัดนิสัยของมนุษย์ทิ้งไปอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหม่เอี่ยมหลายองค์…จากนั้นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ ส่วนหนึ่งจะถูกกักขังไว้ในศาลบรรพบุรุษใหญ่หรือไม่ก็สำนักแห่งต่างๆ ของสำนักการทหาร ส่วนหนึ่งถูกผู้ฝึกกระบี่ฆ่าตายคาที่ ต่อให้ร่างทองจะแหลกสลาย จิตวิญญาณปลิวกระจาย แต่กลับยังคงถูกกักอยู่ท่ามกลางซากปรักเป็นเวลานาน ผสานรวมเป็นหนึ่งกับค่ายกลใหญ่

เล่าลือกันว่าศาสดาพุทธคือคนสุดท้ายที่ถอยออกจากซากปรักแห่งนี้ แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจคลายตราผนึกที่แท้จริงออกได้ เพราะต่อให้จะขาดอีกแค่เสี้ยวเดียวก็ยังคงต่างราวฟ้ากับเหว ผลลัพธ์ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย สรวงสวรรค์ที่มองดูเหมือนกลายเป็นซากปรักหักพังล้วนจะกลับคืนมาเป็น ‘หนึ่ง’ นั้นดังเดิม หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์กลับคืนสู่ตำแหน่งของตัวเอง และได้รับการ ‘ชดเชยส่วนที่ขาด’ ก็อาจถึงขั้นกลับคืนสู่โฉมหน้าของตอนก่อนเกิดศึกใหญ่ได้เลย

ตอนนั้นคนที่คอยคุมหลังให้กับศาสดาพุทธได้แยกกันยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับประตูสสวรรค์สี่แห่งที่ปริแตก ค้ำยันฟ้าดิน ปรมาจารย์มหาปราชญ์ มรรคาจารย์เต๋า บรรพจารย์สำนักการทหาร เฉินชิงตู ‘ผู้ฝึกกระบี่หนุ่ม’

เรื่องราวปฏิทินเหลืองเก่าแก่ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางถูกบันทึกลงในหน้าตำราเหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่อาเหลียงเล่าให้เฉินผิงอันฟังหลังจากที่หวนคืนกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ในครานั้น

ส่วนเทวบุตรมารนอกโลกที่ป๋ายอวี้จิงคอยสยบกำราบ ผีวิญญาณที่ดินแดนพุทธสุขาวดีปราบปราม รวมไปถึงหลี่เซิ่งที่เฝ้าพิทักษ์นอกฟ้า ในระดับใหญ่แล้วก็ล้วนถือเป็นการป้องกันช่องโหว่ทุกอย่าง ป้องกันไม่ให้กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลฉวยโอกาสเสริมสร้างกองกำลังให้แข็งแกร่ง เผ่ามนุษย์ฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์ แต่ไม่ว่าจะเป็นเทวบุตรมารนอกโลกหรือภูตผี แม้กระทั่ง ‘คนใหม่’ บางคนของนอกฟ้า ขอแค่ถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์จับกุมแล้วโยนเข้ามาไว้ในซากปรัก ขอแค่ผสานมหามรรคาได้ก็ไม่จำเป็นต้องฝึกตนแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็จะได้กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่ที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำทันที ได้หวนกลับคืนมาบนโลกมนุษย์ใหม่อีกครั้ง และการที่ในเวลาหมื่นปีของโลกยุคหลังหลายใต้หล้ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตำแหน่งสูงบางส่วนจุติกลับมาเป็นมนุษย์ได้อีกครั้ง เดิมทีก็เป็นการ ‘ขวางทาง’ ของการช่วงชิงบนมหามรรคาอย่างหนึ่ง ด้วยหวังให้เกิดหนึ่งในหมื่นนั้นขึ้นมา แล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหม่ที่ลุกผงาดขึ้นมากลางซากปรักก็จะไม่สามารถยึดครองตำแหน่งเทพที่สำคัญบางตำแหน่งได้ โดยเฉพาะตำแหน่งเทพสูงสุดทั้งหลาย

ส่วนหลี่เซิ่งและอริยะปราชญ์ศาลบุ๋น รวมไปถึงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานจำนวนเพียงหยิบมือ บวกกับบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักที่ได้ ‘ผสานมรรคากับมรรคาของตัวเอง’ เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่หลี่เซิ่ง ‘เปิดประตู’ ก็ต้องใช้การแสดงออกของมหามรรคาแต่ละรูปแบบ ถึงจะสามารถสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ใหม่เหล่านั้นได้ นั่นคือการช่วงชิงบนมหามรรคาทั้งใหม่และเก่าที่ทำให้มหามรรคาของแต่ละฝ่ายถูกพร่าผลาญให้ค่อยๆ หมดสิ้นไป นี่ก็คือต้นตอของสาเหตุที่ว่าทำไมบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักแทบทุกคนล้วนใช้ความรู้ในการพิสูจน์มรรคา แต่กลับมีน้อยครั้งนักที่จะเผยโฉมปรากฎกายอยู่ในใต้หล้าไพศาล เพราะพวกเขาที่ ‘พอกินอิ่ม’ อยู่ในไพศาลก็จำเป็นต้อง ‘ปฏิบัติตามกฎประเพณี’ ด้วยการไปยังนอกฟ้า

ดังนั้นในอดีตตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อาเหลียงก็ดี ศิษย์พี่จั่วโย่วก็ช่าง ต่างก็เคารพนอบน้อมต่อหลี่เซิ่งอย่างมาก

อาเหลียงยิ่งเคยบอกว่า ใต้หล้านี้มีคนสี่คนที่ไม่ว่าไปเยือนที่ไหนก็ล้วนได้กินดีอยู่ดี อีกทั้งทุกคนล้วนเคารพนับถือพวกเขาจากใจจริง

ท่านหนึ่งคือหลี่เซิ่งที่ใช้เหตุผลมากที่สุดในใต้หล้าไพศาลของพวกเรา ขณะเดียวกันก็ต่อสู้เก่งที่สุดด้วย กฎเกณฑ์หนัก เหตุผลหนักจะหล่นลงบนร่างของยอดฝีมือบนยอดเขาทุกคนเท่านั้น ส่วนที่หล่นลงบนบ่าของมนุษย์ธรรมดากลับเบายิ่ง

อีกทั้งใครที่ไม่ยินยอม หลี่เซิ่งที่น้อยครั้งนักจะปรากฏตัวในศาลบุ๋นก็จะเดินทางกลับจากนอกฟ้ามายังไพศาล เพื่อไปอธิบายเหตุผลกับศาลบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักบางแห่งด้วยตัวเอง

อาเหลียงบอกว่าเคยมีบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนักคนหนึ่งถูกบีบจนร้อนใจ จึงด่าทอหลี่เซิ่งว่าใช้ชื่อเสียงของอริยะผู้ทรงธรรมมากระทำการเผด็จการป่าเถื่อน ผลคือถูกหลี่เซิ่งที่ไม่พูดไม่จากระชากออกไปนอกฟ้าโดยตรง จากนั้นก็พูดคุยกันอย่างจริงจังนานถึงสามสิบปี เป็นการถามมรรคากันครั้งหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะหลี่เซิ่งจำเป็นต้องช่วยเสริมข้อบกพร่องของความรู้บ้านตัวเอง จึงต้องหยุดแต่พอสมควร ขาดอีกนิดเดียวฝ่ายหลังก็เกือบจะไปเป็นอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อแล้ว

อีกท่านหนึ่งก็คือลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋า เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง และยังมีพระโพธิสัตว์ของดินแดนพุทธะสุขาวดีที่กล่าวว่าหากนรกไม่ว่างเปล่า ก็ขอสาบานว่าจะไม่ตรัสรู้สำเร็จเป็นอรหันต์เด็ดขาด

เฉินผิงอันบอกว่าคนที่สี่ไม่ต้องพูดถึงแล้ว

อาเหลียงที่ปูพื้นอย่างยากลำบากมานานเป็นครึ่งๆ วันต้องมาอัดอั้นอีกเป็นครึ่งๆ วัน สุดท้ายรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสของพวกเราท่านนั้นจะไม่มีตำแหน่งฐานะในใจของเด็กอย่างเจ้าแม้แต่น้อย

ตอนนั้นอาเหลียงเดินอยู่บนถนนไท่เซี่ยง หยอกเย้าเฉินผิงอันประโยคหนึ่งว่า คำพูดโบราณบอกว่าฟ้าถล่มลงมามีคนตัวสูงแบกรับให้อยู่ ไม่หลอกลวงกันจริงๆ ขณะเดียวกันก็ใช้เท้าเตะเด็กน้อยตัวเท่าก้นที่ขนาดไม่รู้จักกันก็ยังกล้าพ่นน้ำลายแสดงความเลื่อมใสเขาออกไปให้พ้นทาง เตะจนเด็กคนนั้นไปนอนคว่ำเป็นเทพทวารบาลอยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ หลังจากร่างกระเด็นหล่นลงพื้นก็ร้องไห้จ้า จากนั้นก็มีสตรีออกเรือนแล้วคนหนึ่งวิ่งออกมาทันที ยิ้มด่าอาเหลียงว่าไร้มโนธรรม เหตุใดถึงใจดำกับบุตรชายแท้ๆ ของตัวเองได้ลงคอเช่นนี้…

ตอนนั้นอาเหลียงชำเลืองตามองเด็กชายที่นั่งอยู่บนพื้นร้องไห้จนหน้าลายพร้อยแวบหนึ่งแล้วถามเฉินผิงอันว่า หน้าตาเหมือนหรือไม่? เฉินผิงอันบอกว่ายังดี คงเป็นเพราะหน้าตาเหมือนแม่เขามากกว่า

สตรีผู้นั้นยกนิ้วโป้งให้ใต้เท้าอิ่นกวานทันใด ยิ้มเอ่ยว่านางคิดว่าจะให้บุตรชายถือโอกาสนี้รับพ่อบุญธรรมไปด้วยเลย พอเห็นเจ้าชาติสุนัขสองคนที่แสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ก้าวเดินเร็วๆ จากไป สตรีก็หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ

จากนั้นต่อมาเด็กชายคนนั้นไปอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้าพร้อมกับนครบินทะยาน สตรีและบุรุษของนาง เพียงแค่เพราะสามีคือก่อกำเนิด ต่อให้นางจะไม่ใช่เซียนดิน แต่นางก็ไม่ได้ติดตามไปด้วย

เวลานี้เฉินผิงอันยืนถือกระบี่อยู่นอกประตูสวรรค์บานหนึ่ง ถามว่า “ผู้ปกป้องมรรคาไม่อยู่ข้างกาย ก็ปล่อยมือปล่อยเท้าได้ไม่เต็มที่แล้วหรือ?”

เสียงหัวเราะของหม่าขู่เสวียนดังก้องไปทั้งฟ้าดิน “หาข้าให้เจอก่อนค่อยว่ากัน ดูสิว่าใครจะถูกผลาญปราณวิญญาณไปหมดก่อนกัน”

เฉินผิงอันไม่รีบร้อนปล่อยกระบี่ที่สองออกไป มือหนึ่งไพล่หลัง ใช้มือเดียวยันกระบี่ไว้กับพื้น แหงนหน้ามองประตูสวรรค์งดงามอลังการที่สูงตระหง่านเสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆ

เกี่ยวกับเรื่องของซากปรักสรวงสวรรค์ คฤหาสน์หลบร้อนไม่มีบันทึกลับใดๆ ระบุถึง แต่เพราะถูกอาเหลียงกระตุ้นความสนใจ เฉินผิงอันจึงเคยถามเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสองสามประโยค

เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้คำตอบที่ค่อนข้างคลุมเครือซึ่งไม่ถือว่าเป็นคำตอบ พูดแค่ว่าปีนั้นผู้ฝึกกระบี่แบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งมีเขาเป็นผู้นำ รู้สึกว่าในเมื่อไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เหนือหัวแล้ว อีกทั้งยังไม่อาจฮุบกลืนอาณาเขตแถบนี้ไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็ร่ายตราผนึกเอาไว้เสียเลย จะดีจะชั่วก็เป็นการมอบโอกาสให้กับคนรุ่นหลัง อย่างน้อยที่สุดในเรื่องนี้ เขาเฉินชิงตูและยังมีหลงจวิน กวนจ้าว ต่างก็ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับบรรพจารย์ของสามลัทธิ แต่ผู้ฝึกกระบี่อีกกลุ่มหนึ่ง และยังมีบรรพจารย์สำนักการทหาร ต่างก็รู้สึกว่าไม่ควรทำเช่นนี้ ฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าคุณความชอบใหญ่ที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งเปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยาน คิดว่าควรจะหาเรื่องให้กากเดนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่หนีไปแว้งกลับมาเอาคืนพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง จะต้องกลัวอะไร มาสิดี อย่างมากก็แค่พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่ายซึ่งถือเป็นการสะบั้นภัยแฝงที่อาจตามมาเบื้องหลังได้อย่างสิ้นเชิง อะไรที่บอกว่าฟ้าดินแหลกสลายเหลือแค่เจ็ดแปดส่วน อะไรที่บอกว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาจะระเบิดแตกไปนับแต่นี้ ไม่มีปราณวิญญาณฟ้าดินอะไรอีก คนรุ่นหลังไม่อาจฝึกตนได้ อย่างมากคนบนยอดเขาจำนวนน้อยนิดอย่างพวกเขานี้ก็แค่ไม่ต้องสนสรรพชีวิตที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอยู่ในฟ้าดินทั้งหลายอีกต่อไป ตายไปหมดแล้วอย่างไร พวกเขาก็ค่อยเปลี่ยนสถานที่แห่งใหม่ พักฟื้นไปอีกสักพันปีร้อยปี ถึงเวลานั้นก็ยังคงเป็นสถานการณ์ที่เผ่ามนุษย์มีเกียรติที่สุดอยู่ดี ส่วนสรรพชีวิตทั้งหลายในฟ้าดินของยุคหลังจะต้องตัดขาดเส้นทางการฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงไปนับแต่นี้ ก็ยังสามารถลดทอนเรื่องไม่คาดฝันมากมายบนมหามรรคาไปได้ไม่ใช่หรือ มหามรรคาฟ้าดินก็ยิ่งมีระเบียบยิ่งมั่นคง ฟ้าดินถูกตัดขาด คนและฟ้าแบ่งแยกจากกัน แม้แต่เรื่องที่มรรคาจารย์เต๋ากังวลใจก็ถูกลบเลือนให้หายไปพร้อมกันด้วย

เสียงของหม่าขู่เสวียนดังขึ้นอีกครั้ง เต็มไปด้วยการหยอกล้อ “เลือกจะต่อสู้กันที่นี่ หากคิดจะแบ่งแพ้ชนะล่ะก็ เจ้ากับข้าต้องแบ่งเป็นตายกันจริงๆ แล้ว อีกทั้งขอเตือนเจ้าสักคำ ฟ้าอำนวยดินอวยพรล้วนอยู่ที่ข้า ข้าสูญเสียวัตถุนอกกายบางอย่างไป แต่เจ้ากลับต้องสูญเสียตบะซึ่งเป็นของแท้แน่นอนไป สถานะเซียนกระบี่ที่ต้องทุ่มสุดชีวิตถึงจะช่วงชิงมาได้จากต่างบ้านต่างเมือง ได้มาไม่ง่ายเลย เหตุใดเพียงแค่กลับมาบ้านได้ไม่กี่ก้าวก็ไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่าให้ดีแล้วเล่า”

หม่าขู่เสียนจุ๊ปากพูด “นับแต่เด็กมาก็ยากจนจนกลัว พอมีเงินขึ้นมาก็วางท่าใหญ่โตแล้วหรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้ากับพวกเศษสวะบนภูเขาทั้งหลายที่ดีแต่จะโน้มน้าวให้ข้าออกแรงมากๆ หน่อย ก็ดูเหมือนจะไม่แตกต่างกันเท่าไรนะ”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่อาศัยโอกาสนี้มองประเมินประตูสวรรค์บานนั้นให้ดี

เพราะฟ้าดินแห่งนี้เป็นเพียงวัตถุที่เกิดจากจินตนาการของหม่าขู่เสวียนเท่านั้น ดังนั้นรายละเอียดมากมายล้วนมีความต่างไปจากความจริงที่เฉินผิงอันได้รู้มาอยู่มาก ส่วนดวงดาวและแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนั้นก็ยิ่งเป็นของประดับเป็นชั้นวางดอกไม้ที่มีไว้ข่มขู่คนอื่นเท่านั้น

เฉินผิงอันเก็บกระบี่กลับเข้าฝัก อีกทั้งยังเอาไปสะพายไว้ด้านหลังเหมือนเดิม เอ่ยว่า “พอเถอะ ซากปรักแห่งความคิดทั้งหมดนี้ก็คือตัวเจ้า ซ่อนอะไรกัน เจ้าคิดจริงๆ ว่าข้าทำอะไรเจ้าไม่ได้? การต่อสู้ครั้งที่สามในวันนี้ยังคงถือว่าเสมอกัน คราวหน้าควรเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น หากเจ้ายินดีจะแบ่งเป็นตาย ข้าก็จะให้โอกาสเจ้า”

นาทีถัดมาเฉินผิงอันก็เรียกจันทร์ในบ่อออกมา ค่ายกลกระบี่สี่แห่งที่พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามโผล่ขึ้นมาจากความว่างเปล่า กระบี่บินจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนธารดวงดาวสีขาวหิมะสี่เส้นที่พากันไหลกรูเข้าหาประตูสวรรค์สี่บานนั้นอย่างเกรียงไกร

ฟ้าดินเงียบสงัดไปพักหนึ่ง ดวงจิตดวงหนึ่งของหม่าขู่เสวียนจำแลงเป็นเรือนกาย มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “ไม่กลัวว่าข้าจะเปิดเผยรากฐานของกระบี่บินสองเล่มของเจ้าหรือ?”

เฉินผิงอันเอ่ย “เรื่องหนึ่งก็ส่วนเรื่องหนึ่ง ยังไม่ต้องพูดถึงบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเรา เจ้าคนนี้พอได้ทีก็โอ้อวดตัว เอะอะก็ฉีกหน้ากับผู้อื่น แต่อย่างน้อยที่สุดก็ยังคงเป็นคนที่ถูกต่อยจนฟันร่วงหมดปากแล้วยังยอมกลืนเลือดลงไป บอกตามตรง นอกจากข้าจะรำคาญเจ้าแล้ว กลับไม่ได้รู้สึกว่าการกระทำของเจ้าน่าสะอิดสะเอียนสักเท่าไร ในอดีตตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้าเจอผู้ฝึกกระบี่ที่นิสัยใจคอพอๆ กับเจ้าคนหนึ่ง ต้องขอบคุณเจ้า เพราะข้าพูดคุยกับเขาค่อนข้างถูกคอทีเดียว”

หม่าขู่เสวียนยิ้มเอ่ย “ข้ารับลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาคนหนึ่ง คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว คุณสมบัตินับว่าไม่เลว วันหน้าให้โอกาสเขาได้ถามหมัดแก่ภูเขาลั่วพั่ว สามครั้ง เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ได้ เงื่อนไขก็คือเขาต้องเอาชนะลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้าให้ได้ก่อน อีกทั้งเขาถามหมัดกับเผยเฉียนก็ถือว่าอยู่ในโอกาสสามครั้งนั้นด้วย”

หม่าขู่เสวียนกล่าว “ไม่มีปัญหา”

หม่าขู่เสวียนเอาสองมือสอดรองไว้ใต้ท้ายทอย เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “บอกตามตรง วิถีทางโลกใบนี้ทำเอาข้าสะอิดสะเอียนแทบแย่แล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเองก็ทำให้คนอื่นสะอิดสะเอียนไม่น้อยเหมือนกัน ไม่มีสิทธิ์พูดจาเช่นนี้”

หม่าขู่เสวียนหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบานใจ

เฉินผิงอันดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง ร่างถอยกรูดไปด้านหลัง ดวงจิตของหม่าขู่เสวียนก็ถอยตามไปด้วย คนทั้งสองคนเคียงบ่ากันอยู่ตลอดเวลา มองไปยังซากปรักบรรพกาลที่ลอยอยู่กลางอากาศสูงนั้นด้วยกัน

เฉินผิงอันพึมพำว่า “จันทราสายลมไร้ขอบเขตสิ้นสุด ฟ้าดินมีเส้นทาง”

หม่าขู่เสวียนหลุดหัวเราะพรืด “หนังสือไร้ค่ามากที่สุด”

ทั้งสองฝ่ายพากันเก็บฟ้าดินขนาดเล็กของตัวเองแทบจะเวลาเดียวกัน

ตรงริมลำน้ำใหญ่ ร่างของหม่าขู่เสวียนกลายเป็นสายรุ้งเส้นหนึ่งที่พุ่งตรงเข้าไปในเมืองหลวงแห่งที่สอง

เฉินผิงอันสะพายกระบี่ เดินกลับไปยังศาลลำน้ำใหญ่

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด