กระบี่จงมา 769.3 ระงับความตกใจ

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 769.3 ระงับความตกใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

โอสถทองผู้เฒ่าจากยอดเขาป๋าอวิ๋นโมโหจนผุดลุกขึ้นยืน ทั้งยังตั้งท่าเตรียมจะออกไปจากศาลบรรพจารย์ก่อน

ขณะเดียวกันผู้ฝึกกระบี่เฒ่าหลายคนที่เคยไปเยือนสนามรบของนครมังกรเฒ่าก็ล้วนมีท่าทีไม่ต่างกัน ขอแค่ทางฝั่งของยอดเขาป๋าอวิ๋นออกไปจากศาลบรรพจารย์ พวกเขาก็เลือกจะออกไปพร้อมกันด้วย

การประชุมในศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเสี้ยนมักจะเป็นเช่นนี้เสมอ เห็นกันบ่อยจนชินชาแล้ว

จู๋หวงขมวดคิ้วน้อยๆ ครั้งนี้ไม่ได้ปล่อยให้เซียนกระบี่โอสถทองคนนั้นจากไป เอ่ยเสียงเบาว่า “การประชุมในศาลบรรพจารย์จะออกไปก่อนโดยพลการได้อย่างไร”

โอสถทองผู้เฒ่านั่งกลับลงไปอีกครั้ง สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ตั้งใจไว้แล้วว่าจะแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้

หยวนเจินเย่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขายกสองแขนกอดอก ข่มกลั้นเอาไว้ไม่หาวออกมา ยังคงน่าเบื่อเช่นนี้เสมอ

จู๋หวงขยับเส้นสายตา โน้มร่างไปข้างหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บรรพจารย์หยวนมีกลยุทธ์ดีใดหรือ?”

เผชิญหน้ากับผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาตนนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนคอขวดขอบเขตก่อกำเนิดและยิ่งเป็นเจ้าสำนักอย่างจู๋หวง ก็ยังวางตัวนอบน้อมระมัดระวัง

วานรเฒ่าชุดขาวกระตุกมุมปาก เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “ตีเหล็กยังต้องให้ตัวเองแข็ง (เปรียบเปรยว่าจะทำอะไรตัวเองต้องมีความสามารถในการทำเช่นนั้นก่อน) รอให้เจ้าสำนักเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ ปัญหาทุกอย่างก็จะคลี่คลายไปได้เอง ถึงเวลานั้นหลังจากที่ข้าเอ่ยแสดงความยินดีกับเจ้าสำนักแล้วจะเดินทางไปเยือนทางเข้าที่ลำน้ำใหญ่ไหลลงสู่มหาสมุทรก็แล้วกัน”

จู๋หวงหัวเราะเสียงดังลั่นก้องกังวาน กุมหมัดเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนบรรพจารย์หยวนแล้ว”

ในศาลบรรพจารย์ แม้แต่เซี่ยหย่วนชุ่ยก็ยังกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาในชั่วพริบตา พากันหันไปมองเจ้าสำนักที่คอขวดยากจะฝ่าทะลุจนเป็นเหตุให้เขามักจะพร่ำบ่นเสมอว่าตัวเองไม่มีหวังกับห้าขอบเขตบน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรพบุรุษตระกูลเถาและผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ที่รับหน้าที่เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่รีบหันมาสบตากันอย่างที่ยากจะสังเกตเห็นทันที

มีเพียงหยวนป๋ายที่ทำหน้าที่เป็นเทพทวารบาลที่กลับกลายเป็นว่าหันหน้ามองไปนอกประตู

จู๋หวงไม่ยินดีจะพูดถึงเรื่องการปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขตของตนมากนัก จึงเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย หันไปผงกศีรษะให้เถียนหว่านที่ได้เลื่อนขั้นเป็นคนสนิท สตรีรีบหยิบสมุดเล่มหนึ่งออกมาทันใด ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “สำนักเจริญรุ่งเรือง ในสมุดได้บันทึกรายละเอียดของตัวอ่อนเซียนกระบี่ไว้สิบหกคน เก้าคนในนั้นอายุยังน้อย จึงยังไม่ได้กราบอาจารย์ วันนี้บรรพจารย์เจ้ายอดเขาแต่ละท่านสามารถมาลองเลือกดูได้”

คำว่าตัวอ่อนเซียนกระบี่ แน่นอนว่าต้องหมายถึงผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่มีหวังจะได้กลายเป็นโอสถทอง

หลักๆ แล้วมาจากราชวงศ์จูอิ๋ง หากพบตัวก็จะถูกส่งมาที่ภูเขาตะวันเที่ยงทันที นอกจากนี้ก็เป็นอาณาเขตทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีปที่ขุนเขาสายน้ำพังทลาย ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เซียนกระบี่แทบทุกคนของภูเขาตะวันเที่ยงล้วนต้องลงจากภูเขาไปตามหาตัวอ่อนเซียนกระบี่มาให้ทางสำนักโดยเฉพาะ ถ้าถอยมาเลือกลำดับรอง หากเจอกับวัตถุดิบชั้นเยี่ยมในการฝึกตนบนภูเขาก็ไม่อาจพลาดได้เช่นเดียวกัน ส่วนทางฝั่งของใบถงทวีปก็มีเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดี เพราะเจอตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยสองคน

ขอแค่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ก็คือเรื่องน่ายินดีใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เพราะขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ฝึกตนอยู่ในสำนักก็ล้วนสามารถเพิ่มโชคชะตาบนวิถีกระบี่ให้กับภูเขาตะวันเที่ยงได้หนึ่งส่วน

ดังนั้นจู๋หวงเจ้าสำนักของทุกวันนี้ต้องไม่มีความรู้สึกปลงอนิจจังที่ว่า ‘ขอแค่เว่ยจิ้นมาเยือนภูเขาตะวันเที่ยงของข้าก็ยินดีถอยให้ปราชญ์ผู้ปรีชา’ อีกต่อไปแล้ว

หนึ่งเพราะคอขวดของตัวเขาเองเริ่มคลายออก คว้าจับโอกาสบนมหามรรคาได้เสี้ยวหนึ่ง มีหวังที่จะได้ฝ่าทะลุขอบเขต นอกจากนี้ภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ ในฐานะสำนักที่เลื่อนขั้นใหม่ของแจกันสมบัติทวีป มีครบถ้วนทั้งฟ้าดอำนวยดินอวยพรคนสามัคคี บางทีไม่ถึงร้อยปีก็อาจมีหวังว่าจะงัดข้อกับสำนักโองการเทพ ช่วงชิงตำแหน่งราชาบนภูเขาของหนึ่งทวีปมาครอบครองดูได้

จะไม่ให้คนฮึกเหิมห้าวหาญได้อย่างไร ดังนั้นหลายปีมานี้จู๋หวงจึงดูเหมือนหนุ่มขึ้นอีกร้อยกว่าปีทันใด

จู๋หวงพลันถามว่า “ทางฝั่งของหลงโจวต้าหลี โดยเฉพาะที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวแห่งนั้น ดูเหมือนว่าจะมีความเคลื่อนไหวที่ไม่ปกติเกิดขึ้น?”

สกุลสวี่นครลมเย็นซื้อเตาเผามังกรแห่งหนึ่งจากตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวา นอกจากนี้ในอำเภอไหวหวง ภูเขาตะวันเที่ยงก็มีความสัมพันธ์ควันธูปอย่างลับๆ อยู่กับถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่

เพียงแต่ว่าตลอดหลายปีมานี้ไม่เคยได้รับรายงานข่าวที่มีประโยชน์ใดๆ เลย ภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อซานจวินขุนเขาเหนือ บวกกับที่ว่าการผู้ตรวจการที่สามารถยื่นฎีกาตอบคำถามฮ่องเต้ได้โดยตรง รวมไปถึงสำนักกระบี่หลงเฉวียนของหร่วนฉง ล้วนเป็นข้อห้ามในวงการขุนนางขุนเขาสายน้ำ ภูเขาตะวันเที่ยงไม่กล้ายื่นมือยาวเกินไปนัก แต่ระหว่างนี้ก็มีความน่ายินดีที่ไม่คาดฝันอย่างหนึ่ง นั่นคือตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา เย่ชิงจู๋เหนียงเนียงเทพวารีแม่น้ำอวี้เย่ได้ทยอยรายงานข่าวลับหลายฉบับมาให้กับทางภูเขาตะวันเที่ยง นี่ถึงทำให้ภูเขาตะวันเที่ยงได้รู้ว่าภูเขาลั่วพั่วมีผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตไม่ต่ำอยู่หลายคน แล้วก็ช่วยเรียบเรียงความสัมพันธ์ควันธูประหว่างภูเขาลั่วพั่วกับภูเขาพีอวิ๋นให้พวกเขารู้คร่าวๆ ยกตัวอย่างเช่นท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวแบ่งส่วนแบ่งกันอย่างไร รวมไปถึงร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีแห่งนั้นซึ่งมีหลิวเสี้ยนหยางที่อำพรางสถานะผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของตัวเองไว้อย่างลึกล้ำอาศัยอยู่

การประชุมในวันนี้ใช้เวลาไปถึงสองชั่วยามเต็มๆ ลำพังเพียงแค่การช่วงชิงตัวอ่อนเซียนกระบี่ระหว่างยอดเขาทั้งหลายก็เกือบจะต้องถามกระบี่กันแล้ว

กว่าจะไกล่เกลี่ยภูเขาทั้งหลายให้สงบอารมณ์กันได้ ต่อให้เป็นเจ้าสำนักจู๋หวงก็ยังอดเหนื่อยล้าไม่ได้ รอกระทั่งการประชุมสิ้นสุดลง แสงกระบี่แต่ละเส้นพากันย้อนกลับไปยังยอดเขาของตัวเอง จู๋หวงรั้งตัววานรเฒ่าชุดขาวไว้คนเดียว เดินออกมานอกศาลบรรพจารย์ด้วยกัน หลุบตาลงต่ำมองขุนเขาสายน้ำของหนึ่งสำนัก

จู๋หวงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บรรพจารย์หยวน ขอแสดงความยินดีด้วย”

เพราะผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่อยู่ข้างกายผู้นี้ อีกไม่นานก็จะได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตเหมือนกับเจ้าสำนักอย่างเขาแล้ว

หยวนเจินเย่พยักหน้ารับด้วยสีหน้าปกติ สองมือไหล่หลัง หรี่ตามองไปไกล วานรเฒ่าชุดขาวที่เรือนกายกำยำรู้สึกทอดถอนใจกับความยิ่งใหญ่ของกาลเวลา

จู๋หวงเอ่ยสัพยอก “ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่หลงเฉวียนคนหนึ่ง แล้วยังเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองด้วย บรรพจารย์หยวนระวังตัวไว้สักหน่อยจะดีกว่า”

วานรเฒ่าชุดขาวหลุดหัวเราะพรืด “หลิวเสี้ยนหยาง บวกกับเฉินผิงอัน เศษสวะน้อยสองคนนี้ ให้ข้าระวัง? ระวังอะไร ระวังว่าอย่าต่อยพวกเขาหนึ่งคนหนึ่งหมัดจนพวกเขาตายน่ะหรือ?”

จู๋หวงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นสถานะของคนหนุ่มทั้งสองก็ค่อนข้างเป็นปัญหายุ่งยาก คนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหร่วนฉง คนหนึ่งคือถุงเงินครึ่งหนึ่งของเว่ยป้อ ยังดีที่ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ หร่วนฉงเองก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเท่านั้น”

วานรเฒ่าชุดขาวหัวเราะหยัน “ตายดีๆ ไม่ยอมตาย จะรอให้ข้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก่อนแล้วค่อยมา? คิดว่าอดทนข่มกลั้นมายี่สิบกว่าปีก็สามารถแก้แค้นได้แล้วหรือ? ขอแค่เจ้าเศษสวะทั้งสองกล้ามารนหาที่ตาย ข้าก็จะเป็นคนส่งพวกเขาออกเดินทางเอง”

โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ตั้งอยู่ตรงท่าเรือป๋ายลู่ ชุยตงซานกับเจียงซ่างเจินเงี่ยหูตั้งใจฟังพร้อมๆ กัน ถึงอย่างไรค่ายกลพิทักษ์ภูเขาของสำนักหนึ่งก็ไม่ใช่แค่เครื่องประดับ คนทั้งสองจึงได้แต่ต้องใช้วิธีการเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง

คนทั้งสองได้ยินถ้อยคำห้าวเหิมของบรรพจารย์ย้ายภูเขาแห่งภูเขาตะวันเที่ยงท่านนี้ก็หันมามองหน้ากันตาปริบๆ เจียงซ่างเจินเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าที่ยังหวาดผวาไม่คลาย “ฟังจนข้าอกสั่นขวัญผวาไปหมดแล้ว”

ชุยตงซานรีบยื่นเหล้ากาหนึ่งส่งให้ “ระงับความตกใจเสียหน่อย”

……

เหมาเสี่ยวตงพาหลี่เป่าผิงและหลี่ไหว และยังมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสถานศึกษาหลี่จี้อีกกลุ่มใหญ่เดินทางท่องเที่ยวลงใต้ไปตลอดทาง ในที่สุดก็มาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้

กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีผู้ฝึกกระบี่อีกแล้ว

ไม่เพียงแค่กำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น แม้แต่ภูเขาห้อยหัว ร่องเจียวหลง สำนักอวี่หลง ล้วนเป็นดั่งหมอกควันที่ลอยผ่านตาไป

กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ถูกแบ่งออกเป็นสองท่อน บนผนังกำแพงสองช่วงที่หันหน้าเขาหาขุนเขาสายน้ำอันกว้างใหญ่ไพศาลของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แกะสลักตัวอักษรใหญ่เอาไว้มากมาย

น่าเสียดายต่งซานเกิงที่ใช้กระบี่พิฆาตเจ้าอารามดอกบัว อาเหลียงกับเหยาชงเต้าร่วมมือกันสังหารปีศาจใหญ่

แต่กลับไม่อาจแกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงเมือง สงครามใหญ่ดุเดือดรุนแรงเกินไป ไม่ทันได้แกะสลักตัวอักษร

ทว่าบนหัวกำแพงเมืองของอีกฝั่งหนึ่งนั้น ด้านบนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหลือเพียงครึ่งเดียวก็มีตัวอักษรใหญ่ถูกแกะสลักเอาไว้ไม่น้อย ทว่ากลับเป็นลายมือที่คนของกระโจมเจี่ยจื่อใช้โอ้อวดบารมีแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใดจนถึงทุกวันนี้ศาลบุ๋นก็ยังไม่ลบตัวอักษรเหล่านั้นทิ้งไป

ทุกวันนี้ผู้ฝึกตนไพศาลที่มาเที่ยวเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มีมากไม่ขาดสาย

บวกกับที่ใต้หล้าไพศาลได้สร้างท่าเรือตระกูลเซียนขนาดใหญ่มากสามแห่งมาตั้งอยู่ระหว่างใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้จะเรียกว่าท่าเรือ แต่แท้จริงแล้วขนาดกลับไม่เป็นรองเมืองหลวงของราชวงศ์ใหญ่เลย มีการขุดหน้าดินขนไม้ก่อสร้างอย่างยิ่งใหญ่ ศาลบุ๋นเป็นผู้นำ ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง หลิวเสียทวีป ธวัลทวีป ต่างก็ออกเงินออกกำลังคน

ก็เหมือนตะปูสามดอกที่ตอกเข้าไปในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

กลางอากาศเหนือท่าเรือแห่งหนึ่งในนั้นมีเรือกระบี่ขนาดใหญ่เท่าขุนเขาเกือบสองร้อยลำมาจอดประจำการณ์อยู่ กลบฟ้าบังดิน เป็นอาวุธหนักของสำนักโม่ที่ยังไม่เคยได้เอามาใช้ในสงครามใหญ่ หลังจากที่สงครามใหญ่ปิดฉากลงก็ได้เคลื่อนย้ายมายังใต้หล้าเปลี่ยวร้างช้าๆ

ส่วนท่าเรืออีกแห่งหนึ่งนั้นก็มีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่สร้างเมือง ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่ควบเป็นผู้เฝ้าพิทักษ์เมืองด้วย

จวี้จื่อแห่งสำนักโม่

ท่าเรือขนาดเท่านครใหญ่ยักษ์สามแห่งค่อนข้างคล้ายคลึงเมืองชิงหลูที่สำนักพีหมาสร้างไว้ในหุบเขาผีร้าย

นอกจากนี้แล้วหนึ่งในกุยซวีที่ตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรระหว่างเกราะทองทวีปและฝูเหยาทวีปก็ถูกศาลบุ๋นควบคุมไว้เช่นกัน

ตรงปากทางประตูใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ฉีถิงจี้ เผยเปย ฮว่อหลงเจินเหริน ไหวอิน เหล่าผู้แข็งแกร่งของไพศาลเหล่านี้ต่างก็ผลัดกันมาเฝ้าประจำการณ์ทุกๆ ช่วงสองถึงสามปี

คนชุดแดงผู้หนึ่งกับคนหนุ่มที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อทะยานลมออกมาจากหัวกำแพงเมือง มายืนอยู่บนซากปรักสนามรบทางทิศใต้ ทอดสายตามองไปยังตัวอักษรใหญ่แต่ละตัวที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองทางทิศเหนือ

เต้าฝ่า ฮ่าวหราน ซีเทียน

เหลยฉือจ้งตี้ (บ่อสายฟ้าสถานที่สำคัญ) เจี้ยนชี่ฉางฉุน (ปราณกระบี่คงอยู่ยาวนาน)

เฉิน ต่ง ฉี เหมิ่ง

หลี่ไหวแหงนหน้ามองตัวอักษรใหญ่ตัวหนึ่งในนั้นแล้วพูดทอดถอนใจ “อาเหลียงชาติสุนัข วันๆ เอาแต่พูดจาเหลวไหลเลื่อนเปื้อน ปีนั้นสนิทกับพวกเราสองพี่น้องก็คุยโม้ให้ฟังเป็นกระบุงโกย ทำเอาข้านึกว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของเขาไม่มีความจริงสักประโยค ที่แท้ก็เขาก็พอจะห้าวหาญ (เหมิ่ง) อยู่จริงเสียด้วย”

หลี่ไหวเบ้ปาก “ตัวอักษรนี้เขียนได้ยึกๆ ยือๆ นัก ใต้หล้านี้คงมีแค่ที่นี่ที่เดียว ต่อให้อาเหลียงมายืนต่อหน้าข้าแล้วตบอกบอกว่าเขาไม่ได้เป็นคนเขียน ข้าก็ไม่เชื่อหรอก”

หลี่เป่าผิงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย “กำแพงเมืองปราณกระบี่สองฝั่งไม่มีค่ายกลปกป้องแล้ว หากยังมีสงครามใหญ่เกิดขึ้นอีกก็จะไม่อาจกลับคืนมาเป็นดังเดิมได้อีกแล้ว”

หลี่ไหวเอ่ยปลอบใจ “จะไม่มีอีกแล้วล่ะ”

ต่อให้ไม่มีสงครามใหญ่มาทุบทำลาย ทว่าลมพัดฝนตก ถูกแดดแผดเผาสาดส่องอยู่ปีแล้วปีเล่า กำแพงก็จะต้องค่อยๆ หลุดลอก ถูกกัดกร่อนออกไป สักวันหนึ่งตัวอักษรทุกตัวบนหัวกำแพงเมืองก็จะเหลือเป็นเพียงร่องรอยที่พร่าเลือนเท่านั้น

ผู้เฒ่าคนหนึ่งสวมชุดสีเหลืองท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง ดวงตาปูดโปนเหมือนตาเหยี่ยว ผอมจนหนังหุ้มกระดูก กลายร่างเป็นสายรุ้งทะยานลมลงใต้มาจากหัวกำแพง แต่จู่ๆ กลับเปลี่ยนเส้นทางกะทันหัน พลิ้วกายลงบนพื้น อยู่ห่างจากข้างกายคนทั้งสองไปหลายสิบจั้ง ดูเหมือนว่าจะมาเพื่อชื่นชมตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนหัวกำแพงเช่นกัน

หัวกำแพงเมืองและม่านฟ้าในทุกวันนี้มีผู้ฝึกตนบนยอดเขาสองคนและอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นเฝ้าพิทักษ์ อีกทั้งการตรวจสอบเอกสารผ่านด่านล้วนเข้มงวดอย่างยิ่ง บวกกับที่เผ่าปีศาจทั้งหมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ถูกสกัดขวางให้อยู่ที่ภูเขาใหญ่แสนลี้และทางทิศใต้ของท่าเรือทั้งสามแห่ง ดังนั้นผู้ฝึกตนของใต้หล้าไพศาลที่มาเที่ยวเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่จึงปลอดภัยไร้กังวลยิ่งกว่าตอนที่มีผู้ฝึกกระบี่อยู่เสียอีก

หลี่เป่าผิงกับหลี่ไหวเตรียมจะจากไป

ผู้เฒ่าคนนั้นมีสีหน้าเป็นปกติ แต่กลับคล้ายจะร้อนใจเล็กน้อย ไม่สนใจมาดสูงส่งของยอดฝีมืออะไรอีก เป็นฝ่ายเปิดปากถามว่า “แม่นางท่านนี้แซ่หลี่ใช่หรือไม่? เคยถกความรู้ของระบบลัทธิเต๋ากับหยวนพางสายของหย่าเซิ่งที่สถานศึกษาหลี่จี้?”

หลี่เป่าผิงเบี่ยงตัวกลับมา พยักหน้าให้ผู้เฒ่าคนนั้น “เป็นข้าเอง”

การโต้วาทีครั้งนั้น หากฟังตามข่าวลือที่แพร่มาก็เป็นหลี่เป่าผิงที่แพ้ให้กับหยวนพาง

ตอนนั้นหลี่ไหวก็อยู่ด้วย รู้แค่ว่าเขาฟังอะไรไม่เข้าใจทั้งนั้น แต่มองหยวนพางที่อายุน้อยๆ ก็แต่งตำรา ‘อรรถาธิบายสัจธรรม’ ได้สามเล่ม ยามที่ถกความรู้ คำพูดคำจาสุภาพสง่างาม บุคลิกสุขุมเยือกเย็น มองดูแล้วกวนโอ้ยอย่างมาก หันมามองหลี่เป่าผิง นางกลับขมวดคิ้วบ่อยๆ เงียบคิดอยู่นาน หลายครั้งที่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด คล้ายกับปฏิเสธความคิดเห็นของตัวเอง

และหยวนพางก็คือหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า

เล่าลือกันว่าบ้านเกิดของเขาอยู่ที่ใต้หล้ามืดสลัว แต่กลับได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหย่าเซิ่ง

ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างเสียดายว่า “หยวนพางผู้นี้มาจากระบบสายตรงดั้งเดิมของลัทธิขงจื๊อ อีกทั้งในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหย่าเซิ่ง กลับกล้าพูดประโยคว่ามรรคาจารย์เต๋าและปรมาจารย์มหาปราชญ์ ‘อยู่ร่วมกันตั้งแต่ต้นจนจบ’ อะไรนั่น วิพากษ์วิจารณ์อย่างโอหัง ไม่สมควรเอาเสียเลย”

หลี่เป่าผิงยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสมีอะไรก็พูดมาตรงๆ มีธุระก็ว่าธุระมาได้เลย ไม่ต้องแสร้งทำเป็นเกรงใจข้าหรอก”

ความนัยในคำพูดของนางก็คือ คนที่สามารถเอ่ยประโยคเช่นนี้ได้แสดงว่าไม่เข้าใจการโต้วาที ‘สามลัทธิ’ ในครานั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ในเมื่อไม่เข้าใจก็ย่อมไม่ได้มาเพื่อประลองความรู้ ถ้าอย่างนั้นการมาตีสนิทในวันนี้ แสดงว่าต้องมีเจตนาอย่างอื่นแน่นอน

ผู้เฒ่ามีสีหน้ากระอักกระอ่วน เขาไม่สนใจเรื่องการโต้เถียงของพวกบัณฑิตที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำจริงๆ แล้วก็ไม่เข้าใจเลยด้วย การเดินทางมาเยือนใต้หล้าไพศาลในครั้งนี้มาอย่างระมัดระวัง หวาดหวั่นกริ่งเกรง วิ่งไปโน่นมานี่จนขาหวิดจะขาดเสียแล้ว ลำบากอย่างมาก ผู้เฒ่าชำเลืองตามองไปยังภูเขาแสนลี้ที่อยู่ทางทิศใต้ ในที่สุดก็อยู่ห่างจากบ้านตนมาไม่ไกลแล้ว หากครั้งนี้ตนยังต้องกลับไปมือเปล่าอีก คาดว่าขาทั้งสี่คงต้องถูกเฒ่าตาบอดผู้นั้นตีหักไปสองขาแน่

แต่ถึงแม้ผู้เฒ่าจะร้อนใจราวกับมีไฟลน สีหน้าก็ยังคงเป็นธรรมชาติ เอ่ยแนะนำตัวว่า “ข้าผู้อาวุโสมีฉายาว่าหลงซานกง คือผู้ฝึกตนอิสระของทักษินาตยทวีป เคยอ่านตำราอริยะปราชญ์มาบ้าง จึงเลื่อมใสความรู้ของสายเหวินเซิ่งจากใจจริง…”

หลี่เป่าผิงยิ้มถามทันใด “ขอถามท่านอาจารย์ผู้เฒ่าว่าเหตุใดเมื่อสันดานเดิมที่ติดตัวมาเกิดการเปลี่ยนแปลง จึงเกิดการกระทำของมนุษย์ในภายหลัง เหตุใดเมื่อแบ่งแยกมนุษย์ออกจากกัน จึงทำให้มนุษย์รวมกลุ่มอยู่ร่วมกันในสังคมได้?”

ผู้เฒ่าชุดเหลืองที่มีฉายาว่าหลงซานกงเริ่มลนลานทำอะไรไม่ถูก รู้สึกว่าแม่นางน้อยช่างรับมือได้ยากยิ่งนัก จึงได้แต่ ‘เปิดเผยอย่างจริงใจ’ ด้วยการเอ่ยว่า “บอกตามตรง ข้าผู้อาวุโสเข้าใจความรู้ของอริยะปราชญ์แต่ละสายของศาลบุ๋นเพียงครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น แต่มีเพียงสายเหวินเซิ่งที่นับตั้งแต่ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งผสานมรรคากับสามทวีป ไปจนถึงเหล่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายบุ๋นแต่ละคนร่วมกันกอบกู้สถานการณ์ที่จะล้มคว่ำลง ความเลื่อมใสจริงใจนั้นไม่มีความเสแสร้งเจือปนแม้แต่น้อย”

สายของเหวินเซิ่ง จั่วโย่ว เฉินผิงอัน ชุยฉาน

จั่วโย่วออกกระบี่อยู่ที่นี่ เฉินผิงอันรับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน

ขุนเขาสายน้ำพลิกกลับ ชุยฉานข้ามทวีปเดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้ สลายตบะของขอบเขตสิบสี่มาผสานรวมกับฟ้าดินสองแห่ง กลายเป็น ‘กำแพงเมืองปราณกระบี่’ แห่งที่สอง สะบั้นทางถอยหนีของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปอย่างสิ้นเชิง บีบให้บรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่จำต้องแบ่งจิตใจแบ่งกำลังกายมาสร้างกุยซวีสามแห่งบนมหาสมุทร ไม่อย่างนั้นภายในเวลาร้อยปีก็อย่าหวังว่าจะซ่อมแซมแก้ไขระดับการวัดแม่น้ำแห่งกาลเวลาและมาตรฐานการวัดน้ำหนัก ความจุและความยาวของสองฟ้าดินได้ การที่ระเบียบพิธีการทางสังคมพังทลายอย่างที่มองไม่เห็นเช่นนี้ ผลกระทบที่มีต่อมนุษย์ธรรมดามีไม่มาก แต่กลับเดือดร้อนไปถึงผู้ฝึกตนทุกคนของสองใต้หล้า จิตมารจะฉวยโอกาสเข้ามาก่อกวนอาละวาด มีแต่จะเป็นดั่งพืชหญ้าที่ขึ้นรกชัฏลามไปทั่วทุกหนแห่ง จิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตนไม่มีช่องโหว่ ทว่าฟ้าดินพังทลาย ช่องโหว่เล็กๆ จะต้านทานรูโหว่ของฟ้าดินได้อย่างไร อีกทั้งยิ่งแก้ไขซ่อมแซมช้าเท่าไรก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อฟ้าอำนวยมากเท่านั้น

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด