กระบี่จงมา 774.3 หนิงเหยามาพบเฉินผิงอัน

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 774.3 หนิงเหยามาพบเฉินผิงอัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

คงต้งฮูหยินลุกขึ้นยืน ถามว่า “เจ้านครเส้าต้องการอะไรเชิญพูดมาได้เลย ขอแค่เป็นเรื่องที่ข้าสามารถทำได้ ข้าจะไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน ต่อให้จะต้องให้ข้าไปขอ ‘กระจกหยกฉางโจว’ สี่ร้อยม้วนมาจากเยี่ยนเหมินจวิ้นกง หรือ ‘บันทึกภาพชวีอวี่’ ชุดที่ชุยเสียลวี่เป็นผู้เรียบเรียงและอวี๋เน่ยสื่อเป็นผู้แก้เสริม ก็ล้วนไม่มีปัญหา เชื่อว่าทางฝั่งนครเถียวมู่ของหลี่สือหลางก็คงรอคอยอย่างยากลำบากมาหลายปีแล้ว เพียงแต่ว่าตำราบันทึกย่อของตำหนักกวานเหวินตงตู ข้าไม่อาจไปแตะต้องได้ หวังว่าเจ้านครเส้าจะไม่ทำให้คนลำบากใจ”

สองสถานที่อย่างคูคลองหลงหลินเรือนซีย่วนและอารามกวานเหวินตงตูของนครเปิ่นโม่ มีหนังสือเก็บสะสมไว้หลากหลายและสมบูรณ์แบบมากที่สุด รวมแล้วมีมากถึงสี่ล้านกว่าเล่ม แต่หนังสือส่วนที่ล้ำค่าหายากมากที่สุดกลับไม่อาจทำการแลกเปลี่ยนกับนครเถียวมู่ได้ และหลี่สือหลางก็ทำอะไรเรื่องนี้ไม่ได้

เส้าเป่าเจวี้ยนมองจูซู่แวบหนึ่ง คงต้งฮูหยินก็หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ไม่รั้งตัวเจ้าไว้แล้ว”

สายตาของจูซู่แฝงแววตำหนิ วางจอกเหล้าลง มือหนึ่งจับปกคอเสื้อ อีกมือหนึ่งหิ้วรองเท้าสองข้าง ลุกขึ้นยืนอย่างนวยนาด พูดเสียงเบาด้วยดวงตาหยาดเยิ้ม “รวมข้าไปอีกคน จะไม่ยิ่งดีกว่าเดิมหรอกหรือ”

คงต้งฮูหยินแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หลังจากที่เรือนกายของจูซู่หายวับไป เส้าเป่าเจวี้ยนถึงได้เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้ต้องการหนังสือสะสมหายากเหล่านี้จากอู๋ฮูหยิน เพียงแต่อยากจะขอร้องเรื่องหนึ่ง หวังว่าอู๋ฮูหยินจะเปิดตราผนึกของนครในเวลาใดเวลาหนึ่ง จะได้ทำให้ใครบางคนไม่ต้องถูกมหามรรคาของนครเปิ่นโม่พันธนาการ สามารถออกกระบี่ได้หนึ่งครั้ง และส่งกระบี่อย่างเต็มกำลังสามครั้งต่อคนผ่านทางคนหนึ่งของเรือข้ามฟากก็พอ”

คงต้งฮูหยินขมวดคิ้วน้อยๆ “เจ้านครเส้าจะฆ่าคน คือเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อยู่ข้างกายหญิงสาวคนนั้นหรือ?”

เส้าเป่าเจวี้ยนพยักหน้า “คือคนผู้นี้”

คงต้งฮูหยินเดินไปข้างราวรั้วหยกขาว ยื่นนิ้วเรียวยาวข้างหนึ่งออกมาดันหว่างคิ้วเบาๆ ด้วยความเคยชิน รู้สึกตัดสินใจยากขึ้นมาในฉับพลัน

ก่อนหน้านี้หญิงสาวที่ถือไม้เท้าเดินป่าถึงขั้นสามารถสบตากับตนไกลๆ จากในนครเถียวมู่ นี่ทำให้คงต้งฮูหยินตกตะลึงมากแล้ว

ส่วนใครบางคนที่เส้าเป่าเจวี้ยนพูดถึงนั้น ก็คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินที่ถูกเรือราตรีพันธนาการมาพันปี นามว่านแซ่ฉวิน มีชาติกำเนิดเป็นช่างทำหยก เวลานี้ยังคอยวิ่งช่วยงานยกชาส่งน้ำที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งอยู่เลย

รูปแบบเงินร้อนน้อยในใต้หล้าไพศาลมีการแก้ไขปรับเปลี่ยนใหม่อยู่หลายครั้ง สุดท้ายก็ยังคงเลือกรูปแบบการสร้างของช่างทำหยกท่านนี้ และเงินเทพเซียนสามชนิดบนภูเขาอย่างเงินเกล็ดหิมะ เงินร้อนน้อยและเงินฝนธัญพืช ในบรรดานั้นก็มีเพียงเงินร้อนน้อยที่เลือกรูปแบบเป็นอักษรจ้วน ผู้ริเริ่มก็คือว่านฉวินผู้ที่ผู้คนให้การยอมรับว่าเป็นคนลุ่มหลงในรักผู้นี้นั่นเอง และช่างทำหยกที่มีชื่อเสียงซึ่งสุดท้ายได้กลายเป็นเซียนกระบี่ผู้นี้ การที่เป็นฝ่ายมาเยือนเรือราตรี อีกทั้งยังกลายมาเป็นเด็กรับใช้คอยวิ่งช่วยงานผู้อื่นอยู่ในนครเปิ่นโม่ แน่นอนว่าก็เพื่อทำให้คงต้งฮูหยินเปลี่ยนใจ กลับมาสานวาสนาก่อนหน้านี้กับเขาต่ออีกครั้ง

ในระหว่างที่คงต้งฮูหยินกำลังสองจิตสองใจ นางกับเส้าเป่าเจวี้ยนก็เงยหน้ามองผืนฟ้าแทบจะเวลาเดียวกัน

แสงกระบี่เหมือนสายรุ้ง สาดสะท้อนประกายแสงไปสี่ทิศ เปล่งวูบทีเดียวก็หายวับไป สุดท้ายเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นก็พลิ้วกายลงในนครป๋ายเหยี่ยน

คงต้งฮูหยินเหม่อลอย พึมพำว่า “ช่างเป็นสตรีที่โดดเด่นนัก”

เส้าเป่าเจวี้ยนกลับรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย

เพราะเขาเดาสถานะของเซียนกระบี่หญิงผู้นั้นออก หนิงเหยาผู้นำร้อยเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนนี้คือบุคคลอันดับหนึ่งบนยอดเขาอย่างสมศักดิ์ศรีของใต้หล้าแห่งที่ห้า

เดิมทีเรือราตรีก็เป็นอาวุธเซียนที่ลี้ลับจนมิอาจบรรยายได้ชิ้นหนึ่ง คนที่นั่งบัญชาการณ์เรือข้ามฟากก็ยิ่งมีตบะเทียบเท่าขอบเขตบินทะยาน

ชงเชี่ยนเซียนหญิงของหลิวเสียทวีปก่อนหน้านี้ รวมไปถึงเซียนกระบี่ที่จับมือกับนางเดินทางมาตามหาเรือข้ามฟากด้วยกันคนนั้น ต่างก็ไม่ได้อาศัยกระบี่พลิ้วกายลงเรือ แต่เหมือนกับเฉินผิงอัน นั่นคือขึ้นเรือมาก่อน แล้วค่อย ‘จอดเทียบท่า’ ที่เรือราตรีลำนี้ เพียงแต่ว่าชงเชี่ยนเห็นท่าไม่ดี เซียนกระบี่ข้างกายจึงได้แต่ใช้กระบี่ฟันเปิดทาง และทางฝั่งเรือราตรีก็ไม่ได้จงใจขัดขวางเท่านั้น เกี่ยวกับความตื้นลึกของรากฐานเรือใต้ฝ่าเท้าลำนี้ ต่อให้เส้าเป่าเจวี้ยนจะเป็นหนึ่งในสิบสองเจ้านคร ก็ยังไม่กล้าพูดว่าตนมองเห็นความจริงออกอย่างกระจ่างแจ้ง

ร่างของเส้าเป่าเจวี้ยนพลันเปล่งวูบหายไป ถึงกับออกไปจากนครเปิ่นโม่โดยที่ไม่อาจควบคุมตัวเองได้

คงต้งฮูหยินรีบยอบกายคารวะถือเป็นการให้ความเคารพใครบางคนอยู่ไกลๆ

เจตนารมณ์สวรรค์ยากจะคาดเดา

ในนครจีเฉวี่ยน

ริมแม่น้ำใหญ่ที่เฉินผิงอันผ่านทางไปก่อนหน้านี้ บุรุษสวมกวานสูงพาหลงปินหดย่อขุนเขาสายน้ำไกลหลายร้อยลี้ มาถึงจุดที่เป็น ‘ประตูเมือง’ ซึ่งเป็นสิ่งกีดขวาง จิตของเจ้านครจีเฉวี่ยนผู้นี้ขยับเคลื่อนไหวเล็กน้อย ผิวน้ำก็เหมือนกระดาษที่มีม้วนภาพสีขาวหิมะม้วนหนึ่งแผ่ปูออกมา ลวดลายตราประทับเจ็ดสิบแปดสิบอันขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันทยอยกันลอยขึ้น มีตัวอักษรตราประทับครบทั้งสีชาดและสีขาว

ตราประทับที่เป็นชิ้นหลักก็คือ ‘เซียนสุราร่ายบทกวี กระบี่ร่วมหมื่นปี’

เป็นประโยคที่เจ้านครจีเฉวี่ยนหนึ่งในสี่นครบนผู้นี้นำมาใช้ฉวยโอกาสหยอกเย้าเจ้านครหวงแห่งนครป๋ายเหยี่ยน ฝ่ายหลังชอบพูดว่าจะเป็นเซียนหรือเป็นพระโพธิสัตว์ล้วนความหวังเลือนรางยากสำเร็จนักไม่ใช่หรือ

ตรงเอวของบุรุษห้อยหยกโบราณชิ้นหนึ่ง แกะสลักอักษรจ้วนคำว่าฟู่หลิงโหว นี่ก็คือการเย้ยหยันตัวเองแล้ว

เด็กหนุ่มข้างกายเจ้านครอดไม่ไหวแยกเขี้ยวยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์เฉินผู้นี้จะว่าสง่าก็สง่า จะว่าบ้านนอกก็บ้านนอกจริงๆ อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังเปิดร้านได้ ไม่เพียงขายเหล้าแลกเงิน ยังมีอารมณ์มาแกะสลักตราประทับมากมายพวกนี้อีก ไม่มีผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนไหนที่ทำเรื่องพวกนี้ได้หรอกนะ”

บุรุษสวมกวานสูงยิ้มเอ่ย “ได้ยินมาว่าตามหลังตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ยังมีตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ด้วย ทุกวันนี้แม้แต่ร้อยอันก็ยังสะสมได้ไม่ครบ ภาระหนักหน่วงหนทางยาวไกลเหลือเกิน”

หลงปินกล่าว “หากได้ตำราตราประทับทั้งสองเล่มมาโดยตรงก็คงไม่ต้องมีเรื่องมากมายขนาดนี้แล้ว”

บุรุษส่ายหน้า ถามว่า “มองดูตัวอักษรในตราประทับพวกนี้ เจ้าค้นพบความรู้อะไรบ้างไหม?”

หลงปินชำเลืองตามองตัวอักษรบนตราประทับที่อยู่บนผิวน้ำ เอ่ยว่า “สายของอักษรตราประทับหินทอง หากแบ่งรูปแบบตัวอักษรอย่างละเอียดก็มีมากหลายสิบชนิด ทว่าเฉินผิงอันผู้นี้เขียนไปเขียนมาก็มีแค่อักษรจ้วนไม่กี่ชนิดเท่านั้น ทุกจุดล้วนรักษากฎระเบียบ ก็ไม่แปลกที่ถูกหลี่สือหลางมองเป็นพวกคนคร่ำครึ อีกทั้งแม้แต่พวกตัวอักษรเตี๋ยจ้วน อักษรเหนี่ยวฉงที่ค่อนข้างพบเจอได้ยากก็ยังใช้น้อยมาก คงไม่ใช่กังวลว่าพวกผู้ฝึกกระบี่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่รู้จักหรอกนะ? กลัวว่าจะขายตราประทับไม่ออก? อีกทั้งต่อให้เป็นตัวอักษรริมขอบตราประทับก็ยังไม่มีอักษรฉ่าวซูสักตัว ราวกับว่าไม่เคยเรียนมาก่อนจึงเขียนไม่เป็นอย่างไรอย่างนั้น”

บุรุษยิ้มเอ่ย “อักษรเตี๋ยจ้วนมีแค่สามชิ้น ‘ขอให้คนมองโลกในแง่ดีมีอายุขัยยืนยาว’ ‘คิดถึงคำนึงหา’ ‘รู้ครึ่งๆ กลางๆ ผีบังตา’ แล้วยังเป็นการยืมตัวอักษรที่มีความหมายเหมือนกันมาใช้ด้วย เพราะตั้งใจใช้ความวกวนของตัวอักษรมาขานรับกับตราประทับ นอกจากนี้ตัวอักษรบนตราประทับทั้งหมดล้วนง่ายที่จะทำให้คนแยกแยะ เพราะอะไร? แน่นอนว่านี่เป็นการแสดงออกทางจิตใจของอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ เขาแสวงหาขอบเขตของความรู้ที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่ไหนก็ล้วนยืนได้อย่างมั่นคง เมื่อไม่มีธรณีประตู ก็ไม่ต้อง…พิถีพิถันเรื่องเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามทุกหนทุกแห่งแล้ว ก็เหมือนการพูดคุยเรื่องทั่วๆ ไปกับคนอื่น คนบนภูเขาเข้าใจ บัณฑิตเข้าใจ พ่อค้านายพรานที่ไม่เคยเรียนหนังสือ ฟังแล้วก็เข้าใจได้ไม่ยาก”

หลงปินคารวะพลางเอ่ยชื่นชม “เจ้านครช่างปรีชา”

บุรุษพึมพำกับตัวเอง “แต่การที่ข้าให้ความสำคัญกับตำราสองร้อยเซียนกระบี่เช่นนี้ ไม่ใช่เพียงแค่เพราะเนื้อหาของตัวอักษรในตราประทับเท่านั้น ยิ่งเป็นเพราะการชักคะเย่อที่ซ่อนอยู่ในนี้ที่น่าสนใจเกินไปแล้ว”

บุรุษชูชายแขนเสื้อขึ้น สองมือทำท่าจับพู่กันเขียนตัวอักษร ครั้นจึงจิ้มลงไปเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องของบัณฑิต สองเรื่องอย่างการที่ไม่อาจอ่านตำราศึกษาหาความรู้ ไม่อาจสร้างคมวาทะเขียนตำรา ขนาดเด็กนักเรียนประถมในโรงเรียนยังเขียนตัวอักษรได้ จะมีอะไรแปลกประหลาดกัน แต่ตัวอักษรของเฉินผิงอันผู้นี้ รูปร่างเหมือนตัวคน เหมือนมากๆ แล้ว ทว่าเขากลับยังยืนกรานจะทำตัวเองลำบาก เปลืองแรงแล้วยังไม่เป็นที่ชื่นชอบ พยายามให้เหมือนคนอีกคนหนึ่งในด้านความรู้สึก ดังนั้นจึงน่าสนใจอย่างถึงที่สุด ข้าถึงขั้นสามารถจินตนาการได้เลยว่า ตอนที่เด็กหนุ่มของตรอกยากจนคนหนึ่งคัดตัวอักษร ยิ่งไปถึงช่วงท้ายๆ ก็ยิ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน สายตาเหมือนอยากจะฆ่าคนมากเท่านั้น”

เด็กหนุ่มมองไปยังม้วนภาพลายตราประทับที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ เอ่ยอย่างตกตะลึง “ที่แท้ก็มีเรื่องราวมากมายเช่นนี้”

บุรุษสวมกวานสูงเอาสองมือไพล่หลัง พลันคลี่ยิ้ม เอ่ยพึมพำกับตัวเอง “ช่างเป็นคนที่มหัศจรรย์จริงๆ”

ตัวอักษรของตราประทับเดี่ยวที่มีมากที่สุดก็มี ‘ห้องแห่งความคิดถึง’

ใจพะวงถึงสาวงาม นึกถึงนางคิดถึงนาง

เจ็บใจที่ขุนเขาไม่ยาวไกล ออกกระบี่พาดสายรุ้งยาว

เด็กหนุ่มฝันเก่า ลมพัดฝนหวาน

หนึ่งชีวิตก้มหัวกราบเซียนกระบี่

ทิศเหนืออยู่เบื้องหลัง ดวงเนตรงดงาม

กวางส่งเสียงร้อง เสียงนกกังวานใส พาให้อาลัยอาวรณ์

สถานที่แห่งนี้ปราณกระบี่ยาวที่สุดในใต้หล้า

อารามกวานเต๋า เต๋าพิศมรรคา

บุปผาจันทราหวนกลับมาพบหน้า คู่รักเทพเซียน

บนโลกมีสาวงามสะคราญโฉม ทำตะเกียงสามดวงบนฟ้าจากไปด้วยความอาย

ไม่มีสถานที่ขุนเขาสายน้ำงดงาม แต่กลับเป็นนครที่สูงสุดในโลกมนุษย์

เด็กเล็กเล่นสนุกสนาน เซียนกระบี่ร่ำสุรา

น้ำค้างลงส้มลูกพลับสามร้อยลูก

ลมพัดข้าไม่สั่นคลอน ธงไม่ขยับใจไม่หวั่นไหว

ลมทองน้ำค้างหยก หญ้าวสันต์ขุนเขาเขียว สองสิ่งเหมาะสม

นกหลวนขาวยืนกลางหิมะยามทิวา แท่นหมึกยามราตรีไร้แสงไฟ

บนหัวกำแพงคือใครกัน ถึงได้ไร้ทุกข์ไร้กังวล

มวยผมโลกมนุษย์เมฆดารดาษ

ห่านชนกำแพง ปลาจำแลงเป็นมังกร

หวังเมามาย อย่าได้ดื่ม

บุปผาพืชพรรณเขียวชอุ่ม

ขึ้นกำแพงเมืองเดินสู่สุสาน ออกกระบี่คือการเซ่นสุรา

หยุดพักที่ต้าหลงชิวภูเขาเยี่ยนต้าง ความฝันในยามสาม ประกายแสงดาวเต็มฟ้า ดีใจจนนอนไม่หลับ เปลือยเท้ากระโดดเข้าพงหญ้า

ทีปังกรพุทธเจ้าลงมาจุติเผชิญวัฏสังสารในสหัสโลกธาตุ

หม้อไฟพร้อมสุรา ใต้หล้ามีเพียงข้า

หน่อไม้ผัดเนื้อ

คนเดินทางไกล คนในภาพวาด คนในใจ

จิ้งจอกพูดเหลวไหล

ค่าหนังสือไม่แพง ก็แค่ซื้อยาก

เส้นทางเล็กไส้แกะ ทุกคนคือผู้ฝึกตนอิสระ

ยอมให้เจ้าหนึ่งกระบวนท่า

ก็แค่ทัณฑ์สวรรค์เท่านั้น

เขียนตัวใหญ่ถึงความหมายแสดงความมหัศจรรย์

ก็แค่ถือร่มเดินเท่านั้น

เสียใจไม่สู้ไร้ความผิดพลาด

ไม่รู้จักพอ

มิกล้าพกกระบี่ขึ้นหัวกำแพงเมือง ด้วยกลัวขับไล่จันทร์สามดวงให้ถอยหนี

ไยต้องเรียนกระบี่

กระบี่ผ่าภูเขาทัวเยว่

ตรอกถนนเส้นใดไม่มีเซียนกระบี่

ผู้ที่ไม่มีกระบี่บินก็คือผู้ฝึกกระบี่

มีเพียงกำแพงเมืองปราณกระบี่ของข้าที่สามารถไม่เห็นใครในสายตา

……

และยังมีตราประทับที่เป็นคู่

เจ้า ข้า

ไม่แยกจากเหมือนเงาตามตัว สองใจผูกพัน

ก้มกราบฟ้านอกฟ้า มรรคกถาสาดส่องโลกธาตุ

กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ กลับคืนมาพร้อมความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม

รินเหล้าให้ท่านเต็มหนึ่งจอก ตะวันจันทราลอยล่องในจอกของท่าน

คนในอดีต คนในปัจจุบัน ล้วนคือผู้ฝึกกระบี่

เซียนกระบี่ก็เคยเป็นเด็กหนุ่ม เซียนกระบี่ก็เคยเป็นเด็กสาว

เหล้าที่เถ้าแก่รองขายดีเยี่ยมที่สุด ไม่เชื่อก็ลองดื่ม อร่อยจริงดังว่า

……

และยิ่งมีเนื้อหาของตัวอักษรริมขอบตราประทับ

ตัวอักษรริมขอบ คนเดินบนทางดินโคลนไม่เหนื่อยหน่าย วีรบุรุษสังหารโจรไม่บันทึกลงตำรา ผู้กล้าแท้จริงไม่สง่างาม ภูผาหินสูงตระหง่านเทียมขอบฟ้า ตัวอักษรที่สลักตรงกลางคือ ที่แท้คือวิญญูชน

เชื่อเงินหนึ่งพันไม่สู้มีเงินแปดร้อย น้ำใสใจจริงยากจะต้านทานความชั่วร้ายของมรสุม ด้านหน้าตราประทับสลักคำว่า หาเงินได้ไม่ง่าย ฝึกตนยากมาก

คนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์ไร้เหตุการณ์ไม่คาดฝัน ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการช่วงชิงชื่อเสียงเกียรติยศไม่หยุดหย่อน ให้คนเก่าแก่ในยุทธภพอย่างเราๆ ดูแคลน ตัวอักษรที่สลักบนหน้าตราประทับคือ ไปดื่มเหล้า

บทกลอนของนักกวีนับแต่โบราณ นึกอยากจะสังหารคำว่าอารมณ์ความรู้สึก มีเพียงข้าเคียดแค้นที่ความรู้สึกไม่มาเยือน มารดามันเถอะไปดื่มเหล้าเสียดีกว่า ความเดือดดาลเกิดขึ้นในใจ ยกกระบองฟาดใส่หนังสือ ทุบตีตัวอักษรละมุนละไมให้แหลกเละ ตัวอักษรบนหน้าตราประทับคือ ความกลัดกลุ้มสังหารชายโสด

เซียนกระบี่ไร้เงินไม่มีเหล้าให้ดื่มเมามาย สาวงามสะโอดสะองพลันเติมเต็มให้ ตรงกลางคือ แบบนี้จะทำอย่างไรดี

เพื่อนเก่าแก่ก็คือคนงาม ห้าวหาญมากความพิเศษ ในใจเด็กหนุ่มมีหนึ่งยอดเขา พลันถูกก้อนเมฆขโมยจากไป ตัวอักษรบนหน้าตราประทับคือ ไม่ทันระวัง

……

นครชุยก่ง

ด้านนอกตำหนักใหญ่ที่มีกระจกโบราณบานนั้นตั้งวางอยู่ มีชายฉกรรจ์เกียจคร้านคนหนึ่ง อันที่จริงเขานั่งอยู่บนขั้นบันไดตลอดเวลา วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองศอกเท้าพื้น มองไปยังทิศไกลอย่างเกียจคร้าน ใต้ฝ่าเท้าเหยียบงูขาวตัวเท่าปากชามไว้ตัวหนึ่ง

งูขาวตัวนั้นบิดกายปากพ่นภาษาคน กำลังด่าคนอยู่ “มาฟันข้าสิ เจ้าตะพาบ เจ้าคนหน้าไม่อาย ด้วยเวทกระบี่นั้นของเจ้า ความกล้าใหญ่เท่าก้น กล้าชักกระบี่มาฟันนายท่านใหญ่ไหม? เจ้าสามารถฟันข้าผู้อาวุโสให้ตายได้หรือไร? ทำไมเจ้าไม่ให้คนเขียนในหนังสือว่าเจ้าคือคนที่พิฆาตเจียวหลงจนสิ้นซากเล่า?”

ชายฉกรรจ์ยกมือแคะขี้มูก พยักหน้าเอ่ย “ถูกๆๆ ใช่ๆๆ”

งูขาวถึงได้ยอมหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหางเบาๆ เอ่ยว่า “เจ้าพวกคนแก่พวกคนเด็กเหล่านี้ ทำไมถึงได้น่ารำคาญยิ่งนัก ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้วไม่รู้จักหยุดพักกันเสียที พูดถึงแค่ถนนเก่าแก่เส้นนั้น ซื้อกระเรียนขาวไม่ไหว ทุกวันเลยเอาแต่คิดว่าจะไปขโมยห่านขาวของเพื่อนบ้านใกล้เคียง ไม่คิดจะควบคุมหน่อยหรือ? ยังมีเจ้าคนกลัวเมียผู้นั้นอีก ทุกวันเอาแต่นั่งยองหน้าประตูมองสตรีที่เดินผ่านไปผ่านมา ทุกครั้งที่เมียของเขาเห็นเข้าจะต้องหยิบมีดหั่นผักพุ่งออกจากบ้าน หมายจะฟันแขนเอยขาเอยของสตรีที่ผ่านทางมา สมควรไหม? เจ้าคนที่ชื่อเฉวียนจงผู้นั้น ทุกวันหากไม่เรียกรวมคนมาเล่นพนันก็จะต้องจ่ายเงินซื้อใจคน สร้างพรรคสร้างพวก เขากับพวกศัตรูที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง ไม่ใช่พวกกินอิ่มว่างงานทั่วไปเลยจริงๆ ตั้งแต่เช้าจรดค่ำเอาแต่ยกพวกตีกัน มารดามันเถอะ ตีกันก็ตีกันไปเถอะ แต่จะดีจะชั่วก็ช่วยถืออาวุธที่ฟันคนให้เลือดออกไปด้วยสักสองสามชิ้นไม่ได้หรือ แบกหาบหิ้วม้านั่งจะนับเป็นอะไรได้ ก่อนจะตีกันยังต้องจัดขบวน ตีกันเสร็จแล้วยังปรึกษาว่าใครมีคุณความชอบจะได้แบ่งน่องไก่ไปกิน คิดจะก่อกวนข้าผู้อาวุโสรึไง?! หา?!”

งูขาวตัวนั้นยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห จึงอ้าปากฉกน่องเล็กของชายฉกรรจ์จอมขี้เกียจ ชายฉกรรจ์เจ็บ กระตุกขากลับมาอยู่นานก็ยังทำไม่ได้ ร้องโอดโอยอยู่เป็นครึ่งๆ วัน

“มารดาเถอะ นี่เจ้าไม่ได้อาบน้ำมากี่วันแล้ว นี่มันกลิ่นอะไรหา?”

ในที่สุดงูขาวก็คลายปากออก ยังถึงกับถ่มน้ำลายลงบนพื้น “ข้าไม่อยากจะพูดถึงเจ้าพวกคนที่อยู่ตรอกมู่อีแล้ว แล้วยังมีเจ้าคนแซ่หลี่นั่น ไม่มีความแค้นอย่างไร้เหตุไร้ผลกับลูกหลานของบ้านเจ้า ทั้งสองฝ่ายห่างกันกี่ปี ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันเลย ทิ้งหน้าที่ผู้คุมกันที่หาเงินได้ดีๆ ไปไม่ยอมทำ ไม่ยอมเดินทางสายตรง ยังคิดจะสรรหาวิธีมานัดรบกันใหม่ คนยากจนสองกลุ่มรวมตัวกันแล้วก็ยังมีม้าแค่สามสิบกว่าตัว คิดจะเป็นม้าเหล็กทลวงขบวนรบอย่างนั้นรึ? จะวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนให้ใครดูกัน? เป็นบ้าไปแล้วหรือไง! มารดามันเถอะ ยังมีพวกตาแก่ขึ้นคาน ตาเฒ่าหื่นกามพวกนั้นอีก ตกอับจนมีสภาพแบบใดไปแล้ว ทุกวันเหล้าถ้วยหนึ่งสามารถดื่มได้เกินครึ่งวัน แล้วยังจะฝอยน้ำลายแตกฟองอยู่ริมถนน คุยโม้ว่าตัวเองเก่งกาจไร้ศัตรูทัดทาน คอยแข่งกันว่าใครเคยนอนกับสตรีมามากกว่ากัน…อีกอย่างเจ้าคนที่ชื่อว่าผู่ทงผู้นั้น เจ้าว่าสมองเขามีปัญหาหรือไม่ ทุกวันขอแค่กินข้าวหนึ่งมื้อ จากนั้นหากไม่มีเรื่องอะไรทำก็จะวิ่งไปตามถนนเส้นต่างๆ ไกลขนาดนั้น ไปดักอยู่หน้าประตูคนอื่น จะต้องให้คนที่เคยถูกเขาบีบให้กลืนทองฆ่าตัวตายคืนทองเขามาให้ได้!”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด