กระบี่จงมา 783.2 อริยะปราชญ์ผู้กล้าแห่งใต้หล้า

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 783.2 อริยะปราชญ์ผู้กล้าแห่งใต้หล้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บนใบหน้าและหน้าอกของสิงกวานต่างก็มีรอยกระบี่อยู่รอยหนึ่ง เลือดอาบไหลโชก เพียงแต่ว่าบาดแผลไม่สาหัสนัก ไม่กระทบต่อการออกกระบี่ ทว่าการถามกระบี่ครั้งนี้ สิงกวานที่ในฐานะเป็นผู้ฝึกกระบี่ เผชิญหน้ากับอู๋ซวงเจี้ยงที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ทั้งยังกดขอบเขต กลับตกเป็นรอง และนี่คือความจริง

ภิกษุลืมตาท่องภาษาธรรมหนึ่งคำ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นก็มีลูกประคำพวงหนึ่งลอยขึ้นมา หากไม่นับไข่มุกที่อยู่ห่างกันซึ่งใช้ในการนับ ไข่มุกทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดเม็ดล้วนเป็นสีขาวหิมะที่แทบจะไร้รอยด่าง ภิกษุขยับนิ้วเบาๆ ราวกับว่าทุกครั้งที่ขยับนับไข่มุกรอบหนึ่งก็จะสามารถทำให้ความหงุดหงิดงุ่นง่านนับร้อยแปดลดทอนลงไปได้

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งที สะบัดเอาแสงสว่างสีขาวหิมะเจิดจ้าคล้ายธารดวงดาวพร่างพราวออกมาเส้นหนึ่ง เป็นไข่มุกหนึ่งพวงที่รอบวงยาวสามจั้งกว่า ล้อมวนอยู่รอบกายอู๋ซวงเจี้ยง เพียงแต่ว่าไข่มุกเปล่งประกายของลัทธิเต๋านั้น แต่ละลูกใหญ่เท่าลูกถงจื่อ ทุกลูกล้วนแฝงเร้นปณิธานของมหามรรคาอันยิ่งใหญ่ไหลรินอยู่ภายใน กลมเกลี้ยงเหมือนจันทร์เต็มดวง สามร้อยหกสิบห้าลูก ขยับเคลื่อนไหวช้าๆ ประหนึ่งดวงดาวเคลื่อนคล้อย ดั่งเมฆคล้อยน้ำไหล มหามรรคาเกิดเป็นวงจรต่อเนื่องไม่เสื่อมสลาย

ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “ในมื่อเจ้าตำหนักอู๋ช่วยคู่รักสนองกระบี่ตอบกลับคืน ทั้งยังถือโอกาสนี้ได้เรียนเวทกระบี่ชั้นสูงเพิ่มไปอีกวิชาหนึ่ง แล้วยังคลายตราผนึกของเรือข้ามฟากไปด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ควรจะพอได้แล้วกระมัง?”

อู๋ซวงเจี้ยงหนึ่งในสิบคนของใต้หล้ามืดสลัว บัณฑิตบนหลังม้า แม่ทัพผู้มีชื่อเสียงไร้ทัดเทียม รากฐานมหามรรคาคือผู้ฝึกตนสำนักการทหาร เพียงแต่ว่าอู๋ซวงเจี้ยงเรียนรู้อะไรก็เรียนเป็นทั้งหมด ถึงได้ทำให้สถานะของผู้ฝึกตนสำนักการทหารของเจ้าตำหนักสุ้ยฉูท่านนี้ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตามากนัก

ผู้ฝึกตนของตำหนักสุ้ยฉูมีน้อยจนนับนิ้วได้ จำนวนรวมก็แค่ร้อยกว่าคน ไม่คู่ควรกับตำแหน่งฐานะของตำหนักสุ้ยฉูที่อยู่ในใต้หล้ามืดสลัวอย่างยิ่ง นอกจากธรณีประตูของตำหนักสุ้ยฉูจะสูงมากและการรับลูกศิษย์ก็เข้มงวดมากแล้ว สาเหตุที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดก็คืออู๋ซวงเจี้ยงเคยสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่สองอย่าง ตอนที่เขายังอยู่ในขอบเขตเซียนเหริน หนึ่งคนพิทักษ์สำนัก และเป็นคนเดียวที่ทำลายทั้งสำนัก

หลังจากสงครามสองครั้งผ่านไป สำนักอันดับหนึ่งแห่งหนึ่งของใต้หล้ามืดสลัวก็ล่มสลายลงนับแต่นั้น ไม่ใช่พลังชีวิตเสียหายอะไรด้วยซ้ำ แต่เป็นค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา ศาลบรรพจารย์ รวมไปถึงกองกำลังใต้อาณัติหลายแห่งที่แหลกสลายกลายเป็นเถ้าถ่านไปทั้งหมด

นี่หมายความว่าตำหนักสุ้ยฉูแห่งนี้ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันเรื่องมากคนมากกำลังอะไรเลยด้วยซ้ำ มีอู๋ซวงเจี้ยงพิทักษ์ภูเขาคนเดียวก็มากพอแล้ว

เชี่ยวชาญการเข่นฆ่า ไม่กลัวการล้อมสังหาร บนเส้นทางการฝึกตน ข้ามดินแดนไปสังหารศัตรูไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ถนัดการอำพรางตัว วิชาหลบหนีเป็นเลิศ การทำนายและอนุมานก็ยิ่งยอดเยี่ยม

ความคิดจิตใจละเอียดรอบคอบ ลงมืออย่างแม่นยำ อีกทั้งยังจดจำความแค้นมากเป็นพิเศษ ไม่ลงมือก็ไม่เท่าไร แต่ลงมือทีไรก็คือสิงโตล่ากระต่าย ต้องโจมตีให้ตายในคราวเดียว ตัดรากถอนโคนอย่างสิ้นซาก

เพราะถึงอย่างไรก็เป็นผู้ฝึกตนที่แม้แต่ซุนไหวจงของอารามเสวียนตูใหญ่ก็ยังวิจารณ์ว่าเป็น ‘วิญญาณตามติดไม่หายไปไหน’

บุคคลที่ตอแยยากอย่างถึงที่สุดนี้ ทุกวันนี้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว ต่อให้เป็นเรือราตรีก็ยังไม่ยินดีจะผูกปมแค้มกับเขา

ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มกล่าว “เจ้าตำหนักอู๋ เรือข้ามฟากมาถึงกุยซวีของทะเลใต้แล้ว”

อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ เก็บกระบี่จำลองสี่เล่มและไข่มุกที่ส่องประกายแสงพวงนั้นไปไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นค่อยเก็บวิชาอภินิหาร ‘นกในกรง’ พาป๋ายลั่วออกไปจากเรือราตรีด้วยกัน หมายจะอาศัยกุยซวีแห่งนั้นตรงดิ่งไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

ศาลาริมสระบัวในนครหรงเม่า สิงกวานเก็บกระบี่ยาวและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม พลิ้วกายลงในศาลา ภิกษุร่างเปล่งวูบหนึ่งทีก็หายตัวไป มีเพียงปัญญาชนวัยกลางคนเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้างกายสิงกวาน

ปัญญาชนวัยกลางคนยิ้มถาม “ยังดีอยู่ไหม?”

สิงกวานพูดพึมพำกับตัวเอง “ขอบเขตสิบสี่ยังเป็นถึงขนาดนี้ แล้วถ้าขอบเขตสิบห้า?”

ปัญญาชนวัยกลางคนเอ่ย “ไม่อาจจินตนาการได้เลย”

อู๋ซวงเจี้ยงลอยตัวเคียงบ่าอยู่กับป๋ายลั่ว ใต้ฝ่าเท้าสองข้างก็คือกุยซวีแห่งหนึ่งที่บรรพบุรุษใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างเปิดเอาไว้ ประตูใหญ่ยากจะเปิด คิดจะปิดก็ยิ่งยาก

อู๋ซวงเจี้ยงก้มหน้าลงมองไป กุยซวีอยู่ในลักษณะคล้ายร่องลึกขนาดใหญ่ ในยุคบรรพกาลอันห่างไกล สายน้ำใหญ่ของเก้าทวีปที่อยู่แปดทิศบนพื้นดิน เล่าลือกันว่าแม้แต่น้ำของธารดวงดาวบนท้องฟ้าก็ยังไหลกรอกเข้ามายังกุยซวีสี่แห่งอย่างยิ่งใหญ่ไพศาล และยิ่งมีข่าวลือบอกว่าด้านในกุยซวีมีตะพาบยักษ์แบกภาพอาณาเขตของขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ไว้บนหลัง แต่อยู่ในกุยซวีก็ยังตัวเล็กเหมือนสวนกระถาง และยิ่งมีประตูมังกรสี่แห่งแบ่งกันตั้งตระหง่านอยู่ภายใน เคยเป็นที่ตั้งของโอกาสในการกลายร่างเป็นมังกรของพวกเผ่าพันธุ์เจียวหลงทุกตัวบนโลก

อู๋ซวงเจี้ยงยื่นนิ้วออกไปชี้ ยิ้มเอ่ย “พวกเราสองคนต่างก็โชคไม่เลว ดูเหมือนว่าจะเป็นปลาอ๋าวสองตัว”

ป๋ายลั่วมองตามสายตาของเขาไป จุดลึกในร่องใหญ่กุยซวีมีปลาอ๋าวสองตัวที่หัวเป็นมังกรร่างเป็นปลา ยาวหมื่นจั้ง กำลังส่ายสะบัดหาง แหวกว่ายอยู่ในน้ำอย่างสบายอุรา ปลาตัวผู้เกล็ดสีทองหางเหมือนน้ำเต้า ส่วนปลาตัวเมียกลับมีเกล็ดสีเงินหางดอกพุดตาน มหัศจรรย์เกินสามัญ แม้ว่าเรือนกายของปลาอ๋าวสองตัวนี้จะใหญ่โตมโหฬาร เพียงแต่ว่าอยู่ในจุดลึกของกุยซวีนั้นกลับยังคงคล้ายปลาน้อยเล็กบางสองตัวในแม่น้ำลำคลอง สามารถมองข้ามไปได้อย่างสิ้นเชิง

ป๋ายลั่วเอ่ยอย่างจนใจ “เรื่องนี้ก็ต้องแย่งชิงกับคนอื่นด้วยหรือ? เจ้าเป็นถึงขอบเขตสิบสี่แล้ว ออกมาอยู่ข้างนอก จะดีจะชั่วก็ช่วยมีมาดของเทพเซียนสักหน่อยเถอะ”

โชคดีอะไรเสียที่ไหน เห็นได้ชัดว่าบนทะเลเมฆเหนือฟ้ามีคนกำลังตกปลาอ๋าวอยู่ ชาวประมงทั่วไปที่อยู่ล่างภูเขา หากคิดจะตกสัตว์น้ำใหญ่ในทะเลสาบใหญ่หรือแม่น้ำใหญ่ ยังต้องสิ้นเปลืองเงินทองในการทำเหยื่อตกปลา ปลาอ๋าวที่ล้ำค่าหายากสองตัวนี้ เห็นได้ชัดว่าถูกผู้เฒ่าคิ้วยาวร่างผอมแห้งที่อยู่บนฟ้าผู้นั้นล่อมา มันส่ายหัวลอยขึ้นมาเหนือน้ำอย่างต่อเนื่อง กระทั่งค่อยๆ ขยับเข้าใกล้ไข่มุกฉิวเม็ดหนึ่ง ไข่มุกฉิวที่อยู่ท่ามกลางน้ำดำมืดของกุยซวีเปล่งประกายวูบวาบไม่หยุด ส่องแสงเรืองรอง ไข่มุกฉิวที่มีขนาดเท่าแค่กำปั้น แต่กลับส่องแสงสว่างกินรัศมีร้อยจั้ง

อู๋ซวงเจี้ยงเงยหน้ามองไป ตรงช่องโหว่ของทะเลเมฆบนท้องฟ้ามีผู้เฒ่าผมขาวคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิตกปลา ในมือถือคันเบ็ดไผ่หยกเขียวจากภูเขาชิงเสินที่เป็นสีเขียวปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้ ใช้ลมปราณที่แท้จริงเฮือกหนึ่งของผู้ฝึกยุทธเป็นสายเอ็นตกปลา ขว้างลงไปในจุดลึกของกุยซวี ผู้เฒ่าคิ้วยาวขยิบตาให้อู๋ซวงเจี้ยง คงจะต้องการบอกว่าอย่าทำให้ปลาอ๋าวสองตัวนั้นตกใจ

อู๋ซวงเจี้ยงคิดแล้วก็เก็บพลังอำนาจกลับมา ร่างทั้งร่างกลมกลืนเป็นหนึ่งกับฟ้าดิน ป๋ายลั่วเองก็อำพรางเวทคาถา ไม่รบกวนการตกปลาอ๋าวของผู้เฒ่าชาวประมง ใช้เสียงในใจพูดกับอู๋ซวงเจี้ยงว่า “คนผู้นี้มีชื่อว่าจางเถียวเสีย มีฉายาว่าหลงป๋อ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ ยอดเขาสูงสุดขั้นสมบูรณ์แบบ นอกจากจะฝึกวรยุทธแล้ว ยังมีนิสัยสบายๆ รักอิสระ ไม่แก่งแย่งชิงดีกับโลกภายนอก มีเพียงตอนไม่มีเงินทำเหยื่อตกปลาเท่านั้นถึงจะวิ่งไปหาเงินค่าตกปลามาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก่อนหน้านี้ที่กุยซวีเปิดออก จางเถียวเสียผู้นี้อยู่ใกล้พอดี จึงเป็นดั่งศาลาใกล้น้ำ ดังนั้นจึงเป็นคนแรกของใต้หล้าไพศาลที่มาถึงที่แห่งนี้ จากนั้นเขาก็มาเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่นี่ รอเพียงเก็บเอาปลาหลุดรอดตาข่ายตัวใหญ่ๆ พวกนั้นมา และเขาก็สามารถดักปีศาจใหญ่ที่พยายามจะหนีกลับใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้สำเร็จหลายตน”

อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “เทพมาเยือนอย่างแท้จริงแล้ว น่าเสียดายที่เป็นได้แค่เทพมาเยือนเท่านั้นแล้ว”

ปลาอ๋าวสองตัวยังระมัดระวังตัวอย่างมาก ไล่งับไข่มุกฉิวเม็ดนั้นอยู่นาน แต่กลับไม่งับเบ็ดเสียที ผู้เฒ่าคิ้วยาวพลันดึงลมปราณขึ้นสูง ไข่มุกฉิวที่ถูกลมปราณแท้จริงบริสุทธิ์ชักนำก็พลันถูกกระตุกขึ้นสูง คล้ายพยายามจะหลบหนี ปลาอ๋าวเกล็ดเงินหางพุดตานตัวหนึ่งไม่ลังเลอีกต่อไป สะบัดร่างก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ กระโดดขึ้นสูงใช้ปากงับไข่มุกฉิวเม็ดนั้นเอาไว้ ผู้เฒ่าที่ร่างผอมแห้งราวลำไม้ไผ่หัวเราะเสียงดังลั่น ลุกขึ้นยืน จากนั้นกระชากคันเบ็ดมาด้านหลัง ‘เส้นเอ็น’ ตึงแน่น เกิดเป็นวงโค้งขนาดใหญ่ยักษ์วงหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่ได้กระชากดึงมาอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่เริ่มล่อจูงปลาอ๋าวตัวนั้น หากไม่กะเวลาให้ดีก็อย่าหวังว่าจะกระชากปลาอ๋าวตัวเมียตัวนี้พ้นจากผิวน้ำมาได้

อู๋ซวงเจี้ยงหรี่ตาลง มองอยู่ครู่หนึ่ง เดินก้าวเดียวก็ไปถึง ‘ริมฝั่ง’ ของทะเลเมฆ มายืนอยู่ข้างกายของผู้เฒ่าทั้งอย่างนั้น ยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโส หากตกปลาอ๋าวตัวนี้ขึ้นมาได้จริงๆ จะขายหรือไม่? จะขายอย่างไร?”

ผู้เฒ่าที่มีชื่อว่าจางเถียวเสียดันคันเบ็ดตกปลาไว้ตรงหน้าท้อง วิ่งไปวิ่งมาอยู่ริมขอบทะเลเมฆ พละกำลังของปลาอ๋าวหมื่นจั้งตัวหนึ่งไม่น้อยเลยจริงๆ ผู้เฒ่าวิ่งไปพลางหัวเราะร่าไปด้วย “ขอโทษที ข้าตกปลาแต่ไหนแต่ไรมามักจะปล่อยให้พวกมันรอดชีวิตเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลาอ๋าวคู่รักคู่นี้ หากถูกคนจับไปได้ตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่งก็จะต้องโดดเดี่ยวเดียวดายไปนับแต่นี้ นั่นจะไม่น่าสงสารแย่หรอกหรือ? ความบันเทิงในการตกปลาไม่เคยอยู่ที่การทำให้ท้องอิ่ม”

อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้าเบาๆ แสดงออกว่าชื่นชม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สมกับเป็นชาวประมงจริงๆ”

ป๋ายลั่วถอนหายใจโล่งอก หากไม่ทันระวังหลงป๋อผู้นี้ก็จะต้องถูกอู๋ซวงเจี้ยงพาไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างด้วยกันแล้ว

อู๋ซวงเจี้ยงพลันถาม “เทพีแห่งการต่อสู้ของราชวงศ์ต้าตวนผู้นั้นชื่อว่าเผยเปยกระมัง เจ้าเคยถามหมัดกับนางหรือไม่?”

จางเถียวเสียยังคงใช้สองมือถือคันเบ็ด ตั้งใจประลองกำลังกับปลาอ๋าวตัวนั้น หัวเราะเสียงดังกังวาน “ตอนที่สู้ได้ก็ไม่ยินดีรังแกแม่นางน้อยคนหนึ่ง ผลกลับกลายเป็นว่าดูเหมือนผ่านไปแค่ไม่กี่วันก็ค้นพบว่าตัวเองสู้ไม่ได้แล้ว แล้วจะไปฟ้องเอากับใครเล่า? ช่วยไม่ได้ ยังคงตกปลาของข้าต่อไปเถอะ”

จางเถียวเสียพลันร้องเอ๊ะหนึ่งที กลั้นลมหายใจอยู่ชั่วขณะก็ถอนหายใจ ถึงกับเป็นฝ่ายสะบั้น ‘เส้นเอ็นตกปลา’ ออกด้วยตัวเอง ปล่อยให้ไข่มุกฉิวที่มีมูลค่าควรเมืองเม็ดนั้นถูกปลาอ๋าวกลืนลงท้อง ปลาอ๋าวสองตัวรีบพากันเผ่นหนีเข้าไปยังจุดลึกของกุยซวี เมื่อเป็นเช่นนี้นอกจากจางเถียวเสียจะเปลี่ยนเหยื่อล่อมาเป็นพวกไข่มุกหลีจูดวงตามังกรแล้ว ไม่อย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดภายในเวลาร้อยปีก็อย่าหวังว่าพวกมันจะงับเบ็ดอีก

อู๋ซวงเจี้ยงถามว่า “ผู้อาวุโสหลงป๋อ จะไปร่วมประชุมที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแล้วหรือ?”

จางเถียวเสียพยักหน้ารับ “ผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาหลี่จี้เชิญมา ไม่ไปไม่ได้”

สำหรับแขกที่ไม่ได้รับเชิญสองคนที่ปรากฏตัวอยู่ริมกุยซวีอย่างกะทันหันนี้ หากจะบอกว่าจางเถียวเสียไม่ป้องกันไม่ระมัดระวังเลย ถ้าอย่างนั้นก็เอาชีวิตมาล้อเล่นเกินไปแล้ว แม้ว่าเขาจะมองความตื้นลึกของคนทั้งสองไม่ออก แต่ความหมายในส่วนนั้น อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นเซียนเหรินสองคน จางเถียวเสียคิดไปคิดมาก็ยังหาตัวผู้ฝึกตนไพศาลที่ภาพลักษณ์สอดคล้องกันไม่เจอ เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าคิ้วยาวรู้สึกว่าตนมักจะมาเตร็ดเตร่อยู่บนมหาสมุทรตลอดทั้งปี สำหรับเรื่องราวบนภูเขาแล้ว เรียกได้ว่าปลีกตัววิเวกไม่รับรู้ข่าวสารภายนอก ไม่รู้จักก็เป็นเรื่องปกติอย่างยิ่ง ก็เหมือนก่อนหน้านี้ที่ได้เจอสวีเซี่ยเซียนกระบี่จากเกราะทองทวีป เมื่อก่อนอย่าว่าแต่เคยพบเจอกันเลย แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน เพียงแต่ว่าจางเถียวเสียอยู่บนภูเขาไม่มีศัตรูคู่แค้น จึงถือว่าสองคนของฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงคนที่ได้พบเจอกันโดยบังเอิญเท่านั้น

มีชีวิตอยู่มานาน เห็นอะไรก็ไม่รู้สึกแปลกใหม่แล้ว

แต่หากอยู่ดีๆ จะต้องต่อสู้แบบไร้ต้นสายปลายเหตุจริงๆ จางเถียวเสียก็ไม่ถือสาหากจะต้องยืดเส้นยืดสาย ขอบเขตเทพมาเยือนของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบไม่ใช่แค่ของประดับตกแต่งอย่างพวกชั้นวางต้นไม้อะไร

อู๋ซวงเจี้ยงกุมหมัดยิ้มกล่าว “จากลากันตรงนี้”

จางเถียวเสียกุมหมัดคารวะกลับคืน “มีโอกาสย่อมได้พบกันใหม่”

อู๋ซวงเจี้ยงมองไปยังจุดลึกของกุยซวี ยกมือขึ้น สองนิ้วทำมุทรา เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “คำสั่งแก่เผ่าพันธุ์น้ำในใต้หล้า”

ปลาอ๋าวสองตัวที่จากไปไกลนับหมื่นลี้แล้วถึงกับสะบัดหางคล้ายได้รับคำสั่ง จึงปฏิบัติตามโองการ หันหัวเปลี่ยนทิศทางว่ายเข้ามาหาอู๋ซวงเจี้ยงอย่างว่องไว สุดท้ายสร้างคลื่นยักษ์เทียมฟ้า กระโดดพ้นจากผิวน้ำมาด้วยกัน วัตถุร่างใหญ่โตโอฬารสองตัวที่หัวเป็นมังกรร่างเป็นปลาอ่อนโยนว่าง่ายอย่างถึงที่สุด ลอยตัวอยู่เบื้องล่างทะเลเมฆ คล้ายแค่รอให้อู๋ซวงเจี้ยงขึ้นมาบน ‘เรือข้ามฟาก’ แล้วเดินทางไปท่องเที่ยวกุยซวีเท่านั้น

อู๋ซวงเจี้ยงพาป๋ายลั่วพลิ้วกายลงบนหลังของปลาอ๋าว แฝงกายเข้าไปในกุยซวี ไปท่องเที่ยวใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ห่างไกล

จางเถียวเสียคิดแล้วก็รู้สึกว่าโชคดีที่ไม่ได้ตีกัน

ออกมาอยู่ข้างนอก ต้องเป็นมิตรกับคนอื่นจริงเสียด้วย

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบขั้นสูงสุดคนหนึ่งเก็บคันเบ็ดตกปลาไผ่เขียวอันนั้นมาแล้วก็กลายร่างเป็นสายรุ้งไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

ในร่องลึกของกุยซวี ป๋ายลั่วที่ขี่ปลาอ๋าวคนและตัวกับอู๋ซวงเจียงยิ้มถามว่า “เจ้าตำหนัก ได้ยินมาว่าใต้หล้ามืดสลัวมีคำเรียกว่า ‘อู๋เล็กใหญ่’ หรือ?”

อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับ “เจ้าเด็กนั่นเพียงแค่มีโชควาสนาเหมือนข้า ด้านอื่นๆ อันที่จริงไม่ถือว่าคล้ายสักเท่าไร คนที่คล้ายข้าอย่างแท้จริงยังคงเป็นคนหนุ่มที่ลู่เฉินพูดถึงคนนั้น โชคดีที่ไม่ได้ฝึกตนอยู่ในใต้หล้าแห่งเดียวกัน ไม่อย่างนั้นข้าคงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นการสยบกำราบแห่งวิถีฟ้าบางอย่างในการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น…ศึกของต้นคราม ต้นครามเกิดจากครามแต่สีเข้มกว่าคราม เมื่อต้นหนึ่งเหี่ยวตาย ต้นหลังย่อมมีเกียรติ”

ป๋ายลั่วเอ่ย “ดังนั้นจิตสังหารในนครเถียวมู่ของเจ้าตำหนักก่อนหน้านี้มีจริงกี่ส่วนปลอมกี่ส่วนกันล่ะ?”

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันรับการถามมรรคาครั้งนั้นไว้ไม่ได้ เป็นของปลอมสิบส่วนแล้วก็เป็นของจริงสิบส่วน รับไว้ได้ก็เป็นจริงสิบส่วน เท็จสิบส่วนเช่นกัน”

ป๋ายลั่วขมวดคิ้วน้อยๆ

อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ย “เจ้าเด็กนั่นหยิบขึ้นได้แล้วก็วางได้ลง สำหรับเรื่องนี้ไม่รู้สึกยอกแสลงใจแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้าคิดอย่างไรกันแน่ เขาต้องเข้าใจเป็นอย่างดี”

คนผู้หนึ่งมีความรู้มากหรือน้อยเป็นเรื่องรองลงมา การวางตัวเป็นคนต่างหากที่ถึงจะกลัวว่าทำได้ไม่ชัดเจนที่สุด

ป๋ายลั่วกล่าว “เซียนเหรินลูบหัวข้า สร้างยันต์อมตะ”

พูดถึงในโรงเตี๊ยมแห่งนั้น ก่อนที่อู๋ซวงเจี้ยงจะจากมาได้ตบหัวภูตน้ำน้อยไปหนึ่งทีด้วยท่วงท่าที่คล้ายผ่อนคลายสบายอารมณ์

ไม่มีประโยชน์ต่อตบะสักเท่าไร แต่กลับเป็นยันต์คุ้มครองชีวิตจริงแท้แน่นอนแผ่นหนึ่ง บางทีอู๋ซวงเจี้ยงอาจมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น ป๋ายลั่วคร้านจะซักไซ้สืบเสาะ

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มอย่างเข้าใจ “ลู่เฉินมีแผนการบางอย่าง เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่มีปิดบัง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะทำให้เขาสมปรารถนา”

เกี่ยวพันไปถึงเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิง ป๋ายลั่วจึงไม่พูดคุยอะไรอีก

อู๋ซวงเจี้ยงถาม “รู้หรือไม่ว่าผลเก็บเกี่ยวใหญ่ที่สุดที่เฉินผิงอันได้รับในครั้งนี้คืออะไร?”

ป๋ายลั่วส่ายหน้า

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ “คือในที่สุดก็มีคนพิสูจน์ได้แล้วว่าเส้นทางที่เขาเดินนั้นถูกต้อง ไม่เพียงแต่ไม่ใช่เส้นทางเล็กไส้แกะหัวขาดอะไร ยังเป็นเส้นทางเดินขึ้นสู่ที่สูงที่เบื้องหน้าเคยมีคนเดินผ่านมาก่อน เพียงแต่ว่าเส้นทางนั้นค่อนข้างจะอ้อมไปสักหน่อยก็เท่านั้น”

อู๋ซวงเจี้ยงเอ่ยประโยคหนึ่งที่ราวกับเป็นคำทำนาย “ดังนั้นรอคอยไปเถอะ ต่อจากนี้ไปร้อยปี การฝึกตนของเฉินผิงอันจะต้องพัฒนารุดหน้าอย่างพรวดพราดในทุกๆ ด้าน”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด