กระบี่จงมา 799.2 หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 799.2 หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชิวเสินกงถาม “อาจารย์หลิน เซียนกระบี่ไม่ทราบชื่อท่านนี้จงใจเอาเรื่องหม้อไฟของอวี๋โจวมาตีสนิทกับพวกเรา หรือว่าเป็นคนชอบกินจริงๆ?”

หลินชิงยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่ที่แม้แต่อวิ๋นเหมี่ยวก็ยังไม่เห็นอยู่ในสายตาเช่นนี้ จำเป็นต้องจงใจตีสนิทกับสกุลชิวอวี๋โจวด้วยหรือ? อย่าลืมล่ะว่าที่พึ่งของหอเซียนจิ่วเจินคือซ่งจื่อจัวลู่ที่กำลังประชุมอยู่ในศาลบุ๋นนะ เจ้าเห็นว่าเขามีความเกรงใจหรือไม่?”

ชิวเสวียนจียิ้มเอ่ย “ก็นั่นน่ะสิ บรรพจารย์พูดได้ถูกต้อง คนต่างถิ่นที่ชอบหม้อไฟของอวี๋โจวพวกเรา เกินครึ่งล้วนไม่เลวร้าย คู่ควรแก่การผูกมิตร”

เฉินผิงอันมองประเมินตราประทับเถียนหวง (หินชนิดหนึ่ง มีสีเหลืองเข้มกึ่งโปร่งแสง) ของเหล่าเคิงที่วัสดุที่ใช้ดีเยี่ยม ยามอยู่ในมือมีน้ำหนักมาก สำหรับเซียนซือบนภูเขาและนักประพันธ์ปัญญาชนทั้งหลายที่ชื่นชอบของสิ่งนี้แล้ว เถียนหวงหนึ่งตำลึงก็คือเงินฝนธัญพืชหนึ่งตำลึง อีกทั้งยังมีแต่ราคาทว่ากลับหาซื้อไม่ได้อีกด้วย

ตัวอักษรบนตราประทับคือ ‘ท้องฟ้าตะวันตกฉาบสีทอง คือจุดที่ดวงตะวันลาลับ เซียนเมาสุรา ดวงจันทร์ลอยสูง กระบี่บินดุจสายรุ้ง สองเท้ากระทืบรากดินทางทิศใต้ ฝ่ามือพลิกกลับประตูสวรรค์แห่งดาวเหนือ’ ตัวอักษรด้านล่างของตราประทับคือ ‘เคยพบคนชุดเขียว’

เฉินผิงอันแค่เห็นก็ชื่นชอบทันที รู้สึกได้ทันใดว่าตราประทับในมือหนักกว่าเดิม

เรือข้ามฟากจอดเทียบท่าที่ท่าเรือของเกาะนกแก้ว มีคนมารออยู่ที่นั่นนานแล้ว คือเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งที่ต่างก็อายุไม่มาก ทุกคนล้วนสะพายกระบี่ ก็คือพวกลูกศิษย์ในบรรดาสิบแปดกระบี่ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง

หลังจากที่กลุ่มของเฉินผิงอันลงมาจากเรือ เด็กสาวคนหนึ่งในนั้นก็ปลุกความกล้าให้ตัวเอง เดินออกมาจากกลุ่มเพียงลำพัง มายืนขวางอยู่บนทาง

ถัวเหยียนฮูหยินที่เป็นเค่อชิงของสำนักกระบี่หลงเซี่ยงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักเด็กสาวที่คุณสมบัติด้านการฝึกกระบี่ดีเยี่ยมผู้นี้ อยู่ในสำนักก็เป็นนางที่กล้าหาญที่สุด ยามพูดคุยกับฉีถิงจี้ผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่กริ่งเกรงระวังคำพูดมากที่สุด ลู่จือจึงฝากความหวังไว้มากกับเด็กสาวคนนี้

เฉินผิงอันหยุดเดิน ถามว่า “เจ้าคือ?”

เด็กสาวหน้าแดงเรื่อ “ข้าคือลูกศิษย์ของสำนักกระบี่หลงเซี่ยง ข้าชื่ออู๋ม่านเหยียน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ แสดงให้รู้ว่าตนเองรับทราบแล้ว จากนั้น?

เขารอคอยประโยคถัดมาเงียบๆ

เด็กสาวหน้าแดงก่ำในชั่วพริบตา กลัวใต้เท้าอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาจารย์เฉินในใจของนางผู้นี้จะเข้าใจผิดเรื่องชื่อของตนจึงรีบเอ่ยเสริมไปว่า “เป็นคำว่าเหยียนที่มาจากประโยคร้อยบุปผาประชันความงาม เหยียนที่มาจากประโยครูปโฉมมีแบ่งงามและอัปลักษณ์”

เฉินผิงอันเพียงแค่พยักหน้าต่อไป ตัวอักษรนี้ ตนรู้จัก

พอนางพูดออกไปก็เสียใจภายหลังทันที คำพูดเปิดฉากที่ทำให้คนกระอักกระอ่วนใจมากที่สุดในใต้หล้า นางทำได้แล้ว? เหตุใดถึงลืมถ้อยคำที่คิดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ไปได้ล่ะ? ทำไมถึงจำอะไรไม่ได้เลยสักคำเดียว?

เห็นว่าเด็กสาวทั้งไม่พูดแล้วก็ไม่เปิดทางให้ เฉินผิงอันก็ยิ้มถามว่า “มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ?”

หน้าผากของเด็กสาวมีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดออกมา นางส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่มี!”

แต่นางก็ไม่ขยับเท้าหลบทางให้

อันที่จริงเดินมาถึงตรงนี้ เพียงแค่ไม่กี่ก้าวก็เผาผลาญความกล้าหาญของเด็กสาวไปจนหมดสิ้น ต่อให้เวลานี้ในใจจะบอกกับตัวเองไม่หยุดว่าให้รีบหลบทาง อย่าถ่วงรั้งการทำธุระสำคัญของใต้เท้าอิ่นกวาน แต่นางกลับค้นพบว่าตัวเองเดินไม่ไหวเลย ดังนั้นในสมองของแม่นางน้อยจึงมีเพียงความว่างเปล่า รู้สึกว่าชีวิตนี้ของตนจบสิ้นแล้ว จะต้องถูกใต้เท้าอิ่นกวานมองเป็นคนที่ไม่รู้จักหนักเบา ไม่เข้าใจมารยาทแม้แต่น้อย แล้วยังหน้าตาขี้เหร่อีกด้วย วันหน้าตนก็จงฝึกกระบี่อยู่ในสำนักไปแต่โดยดีเถอะ สิบปีหลายสิบปีหนึ่งร้อยปี หลบอยู่บนภูเขา อย่าออกมาข้างนอกอีกเลย ชีวิตของนาง นอกจากฝึกกระบี่แล้วก็ไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว

เฉินผิงอันไม่มีสีหน้ารำคาญใจแม้แต่น้อย เพียงแค่พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี”

ในที่สุดอู๋ม่านเหยียนก็คืนสติกลับมา รอยยิ้มบนใบหน้าน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก นางสูดจมูก เบี่ยงตัวหลบทางให้ ก้มหน้าพึมพำ “ตกลง”

อันที่จริงเฉินผิงอันกระอักกระอ่วนอย่างมาก จึงฝืนใจเอ่ยกับแม่นางน้อยเพิ่มไปอีกหนึ่งประโยค “วันหน้าสามารถขอความรู้ยากๆ ในด้านวิชากระบี่จากอาจารย์ลู่ของพวกเจ้าให้มากหน่อยได้”

อู๋ม่านเหยียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ยังคงไม่กล้ามองใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่นนั้น นางอืมรับหนึ่งที

ในใจถัวเหยียนฮูหยินถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที ช่างเป็นแม่นางที่โง่งมเสียจริง เวลานี้แม่นางน้อยคนนี้เหมือนมีเมฆก้อนหนึ่งบินลอยมาหยุดอยู่บนใบหน้า พวงแก้มแดงปลั่งดุจแสงอาทิตย์ยามสนธยา

โชคดีที่มีเด็กหนุ่มช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้ เขาใช้เสียงในใจเอ่ยกับอิ่นกวานหนุ่มว่า “ข้าชื่อเฮ้อชิวเซิง วันหน้าเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่จะถามกระบี่กับใต้เท้าอิ่นกวานสักครั้ง!”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มสะพายกระบี่ที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาคนนั้นแล้วพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ได้สิ”

ดูท่าแล้วบุพเพกับคนรุ่นเยาว์ของตนก็ไม่เลวเหมือนกัน

หลังจากคนทั้งสองกลุ่มแยกทางกัน

อู๋ม่านเหยียนก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ถามเด็กหนุ่มว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรกับอาจารย์เฉิน?”

เฮ้อชิวเซิงกล่าว “พวกเรานัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่ารอข้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไหร่จะถามกระบี่กันครั้งหนึ่ง”

อู๋ม่านเหยียนถามอย่างสงสัย “รอให้เจ้าเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้อย่างเชื่องช้า อาจารย์เฉินจะไม่เป็นขอบเขตสิบสี่แล้วหรือ? ยังจะต่อสู้อะไร ถามกระบี่อะไร?”

เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างเสียใจ “ศิษย์พี่หญิง!”

ศิษย์พี่หญิง ไม่ใช่ว่าเพราะข้าชอบเจ้า แล้วเจ้าจะรังแกคนอื่นแบบนี้ได้นะ

อู๋ม่านเหยียนสะบัดหน้า ผมหางม้าสะบัดน้อยๆ นางมองไปยังแผ่นหลังของคนชุดเขียวแล้วพลันรู้สึกว่าการฝึกกระบี่บนภูเขาน่าสนใจอย่างถึงที่สุด

ยังไม่ทันเดินไปถึงร้านผ้าห่อบุญแห่งนั้น เฉินผิงอันก็หยุดเดินแล้วหันหน้ามองไปยังจุดที่ห่างไปไกลมาก แสงกระบี่สองเส้นแยกกันพุ่งออกไปเส้นละจุด

แสงกระบี่เส้นหนึ่งในนั้นพุ่งมาทางเกาะนกแก้วใต้ฝ่าเท้าแห่งนี้พอดี?

เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย เหตุใดศิษย์พี่จั่วโย่วถึงได้ออกกระบี่? ถามกระบี่กับใคร อีกทั้งดูจากท่าทางแล้วยังถามกระบี่กับสองคนด้วย? คนหนึ่งอยู่ที่เกาะนกแก้ว อีกแห่งหนึ่งคือที่อำเภอพ่านสุ่ย

เฉินผิงอันเห็นกับตาตัวเองว่าแสงกระบี่ที่นำพาฝักกระบี่มาด้วยเส้นนั้นหล่นลงบนจุดที่ห่างไปไม่ไกล

ส่วนผู้ฝึกตนทั่วไป ขอบเขตไม่มากพอ จึงได้แต่หลับตาลงตามสัญชาตญาณไปนานแล้ว หรือไม่ก็หันหน้าเบี่ยงหลบไปอีกทาง ไม่กล้ามองแสงกระบี่ที่เจิดจ้าเส้นนั้นเลย

เดิมทีเกาะนกแก้วก็ไม่ได้มีความผิดปกติมากมายอะไรอยู่แล้ว มีเพียงน้ำในลำคลองรอบเกาะที่พลันลดฮวบลงไป เป็นเหตุให้เกาะนกแก้วเป็นราวกับหินที่ผุดขึ้นหลังน้ำลด เผยให้เห็นรากฐานภูเขาเยอะมาก

ผู้ฝึกตนทุกคนที่เพิ่งจะเดินทางออกมาจากเกาะยวนยางโอดครวญกันไม่หยุด วันนี้มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่ ไม่ว่าเดินไปที่ไหนที่นั่นก็ต้องตีกันงั้นหรือ?

นักพรตเนิ่นตบไหล่สหายรักที่อยู่ข้างกาย “สหายหลิ่ว เพราะได้พึ่งใบบุญของเจ้าเลยนะ”

ไม่ว่าเจ้าหอหลิ่วจะไปที่ใด ต้องมีมรสุมเกิดขึ้นที่นั่นเสมอ

หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มเอ่ย “ไม่ต้องเกรงใจๆ”

จวนแห่งหนึ่งบนเกาะนกแก้ว เฝิงเซวี่ยเทาผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่มีฉายาว่าชิงมี่กำลังปรึกษาหารือกับสหายรักบนภูเขาหลายคน คำว่าสหายรัก อันที่จริงก็เหมือนสุนัขรับใช้ใหญ่เหยียนที่อยู่ข้างกายหนันกวงจ้าวที่พูดจาเป็น รู้จักกาลเทศะเท่านั้น ยามที่ปรึกษากันว่าควรจะแตกกิ่งก้านสาขาที่ใบถงทวีปอย่างไร ระหว่างที่พูดคุยนอกจากสกุลหลิวธวัลทวีปที่ต้องมีมารยาทด้วยแล้ว นอกเหนือจากนั้นอย่างสำนักกุยหยกอะไรนั่นล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง

ส่วนจิงเฮาผู้ฝึกตนใหญ่ของธวัลทวีปที่อยู่อำเภอพ่านสุ่ย เจ้าสำนักแห่งหนึ่งที่มีฉายาว่าชิงกงไท่เป่าท่านนี้ก็มีสภาพการณ์พอๆ กัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเฝิงเซวี่ยเทาที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระแล้ว พวกคนที่อยู่ข้างกายกลับมีมากกว่า ยี่สิบกว่าคน แต่ละคนพูดคุยยิ้มแย้มกับเจ้าสำนักผู้เฒ่าจิงที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน ก่อนหน้านี้ตอนที่เกิดเรื่องบนเกาะยวนยาง ทุกคนต่างก็มองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ สำหรับผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นผู้นำของสี่ผีใหญ่ตอแยยากบนภูเขา แต่ละคนล้วนไม่เห็นสำคัญอะไรมากนัก มีคนบอกว่าหากเจ้าหมอนั่นก็กล้างัดข้อกับอวิ๋นเหมี่ยวแค่คนเดียวเท่านั้น หากกล้ามาที่นี่ แม้แต่ประตูก็ยังเข้ามาไม่ได้

กระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่ออกจากฝักผ่าพันธนาการภูเขาสายน้ำของเรือนพักมาหยุดลอยอยู่กลางอากาศของลานบ้าน ปลายกระบี่ชี้ไปยังกลุ่มผู้กล้าบนภูเขาที่อยู่ในห้อง

จิงเฮาหยุดยกจอกเหล้าที่อยู่ในมือ หรี่ตามองไปยังกระบี่ยาวที่อยู่นอกห้องเล่มนั้น มองดูแล้วไม่คุ้นตา คือผู้ฝึกกระบี่ที่ไม่เคารพกฎระเบียบคนใดกัน?

ในห้องเริ่มมีคนลุกขึ้นยืนแล้วส่งเสียงผรุสวาทดังโฉงเฉงพลางเดินมาที่หน้าประตู “ไอ้พวกไม่มีตาคนใดถึงได้กล้ามาทำลายอารมณ์สุนทรีในการดื่มเหล้าของผู้เฒ่าจิง?!”

คนผู้หนึ่งพลิ้วกายลงมาในลานบ้าน ยื่นมือไปกุมกระบี่ยาวไว้เบาๆ ตอบอย่างเฉยเมยว่า “จั่วโย่ว”

คนที่อยู่หน้าประตูเหมือนถูกบีบคอ หน้าซีดขาวไร้สีเลือด พูดอะไรไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว

จั่วโย่วกล่าว “ข้ามาหาจิงเฮา คนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องสามารถจากไปได้”

จั่วโย่วเหลือบตามองเจ้าคนที่ยืนอยู่หน้าประตู “เจ้าสามารถอยู่ต่อได้”

คนผู้นั้นจะรุกจะถอยก็ล้วนลำบาก อยากจะพูดกับเซียนกระบี่ใหญ่จั่วท่านนี้สักคำว่า อย่าทำแบบนี้สิ อันที่จริงข้าสามารถไปได้ จะไปเป็นคนแรกเลย

ทุกคนที่อยู่ที่นี่ ต่อให้ไม่เคยพบเจอจั่วโย่ว ก็ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงเลื่องลือของจั่วโย่วมาก่อนแน่นอน

คนที่อยู่นอกห้องผู้นั้นถูกขนานนามให้เป็นผู้ที่มีเวทกระบี่สูงสุดแห่งไพศาล ได้รับการยอมรับจากทุกคนว่าเป็นบัณฑิตที่นิสัยแย่ที่สุดของลัทธิขงจื๊อ ทั้งสองสถานะนี้ล้วนเป็นอันดับหนึ่ง ไม่มีหนึ่งใน

จิงเฮาลุกขึ้นยืน บิดหมุนจอกเหล้าในมือ ยิ้มเอ่ย “อาจารย์จั่ว ในเมื่อก่อนหน้านี้ท่านและข้าต่างก็ไม่รู้จักกัน ถ้าอย่างนั้นท่านก็คงไม่ได้มาดื่มเหล้า แต่หากจะบอกว่ามาถามกระบี่กับข้าจิงเฮา ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องถึงขั้นนั้นกระมัง?”

จั่วโย่วกล่าว “หลังจากถามกระบี่แล้ว ข้าจะดื่มเหล้าหรือถามกระบี่ เจ้าสามารถตัดสินใจเองได้”

คร้านจะพูดจาไร้สาระต่อไปอีก

จั่วโย่วเดินออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มือที่ถือกระบี่โบกอย่างไม่ใส่ใจ ส่งกระบี่แรกให้กับชิงกงไท่เป่าที่มีคำเรียกขานว่า ‘มหามรรคาของแปดสิบเวทคาถาร่วมกันเดินขึ้นสู่ยอดสูงสุด’ ผู้นี้

คนตรงหน้าประตูกับทุกคนที่อยู่ในห้องพากันเรียกเวทหลบหนีซึ่งเป็นวิชาประจำตัวออกมา พากันเผ่นหนีออกไปจากสถานที่อันตรายแห่งนี้จากสองฝากฝั่ง วิชาอภินิหารสารพัดรูปแบบถูกร่ายใช้จนลายตา

ทว่ามีเพียงคนที่อยู่ตรงหน้าประตูเท่านั้นที่ร่างหยุดลอยอยู่เหนือหัวกำแพง เพราะรอบด้านเหมือนกรงขัง มีแต่ปราณกระบี่เต็มไปหมด สร้างฟ้าดินที่ทะมึนทึมขึ้นมา

จั่วโย่วปล่อยหนึ่งกระบี่ไปแล้วก็พูดกับคนผู้นั้นโดยไม่แม้แต่จะหันหน้าไปมอง “จะไม่ยอมรับผิดก่อนแล้วค่อยไปหรือ?”

คนผู้นั้นรีบกุมหมัดก้มหน้าทันใด “ข้าผิดไปแล้ว!”

พริบตานั้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนั้นก็ถูกปราณกระบี่ที่เหมือนกรงขังห่อหุ้มแล้วกระแทกโยนอย่างแรงไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่ห่างไปไกลหลายร้อยจั้งของอำเภอพ่านสุ่ย โชคดีที่เพียงแค่ชุดคลุมอาคมบนร่างขาดยับ หลังจากคนผู้นี้ลุกขึ้นยืนได้ก็ยังคงกุมหมัดขอบคุณอยู่ไกลๆ ก่อนถึงหลบหนีต่ออีกครั้ง

จิงเฮาโยนจอกเหล้าในมือทิ้ง จอกเหล้าในมือพลันจำแลงร่างเป็นกายธรรมขุนเขาขนาดจิ๋ว สุราในจอกก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นแม่น้ำยาวเขียวมรกตสายหนึ่ง ประหนึ่งเข็มขัดที่พันรอบภูเขา ขณะเดียวกันระหว่างเขากับจั่วโย่วก็มีฟ้าดินเล็กที่มีขุนเขาสายน้ำยาวร้อยลี้ปรากฎขึ้นมา

เพียงยกมือก็เป็นการแสดงออกของมหามรรคาแห่งจักรวาลชายแขนเสื้อ

แต่กลับถูกกระบี่หนึ่งฟันผ่าออกอย่างง่ายดาย ระยะห่างร้อยลี้ ปราณกระบี่พุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที

จิงเฮาประกบสองนิ้วคีบยันต์สีเขียวที่ไม่ธรรมดาแผ่นหนึ่ง

สลายปราณกระบี่เล็กบางเส้นนั้นไปได้อย่างหวุดหวิด กระดาษยันต์ที่มีมูลค่าควรเมืองในมือของชิงกงไท่เป่าท่านนี้ก็ถูกปราณกระบี่ที่หลงเหลืออยู่สลายปราณวิญญาณทิ้งไป แล้วเผาไหม้อย่างรวดเร็ว ยันต์เล็กๆ แผ่นหนึ่งกลับมีภาพบรรยากาศที่แสงสว่างพร่างพราวดุจทางช้างเผือก

เพียงแต่ไม่รู้ว่ากระบี่ที่จั่วโย่วปล่อยออกมาง่ายๆ นี้ใช้เวทกระบี่ไปกี่ส่วน?

จั่วโย่วถือกระบี่เดินก้าวหนึ่งข้ามธรณีประตูไป เอ่ยเตือนว่า “สร้างฟ้าดินขึ้นมาแห่งหนึ่ง”

จิงเฮาไม่มีทางเลือก ได้แต่เรียกฟ้าดินเล็กที่เกิดจากฟ้าดินหลายแห่งร้อยเรียงต่อกันออกมาราวกับปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง

ครู่หนึ่งต่อมาชิงกงไท่เป่าที่มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้นั่งพิทักษ์ฟ้าดินบ้านตัวเอง มหามรรคาของเวทคาถาแปดสิบบทล้วนร่ายออกมาจนหมดสิ้น ทว่าทุกครั้งจั่วโย่วผู้นั้นเพียงแค่ปล่อยกระบี่หนึ่งออกมา บ้างก็ทำลายอาคมหนึ่งบท บ้างก็สลายเวทคาถาหลายบทของจิงเฮา

ส่วนเวทคาถาที่จิงเฮาร่ายออกมาไม่รู้จักจบจักสิ้นนั้น ต่อให้โชคดีกลายเป็นปลาที่หลุดลอดตาข่ายภายใต้แสงกระบี่ทั้งหลาย แต่กลับไม่อาจขยับเข้าประชิดตัวจั่วโย่วได้เลย เพียงแค่ขยับเข้าใกล้คนผู้นั้นเล็กน้อยก็ต้องระเบิดแตกไปด้วยตัวเอง

สุดท้ายจั่วโย่วก็เป็นเหมือนที่บอกกล่าวกับศิษย์น้องเล็ก การต่อสู้ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ก็แค่ว่าเจ้าปล่อยกระบี่ออกไปเพิ่มอีกหนึ่งกระบี่เท่านั้น

จั่วโย่วที่ปล่อยกระบี่เพิ่มแค่กระบี่เดียวจริงๆ ถือกระบี่เดินออกจากห้อง แล้วเขาก็ทะยานลมจากไป ไปสกัดขวางผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่เห็นท่าไม่ดีแล้วเตรียมเผ่นหนีบนฟ้า ถามว่า “จะไปไหน? ให้ข้าไปส่งเจ้าไหม?”

เฝิงเซวี่ยเทาไม่ได้หยุดชะงัก ยิ่งทะยานร่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบยิ่งกว่าเดิม เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ไม่กล้ารบกวนอาจารย์จั่ว”

จั่วโย่วทะยานลมไปเคียงข้างกับร่างจริงของผู้ฝึกตนใหญ่ที่มีฉายาว่าชิงมี่ผู้นั้นพอดี เอ่ยว่า “สามารถรบกวนได้”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด