กระบี่จงมา 806.2 ชุดขาวกับชุดเขียว

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 806.2 ชุดขาวกับชุดเขียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลี่ฮูหยินถึงได้ยอมมาพบเซียนฉา คิดไม่ถึงว่าคนพายเรือเฒ่าผู้นี้จะน้ำเข้าสมองจริงๆ เตร็ดเตร่เหมือนคนถูกผีบังตาอยู่ร้อยกว่าปีก็เพื่อเอ่ยขอบคุณกับนางแค่คำเดียวจริงๆ บอกว่าหลี่ฮูหยินมีวลีหนึ่งที่เขียนได้ดีที่สุดในฟ้าดินนี้แล้ว ดีเป็นอันดับหนึ่ง ซูจื่อหลิ่วชีอะไรนั่นล้วนเป็นพวกโสมมเขียนอะไรไร้สาระ พอมาเจอกับวลีขับขานบุปผาบทนี้ของหลี่ฮูหยินล้วนต้องไปยืนอยู่ริมขอบกันทั้งหมด…

ที่แท้หลี่ฮูหยินก็เคยเขียนคำขับขานคำว่ากุ้ยเล่นๆ อยู่บทหนึ่ง แต่เป็นดอกกุ้ยฮวาที่นางเปรียบเทียบเอาเอง

อันดับหนึ่งในมวลบุปผา เหมยต้องริษยาเบญจมาศต้องอับอาย…

ผลคือถูกเซียนฉาผู้นั้น ‘กำหนด’ ให้เป็นอันดับหนึ่งแห่งการเรียบเรียงคำ

เอ่ยขอบคุณแล้ว เซียนฉาก็ถูกอาจารย์จางผู้เป็นเจ้าของเรือส่งออกจากอาณาเขตไปอย่างมีมารยาท อาจารย์จางยิ้มเตือนคนผู้นี้ว่าวันหน้าไม่ต้องมาอีกแล้ว เรือราตรีไม่ต้อนรับ

คิดไม่ถึงว่าคนพายเรือเฒ่าจะร้องเพ้ยหนึ่งที สถานที่ห่วยๆ เช่นนี้ เชิญให้มาข้ายังไม่มาเลย

พอคิดถึงเซียนฉาก็ให้รู้สึกหงุดหงิดใจ เด็กหนุ่มเขากวางจึงรีบเปลี่ยนเรื่องสนทนา “ผู้ฝึกยุทธหญิงที่พูดไม่มากคนนั้น ดวงตาของนางโดดเด่นมากเป็นพิเศษ”

หลี่ฮูหยินใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพียงพยักหน้าตอบรับไปอย่างไม่ใส่ใจ “ในเมื่อดวงตาของคนสามารถรองรับตะวันจันทราเอาไว้ได้ ผู้ฝึกตนบนภูเขา คนธรรมดาล่างภูเขา เหตุใดถึงไม่อาจรองรับคนที่อยู่ตรงหน้าแค่ไม่กี่คนได้นะ”

นายท่านเสียใจ เด็กหนุ่มเขากวางก็เสียใจมากไปด้วย

ช่วงเวลาสุดท้ายของชาติก่อนนายท่านไปลงหลักปักฐานที่ต่างบ้านต่างเมืองซึ่งมีชื่อเรียกสมัยโบราณว่าหลินอัน แต่กลับไม่เคยเขียนกวีหรือวลีใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับภูเขาเขียวน้ำใสของที่นั่น

อี้อัน เจี้ยนอัน หลินอัน ฉีโจว ชิงโจว หังโจว

……

ทางฝั่งของสวนกงเต๋อศาลบุ๋น มีแขกมาเยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่ล้วนไม่รั้งรออยู่นาน เพียงแค่พูดคุยกับเหวินเซิ่งสองสามประโยคก็จากไป

หลิ่วชีกับสหายรักอย่างเฉาจู่ ภิกษุเหลี่ยวหรานแห่งวัดเสวียนคง ไหวอินแห่งอารามเฟยเซียน คู่รักคู่หนึ่งแห่งถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ หลิวทุ่ยแห่งฝูเหยาทวีป…

ซานจวินห้าขุนเขาของแผ่นดินกลางพากันมาเยือนสี่คน นอกจากเทพใหญ่ของภูเขาสุ้ยซานแล้ว ทุกคนล้วนมากันครบหมด

สุ่ยจวินของห้าทะเลสาบก็ยิ่งจับมือกันมาเยือน หนึ่งในนั้นก็มีหลี่เหย่โหวแห่งทะเลสาบเจี่ยวเยว่ พาสาวใช้หวงเจวี้ยนและผู้ติดตามซาชิงที่เป็นวิญญาณวีรบุรุษของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางมาด้วย

หลี่เหย่โหวพกเหล้าหมักของบ้านตัวเองมาให้ซิ่วไฉเฒ่าหลายกา แค่มองก็รู้ว่าสนิทสนมกับซิ่วไฉเฒ่าอย่างมาก พูดคุยยิ้มแย้มอย่างไม่ต้องระมัดระวัง

ทุกครั้งที่ซิ่วไฉเฒ่าออกมารับรองแขกที่มาเยี่ยมเยือน ข้างกายจะต้องพาเฉินผิงอันติดตามมาด้วย

จวินเชี่ยนนั้นขี้เกียจ จั่วโย่วไม่เหมาะจะทำเรื่องแบบนี้ ยืนเป็นน้ำเต้าตันไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้น ง่ายที่จะทำให้แขกรู้สึกเหมือนเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ

แต่หากเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายกลับไม่เหมือนกันแล้ว ต้อนรับขับสู้ได้อย่างรอบคอบรัดกุม ควรยิ้มก็ยิ้ม ควรเปิดปากก็เปิดปาก ร่วมมือสอดประสานกับอาจารย์อย่างเขาได้อย่างแนบแน่นไร้ช่องโหว่

ของขวัญร่วมแสดงความยินดีจากภูเขาจิ่วอี๋คือชางผูพันปีที่รวบรวมโชคชะตาน้ำเอาไว้กระถางหนึ่ง เขียวปลั่งราวกับจะมีน้ำหยดออกมา บนใบหลายใบก็มีหยดน้ำรวมตัวทำท่าจะหยดมิหยดเหล่ ซานจวินยิ้มเอ่ยบอกว่ายามที่หยดน้ำร่วงลงมาให้เอาอุปกรณ์ในห้องหนังสืออย่างพวกแท่นฝนหมึกโบราณหรือที่ล้างพู่กันมารองรับน้ำก็ได้แล้ว สามารถเอามาหลอมเป็นโอสถน้ำได้

ซิ่วไฉเฒ่าบอกว่าขอรับไว้ด้วยความยินดี จากนั้นก็หันไปส่งมอบให้กับเฉินผิงอัน พึมพำพูดกับลูกศิษย์คนสุดท้ายว่าอันที่จริงภูเขาจิ่วอี๋ยังมีต้นชางผูอายุสามพันปีอยู่อีกหลายกระถาง หยดน้ำที่ก่อตัวออกมาร้ายกาจอย่างยิ่ง ใหญ่เท่ากำปั้นเชียวล่ะ เฉินผิงอันจึงบอกว่าเรื่องที่ได้ยินคนอื่นเขาเล่ามาแบบนี้ อาจารย์จะเชื่อไม่ได้ อิงตามบันทึกในตำราแล้ว อย่างมากสุดหยดน้ำก็น่าจะใหญ่แค่เหรียญทองแดงเท่านั้น

ทำเอาเทพภูเขาจิ่วอี้ที่ได้ยินรู้สึกหวาดระแวง กังวลว่าพรุ่งนี้อาจารย์และศิษย์คู่นี้จะไปรีดไถถึงที่ภูเขาบ้านตน

และยังมีหูจวินท่านหนึ่งที่มอบเทียบตัวอักษรมาให้ ด้านบนเขียนสามคำว่า ‘ล่านจุ้ยหรู’ กระดาษเซวียนจื่อลายน้ำ พอจะมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่ามีแมลงว่ายวนอยู่ด้านใน เล็กบางเหมือนเส้นด้าย บนเทียบตัวอักษรเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา กลิ่นหอมสดชื่นลอยโชยมาปะทะจมูก

แมลงที่ถูกเลี้ยงไว้ในเทียบตัวอักษรล้ำค่าตัวนั้น หากอิงตามบันทึกของตำราโบราณ แมลงในน้ำใต้มีชื่อว่าจิ่วหนี (ดินสุรา) หากอยู่ในน้ำจะมีชีวิต ขึ้นฝั่งพ้นจากน้ำจะเมามาย สามารถพ่นเหล้าหมักออกมาได้ น้อยหน่อยก็เต็มถ้วย มากหน่อยก็เต็มถัง วัตถุประเภทนี้มหัศจรรย์ยิ่ง จับได้ยากอย่างถึงที่สุด มีเพียงใส่ไว้ในเหล้าหมักชั้นดีเท่านั้น ต้องใช้เหล้าเป็นเหยื่อล่อ ใช้กาเหล้าเป็นข้องจับปลา ถึงจะมีโอกาสหนึ่งในร้อยที่จะจับได้ และยิ่งยากจะเลี้ยงเอาไว้ได้ เพราะมีกฎเกณฑ์เยอะมาก

เทียบอักษรล้ำค่าถูกวางไว้บนโต๊ะ ทุกคนร่วมกันชื่นชม ผลคือซิ่วไฉเฒ่าเปิดปากก็ถามราคาทันทีว่าเท่าไร

ถามจนหูจวินท่านนั้นปวดหัวแปลบ

แต่ทางฝั่งของซิ่วไฉเฒ่าก็มีการแสดงท่าทีอยู่เหมือนกัน เพราะได้เตรียมเทียบตัวอักษรหรือไม่ก็กลอนคู่เอาไว้นานแล้ว พอมีแขกมาเยือนก็จะมอบกลับคืนให้หนึ่งชิ้น ถือเป็นของขวัญตอบแทน

บวกกับที่เฉินผิงอันเข้าใจขนบธรรมเนียมประเพณีของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้อย่างดีเยี่ยม เข้าใจกระจ่างชัดเหมือนเป็นสมบัติในบ้านตัวเอง ยามที่พูดคุยกับแขกทั้งหลาย ในฐานะผู้เยาว์ไม่มีอะไรจะมอบให้ มีเพียงความจริงใจอย่างเดียวเท่านั้น

เฉินผิงอันมองออกว่าแขกทุกคนที่ได้รับของขวัญตอบแทนกลับคืนจากอาจารย์ ล้วนรู้สึกยินดีอย่างไม่คาดฝัน

ความไม่คาดฝันนั้นมีสองชั้น หนึ่งเพราะเป็นของขวัญที่หนัก เพราะถึงอย่างไรทั้งเทียบอักษรและคำขวัญกลอนคู่ก็ล้วนเป็นลายมือของอริยะศาลบุ๋นของแท้แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวอักษรเหวิน (อักษร) ด้านหน้าอักษรเซิ่งของอาจารย์ตน น้ำหนักจะไม่หนักได้หรือ แล้วนับประสาอะไรกับที่ตัวอักษรทุกตัว ซิ่วไฉเฒ่าล้วนเขียนอย่างจริงจัง เป็นเหตุให้ก่อนหน้านี้สาวใช้หวงเจวี้ยนของหูจวินหลี่เหย่โหวมาช่วยรับเทียบอักษรแทนเจ้านาย ผลคือถึงกับเซสะดุดจนเทียบอักษรในมือเกือบจะหล่นลงพื้น ยังเป็นเฉินผิงอันที่ก้มเอวไปรับตัวอักษรไว้อย่างทันท่วงที แล้วจึงยิ้มมอบส่งไปให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบที่ชื่อว่าซาชิงคนนั้น

นอกจากนี้ก็คงจะเป็นเพราะแขกทุกคนที่มาเยือนสวนกงเต๋อล้วนคาดไม่ถึงว่าซิ่วไฉเฒ่าจะมีของขวัญตอบแทนกลับคืนให้กระมัง

ซานจวินหญิงแห่งภูเขาแยนจือมีชื่อว่าจูอวี้เซียน ฉายาค่อนข้างประหลาด ขู่ไฉ่ (ผักขม)

ตอนที่มาข้างกายของนางมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์จากราชวงศ์เส้าหยวนติดตามมาด้วย จูเหมย ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีวาสนาตระกูลเซียนที่ผูกเป็นพันธะสัญญาต่อกัน

จูเหมยที่จากลากับเฉินผิงอันไปนานแล้วได้กลับมาพบเจอกันอีกครั้งหัวเราะร่า นางไม่ทำตัวห่างเหินแม้แต่น้อย กุมหมัดเอ่ยหยอกเย้าว่า “ข้าน้อยคารวะใต้เท้าอิ่นกวานผู้อ่อนโยนมัธยัสถ์อดออม”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แม่นางจูกล่าวหนักเกินไปแล้ว”

ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดผงกศีรษะ “คำพูดนี้ของแม่นางจูพูดได้ดียิ่ง สกุลจูเซียนเสียมีแม่นางจูก็ควรจะจุดธูปขอบคุณบรรพบุรุษให้มากจริงๆ”

เฉินผิงอันเริ่มกางกระดาษหยิบพู่กัน ซิ่วไฉเฒ่าจึงเขียนบทกวีที่เกี่ยวกับวิถีโบราณแห่งเซียนเสียขึ้นมาหนึ่งบท มอบมันให้กับจูเหมย

ในฐานะของขวัญร่วมแสดงความยินดีจากภูเขาแยนจือ ซานจวินหญิงเพียงหนึ่งเดียวในแผ่นดินกลางของจูอวี้เซียน นอกจากจะเอากล่องไม้ไผ่ยาวที่บรรจุชาดทาแก้มและผงประทินโฉมล้ำค่าหายากยี่สิบกล่องไว้จนเต็มออกมาให้แล้ว

นางยังเอานกนางแอ่นดำที่พับจากกระดาษออกมาอีกหนึ่งตัว รวบรวมโชคชะตาบุ๋นและปราณวิญญาณของขุนเขาสายน้ำสองส่วนเอาไว้อย่างเข้มข้น สามารถเอาไปวางไว้บนเสาคานบ้านหรือไม่ก็ด้านหลังกรอบป้าย ก็เท่ากับว่าในบ้านมีคนจิ๋วควันธูปเพิ่มมาคนหนึ่ง เพียงแต่ว่ายังมีเงื่อนไขอีกข้อหนึ่ง นั่นก็คือบ้านที่วางนกนางแอ่นกระดาษนี้เอาไว้จะต้องอยู่ใกล้กับภูเขา ภายในร้อยลี้จะต้องมีภูเขาสูง หากมีขุนเขาแห่งแคว้นก็ยิ่งดีเยี่ยม ไม่อาจอยู่ในบ้านที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ราบหรือตั้งอยู่ใกล้กับน้ำใหญ่ได้

ถึงอย่างไรคนที่มาแสดงความยินดีที่ซิ่วไฉเฒ่าได้ตำแหน่งเทพในศาลบุ๋นกลับคืนมาที่สวนกงเต๋อก็มีน้อย ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ได้ทยอยกันออกไปจากอาณาเขตของศาลบุ๋นแล้ว

ยกตัวอย่างเช่นจวี้จื่อแห่งสำนักโม่ที่พอการประชุมสิ้นสุดลงก็ได้เดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้างกายมีสวี่รั่วจอมยุทธพเนจรติดตามมาด้วย

เมื่อสวี่รั่วพูดถึงอิ่นกวานหนุ่ม จวี้จื่อสำนักโม่ที่สีหน้าเฉยเมยส่ายหน้า ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เห็นได้ชัดว่าไม่อยากพูดถึงคนผู้นี้มากนัก

สวี่รั่วรู้สาเหตุดี เป็นเพราะกู้ช่าน เพราะจวี้จื่อสำนักโม่ข้างกายคนนี้เคยสังหารลูกศิษย์กับมือตัวเอง สังหารญาติมิตรเพื่อคุณธรรมยิ่งใหญ่

ดังนั้นหากไม่ผิดไปจากที่คาดล่ะก็ เฉินผิงอันที่ไม่สังหารกู้ช่าน วันหน้าเขากับสายทั้งหลายของสำนักโม่ก็จะเป็นได้แค่น้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลองเท่านั้น

พวกกวอโอ่วทิงแห่งภูเขาต้นไม้เหล็กและชงเชี่ยนเซียนหญิงแห่งหลิวเสียทวีปต่างก็ไม่ได้ย้อนกลับไปยังสำนักของตัวเองก่อนสักรอบก็ออกเดินทางไปแล้ว

ส่วนพวกจักรพรรดิราชครูของราชวงศ์ใหญ่ทั้งหลายที่ไม่จำเป็นต้องลงสนามรบที่เปลี่ยวร้างก็กลับไประดมพลรวบรวมกองกำลัง เรียกตัวผู้ฝึกตนบนภูเขามาช่วยกันสร้างเรือข้ามฟากที่เหมาะแก่การเดินทางไกล…ทุกคนล้วนมีธุระให้ต้องทำ

ก่อนที่ฮว่อหลงเจินเหรินจะเดินทางไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้มาที่สวนกงเต๋อรอบหนึ่ง เขาเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับซิ่วไฉเฒ่า กอดคอพูดคุยยิ้มแย้ม ดื่มเหล้าชนจอกกันไม่หยุด ต่างก็ดื่มกันจนเมามายหน้าแดงก่ำ

ฮว่อหลงเจินเหรินลุกขึ้นยืนโงนเงน ลากเฉินผิงอันไปด้วยกันเพียงคนเดียว คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป เจินเหรินผู้เฒ่าส่งเสียงเรอ ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “ชื่อเสียงต้องสร้างแต่เนิ่นๆ นี่ถูกต้องแล้ว เป็นเรื่องดี เรื่องดีบนโลกกลัวก็แค่คำว่าแต่ว่า เรื่องนี้เจ้าต้องระวังให้มากแล้ว หลักการเหตุผลของคนข้างกาย ประสบการณ์ของคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าให้ฟัง ล้วนสู้การขัดเกลาของตัวเจ้าเองไม่ได้ ไม่น่าเชื่อถือเท่า”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ผู้เยาว์จะระวัง”

ฮว่อหลงเจินเหรินหยิบสำเนาศิลาคัมภีร์ซีผิงสองชุดออกมาจากชายแขนเสื้อ

ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่รู้สึกนับถือยิ่งนัก เรื่องของการทำการค้า ตนยังอายุน้อยไม่รู้ความ ตบะตื้นเขินเกินไปจริงๆ

ฮว่อหลงเจินเหรินยื่นสำเนาซีผิงคัดมือสองฉบับให้กับเฉินผิงอัน ยิ้มเอ่ยว่า “ชุดหนึ่ง เมื่อไปถึงยอดเขาพาตี้แล้ว เจ้ามอบให้ซานเฟิงเอง ส่วนอีกชุดเป็นผินเต้าที่ช่วยซื้อมาให้เจ้า เจ้าหนู ในเมื่อทำการค้าก็อย่าได้หน้าบางเกินไป แบบนั้นไม่ได้หรอกนะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ได้รับคำสั่งสอนแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ยเสียงเบา “วิถีทางโลกเพิ่งจะสงบสุขได้แค่ไม่กี่ปีก็มีมรสุมเกิดขึ้นอีกแล้ว ผินเต้าเพิ่งจะได้ข่าวมาสองสามเรื่อง มีฮ่องเต้ของราชวงศ์หนึ่งถูกลอบโจมตีบนเรือข้ามฟากของตัวเอง พวกราชครูและผู้ถวายงานต่างก็ได้รับบาดเจ็บกันเล็กน้อย นักฆ่าสองคนล้วนเป็นนักรบพลีชีพ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องกลายเป็นคดีที่ปิดไม่ลงบนภูเขาซึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ ทางฝั่งของถ้ำสวรรค์เทียนอวี๋ก็เกิดความขัดแย้งกันเองภายใน ภูเขาชิงกงของเฝิงเซวี่ยเทา อดีตเจ้าสำนักที่ปิดประตูทบทวนตัวเองผู้นั้นตายไปอย่างเฉียบพลัน ราชครูเฉาผู่ของราชวงศ์เส้าหยวน ในฐานะที่ภูเขาลูกนั้นคือรังเก่าที่เขาเตรียมการไว้ยังทวีปอื่นก็เกิดเรื่องไม่เบา คนบาดเจ็บล้มตายกันไปมาก อยู่ดีๆ ศาลบรรพจารย์ก็ถูกคนบุกมาฆ่าแล้วจากไปดื้อๆ ทางฝั่งของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาและตั้นตั้นฮูหยินก็ถูกคนวางแผนทำร้ายด้วยแผนการที่อำมหิตที่สุด อย่าเห็นว่าสตรีอย่างชิงจงพูดคุยกับพวกเราอย่างว่าง่าย ฝีมือของนางกลับไม่เลวเลย แล้วก็จมูกไวมากด้วย กลับกลายเป็นว่าถูกนางแว้งกลับเล่นงานอย่างรุนแรง ทั้งที่ลับและที่แจ้งล้วนถูกนางฆ่าเสียเกลี้ยง”

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เงียบงันไม่พูดจา ในใจคิดคำนวณไม่หยุด

มรสุมน้อยใหญ่พวกนี้เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับศาลบุ๋น

เห็นได้ชัดว่าเป็นใต้หล้าเปลี่ยวร้างและภูเขาทัวเยว่ที่ต้องการแสดงอำนาจใส่ศาลบุ๋น มองดูเหมือนเป็นการลงมือลงไม้โดยใช้อารมณ์ซึ่งไม่มีความหมายใดๆ สิ้นเปลืองหมากตายที่เดิมทีซ่อนไว้อย่างลึกล้ำพวกนั้นไปเสียเปล่าๆ แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายเพียงเท่านี้

ฮว่อหลงเจินเหรินตบไหล่เฉินผิงอัน พลันเอ่ยว่า “ถนอมชีวิตแต่ไม่กลัวตาย แสวงหาทางรอดแต่ไม่ยอมทำลายเกียรติยศและชื่อเสียง เวลาปกติก็ไม่อวดเก่งทำตัวเป็นผู้กล้า ยามถึงเวลาสำคัญคนนับพันนับหมื่นก็ขวางข้าไม่ได้ คือลูกผู้ชายตัวจริง”

เฉินผิงอันกล่าว “มิกล้ารับ”

เจินเหรินผู้เฒ่าถลึงตาใส่ “ผินเต้าพูดถึงเจ้าหรือ?”

เฉินผิงอันกล่าว “เลื่อมใสในมาดของจอมยุทธผู้กล้าของคนโบราณมานานหลายปี แต่ผู้เยาว์เรียนรู้อย่างไรก็ทำได้ไม่เหมือนสักที”

เจินเหรินผู้เฒ่าตบหัวคนหนุ่ม พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เจ้าเด็กหน้าเหม็น”

ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่ห่างไปไกลตะโกนมาอย่างขุ่นเคือง “อะไรกัน อะไรกัน?!”

เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของอาจารย์อวี้และเด็กหนุ่มหยวนโจ้วล่ะ?”

เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ดังนั้นผินเต้าถึงต้องไปช่วยคุ้มกันเสวียนมี่สักรอบอย่างไรล่ะ เป็นคนจะดีแต่เอาเปรียบผู้อื่นไม่ได้”

ฮว่อหลงเจินเหรินจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็กลับไปอยู่ข้างกายอาจารย์

“จะพูดแรงๆ ที่เป็นคำพูดไม่น่าฟังกับเจ้าสักหน่อย นอกจากตาเฒ่าและหลี่เซิ่งแล้ว ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล ไม่ว่าใครก็อย่าได้รู้สึกว่าขาดตัวเองไปแล้วฟ้าจะถล่มลงมา”

ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ดังนั้นจึงสามารถรอให้พักฟื้นบำรุงกำลังกลับมาเต็มเปี่ยมเสียก่อนค่อยไปสังหารโจรร้ายก็ยังไม่สาย”

เฉินผิงอันพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”

หลังจากนั้นก็เป็นฮูหยินเจ้าของถ้ำสวรรค์ฉานเจวียนแห่งแผ่นดินกลางที่มาเยี่ยมเยือนเหวินเซิ่ง นางคือสตรีที่รูปโฉมความงามคงเดิม ใบหน้าจึงเหมือนเด็กสาว

ข้างกายมีแม่นางคนเฝ้าศาลนามว่าเฉินสี่ติดตามมาด้วย ในมือของนางถือพัดกลมดอกท้อ ด้านบนวาดเป็นรูปดวงจันทร์ เขียนวลีเกี่ยวกับกิ่งไผ่

ครั้งนี้ซิ่วไฉเฒ่ากลับลากจั่วโย่วมาด้วยกัน ฝ่ายหลังมึนงงไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าอาจารย์คิดจะทำอะไร

ยามที่เจวี้ยนซิ่วฮูหยินผู้เป็นเจ้าของถ้ำพูดคุยกับอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง แม่นางคนเฝ้าศาลก็มองอาจารย์จั่วที่หลังจากปีนั้นจากลากันไปก็ไม่ได้พบหน้ากันอีกร้อยปี

แรกเริ่มจั่วโย่วเห็นสายตาสอบถามที่แม่นางคนนั้นมองมาก็ยังผงกศีรษะยิ้มบางๆ ให้ ครั้งหนึ่ง สองครั้งผ่านไป เขาก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้ว

ในเมื่อแม่นางคนเฝ้าศาลที่จำชื่อไม่ได้ผู้นี้คิดถึงชุยฉานอยู่นานหลายปี ก่อนหน้านี้เวลาร้อยกว่าปีเหตุใดถึงไม่ไปพบหน้าเขาที่แจกันสมบัติทวีปเล่า?

สกุลเฉินผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีป เฉินฉุนฮว่าเจ้าประมุขคนปัจจุบัน นอกจากจะมาหาเหวินเซิ่งแล้วก็มีการพูดคุยกับเฉินผิงอันด้วยเช่นกัน เรื่องหนึ่งในนั้นก็คือพูดถึงหลิวเสี้ยนหยางที่เคยเดินทางไกลไปศึกษาต่อ

อาจารย์ผู้เฒ่าฝูเซิ่งยังคงมาหาเฉินผิงอัน เพื่อพูดคุยเรื่องหลิ่วชิงเฟิงของสวนสิงโตแจกันสมบัติทวีป

นอกจากนี้ยังมีหยางชิงข่งราชครูของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนที่อาศัยโอกาสนี้มาพูดคุยเรื่องการค้ากับเฉินผิงอัน

ส่วนเพ่ยอาเซียงแห่งศาลเหลยกงและลูกศิษย์หญิงหลิ่วสุ้ยอวี๋ และยังมีผู้ฝึกยุทธเฒ่าหวังฟู่ซู่ที่ติดตามมาด้วย ก็แวะมาเพื่อมาหาเฉินผิงอันโดยเฉพาะ เพ่ยอาเซียงมาเพราะเผยเฉียน มาพบหน้าอาจารย์พ่อของเผยเฉียนอย่างเฉินผิงอัน ทั้งสองฝ่ายนัดหมายกันไว้เรียบร้อยแล้วว่า วันหน้าลูกศิษย์ของสายศาลเหลยกงสามารถไปมาหาสู่กับภูเขาลั่วพั่วบ่อยๆ เพื่อถามหมัดขัดเกลาวิถีวรยุทธให้แก่กันและกันได้

ส่วนหวังฟู่ซู่ แรกเริ่มนั้นคิดจะมาถามหมัดกับอิ่นกวานหนุ่มสักครั้ง ผลคือพอเหลือบไปเห็นจั่วโย่วที่นั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะ ใช้มือเดียวถือหนังสือ คิดดูแล้วก็รู้สึกว่าช่างมันเถิด

ไม่รีบร้อน ไว้ค่อยว่ากัน หากตนอาศัยอายุที่มากกว่ามารังแกคนหนุ่มที่เพิ่งจะเรียนวิชาหมัดได้แค่ไม่กี่ปีก็ไม่สมควรเอาเสียเลย ชนะไปก็ไม่สมเกียรติ

เทพเจ้าแห่งสกุลหลิวธวัลทวีปพาภรรยาและบุตรชายมาเยี่ยมเยือน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็หยิบของขวัญกองใหญ่ออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ วางกองกันเป็นภูเขาอยู่บนโต๊ะหินตัวนั้น

ไม่คลุมเครือมากพอ? ภายนอกมองแล้วจะดูไม่ดีหรือไม่? เงินมีอะไรไม่น่าดูกัน

อีกทั้งตอนที่จากไป สามีภรรยาที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้าคู่นี้ก็คล้ายจะลืมหยิบเอาวัตถุจื่อชื่อที่ไม่สะดุดตาชิ้นนั้นกลับไปด้วย

หลิวโยวโจวได้พบอิ่นกวานหนุ่มก็คลี่ยิ้มกว้างสดใส เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาตรงๆ

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นลุกขึ้นกุมหมัด เอ่ยขอบคุณครอบครัวสามคนนี้ เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ขอขอบคุณตระกูลหลิวแทนกำแพงเมืองปราณกระบี่ วันหน้าหากมีเรื่องใดจะมอบหมาย ก็แค่ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวมายังภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันจะต้องรีบเดินทางไปยังธวัลทวีปทันที”

จวนโหยวโหรวแห่งหนึ่งของภูเขาห้อยหัว เป็นสกุลหลิวที่เป็นฝ่ายยกให้กำแพงเมืองปราณกระบี่

ไม่เพียงแค่นี้ กิจการหลายอย่างที่หลบซ่อนอยู่ในภูเขาห้อยหัว ทั้งเงินและข้าวของล้วนมอบให้คฤหาสน์หลบร้อนพร้อมกันทั้งหมด

หลิวจวี้เป่าลุกขึ้นยืน กุมหมัดคารวะกลับคืน “ใต้เท้าอิ่นกวานกล่าวหนักเกินไปแล้ว สกุลหลิวไม่มีทางทำเช่นนี้ เรื่องบางอย่างไม่ใช่การค้า หวังเพียงว่าวันหน้ายามที่อิ่นกวานเดินทางผ่านธวัลทวีปจะต้องไปเป็นแขกที่บ้านพวกเราให้ได้”

จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยประโยคที่ทำให้ทั้งซิ่วไฉเฒ่าและหลิวจวี้เป่าประหลาดใจเป็นทบทวี

“ผู้เยาว์สามารถขอตำแหน่งเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อของสกุลหลิวมาเป็นได้หรือไม่?”

หลิวจวี้เป่าอึ้งตะลึง ไม่ได้พูดจาไร้สาระแม้แต่ครึ่งคำ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกังวานว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้!”

จั่วโย่วมองศิษย์น้องเล็กแวบหนึ่ง

เขารู้สาเหตุ

กำแพงเมืองปราณกระบี่มีเซียนกระบี่สองคนที่มาจากธวัลทวีป หลี่ติ้ง จางเซียว พวกเขาต่างก็ไม่ชอบบ้านเกิดของตัวเองอย่างมาก แต่ถึงท้ายที่สุดกลับกระโจนเข้าสู่ความตายอย่างกล้าหาญด้วยสถานะของผู้ฝึกกระบี่แห่งธวัลทวีป

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด