กระบี่จงมา 820.1 ถามหมัดเป็นแขก ทำสองอย่างพร้อมกันไม่เสียเวลา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 820.1 ถามหมัดเป็นแขก ทำสองอย่างพร้อมกันไม่เสียเวลา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันนี้หลิวเสี้ยนหยางปรากฏตัว ทั้งไม่ได้พกกระบี่มา และทั้งไม่ได้สะพายกระบี่ สองมือว่างเปล่า

อันที่จริงเดิมทีอยากจะสะพายกระบี่มาสักเล่มหนึ่ง จะดีจะชั่วก็แสร้งทำให้ดูเหมือนผู้ฝึกกระบี่ได้บ้าง เพียงแต่พอเห็นว่าเฉินผิงอันสะพายกระบี่แล้ว ประเด็นสำคัญคือดันมีสภาพคนสารรูปสุนัข (เปรียบเปรยว่าเป็นคน แต่การกระทำเหมือนสุนัข เป็นคำเหน็บแนมอย่างหนึ่ง) ก็เลยได้แต่ล้มเลิกความคิด

เวลานี้หลิวเสี้ยนหยางเยือกเย็นสุขุม ยกสองแขนกอดอก ยืนอยู่ห่างซุ้มประตูภูเขาไปไม่ไกล แหงนหน้ามองกรอบป้ายสองคำที่เขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า ‘ตะวันเที่ยง’ แล้วสีหน้าเขาก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นเหยเก

ก่อนหน้านี้เจ้าเฉินผิงอันพูดหยอกล้อกับเขาว่า เจ้าตั้งชื่อได้ดี เพราะอิจฉาภูเขาตะวันเที่ยงใช่หรือไม่? ทำเอาหลิวเสี้ยนหยางอึ้งตะลึงไปเป็นครึ่งๆ วัน ถูกคำพูดของอีกฝ่ายทำให้สะอิดสะเอียนไม่น้อย ดื่มเหล้าหมดไปกาหนึ่งก็ยังไม่คืนสติ ภูเขาตะวันเที่ยงนี่ช่างก่อกรรมทำชั่วเสียจริง พรุ่งนี้ถามกระบี่คงต้องเสนอความเห็นแก่ศาลบรรพจารย์ของพวกเขาสักหน่อย ไม่สู้ยอมฟังคำโน้มน้าวจากเขา เปลี่ยนชื่อเสียใหม่

เมื่อวานดื่มเหล้าอยู่ที่หอกั้วอวิ๋น นอกจากจะเอ่ยล้อเล่นแล้ว เฉินผิงอันยังโยนสมุดเล่มหนึ่งมาให้ บอกว่าพรุ่งนี้ถามกระบี่ต้องได้ใช้แน่นอน หลิวเสี้ยนหยางเปิดอ่านง่ายๆ แล้วก็จำไว้แค่คร่าวๆ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไร

รุ่นคนมีอายุที่มีเซียนกระบี่ผู้อาวุโสอย่างพวกจู๋หวง เซี่ยหย่วนชุ่ย เถาแยนโป เยี่ยนฉู่เป็นหนึ่งในนั้น กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเป็นอย่างไร ลักษณะการถามกระบี่เป็นอย่างไร มีท่าไม้ตายไหนบ้าง บนสมุด ‘ทำเนียบวงศ์ตระกูล’ ที่เฉินผิงอันช่วยรวบรวมมาให้นี้ ล้วนมีบันทึกไว้อย่างละเอียด

และยังมีพวกเซียนกระบี่รุ่นเยาว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนที่มีความเป็นไปได้ว่าจะปรากฎตัวก่อนใครอย่างหลิ่วอวี้ อวี่หลิ่น อู๋ถีจิง หยวนป๋าย…ล้วนมีบันทึกไว้อย่างไม่ตกหล่น ทุกคนต่างก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงติดอันดับบนกระดาน

ไม่ใช่ว่าหลิวเสี้ยนหยางประมาทเลินเล่อหลงตัวเอง สายตาสูงส่งจนมองไม่เห็นหัวใครจริงๆ

แต่เป็นเพราะยามที่ข้างกายมีสหายที่ชื่อเฉินผิงอันอยู่ด้วย เขามักจะไร้ห่วงไร้พะวง สบายใจผ่อนคลายมากเป็นพิเศษ

แต่หลิวเสี้ยนหยางก็มีความมั่นใจมากจริงๆ เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าเรียนรู้อะไรก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เป็นขั้นพื้นฐานเร็ว ขอแค่ตั้งใจใช้ความคิดสักหน่อย ไม่ว่าจะเรื่องใดก็ล้วนทำได้ดี ก็เหมือนอย่างการเผาเครื่องปั้น ต้องใช้ฝีมือสิบกว่าขั้นตอนต่อกันเป็นทอดๆ ทุกด่านในกรรมวิธีล้วนมีความรู้ แต่หลิวเสี้ยนหยางกลับใช้เวลาแค่เกือบครึ่งปีก็ได้มาตรฐานที่แม่นยำของช่างผู้อาวุโสที่สะสมฝีมือและประสบการณ์มาหลายสิบปีแล้ว

หัวหน้าเตาเผามังกรที่ช่างเลือกอย่างผู้เฒ่าเหยาก็ยังได้แต่พูดถึงหลักการเหตุผลใหญ่นอกเหนือจากฝีมือสั่งสอนเขาพอเป็นพิธีแค่สองสามประโยคเท่านั้น อะไรที่บอกว่าการเผาเครื่องปั้นคือวัตถุที่ได้มาจากไฟ แต่กลับต้องเชี่ยวชาญการถอนกลิ่นอายไฟถึงจะกลายเป็นวัตถุชั้นเยี่ยมระดับหนึ่ง ภายหลังยิ่งเก็บไว้นานเท่าไรก็จะยิ่งเหมือนการวางไว้ในน้ำ ค่อยๆ ขัดเกลาไปร้อยปีพันปี ยิ่งนานก็ยิ่งเห็นความใสแวววาว

เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้ก็แค่โง่ไปสักหน่อย อีกทั้งทำอะไรก็จริงจังอย่างมาก ดังนั้นจึงได้แต่ต้องคอยเดินตามหลังเขาแต่โดยดี เรียนรู้เอาอย่าง แต่กลับเรียนได้ไม่ดีนัก

หลิวเสี้ยนหยางไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย ในเมื่อป่าวประกาศไปแล้วว่าจะถามกระบี่ ก็ไม่ต้องสนใจว่าใครจะเป็นคนมารับกระบี่ ทางที่ดีที่สุดก็ให้ถ่วงเวลาไปทั้งอย่างนี้ ให้ผู้ฝึกตนของทั้งทวีปที่อยู่ทั้งในและนอกภูเขาตะวันเที่ยงได้เห็นความองอาจสง่างามดุจไม้หยกรับลมของนายท่านใหญ่หลิวมากๆ หน่อย

หลิวเสี้ยนหยางมองกรอบป้ายแล้วหงุดหงิดใจนัก จึงถอนสายตากลับมาแล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิเสียเลย

ตอนนั้นทะยานลมจากโรงเตี๊ยมมายังที่แห่งนี้ ระหว่างทางได้หันกลับไปมองหอกั้วอวิ๋นแวบหนึ่ง พบว่าเฉินผิงอันหายตัวไปไม่รู้ร่องรอยแล้ว ไม่รู้ว่าไอ้หมอนี่ที่ทำลับๆ ล่อๆ เวลานี้แอบไปที่ใดแล้ว ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางใช่ ‘ยอดกระบี่’ ที่ตั้งศาลบรรพจารย์ของยอดเขาอีเซี่ยนแน่นอน ไม่อย่างนั้นป่านนี้ก็คงเกิดอึกทึกครึกโครมกันไปนานแล้ว ตนถามกระบี่อยู่หน้าประตูภูเขา ดังนั้นจึงบอกว่าเจ้าเฉินผิงอันนับว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง ไม่แย่งความเด่นของเขาไป

สหายที่เป็นแบบนี้ ไม่ต้องมีมากมาย แค่คนเดียวก็พอแล้ว

ยามทิวาหล่อหลอมฝันพันปี ยามราตรีท่องหาคนหมื่นปี

ที่พูดถึง ก็คือข้าหลิวเสี้ยนหยาง

เหวยเยว่ซานผู้ดูแลท่าเรือป๋ายลู่รีบร้อนทะยานลมมาที่หอกั้วอวิ๋น จากนั้นก็มองหน้าสบตากับศิษย์น้องหญิงหนีเยว่หรง

สหายรักที่มาพักอยู่ในห้องอักษรเจี่ยพร้อมกับเฉาโม่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอิสระที่มาจากนครมังกรเฒ่าหรอกหรือ? เหตุใดจู่ๆ ถึงกลายมาเป็นหลิวเสี้ยนหยางผู้สืบทอดแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนเสียได้?

นี่แสดงให้เห็นว่าเอกสารผ่านด่านของนักพรตลัทธิเต๋าที่สวมกวานดอกบัวผู้นั้น ต้องเป็นของปลอมอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว

ทว่าชุดเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวบนร่างของนักพรตหนุ่มที่ชื่อเฉาโม่ถักทอขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ทั่วร่างเต็มไปด้วยโชคชะตาน้ำ หลิงจือหยกขาวที่ถืออยู่ในมือก็ยิ่งมีกลิ่นอายเต๋าของคนที่เก็บตัวสันโดษอยู่ในภูเขา ราวกับแต้มนัยน์ตามังกร ขับให้ ‘เฉาโม่’ ผู้นั้นยิ่งมีกลิ่นกายเซียนล่องลอย ต่อให้เจ้าหมอนี่บอกว่าตัวเองไม่ใช่คนของลัทธิเต๋าก็คงไม่มีใครเชื่อ

อย่างน้อยที่สุดก็มีคู่ศิษย์พี่ศิษย์น้องแห่งยอดเขาชิงอู้คู่นี้ที่จนกระทั่งบัดนี้ก็ยังรู้สึกว่าคนผู้นั้นแค่บอกชื่อปลอม แต่ต้องยังเป็นเซียนซือลัทธิเต๋าที่อยู่ในระบบเต๋า อยู่ในทำเนียบเต๋าอย่างแน่นอน หรือว่าที่เดินทางไกลมาครั้งนี้ก็เพื่อการถามกระบี่ที่ต้องตายอย่างแน่นอนของหลิวเสี้ยนหยาง คิดจะอาศัยกวานดอกบัวบนศีรษะมาปกป้องมรรคาให้กับอีกฝ่าย?

หนีเยว่หรงหน้าตาบึ้งตึง ในใจเคียดแค้นเจ้าหลิวเสี้ยนหยางที่เบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้ว อยากรนหาที่ตายแต่ดันไม่รู้จักหาสถานที่ดีๆ ยิ่งเคียดแค้นเจ้าเฉาโม่ที่คอยให้การช่วยเหลือผู้นั้น หนีเยว่หรงสะบัดชายแขนเสื้อตบเก้าอี้หวายด้านหลังที่แม้นางไม่หันไปมองมันก็ยังเกะกะสายตาให้พังทลาย กระทืบเท้าเอ่ยว่า “เจ้าตะพาบสมควรโดนแทงพันครั้งสองคนนี้อยากตายก็ไม่เลือกวิธีตายดีๆ ดันออกจากพื้นที่ของพวกเราไปก่อเรื่องที่ยอดเขาอีเซี่ยน หากเจ้าสำนักกับพวกบรรพจารย์โมโห หลังจบเรื่องโทษที่พวกเราจัดการไม่ดี จะทำอย่างไร?”

เหวยเยว่ซานเอ่ยปลอบใจ “อาจไม่ได้เป็นเรื่องร้ายไปเสียทั้งหมด ล่างภูเขามีคำกล่าวว่าชาวบ้านสร้างบ้านเรือน หากไม่ส่งเสียงเอะอะย่อมไม่เป็นมงคลไม่ใช่หรือ มีอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ กลับกลายเป็นว่าจะเป็นเรื่องดี สองคนนี้เก็บหัวเก็บหางซ่อนตัวมิดชิด ไม่มีมาดของหวงเหอเลยด้วยซ้ำ ข้าเดาว่ามากสุดก็เป็นแค่เซียนกระบี่โอสถทองคนหนึ่ง บวกกับผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าขอบเขตก่อกำเนิดอีกคนหนึ่ง แค่พวกเขาสองคนน่ะหรือ คิดจะไปโอ้อวดบารมีที่อื่นก็คงไม่ยากหรอก แต่อยู่ในถิ่นของพวกเราย่อมถูกกำหนดมาแล้วว่าจะก่อคลื่นลมมรสุมอะไรขึ้นมาไม่ได้ ได้แต่ช่วยสร้างความสนุกให้ก็เท่านั้น”

หนีเยว่หรงพยักหน้ารับเบาๆ เพียงแต่ว่ายากจะปกปิดสีหน้ากลัดกลุ้ม ในดวงตาฉ่ำประกายน้ำคู่นั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกของคนที่ได้รับความอยุติธรรม

บนลานกว้างนอกศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยน มีเพียงผู้ฝึกตนหญิงกลุ่มที่มาจากตรอกฮวามู่ยอดเขาฉงจือเท่านั้นที่ยังง่วนอยู่กับการจัดดอกไม้ผลไม้วางลงบนโต๊ะมากมาย เรื่องของการชมพิธีการของแขกสูงศักดิ์ การจัดวางตำแหน่งที่นั่ง การวางเก้าอี้ทุกตัว ล้วนไม่อาจมีข้อบกพร่องได้ ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับล่วงเกินคนอื่นแล้ว ดังนั้นอีกเดี๋ยวพวกนางยังต้องนำคนแต่ละกลุ่มเข้าไปนั่งประจำที่

เวลานี้ไม่มีเซียนกระบี่คนใดของภูเขาตะวันเที่ยงมาคอยให้การคุ้มกันที่แห่งนี้ เพราะว่าไม่มีความจำเป็น สถานที่สำคัญของสำนักแห่งนี้มีตราผนึกแน่นหนา ปราณกระบี่บนยอดเขาตัดสลับกันถี่แน่นไม่มีช่องว่าง ปราณกระบี่เฉียบคม ปณิธานกระบี่เข้มข้นหนักอึ้ง เป็นเหตุให้บนยอดเขาไม่มีดอกไม้ต้นไม้ใดที่สามารถดำรงอยู่ได้อย่างยาวนาน แม้แต่ผนังหินของยอดเขาก็ยังต้องอาศัยการหล่อหลอมจากค่ายกลเวทคาถาถึงได้ไม่พังถล่มลงมา ดังนั้นตัวของศาลบรรพจารย์เอง เดิมทีก็คือค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง แม้แต่พวกนางก็ยังต้องพกป้ายคำสั่งที่ทำขึ้นด้วยกรรมวิธีลับของภูเขาตะวันเที่ยงถึงจะสามารถเดินไปเดินมาและหายใจได้คล่องอย่างเป็นธรรมชาติ

หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองทั่วไป ขึ้นมาบนยอดเขาโดยพลการ พาตัวมาอยู่ที่แห่งนี้ก็คล้ายการถามกระบี่ที่ฝีมือแตกต่างกัน หากไม่ทันระวังก็อาจจะแตะไปโดนปราณกระบี่ ถ้าโชคดีก็คงบาดเจ็บสาหัสแล้วหนีลงจากภูเขาไปได้ แต่หากโชคไม่ดีก็ต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่ยอดเขาอีเซี่ยนแล้ว

สตรีที่รูปโฉมงดงามเหล่านี้ แม้ว่าตอนนี้จะยุ่งมาก แต่กลับเคลื่อนไหวกันอย่างเป็นระเบียบ แต่ละคนมีแต่ความปิติยินดีเต็มใบหน้า บางครั้งพวกนางก็จะกระซิบกระซาบคุยกันเอง ล้วนเป็นการพูดคุยถึงคนหนุ่มผู้มีความสามารถซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งทวีป ยกตัวอย่างเช่นอู๋ถีจิงบนภูเขาบ้านตัวเอง และยังมีเซี่ยหลิงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียน รวมไปถึงอวี๋สืออู้ที่มีลำดับศักดิ์สูงมากบนภูเขาเจินอู่ ว่ากันว่าเขาเป็นบุรุษที่รูปโฉมหล่อเหลา บุคลิกอบอุ่นอ่อนโยนอย่างยิ่ง ส่วนโจวจวี่วิญญูชนแห่งสำนักศึกษาคนนั้นก็ยิ่งน่าสนใจอย่างถึงที่สุด เพราะตำแหน่งสลับสับเปลี่ยนไปมาอยู่ระหว่างนักปราชญ์ วิญญูชน นักปราชญ์ แล้วค่อยกลับมาวิญญูชนอีกที

แน่นอนว่าต้องพูดไปถึงฟ่านซานจวินแห่งขุนเขาใต้ที่เป็นสตรี รวมไปถึงเว่ยซานจวินแห่งขุนเขาเหนือที่กลิ่นอายแห่งเทพสูงส่ง รูปโฉมงามล้ำมากเสน่ห์

ยอดเขาอีเซี่ยนของภูเขาตะวันเที่ยง นอกจากเส้นทางหลักเดินขึ้นเขาซึ่งเป็นเส้นทางทั่วไปแล้ว ยังมี ‘วิถีกระบี่’ ขึ้นเขาอีกสิบเส้นที่เซียนกระบี่เป็นผู้บุกเบิกด้วยตัวเอง สืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย มีระบบระเบียบ เพียงแต่ว่าเจ็ดเส้นในนั้นได้ทยอยกันแผ่ยาวขึ้นเขาไปแล้ว นี่ก็หมายความว่าในประวัติศาสตร์ของภูเขาตะวันเที่ยงได้มีเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบเจ็ดคนที่พิสูจน์มรรคาได้สำเร็จ คนล่าสุดก็คือบรรพจารย์เซี่ยหย่วนชุ่ย อีกสามเส้นที่เหลือยังอยู่ห่างจากยอดเขาอีกระยะทางหนึ่ง ในบรรดานั้นก็คือวิถีกระบี่ที่ก่อกำเนิดสามคนในประวัติศาสตร์ของยอดเขาโปอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียนและยอดเขาตุ้ยเซวี่ยที่เป็นผู้บุกเบิก

นี่ก็คือความเป็นมาของสิบยอดเขาเก่าของภูเขาตะวันเที่ยง

ดังนั้นศาลบรรพจารย์จึงมีอีกชื่อว่ายอดกระบี่ ความหมายก็คือในขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป สถานที่แห่งนี้ก็คือยอดสูงสุดแห่งวิถีกระบี่

พิสูจน์มรรคาเป็นอมตะ เป็นการกระทำที่ละเมิดกฎสวรรค์ อยู่ที่คำว่าช่วงชิงคำเดียว

ผู้ฝึกกระบี่ในรุ่นหลัง เข้ามาในภูเขาของข้า ไม่เสียดายชีวิต พกกระบี่เดินขึ้นสู่ยอดบนสุด เหยียบย่ำขุนเขาสายน้ำ ข้างกายไม่มีใครเคียงข้าง

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นคำสั่งสอนจากบรรพบุรุษที่ลูกศิษย์ของภูเขาตะวันเที่ยงจำได้ขึ้นใจ

ห่างจากยอดเขาไปไม่ไกล เซียนซือสามสิบสี่สิบคนที่มีจู๋หวงเป็นผู้นำกำลังพักผ่อนกันอยู่ในหอถิงเจี้ยน เดิมทีกำลังรอคอยให้แขกผู้มีเกียรติที่อยู่บนยอดเขาต่างๆ มารวมตัวกันที่นี่ พอคนมากันครบ เจ้าสำนักจู๋หวงก็จะนำลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักและแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานพิธีทุกคนเดินเท้าขึ้นเขาไปจากหอถิงเจี้ยนตามกฎของบรรพบุรุษภูเขาตะวันเที่ยง ต้องเดินอย่างไม่รีบร้อนไปประมาณสองก้านธูป เดินขึ้นไปบนยอดกระบี่ด้วยกัน จากนั้นค่อยเข้าศาลบรรพจารย์ไปจุดธูป หลังจากนั้นจึงเริ่มงานพิธีการอย่างเป็นทางการ ป่าวประกาศข่าวที่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาหยวนเจินเย่ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนให้ทั่วทั้งทวีปรับรู้

คิดไม่ถึงว่าจะมีพวกไม่รู้กาลเทศะที่เรียกตัวเองว่าหลิวเสี้ยนหยาง วิปลาสเสียสติถึงขีดสุด บอกว่าจะถามกระบี่ จะรื้อศาลบรรพจารย์

เป็นเหตุให้แขกบนยอดเขาต่างๆ ของภูเขาตะวันเที่ยงที่มีการแบ่งสิบยอดเขาเก่ากับสิบยอดเขาใหม่หยุดเดินทางพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่รีบร้อนไปยังภูเขาบรรพบุรุษ แค่รอคอยดูเรื่องสนุกเท่านั้น

จู๋หวงเจ้าสำนักที่อยู่บนยอดเขาอีเซี่ยน เซี่ยหย่วนชุ่ยขอบเขตหยกดิบของยอดเขาหม่านเยว่ เถาแยนโปของภูเขาชิวลิ่ง เยี่ยนฉู่ผู้คุมกฎ เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเหล่านี้ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ที่หอถิงเจี้ยนแล้ว

ส่วนผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาอย่างหยวนเจินเย่ บรรพจารย์ย้ายภูเขาในใจของลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของภูเขาตะวันเที่ยงทุกคน แน่นอนว่าไม่ขาดการประชุม

นอกจากบรรพจารย์และลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาตะวันเที่ยงเองแล้ว ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนนอกภูเขา ต่อให้จะเป็นแขกที่มาร่วมงานพิธีซึ่งมีสถานะสูงศักดิ์ทั้งหลายก็ยังต้องปลดกระบี่ประจำกายไว้ ณ ที่แห่งนี้

ดังนั้นหลี่ถวนจิ่งถึงเคยยิ้มเอ่ยว่า เป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับยอมปลดกระบี่เพื่อชมทัศนียภาพบนยอดเขาเล็กๆ ของภูเขาตะวันเที่ยง ไม่คู่ควรจะเป็นผู้ฝึกกระบี่เสียเลย

เพราะยังเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วยามก่อนจะถึงงานพิธี ดังนั้นตอนนี้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในหอถิงเจี้ยนยอดเขาอีเซี่ยนเรียบร้อยแล้วต่างก็เป็นเซียนซือผู้เฒ่าที่มีความสัมพันธ์อันดีกับภูเขาตะวันเที่ยงมาหลายยุคหลายสมัย พอได้ยินคำท้าทายที่เกิดขึ้นไม่ถูกเวลาของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้น ทุกคนจึงมีสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น เจ้าดีสุนัข วิกลจริตเสียสติไปแล้ว เหตุใดหร่วนฉงถึงอบรมสั่งสอนลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ไร้มารยาทเช่นนี้ออกมาได้

จู๋หวงหันไปยิ้มเอ่ยกับสหายรักทั้งหลายบนภูเขาด้วยน้ำเสียงที่แฝงไว้ด้วยการขออภัย “ทำให้ทุกท่านได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”

ตอนแรกก็มีหวงเหอถามกระบี่ที่ท่าเรือป๋ายลู่ ภายหลังยังมีหลิวเสี้ยนหยางปรากฎตัวที่หน้าประตูภูเขาบรรพบุรุษ แล้วยังจะถามกระบี่อีก วุ่นวายเกินไปหน่อยแล้ว

วานรเฒ่าชุดขาวเอาสองมือไพล่หลัง เดินไปหยุดอยู่ตรงราวรั้วเพียงลำพัง หรี่ตาหลุบตามองไปยังประตูที่อยู่ตีนเขา เจ้าลูกกระต่ายน้อยนับว่ารู้กาลเทศะ รู้จักเอาสองมือยื่นประคองส่งหัวมาให้ มาปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้กับงานฉลองของตน หากต่อยแค่หมัดสองหมัดอีกฝ่ายก็ตายเสียแล้วจะน่าเสียดายเกินไปหน่อยหรือไม่?

เพียงแค่ชั่วเวลาที่คนชมงิ้วกะพริบตาก็สังเกตเห็นว่างิ้วดีๆ ปิดฉากลงแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร

เซียนซือผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับราชวงศ์ต้าหลีค่อนข้างลึกซึ้งไตร่ตรองถึงถ้อยคำที่จะกล่าวอย่างระมัดระวังก่อน จากนั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าเด็กไม่รู้ความนั่นช่างเป็นกบใต้บ่อจริงๆ เจ้าสำนักไม่ต้องไปสนใจหรอก แค่ไล่เขาไปก็พอแล้ว”

จู๋หวงส่ายหน้า “คนผู้นี้เคยมีความขัดแย้งกับภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเรา บวกกับที่บรรพบุรุษของคนผู้นี้ยังเคยมีข้อพิพาทเก่ากับภูเขาตะวันเที่ยง คิดว่าการมาถามกระบี่วันนี้ หลิวเสี้ยนหยางคงตั้งใจมานานแล้ว ยากที่จะจบลงด้วยดีได้”

เซียนซือผู้เฒ่าคนนั้นได้ยินประโยคนี้ก็รับรู้ความนัยทันที จึงไม่กล้าทำตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ภูเขาตะวันเที่ยงกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนอะไรอีก เพราะง่ายที่จะวางตัวลำบาก เขาไม่คิดจะทำถึงเพียงนั้น

ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะใช้เสียงในใจถามว่า “เจ้าขุนเขา ไม่สู้ส่งกระบี่บินแจ้งไปยังอวี่หลิ่น ให้เขารีบออกจากยอดเขาอวี่เจี่ยวไปรับกระบี่นี้ดีไหม?”

อวี่หลิ่นกับหลิวเสี้ยนหยาง ทั้งสองฝ่ายอายุต่างกันไม่มาก อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองกันทั้งคู่

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด