กระบี่จงมา 820.3 ถามหมัดเป็นแขก ทำสองอย่างพร้อมกันไม่เสียเวลา

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 820.3 ถามหมัดเป็นแขก ทำสองอย่างพร้อมกันไม่เสียเวลา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วอวี้ชักกระบี่ออกจากฝัก เรือนกายเปล่งวูบหายไป ผลุบเข้าไปอยู่ในค่ายกลกระบี่ที่ยึดครองทั้งดินอวยพรและคนสามัคคี ในอดีตตอนที่อยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียน ผู้อาวุโสหลายคนที่เดินขึ้นเขาไปก่อนหน้าต่างก็เคยถ่ายทอดวิชาสยบค่ายกลกระบี่ให้กับนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซี่ยหลิงผู้เป็นศิษย์พี่ที่เวลานั้นชื่อเสียงไม่เด่นดัง ทว่าภายหลังชื่อเสียงกลับขจรไกลไปทั้งทวีปที่ยิ่งสอนเวทคาถาการจำแลงกายที่ลี้ลับมหัศจรรย์บทหนึ่งให้แก่นาง หลิ่วอวี้ฟังคำสั่งจากอาจารย์ผู้มีพระคุณในการถ่ายทอดวิชา นอกจากกระบี่บินและค่ายกลกระบี่แล้ว กระบี่ที่เหลือนอกจากนั้นที่ส่งให้หลิวเสี้ยนหยาง นางล้วนใช้กระบวนท่ากระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนถ่ายทอดให้ทั้งสิ้น

ปราณกระบี่หลายเส้นที่มาพร้อมกับประกายแสงวิบวาบซึ่งอยู่ระหว่างตี๋ฮวาจำนวนนับไม่ถ้วนพากันฟาดฟันเข้าใส่หลิวเสี้ยนหยาง

วิถีโคจรของแสงวูบวาบพวกนั้นล่องลอยไม่หยุดนิ่ง แสงกระบี่ตัดสลับกัน แต่หลิวเสี้ยนหยางกลับเพียงแค่ใช้ปราณกระบี่ขับไล่กระบี่บินตี๋ฮวาทั้งหมดที่อยู่ใกล้ตัวออกไป กระบี่ยาวที่ไม่ใช่ของจริงในมือตวัดไปทางตะวันออกทีตะวันตกที ฟันแสงกระบี่แวววาวที่น่ามองเหล่านั้นให้ขาดสะบั้น แม่นางหลิ่วผู้นี้เป็นอย่างไรกันนะ รังแกที่ข้าเกียจคร้านฝึกตนตอนอยู่บนภูเขาใช่หรือไม่? ค่ายกลกระบี่ก็ดี กระบวนท่ากระบี่ก็ช่าง จะดีจะชั่วข้าก็เคยเห็นมาแล้วสองสามครั้ง ไม่ต้องเรียนรู้อะไรให้มากก็เป็นแล้วจริงๆ

ครู่หนึ่งต่อมาหลิ่วอวี้ก็ท่องคาถากระบี่ในใจ ปราณกระบี่วุ่นวายที่ถูกหลิวเสี้ยนหยางฟันทิ้งเชื่อมโยงเข้าหากันด้วยตัวเอง คล้ายแผ่นไม้ไผ่ที่ถักทอขึ้นเป็นตะกร้า กักขังหลิวเสี้ยนหยางที่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงแค่ป้องกันไม่โจมตีให้อยู่ภายใน ปราณกระบี่พลันหดรวบเข้ามาเหมือนเชือกที่พลันรัดรึงแน่น

หลิวเสี้ยนหยางคร้านจะคิดหาวิธีฝ่าออกไปจึงเอาอย่างอีกฝ่าย ทำมุทราแบบเดียวกับหลิ่วอวี้ ค่ายกลกระบี่ที่ผุดขึ้นมากลางอากาศตรงมุมหนึ่งพลันกระจายออกดังปัง กระแทกชนเข้าด้วยกัน พละกำลังพอเหมาะพอดี เพียงแค่ทำลายค่ายกล แต่ไม่ทำร้ายคน ปราณกระบี่ของแต่ละฝ่ายต้านทานกันและกันจนหายไปเกลี้ยง แล้วก็ถือโอกาสกระแทกให้กระบี่บินตี๋ฮวาที่เป็นภาพมายาล่องลอยนั้นกระจายออกเหมือนบุปผาผลิบานมากกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าหลิวเสี้ยนหยางไม่อยากทำเกินกว่าเหตุ ในที่สุดจึงเป็นฝ่ายปล่อยกระบี่ออกไปเบาๆ หนึ่งที ต่อให้จะจงใจเก็บแรงไว้ แต่กระนั้นแสงกระบี่ก็ยังเหมือนพระจันทร์เสี้ยวที่สว่างพร่าจ้าตา พุ่งตรงเข้าหาหลิ่วอวี้ ผลคือนางนำตี๋ฮวาที่เป็นสีขาวหิมะหลายร้อยกลุ่มมาบดบังป้องกันอยู่เบื้องหน้าตัวเอง แต่กลับถูกแสงกระบี่ฟันจนแหลกสลาย นางจึงทำได้เพียงใช้กระบี่ที่อยู่ในมือมาบังตรงหน้า แต่กระนั้นไหล่สองด้านก็ยังถูกแสงกระบี่เหมือนสายน้ำพุ่งชนแล้วทะลักผ่านไป ชุดคลุมอาคมแหลกยับเยิน แขนข้างหนึ่งกับหัวไหล่สองข้างเกิดเป็นแผลสามตำแหน่งที่เห็นได้ชัด เลือดแดงฉานอาบโชก สภาพน่าสังเวชจนแทบไม่อาจทนมองดูได้

หลิวเสี้ยนหยางอึ้งค้างไร้คำพูดยิ่งกว่าหลิ่วอวี้เสียอีก เพราะรู้สึกเหนื่อยใจ

ก็เหมือนอย่างปีนั้นที่หลังจากทะเลาะกับเจ้าขี้มูกยืดน้อยแล้วยังต้องตีกับเขาอีกรอบ แสร้งทำเป็นว่าผลัดกันรุกผลัดกันรับ แน่นอนว่าเหนื่อยกว่าเจ้าตะพาบน้อยที่อายุน้อยๆ แต่ปากกลับเต็มไปด้วยกระบี่บินซึ่งตอนตีกันชอบกุมหัวร้องโอดโอยเสียอีก

หลิ่วอวี้กัดฟัน นึกถึงคำพูดของอาจารย์ที่บอกว่าต่อสู้ให้งดงามภายในหนึ่งก้านธูป นางก็แข็งใจ ยอมผลาญปราณวิญญาณในร่างจนหมดสิ้นอย่างไม่เสียดายเพื่อโคจรกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ตี๋ฮวาเป็นกลุ่มๆ ล้อมวนอยู่รอบด้าน ปกป้องหนึ่งคนหนึ่งกระบี่เอาไว้ แม้ว่าจะจำนวนจะไม่มากเท่าก่อนหน้านี้ แต่ตี๋ฮวาทุกกลุ่มก็แฝงปราณกระบี่สีขาวหิมะที่น่าดูชมเอาไว้ ประหนึ่งถูกลมพัดแล้วพัดเอนไปแถบหนึ่ง ตี๋ฮวากลุ่มใหญ่ปลิวเข้าหาผู้ฝึกกระบี่ที่เดิมทีนางมีโอกาสจะเรียกเขาว่าศิษย์พี่หรือไม่ก็ศิษย์น้องคนนั้นอย่างรวดเร็ว

หลิวเสี้ยนหยางถอนหายใจ โยนกระบี่ยาวในมือออกไป กระบี่หยุดลอยอยู่ตรงหน้า ตั้งอยู่ตำแหน่งตรงกลาง สองฝ่ายซ้ายขวาทยอยกันปรากฏกระบี่ยาวหลายร้อยเล่มที่เหมือนกระบี่เล่มนี้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน ปราณกระบี่เข้มจาง ปณิธานกระบี่หนักเบาไม่มีความต่างกันแม้แต่น้อย

คล้ายเด็กนักเรียนประถมในโรงเรียนชนบทที่เกียจคร้านจะเล่าเรียนจึงขีดเส้นแนวตั้งจำนวนนับไม่ถ้วนขึ้นมาอย่างง่ายๆ

ทว่าในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขา ค่ายกลกระบี่ที่สร้างขึ้นง่ายๆ ของหลิวเสี้ยนหยางนี้เหมือนม้าเหล็กทะลวงขบวนรบแนวหน้า ปราณกระบี่แผ่ไพศาล

ตี๋ฮวากระจัดกระจายที่มองดูแล้วงดงามกลุ่มนั้นกระแทกชนลงบนค่ายกลกระบี่ พลันกระจัดกระจายเป็นเศษสีขาวหิมะปลิวขึ้นสูงหลายจั้ง เหมือนน้ำขึ้นกระแทกชนหน้าผา ได้แต่กลับไปมือเปล่า

หลิ่วอวี้จึงได้แต่เก็บวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บิน รวบกระบี่บินเล็กจิ๋วที่เป็นสีขาวหิมะทั้งเล่มมาไว้ ฝืนข่มกลั้นอดทนกับความเจ็บปวดรวดร้าวที่ถูกชักนำจากจิตวิญญาณ ประกายแสงเปล่งวูบแล้วหายวับ แสงกระบี่วาดเส้นโค้งพุ่งตวัดเข้าหาหัวใจทางด้านหลังของหลิวเสี้ยนหยาง

หลิวเสี้ยนหยางไม่สะทกสะท้าน เพียงแค่มองตาของสตรีผู้นั้น แล้วก็ค้นพบเบาะแสบางอย่าง

แม่นางโง่ที่ใจอ่อนหนอ

เจ้าว่าเจ้าชอบใครดันไม่ชอบ ดันไปชอบเจ้าอวี่หลิ่นบ้ากามนั่น ต่อให้ลงจากเขาเปลี่ยนสำนัก แต่ไปฝึกกระบี่ที่ใดดันไม่ไป ดันมาอยู่ภูเขาตะวันเที่ยงที่ขนบธรรมเนียมเอนเอียงหล่นลงร่องน้ำไปนานแล้วแห่งนี้

หลิวเสี้ยนหยางขยับไปด้านข้างหนึ่งก้าว หลบพ้นกระบี่บินสีขาวหิมะเล่มนั้นมา หลังมือเคาะลงเบาๆ กระแทกให้ตี๋ฮวาเล่มนั้นกระเด็นออกไป จากนั้นก็ไม่จงใจถ่วงเวลาการถามกระบี่ครั้งนี้อีก ถึงอย่างไรคนฉลาดก็ล้วนรู้ดีว่าเป็นอย่างไร และคนนอกที่ไม่เชี่ยวชาญก็ไม่ถึงขั้นรู้สึกว่าหลิ่วอวี้ผู้ฝึกกระบี่แห่งยอดเขาฉงจือคนนี้ฝีมือไม่ได้เรื่องเกินไป

เมื่อความคิดของหลิวเสี้ยนหยางบังเกิดขึ้น ปราณวิญญาณฟ้าดินที่อยู่ใกล้กับหน้าประตูภูเขาก็เหมือนได้รับอภัยโทษ พลันรวมตัวกันขึ้นมาเป็นกระบี่ยาวจำนวนนับไม่ถ้วน ตรงจุดสูงเหมือนมีฝนกระหน่ำตกลงมายังโลกมนุษย์ ตรงจุดต่ำเหมือนพืชพรรณเขียวชอุ่มงอกงามแน่นครึ้ม

หลิ่วอวี้ถือกระบี่ยาวไว้ในมือ สีหน้าซีดขาว นางยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ถึงขั้นไม่กล้าเก็บกระบี่บินตี๋ฮวามาด้วยซ้ำ

เพราะเหมือนนางมาอยู่ในป่ากระบี่แห่งหนึ่งที่สรรพสิ่งทั้งหลายคือปราณกระบี่ถักทอตัดสลับดุจพื้นที่ต้องห้ามแห่งทัณฑ์สวรรค์

เวลานี้หลิ่วอวี้ถูกปลายกระบี่พันกว่าเล่มที่ทับซ้อนกันรวมเป็นกลุ่มชี้พุ่งตรงมา ร่างทั้งร่างก็เหมือนจมสู่หลุมน้ำแข็ง

หลิวเสี้ยนหยางโบกมือหนึ่งครั้ง ป่ากระบี่ก็สลายหายไป เขายิ้มเอ่ยว่า “แม่นางหลิ่วสามารถกลับภูเขาได้แล้ว วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี เป็นคนอย่าไปเลียนแบบคนอื่น แค่ตั้งใจฝึกเวทกระบี่ของตัวเองไป ต้องมีความหวังบนมหามรรคาแน่นอน”

หลิ่วอวี้ถือกระบี่กุมหมัด ไม่เอ่ยอะไรสักคำ เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ขี่กระบี่กลับไปยังยอดเขาฉงจือด้วยอาการอกสั่นขวัญผวา

อันที่จริงหลิวเสี้ยนหยางอัดอั้นยิ่งกว่าหลิ่วอวี้เสียอีก เขาชูมือขึ้นสูง กระดิกฝ่ามือ บอกเป็นนัยว่ามาอีก

หลิวเสี้ยนหยางก้าวออกไปหนึ่งก้าวเดินผ่านซุ้มประตูภูเขามา เริ่มเดินขึ้นบันได หากพวกเจ้าไม่มา ข้าจะไปเองแล้วนะ

ทางฝั่งของหอถิงเจี้ยนบนยอดเขาอีเซี่ยน ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่เปิดปากยิ้มเอ่ยอีกครั้ง “ผู้ฝึกกระบี่แห่งยอดเขาอวี่เจี่ยว อวี่หลิ่นรับกระบี่”

แสงกระบี่เส้นหนึ่งสว่างวาบขึ้นจากตีนเขาของยอดเขาอวี่เจี่ยว แล้วพุ่งตรงมายังหน้าประตูภูเขาบรรพบุรุษอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้พลิ้วกายลงหน้าประตูภูเขา สวมชุดคลุมตัวยาวรัดเข็มขัดหยก บนมวยผมปักปิ่นไม้ ใบหน้างดงามดุจหยก คือเซียนกระบี่โอสถทอง เจ้าของยอดเขาอวี่เจี่ยว อวี่หลิ่น

อวี่หลิ่นยืนอยู่นอกประตูภูเขาคล้ายจงใจคล้ายไม่ได้เจตนา ยิ้มเอ่ยกับแผ่นหลังที่กำลังเดินขึ้นบันได “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้าหมุนตัวเดินลงเขามาเถอะ”

หลิวเสี้ยนหยางหันหน้ามามอง ฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง กระตุกมุมปากเอ่ยว่า “ชอบพูดเพ้อเจ้อหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็นอนลงไปซะ”

เสียงตุ้บดังหนึ่งที

ศีรษะของเซียนกระบี่โอสถทองอายุน้อยๆ อย่างอวี่หลิ่นเอียงกะเท่เร่ไปข้างหนึ่ง ล้มผลึ่งลงพื้นแล้วลุกไม่ขึ้นอีก

หลิวเสี้ยนหยางไม่แม้แต่จะหันไปมองเจ้าคนที่นอนอยู่บนพื้นด้านหลัง ขณะที่ก้าวเดินขึ้นสู่ที่สูงต่ออีกครั้งก็ยิ้มกล่าวว่า “ขอพูดเสริมอีกสักประโยค”

“วันนี้หากต่ำกว่าหยกดิบลงไปล้วนไม่ถือว่าเป็นการรับกระบี่จากข้า โอสถทองก็ดี ก่อกำเนิดก็ช่าง ถึงอย่างไรพวกเจ้าอยากจะมากันกี่คนก็มาเท่านั้นเถอะ”

ผู้ฝึกตนบนยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงเงียบงันกันไปอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าไร้สาระ มีคนถึงกับเลือกวันนี้มาถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยง ครั้งนี้ก็ยิ่งรู้สึกเหลือเชื่อ รอกระทั่งคนผู้นี้ถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงจริงๆ เอาชนะผู้ฝึกกระบี่หญิงขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งไปได้อย่าง ‘ยากลำบาก’ ไม่ถือว่าเป็นวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าอวี่หลิ่นที่เพิ่งจะเปิดยอดเขาไปนั่นมันเรื่องอะไรกัน? จะบอกว่าเซียนกระบี่โอสถทองคนนี้รับกระบี่ก่อนแล้วค่อยยอมถอยให้ แต่ใต้หล้ามีวิธีถอยให้เช่นนี้ด้วยหรือ? ไม่ออกกระบี่สักครั้งก็ล้มลงแกล้งตายแล้ว?

หอถิงเจี้ยนบนยอดเขาอีเซี่ยน ในที่สุดสีหน้าของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าหลายคนที่มีจู๋หวงเจ้าสำนักเป็นหนึ่งในนั้นก็เคร่งเครียดขึ้นมา

แม้แต่บรรพจารย์ย้ายภูเขาก็ยังอดไม่ไหวขมวดคิ้ว เกือบจะลงจากภูเขาไปออกหมัดด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าถูกจู๋หวงโน้มน้าวเอาไว้ บอกว่าการรับกระบี่ครั้งถัดไป ไม่ใช่อู๋ถีจิงลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าขุนเขาอย่างเขาแล้ว แต่ให้เป็นหยวนป๋ายแห่งยอดเขาตุ้ยเซวี่ยที่ยังคงรักษาขอบเขตก่อกำเนิดเอาไว้ได้

หากไม่ทันระวังเป็นเหตุให้ภูเขาตะวันเที่ยงพ่ายแพ้สามครั้งติดก็ค่อยว่ากันอีกที

คำว่าว่ากันอีกทีก็คือไม่ใช่บุญคุณความแค้นส่วนตัวน้อยนิดระหว่างหลิวเสี้ยนหยางกับภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว แต่จะไม่มีพื้นที่ว่างเหลือให้แก้ไข ยกตัวอย่างเช่นฆ่าหลิวเสี้ยนหยางก่อน จากนั้นภูเขาตะวันเที่ยงยังต้องมอบของขวัญกลับคืนให้แก่สำนักกระบี่หลงเฉวียน เขาจู๋หวงกับอาจารย์ลุงเซี่ยหย่วนชุ่ย บวกกับเซียนกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดทุกคนจะจับมือกันไปถามกระบี่ต่อภูเขาเสินซิ่ว หรือไม่จับหลิวเสี้ยนหยางที่ร่อแร่ปางตายขังไว้บนภูเขา รอให้หร่วนฉงเป็นฝ่ายมาขออภัยด้วยตัวเอง หากความจริงใจมากพอก็จะโยนศพของหลิวเสี้ยนหยางไปให้ที่ตีนเขา

แต่หากหร่วนฉงไม่มีความจริงใจมากพอ แล้วอย่างไรเล่า? ก็ให้สำนักกระบี่หลงเฉวียนกลายไปเป็นสวนลมฟ้าแห่งที่สองก็แล้วกัน

วานรเฒ่าชุดขาวหัวเราะหยัน “ข้าไม่สนว่าจะเป็นอู๋ถีจิงหรือหยวนป๋าย อีกเดี๋ยวข้าก็จะต้องลงจากภูเขาไปหิ้วขาข้างหนึ่งของเจ้าลูกกระต่ายนี่กลับมาที่หอถิงเจี้ยนแห่งนี้เอง”

จู๋หวงพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เอาตามที่ผู้ถวายงานหยวนว่าก็แล้วกัน”

ภูเขาตะวันเที่ยงไม่มีเหตุผลจะเล่นงานสำนักกระบี่หลงเฉวียนพอดี วันนี้หลิวเสี้ยนหยางมาอาละวาดก่อเรื่องก็คือเหตุผลที่ดีที่สุด

เซี่ยหย่วนชุ่ยใช้เสียงในใจเอ่ยหนึ่งประโยค

จู๋หวงพยักหน้ารับเบาๆ เขาเปลี่ยนใจกะทันหัน ส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปยังภูเขาเดียวดายลูกเล็กนั่นแทน

ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่ไม่ได้เปิดปากบอกกล่าวสถานะ ทว่าเพียงไม่นานก็มีเซียนกระบี่แปลกหน้าคนหนึ่งเร่งรุดออกจากยอดเขาคู่รักมายังภูเขาบรรพบุรุษลูกนี้

ถึงกับเป็นผู้ฝึกตนหญิงที่สามารถคงความเยาว์วัยเอาไว้ได้คนนั้น นางสวมชุดเดินทางยามค่ำคืน (ภาษาจีนคือเย่สิงอี หลักๆ แล้วหมายถึงชุดสีดำ เพื่อสะดวกไม่ให้คนพบเห็นยามค่ำคืน) คล่องตัว สะพายกระบี่ฝักสีดำเล่มหนึ่ง

ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันออกจากหอกั้วอวิ๋นได้อำพรางร่องรอยไปตลอดทาง เขาเดินทางอ้อมไปเล็กน้อย ก่อนจะไปปรากฏตัวที่ตีนเขาของยอดเขาสะพายกระบี่อย่างเงียบเชียบ ไปยืนอยู่ข้างธารน้ำเส้นหนึ่ง คีบยันต์เปิดภูเขาที่เป็นกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งออกมา หลังจากแน่ใจว่าตราผนึกอยู่ตรงไหนก็แบฝ่ามือออกแล้วกำเบาๆ พริบตานั้นก็เปิดภูเขาฝ่าทำลายค่ายกล เดินก้าวเข้าไปข้างใน มือซ้ายเก็บยันต์เปิดภูเขาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ มือขวาคีบเอายันต์รอยหิมะออกมาหนึ่งแผ่น จากนั้นจึงร่ายวิชาน้ำแห่งชะตาชีวิต ไอน้ำลอยอวลขึ้นมา พริบตาเดียวชุดเขียวก็หายไป ทุกอย่างกลับคืนมาเป็นปกติ ไม่มีปราณวิญญาณกระเพื่อมแม้แต่น้อย

รอกระทั่งเส้นสายตานั้นกวาดผ่านไปอย่างว่องไวก็รอคอยไปอีกพักหนึ่ง เฉินผิงอันไม่ได้ถอนยันต์รอยหิมะออก เริ่มเดินขึ้นเขาไปช้าๆ ฝีเท้าเนิบนาบผ่อนคลาย ประหนึ่งเดินชมทิวทัศน์อยู่ในลานบ้านของตัวเอง เพียงแค่เดินขึ้นที่สูงไปตลอดทาง เดินไปอย่างเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง

ส่วนการถามกระบี่ของฝั่งหลิวเสี้ยนหยาง เฉินผิงอันไม่เป็นกังวล

ถ้าอย่างนั้นก็ต่างคนต่างทำงานของตัวเองไป

นัดหมายว่าจะไปพบกันที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยน

เค่อชิงบนภูเขาแบ่งออกเป็นได้รับการบันทึกชื่อและไม่ได้รับการบันทึกชื่อ เซียนซือผู้ถวายงานก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน มีแบ่งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เหตุผลเรียบง่ายยิ่ง บุญคุณความแค้นมากมายบนภูเขาจำเป็นต้องมีคนทำเรื่องสกปรกที่ไม่ปล่อยให้จุดอ่อนตกไปอยู่ในมือของคนอื่น การลงมือไม่โจ่งแจ้ง ภูเขาตะวันเที่ยงมีผู้ถวายงานเบื้องหลังที่เป็นเช่นนี้อยู่ สถานะถูกอำพรางไว้อย่างมิดชิด ส่วนใหญ่สมาชิกที่มีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนก็ยังได้แค่รู้ว่าในภูเขาบ้านตน มีผู้ถวายงานที่เป็นบุคคลสำคัญเช่นนี้อยู่ แต่กลับไม่เคยรู้ว่าเป็นใคร

เฉินผิงอันเองก็ไม่มีความสามารถจะตรวจสอบจนรู้สถานะที่แน่ชัดของอีกฝ่าย รู้แค่ว่าในบรรดาสิบยอดเขาเก่าของภูเขาตะวันเที่ยง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีผู้ถวายงานเบื้องหลังที่ทำอะไรลึกล้ำอยู่สองคน คนหนึ่งในนั้นอยู่ที่ยอดเขาเดียวดายเล็กของยอดเขาคู่รัก มีฉายาว่าเถียนโหยวเวิง อีกคนหนึ่งอยู่ที่ยอดเขาสะพายกระบี่แห่งนี้ มีฉายาว่าจื๋อหลินโส่ว

เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกว่าภูเขาลูกหนึ่งมีบุคคลที่เป็นเช่นนี้มีอะไรผิด เพียงแค่ดูตามรายงานข่าวที่ภูเขาลั่วพั่วรวบรวมมาจากทั่วสารทิศก็จะค้นพบเองว่า บุคคลทั้งสองที่เป็นดั่งเงาไม่อาจพบเจอแสงสว่างนี้ ทุกครั้งที่ขอแค่ลงจากภูเขาก็มักจะตัดรากถอนโคน เอะอะก็ฆ่าล้างตระกูลเสมอ คำว่าแม้แต่ไก่และหมาก็ไม่เหลือ ก็คือความหมายตามตัวอักษรจริงๆ ตัดศีรษะคนบนภูเขาไม่เคยเปิดเผยร่องรอย ส่วนตระกูลล่างภูเขาก็ไม่เหลือหญ้าสักต้น ไม่ทิ้งภัยแฝงเอาไว้เบื้องหลัง

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด