กระบี่จงมา 821.3 แยกร่างภูเขาตะวันเที่ยง

Now you are reading กระบี่จงมา Chapter 821.3 แยกร่างภูเขาตะวันเที่ยง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เซี่ยหย่วนชุ่ยที่กลอุบายลึกล้ำเก็บอารมณ์ได้ดีมาโดยตลอด บนใบหน้ามีโทสะแสดงความโกรธเกรี้ยวอย่างที่หาได้ยาก “คำพูดนี้ของผู้ถวายงานหยวนให้ร้ายคนแล้ว”

ผู้ถวายงานเบื้องหลังที่ในทำเนียบตระกูลถูกบันทึกไว้ว่าจากโลกนี้ไปนานแล้ว ผู้ฝึกกระบี่หญิงก่อกำเนิดคนนี้ได้แอบมารับหน้าที่เป็นเถียนโหยวเวิงของภูเขาตะวันเที่ยงอย่างลับๆ

คำว่าเถียนโหยวเวิง ความหมายของตำแหน่งนี้ก็คือเพิ่มเติมน้ำมันหอม คือน้ำมันตะเกียงบูชาบรรพบุรุษในศาลบรรพจารย์บนยอดเขาอีเซี่ยน เพื่อสืบทอดควันธูปให้กับภูเขาลูกหนึ่ง

นางมาจากยอดเขาหม่านเยว่ เคยเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่เป็นผู้ภาคภูมิใจที่สุดของเซี่ยหย่วนชุ่ย คือศิษย์น้องหญิงของสตรีที่ถูกหลี่ถวนจิ่งสังหารเองกับมือ จากนั้นปล่อยให้ศพตากแดดแห้งเหี่ยวอยู่บนลานกว้างของสวนลมฟ้า

พวกนางสองคนต่างก็เคยมีโอกาสที่จะได้รับตำแหน่งเจ้ายอดเขา คอยช่วยจัดการดูแลกิจธุระต่างๆ จากเซี่ยหย่วนชุ่ยอาจารย์ที่ตั้งใจสอนวิชากระบี่ให้ ถึงขั้นมีหวังจะได้กลายเป็นเจ้าขุนเขา ต้องรู้ว่าปีนั้นในบรรดายอดเขามากมายของภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าสำนักจู๋หวงคนปัจจุบัน แม้ว่าจะมีคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ดีเยี่ยม แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ที่คุณสมบัติดีที่สุด

เพียงแต่ว่าอุปสรรคบนมหามรรคาของพวกนาง ทำให้คนหนึ่งกายดับมรรคาสลาย คนหนึ่งจิตใจเคียดแค้นชิงชัง เลือกที่จะเดินไปบนทางหัวขาด มีสภาพกลายมาเป็นคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่เชิงอย่างในทุกวันนี้

เพราะพวกนาง หรือควรจะพูดว่าตลอดทั้งภูเขาตะวันเที่ยงต่างก็ได้เจอกับผู้ฝึกกระบี่ของสวนลมฟ้าที่มีชะตาพิฆาตกันอย่างหลี่ถวนจิ่ง

จู๋หวงเอ่ยโน้มน้าว “อาจารย์ลุงเซี่ย แต่ไหนแต่ไรมาผู้ถวายงานหยวนก็พูดตรงกับเรื่องไม่ตรงใจคนอยู่แล้ว”

เถียนโหยวเวิงแต่ละยุคมีทั้งหญิงและชาย จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่ หากรับหน้าที่นี้ก็เท่ากับว่าเป็นคนที่ตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว เพราะไม่เพียงแต่จะถูกตัดชื่อออกจากศาลบรรพจารย์ ทุกอย่างถูกยกเลิกหมด จากนั้นยังต้องหาข้ออ้างสักข้อ ยกตัวอย่างเช่นปิดด่านล้มเหลวจึงต้องสละร่างไปจากโลกนี้ อีกทั้งทุกครั้งที่ปรากฎตัวเพื่อปล่อยกระบี่ เรื่องที่ทำมักจะอันตรายอย่างยิ่ง ทุกครั้งล้วนต้องเสี่ยงเดิมพันด้วยชีวิต

ก่อนที่เซี่ยหย่วนชุ่ยและจู๋หวงจะทยอยกันเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ หลังจากที่นางกลายเป็นผี อันที่จริงนางต่างหากถึงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มีพลังพิฆาตมากที่สุดของภูเขาตะวันเที่ยง การดำรงอยู่ของนางก็เพื่อรับมือกับหลี่ถวนจิ่งที่มีความเป็นได้สูงว่าจะมาถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยง หลีกเลี่ยงไม่ให้หลี่ถวนจิ่งเดินขึ้นเขามาตลอดทางเหมือนเข้ามาในดินแดนไร้ผู้คน แน่นอนว่าภูเขาตะวันเที่ยงไม่กล้าวาดหวังว่านางจะสามารถสังหารหลี่ถวนจิ่งได้ แค่ให้คล้ายคลึงกับการถามกระบี่ระหว่างหยวนป๋ายกับหวงเหอก็พอ วิธีการเช่นนี้ ยามที่กลุ่มยอดเขาทั้งหลายอ่อนแอ สำนักก็ยังรักษาตัวรอดเอาไว้ได้ เป็นการกระทำที่จนใจเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

วานรเฒ่าชุดขาวหัวเราะหยันไม่หยุด

มันย่อมรู้ชัดเจนดีว่าเซี่ยหย่วนชุ่ยและจู๋หวงดีดลูกคิดอะไรอยู่ คนทั้งสองรังเกียจว่าผีหญิงตนนั้นขวางหูขวางตามานานแล้ว ภูเขาตะวันเที่ยงในอดีตขาดนางไม่ได้ ต้องให้นางป้องกันหลี่ถวนจิ่งที่ตอนยังมีชีวิตอยู่บนโลกใครก็มิอาจต่อกรได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้หลี่ถวนจิ่งอาศัยกำลังของตัวเขาคนเดียวมารื้อถอนศาลบรรพจารย์ทั้งหลังทิ้ง จากนั้นค่อยสะบั้นเส้นทางวิถีกระบี่ที่เดินขึ้นบนเขา แต่ทุกวันนี้น่ะหรือ นางกลายเป็นคราบสกปรกบนปฏิทินเหลืองไปแล้ว หากคนนอกมาช่วยลบนางทิ้งไปย่อมดีที่สุด เพราะถึงอย่างไรภูเขาตะวันเที่ยงในทุกวันนี้ก็ไม่ขาดเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบครึ่งตัวอย่างนางอีกแล้ว

เซี่ยหย่วนชุ่ยอาศัยคุณความชอบนี้เตรียมจะสละลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ไม่อาจเอาออกหน้าออกตาได้ทิ้งไป เพื่อที่จะแลกเปลี่ยนมาด้วยตัวอ่อนเซียนกระบี่กลุ่มใหม่ตอนประชุมในศาลบรรพจารย์ ส่วนเจ้าสำนักจู๋หวง อย่าเห็นว่าก่อนหน้านี้ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเสียดาย ละอายใจเกินกว่าจะเอ่ย อันที่จริงตลอดทั้งภูเขาตะวันเที่ยง คนที่อยากให้นางตายไปอย่างสิ้นซากที่สุดก็คือจู๋หวงที่เปลี่ยนจากก่อกำเนิดเป็นหยกดิบ เปลี่ยนจากเจ้าขุนเขาเป็นเจ้าสำนักผู้นี้

แต่วานรชุดขาวที่แม้จะรู้ดีอยู่แก่ใจ ก็ยังไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูกต้อง หากจู๋หวงไม่อำมหิตเช่นนี้ จะเป็นเจ้าสำนักได้อย่างไร? หากเซี่ยหย่วนชุ่ยไม่มากด้วยกลอุบายเช่นนี้จะทำให้ภูเขาหม่านเยว่ขยายใหญ่อย่างต่อเนื่องได้อย่างไร จะยึดครองเก้าอี้มากที่สุดในศาลบรรพจารย์ของสำนักเบื้องล่างได้อย่างไร?

กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผีหญิงตนนั้นมีชื่อว่า ‘เหอเจ๋อ’ ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด

หากเรียกออกมาก็จะสร้างพื้นที่ไร้อาคมกินรัศมีหลายสิบลี้

วิชาอภินิหารของกระบี่บินที่ดึงปราณวิญญาณฟ้าดินมาเหมือนวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา เป็นเพียงแค่หนึ่งในความร้ายกาจเท่านั้น หากบวกกับเวทกระบี่เฉพาะที่นางเชี่ยวชาญ ยามถามกระบี่เข่นฆ่ากับคนอื่นก็จะเดินไปบนเส้นทางที่พินาศวอดวายกันทั้งสองฝ่าย นอกจากนี้นางอาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมาดึงเอาเสบียงที่ตุนไว้มาใช้ก่อน ก็เท่ากับว่าภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอายุขัย และไม่เสียดายหากต้องกลายร่างเป็นผี ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งก็จะละทิ้งจิตหยางกายนอกกายและเนื้อหนังมังสาทั้งหมดทิ้งไปเพื่อยืมขอบเขตหยกดิบครึ่งตัวมาใช้

อีกทั้งจิตวิญญาณของนางก็ได้ผสานรวมกับค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงมานานแล้ว ไม่อาจออกจากภูเขาได้นานเกินไปนัก ไม่อย่างนั้นจิตวิญญาณจะเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ดังนั้นไม่เหมือนกับจื๋อหลินโส่วแห่งยอดเขาสะพายกระบี่ ทุกครั้งที่ลงเขาล้วนสามารถเอ้อระเหยลอยชาย คล้ายลงไปเที่ยวเล่นขุนเขาสายน้ำ ขอแค่ถึงช่วงเวลาที่ต้องลงมือตัดรากถอนโคนก็แค่รีบรบรีบจบเท่านั้น แต่นางกลับทำเช่นนั้นไม่ได้ ทุกครั้งที่ลงจากภูเขาอย่างลับๆ จึงต้องได้ตัดหัวคนทุกครั้ง

เถียนโหยวเวิงที่ช่วยสืบทอดควันธูปให้กับศาลบรรพจารย์ จื๋อหลินโส่วที่ช่วยตัดรากถอนโคนให้กับภูเขาตะวันเที่ยง ผู้ถวายงานเบื้องหลังที่มีฉายาสมกับชื่อสองคนนี้ หนึ่งคือเซียนกระบี่ก่อกำเนิด หนึ่งคือปรมาจารย์ขอบเขตเก้า แบ่งงานกันอย่างชัดเจน บางครั้งลงจากภูเขาร่วมมือกันสังหารคนจึงประสานงานกันได้อย่างแนบเนียนไร้ช่องโหว่ ไม่ทิ้งเบาะแสไว้แม้แต่น้อย

จู๋หวงพลันใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “เรื่องไม่คาดฝันในวันนี้เยอะมากพอแล้ว จะปล่อยให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันอีกไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นการถามกระบี่ครั้งถัดไป อาจารย์ลุงเซี่ย ศิษย์น้องเถา ผู้คุมกฎเยี่ยน คงต้องรบกวนแล้ว”

จู๋หวงเอ่ยเสริมมาหนึ่งประโยคว่า “ข้าจะแจ้งไปทางภูเขาเดียวดายใหญ่สักหน่อย ดังนั้นจะยังบวกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอู๋ถีจิงเข้าไปด้วย”

เซี่ยหย่วนชุ่ยพยักหน้ารับ เทพเจ้าแห่งโชคลาภและบรรพจารย์ผู้คุมกฎอีกสองคนที่เหลือ แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่ก็ยังตอบตกลง ขอแค่ทำได้อย่างเทพไม่รู้ผีไม่เห็น หลิวเสี้ยนหยางผู้นั้น วันนี้ตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ตัว ในบรรดาคนมากมายที่ชมศึกอยู่บนยอดเขาต่างๆ ก็จะคิดแค่ว่าหลิวเสี้ยนหยางถูกหนึ่งกระบี่ของผีหญิงฆ่าเอาเท่านั้น ไม่รู้ถึงความลี้ลับที่ซุกซ่อนอยู่ด้านใน

ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ จู๋หวง เซี่ยหย่วนชุ่ย เถาแยนโป เยี่ยนฉู่ ก็คือสองหยกดิบ สองก่อกำเนิด

บวกกับผู้ฝึกตนผีที่เวลาปกติสามารถนับเป็นหยกดิบครึ่งตัว แต่หลังจากทุ่มสุดชีวิตก็สามารถมองเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่พลังการพิฆาตล้ำเลิศได้เลย

แล้วนับประสาอะไรกับที่นอกจากผู้ฝึกกระบี่แล้ว ภูเขาตะวันเที่ยงยังมีผู้ถวายงานปกป้องภูเขาอย่างหยวนเจินเย่ที่เป็นขอบเขตหยกดิบแล้ว อีกทั้งทางฝั่งยอดเขาสะพายกระบี่นั้นยังมีผู้ถวายงานเบื้องหลังที่เป็นจื๋อหลินโส่วอยู่อีกคน ผีเฒ่าที่ใช้เวทลับมาต่อยอดชีวิตคือปรมาจารย์ใหญ่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า

เมื่อมองเช่นนี้ หากยอดเขาทั้งหลายติดตามภูเขาบรรพบุรุษ ร่วมกันเปิดค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขา บวกกับยอดกระบี่แห่งนั้น สังหารเซียนเหรินคนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินก็ยังไม่เป็นปัญหา มากพอเหลือแหล่

แต่เซียนกระบี่ใหญ่ประเภทนี้ ต่อให้บวกกับเพื่อนบ้านสองทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้เข้าไปด้วย รวมขุนเขาสายน้ำของทั้งสามทวีปแล้วก็ยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ ป๋ายฉาง เว่ยจิ้น เจียงซ่างเจิน เหวยอิ๋ง นอกจากนี้แล้วยังจะมีใครอีก?

อีกอย่างเซียนกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน หรือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยาน ทุกวันนี้ใครจะกล้ามาทำตัวเหลวไหลที่แจกันสมบัติทวีป? เห็นป๋ายอวี้จิงจำลองที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือลำน้ำใหญ่เป็นของที่ตายแล้วจริงๆ หรือไร?

นี่จึงเป็นเหตุให้ทั้งฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีล้วนมาอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยง

ริมหน้าผาของภูเขาเดียวดายใหญ่ของยอดเขาคู่รัก คนหนุ่มชุดดำสะพายกระบี่เหลือบมองไปทางยอดเขาเดียวดายเล็กที่อยู่ห่างไปไม่ไกล มีสตรีคนหนึ่งยืนโดดเดี่ยวอยู่ที่นั่น

สายตาของเขาเย็นชา พอถอนสายตากลับมาแล้ว เขาก็เดินขึ้นไปบนกิ่งไม้แห้งกิ่งหนึ่งที่ยื่นออกไปนอกหน้าผา หลังจากเท้าเหยียบกิ่งไม้แห้งให้หัก เรือนกายที่เบาหวิวก็กระโดดผลุงขึ้นสู่กลางอากาศ กระบี่ยาวด้านหลังถูกชักออกจากฝักเสียงดังเช้ง

อู๋ถีจิงขี่กระบี่เดินทาง ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่ถูกมองว่าคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ดีเยี่ยมที่สุดตลอดเวลาพันปีที่ผ่านมาของภูเขาตะวันเที่ยงผู้นี้ ตรงเอวไม่พกกระบี่ประจำตัว มีแค่ด้ามจับกระบี่ท่อนเล็กๆ เท่านั้น

ราวกับว่าเคยมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง เพียงแต่ว่าตัวกระบี่ได้หายไปแล้ว

ตอนที่ขี่กระบี่ล่องทะยานไป อู๋ถีจิงก็ได้หายใจเข้าออกช้าๆ ชายแขนเสื้อสะบัดพรึ่บพรั่บไปตามลม

ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาอย่างข้า ยึดหลักแห่งการใช้มือถือกระบี่ต่อสู้ จิตวิญญาณแท้จริงอยู่ภายใน เรือนกายปราดเปรียวเหมือนวานรเหมือนวิหค ฝากปราณค้ำวิญญาณ ปราณกระบี่เปี่ยมล้นดุจน้ำเอ่อล้นนที ปณิธานกระบี่เฉียบคมเหมือนดอกบัวโผล่พ้นน้ำ วิถีกระบี่ยิ่งใหญ่สูงส่งดุจดวงดาวเคลื่อนโคจร

การถามกระบี่ระหว่างหลิวเสี้ยนหยางกับผีหญิงอึกทึกครึกโครมเกินไป ภาพเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นต่อเนื่อง ทุกหนทุกแห่งล้วนมีแต่เศษซากปราณกระบี่ที่สับสนวุ่นวาย ทั้งยังชักนำค่ายกลของภูเขาบรรพบุรุษ ดังนั้นก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันออกจากยอดเขาสะพายกระบี่ อำพรางเรือนกายเดินเลียบวิธีกระบี่เส้นหนึ่งไป ก็แค่ต้องระมัดระวังตัวเล็กน้อย เพียงเท่านี้ก็เก็บเอากระบี่โบราณเล่มนั้นเดินขึ้นมาบนยอดกระบี่ได้สำเร็จ

ถูกผู้ฝึกตนหญิงบนยอดเขาถามว่าเป็นใคร เฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่าตัวเองเป็นแขกแล้วก็พลันหยุดยืนอยู่นอกธรณีประตูศาลบรรพจารย์ หันหน้าไปมองผู้ฝึกตนหญิงจากตรอกฮวามู่ทั้งหลาย ไล่มองไปทีละคน จากนั้นก็พูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “ในเมื่อถูกข้ามองออกแล้ว เจ้าสามารถให้หลิวไฉ หลิวไฉ่แห่งยอดเขาตุ้ยเซวี่ย หรือควรจะเรียกว่าลู่ไถที่ออกเดินทางไกลชะลอการถามกระบี่กับข้าไว้ก่อนได้หรือไม่? วันหน้ามีโอกาสถมเถไป เจ้าโจวจื่อคำนวณชะตาฟ้าลิขิตได้เช่นนี้ ไยต้องรีบร้อน หรือไม่รอให้ข้าไปใต้หล้าห้าสีก่อน? หรือหลังจากเดินทางไกลไปเยือนใต้หล้ามืดสลัว?”

ดวงตาทั้งคู่ของสาวใช้หลิวไฉ่ที่อยู่ข้างกายหยวนป๋ายบนยอดเขาตุ้ยเซวี่ยทอประกายระยิบระยับ จากนั้นนางก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว คล้ายมีท่าทีลังเลตัดสินใจไม่ได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้แต่หยวนป๋ายก็ยังสัมผัสไม่ได้ถึงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้ของนาง

ผู้ฝึกตนหญิงจากยอดเขาฉงจือคนหนึ่งที่อยู่บนลานกว้างเหลือบมองเซียนกระบี่ชุดเขียว มุมปากนางวาดขึ้นเป็นวงโค้ง ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ คล้ายตอบตกลงกับเรื่องนี้ นาทีถัดมา ผู้ฝึกตนหญิงก็กลับคืนมามีสีหน้าปกติดังเดิม

ผู้ฝึกตนหญิงจากตรอกฮวามู่คนนี้ อันที่จริงแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป

ส่วนสาวใช้หลิวไฉ่ที่มาจากพื้นที่มงคลเทียนจิ่งธวัลทวีปข้างกายหยวนป๋ายก็ยิ่งร่างกายสลายหายไปอย่างไม่มีลางบอกกล่าว ไปจากยอดเขาตุ้ยเซวี่ยทั้งอย่างนี้ ถึงขั้นที่ไม่ทันได้เอ่ยอะไรกับหยวนป๋ายสักคำ

ทางฝั่งของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี แสงกระบี่ในป๋ายอวี้จิงจำลองเปล่งวูบ เพียงแต่ว่าไม่นานก็ถอยร่นกลับไป

ราวกับว่าเป็นจิตหยินเดินทางไกลของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ไม่มีค่าพอให้ต้องออกกระบี่

ก่อนที่จะมาเยือนภูเขาตะวันเที่ยง เฉินผิงอันเคยไปที่ลำน้ำใหญ่ภาคกลางมาก่อน ไม่ใช่ว่าอาศัยสถานะใดๆ ก็สามารถเดินขึ้นไปบนป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งนั้นได้ แต่อาศัยชื่อของผู้ฝึกตนต่างทวีปสองชื่อนั้น

จากนั้นเฉินผิงอันก็ได้เห็นผู้ไร้ขอบเขตที่เรือนกายล่องลอย ใบหน้าพร่าเลือนคนหนึ่ง

ตอนนั้นเฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันทีว่า ‘ข้าเป็นคนหาตัวป๋ายฉาง หรือไม่ก็โจวจื่อ เจ้าอิงตามกฎเกณฑ์ รับผิดชอบออกกระบี่ แต่ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะต้องหาเจอแน่นอน’

เพราะหากอิงตามกฎของต้าหลีที่เหมาะกับการนำไปใช้กับยอดเขาข้อนั้น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหรินและผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานจากทวีปอื่นทุกคน หากไม่ได้เป็นฝ่ายมอบเอกสารผ่านด่านให้กับราชสำนักต้าหลีแล้วเหยียบเข้ามาในอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีปโดยพลการ หากจับได้ก็จะต้องถูกถามกระบี่

ทว่าเอกสารผ่านด่านส่วนนั้นต้องมอบมาให้ที่ป๋ายอวี้จิงจำลองเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องบอกกล่าวกับเมืองหลวงต้าหลีหรือเมืองหลวงแห่งที่สอง อันที่จริงนี่ก็เป็นเรื่องประหลาดอีกเรื่องหนึ่ง

ผู้ไร้ขอบเขตที่ไม่ทราบสถานะคนนั้นพยักหน้ายิ้มเอ่ย ‘ภายในกฎเกณฑ์ สมเหตุสมผลดีแล้ว ’

‘เถียนหว่าน’ แห่งยอดเขาจูอวี๋ของภูเขาตะวันเที่ยงเคยส่งกระบี่บินแจ้งข่าวไปให้อาจารย์ของตัวเองฉบับหนึ่ง ‘ป๋ายฉางหนึ่ง โจวจื่อเก้า’

สรุปก็คือชุยตงซานมีความมั่นใจสิบเต็มสิบว่าต้องมีคนใดคนหนึ่งที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในที่มืดเพื่อรอคอยโอกาสในการลงมืออย่างแน่นอน

อันที่จริงตอนนั้นเฉินผิงอันได้อยู่ระหว่างเดินทางไปเยือนป๋ายอวี้จิงแล้ว

เวลานี้เฉินผิงอันยืนอยู่บนยอดกระบี่ที่การมองเห็นเปิดกว้าง หันหน้าไปมองทิศทางที่แสงกระบี่ของยอดเขาตุ้ยเซวี่ยพุ่งไป เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืน

หากแค่เปิดอ่านรายงานเกี่ยวกับภูเขาตะวันเที่ยงเพียงอย่างเดียว เขาย่อมไม่มีทางเกิดการคาดเดาอะไรมากมายเกี่ยวกับสาวใช้ ‘หลิวไฉ่’ ที่อยู่ข้างกายหยวนป๋ายแน่นอน

แต่หากเกี่ยวพันกับเถียนหว่านแห่งยอดเขาจูอวี๋ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในใจของเฉินผิงอันคอยระแวงป้องกันหนึ่งในหมื่นบางอย่างอยู่ตลอด เฉินผิงอันก็ไม่มีทางกล้าประมาทเป็นแน่

จนกระทั่งบัดนี้ เมื่อ ‘โจวจื่อ’ ที่ร่างจริงไม่ได้อยู่ในแจกันสมบัติทวีปจากไปไกล ในที่สุดเฉินผิงอันก็สามารถถอนหายใจโล่งอกได้อย่างแท้จริงแล้ว และอยู่ดีๆ เขาก็นึกคำกล่าวสองอย่างของลัทธิพุทธขึ้นมา โจรภูเขาพ่ายแพ้ หลังปล้นง้าวธนู

ดีแล้ว การถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงครั้งนี้ ในที่สุดก็ไม่ต้องมีเรื่องให้ห่วงหน้าพะวงหลังแล้ว

ส่วนป๋ายฉางอะไรนั่น ขอแค่กล้ามาเสี่ยงอันตรายปล่อยกระบี่ที่แจกันสมบัติทวีป ก็อย่าได้กลับไปอีกเลย ไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วเลยแล้วกัน

แต่เชื่อว่าด้วยนิสัยของป๋ายฉาง ต่อให้แอบข้ามทวีปเดินทางไกลมา พอตระหนักได้ถึงความเคลื่อนไหวของทางป๋ายอวี้จิงจำลอง ก็ย่อมต้องกลับคืนบ้านเกิดไปอย่างเงียบเชียบ แต่ความเป็นไปได้มากยิ่งกว่านั้นก็คือ เซียนกระบี่ทิศเหนือที่ทะเยอทะยานผู้นี้ยังจะเลือกนิ่งดูดาย ชมงิ้วอยู่ไกลๆ

นางกำนัลในตรอกฮวามู่คนหนึ่งเดินสาวเท้าเร็วๆ ก้าวมาเบื้องหน้า ปลุกความกล้ายื่นมือไปขวางไว้หน้าประตู เอ่ยโน้มน้าวอย่างระมัดระวังว่า “เซียนกระบี่ท่านนี้ ศาลบรรพจารย์บนยอดกระบี่เป็นสถานที่ต้องห้ามอันดับหนึ่งของพวกเรา เข้าไปไม่ได้นะ! หากบุกเข้าไปโดยพลการจะชักนำให้เกิดปัญหาใหญ่เทียมฟ้าทีเดียว”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ข้าเป็นสหายเก่ากับบรรพจารย์ย้ายภูเขาของพวกเจ้า การที่ข้าประสบความสำเร็จอย่างในทุกวันนี้ได้ หากว่ากันในระดับใหญ่แล้วก็ล้วนเป็นเขาที่มอบให้ หากเจ้ายังไม่วางใจก็ส่งกระบี่บินไปแจ้งข่าวจู๋หวง ข้ามีเรื่องที่ต้องปรึกษากับเขาอยู่พอดี ทางฝั่งหอถิงเจี้ยนคนมากปากมาก ไม่เหมาะจะพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน คงต้องรบกวนแม่นางให้ช่วยแจ้งข่าวที ข้าจะเข้าไปเลือกเก้าอี้ให้ตัวเองก่อน ใช่แล้ว ข้าชื่อเฉินผิงอัน มาจากภูเขาลั่วพั่ว อีกเรื่องนะ เตือนเจ้าสำนักของพวกเจ้าด้วยว่า ทางที่ดีที่สุดให้เขามาที่ยอดกระบี่นี่เพียงลำพัง”

——

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด