ตำนานเทพกู้จักรวาล 755 อดีตแห่งแดนใต้พิภพ

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 755 อดีตแห่งแดนใต้พิภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฉิน​มู่ชำนาญ​วิธี​การควบคุม​เรือ​กระดาษ​อย่าง​รวดเร็ว​ เรือ​กระดาษ​นี้​เรียก​ได้​ว่า​เป็น​ยานพาหนะ​ที่​ว่องไว​ที่สุด​ใน​แดน​ใต้พิภพ​ และ​ด้วย​เรือ​นี้​ เขา​ก็​สามารถ​ไป​เยี่ยม​มารดา​ผู้​ซึ่งถูก​สะกด​เอาไว้​ใน​แดน​ใต้พิภพ​ได้​

เมื่อ​ภูติ​บดี​กับ​วิญญูชน​สวรรค์​โย​ว​รู้ตัว​อีกที​ มัน​ก็​จะสาย​ไป​แล้ว​!

เขา​ยืน​อยู่​บน​กราบ​เรือ​และ​มีความมืด​ไร้​ก้นบึ้ง​อยู่​ข้างหน้า​ เรือ​น้อย​ลอย​เข้าไป​ใน​ความมืด​และ​ดู​โดดเดี่ยวเดียวดาย​

แต่ทว่า​ แดน​ใต้พิภพ​มิได้​มืดสนิท​โดยสิ้นเชิง​ มัน​มีโลหิต​อัน​พวยพุ่ง​เหมือน​ลาวา​ที่​ไหล​ออก​มาจาก​พื้นผิว​ของ​ผิวหนัง​ภูติ​บดี​ ภูติ​บดี​มีเรือน​กาย​อัน​ใหญ่​มโหฬาร​จน​เกินไป​ และ​ผิวหนัง​ของ​เขา​ก็​เหมือนกับ​เกราะ​หุ้ม​อัน​ก่อ​ขึ้น​มาจาก​หิน​แข็งแกร่ง​ รอยแยก​ระหว่าง​หิน​นั้น​เหมือนกับ​ลาย​รอย​บน​ผิวหนัง​ของ​เขา​ ลาวา​สีแดง​เพลิง​ก็​เหมือนกับ​โลหิต​ที่​หลั่งไหล​อยู่​ตรงนั้น​

ฉิน​มู่ขับ​เรือ​น้อย​เข้าไป​ใกล้​ๆ จาก​ที่​ไกลๆ​ เขา​มองไม่เห็น​อะไร​บน​ผิวหนัง​หิน​ แต่​เมื่อ​เขา​เข้าไป​ใกล้​ เขา​ก็​สามารถ​มองเห็น​ภูเขา​ที่ตั้ง​ตระหง่าน​ราวกับ​ป่าทึบ​ พวก​มัน​แหลมคม​ดุจ​ศาสตราวุธ​และ​ขรุขระ​เป็น​อย่างยิ่ง​ ทั้ง​ยังมี​สัตว์ประหลาด​มาร​และ​มาร​เท​วะ​ตัว​มหึมา​ที่​แบก​ปราสาท​ไป​บน​หลัง​ของ​พวก​มัน​ระหว่าง​ที่​เดินทาง​ไป​ระหว่าง​เทือกเขา​

ทั้ง​ยังมี​ภูตผี​ตัวเล็ก​ๆ สีเขียว​ห้อมล้อม​ปราสาท​อัน​สัตว์ประหลาด​มาร​และ​มาร​เท​วะ​กำลัง​แบก​อยู่​ พวก​มัน​โหวกเหวก​โวยวาย​และ​ก่อ​ศึกสงคราม​กับ​ผี​เขียว​อีก​กลุ่ม​หนึ่ง​ โลหิต​หลั่ง​จาก​การเข่นฆ่า​

ภูตผี​ตัว​น้อย​สีเขียว​นี้​เป็น​สิ่งมีชีวิต​พิเศษ​เฉพาะ​ของ​แดน​ใต้พิภพ​ ยมโลก​ก็​มีสิ่งเช่นนี้​เหมือนกัน​ พวก​มัน​มีใบหน้า​สีเขียว​และ​มีเขี้ยว​งอก​จาก​ปาก​ ผี​เขียว​บาง​ตัว​ก็​ใหญ่​กว่า​มนุษย์​ถึงสี่ห้า​เท่า​ แต่​บาง​ตัว​ก็​สูงเพียงแค่​เข่า​และ​ท้อง​ของ​มนุษย์​เท่านั้น​ พวก​ตัวเล็ก​ๆ จะวิ่ง​เร็ว​เป็น​อย่างยิ่ง​

ท่ามกลาง​ผี​เขียว​เหล่านี้​ ยังมี​ราชา​ผี​เขียว​ที่​แข็งแกร่ง​และ​ทรงพลัง​จน​ทัดเทียม​เทพเจ้า​

สงคราม​เช่นนี้​พบเห็น​ได้​ทั่วไป​ใน​แดน​โบราณ​วินาศ​ และ​แม้แต่​สัตว์ประหลาด​มาร​กับ​มาร​เท​วะ​ก็​จะเข้าร่วม​ศึก​ สัตว์ประหลาด​มาร​และ​มาร​เท​วะ​ที่​แบก​ราช​วัง​นั้น​มีพละกำลัง​อัน​ไร้ขีดจำกัด​ แต่​อาวุธ​ของ​พวก​มัน​นั้น​เรียบง่าย​ พวก​มัน​เพียงแค่​หัก​ยอดเขา​บน​ผิวหนัง​ของ​ภูติ​บดี​ออกมา​ และ​กวัดแกว่ง​ไป​รอบ​ๆ เหมือน​ไม้ตะบอง​แข็งๆ​ ฟาด​ทุบ​ทุกสิ่งทุกอย่าง​ที่​ขวางทาง​

บางครั้ง​ ฉิน​มู่ก็​ถึงกับ​เห็น​จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ของ​เทพเจ้า​หลาย​ตน​เดิน​ออก​มาจาก​ราช​วัง​บน​บ่า​ของ​สัตว์ประหลาด​มาร​และ​มาร​เท​วะ​ พวกเขา​จะร่าย​เวทมนตร์​ไม่ก็​ปลดปล่อย​ทักษะ​เท​วะ​และ​เทพ​ศาสตรา​ออก​ไป​เพื่อ​ต่อสู้​กับ​ศัตรู​ที่อยู่​ตรงหน้า​

แดน​ใต้พิภพ​คึกคัก​จริงๆ​

ฉิน​มู่มอง​ไป​อย่าง​ตื่นเต้น​ และ​เมื่อ​เขา​ผ่าน​สนามรบ​ เขา​ก็​หยุด​เรือ​และ​ตะโกน​ไป​ “พี่​ทาง​เต๋า​ทั้งหลาย​!”

ทั้งสองฝ่าย​ที่​กำลัง​ก่อ​ศึกสงคราม​ต่าง​ก็​ตื่นตระหนก​กับ​เสียง​ของ​เขา​ ผี​เขียว​มากมาย​หยุด​การต่อสู้​ และ​สัตว์ประหลาด​มาร​ของ​ทั้งสอง​ฝั่งก็​หยุด​มือ​ด้วย​เช่นกัน​ พวก​มัน​ปัก​ไม้ตะบอง​ยัน​ตัวยืน​และ​เงยหน้า​มอง​เรือ​น้อย​

จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ของ​ทั้งสองฝ่าย​เหาะ​ขึ้น​มาและ​ยืน​อยู่​บน​ท้องฟ้า​ พวกเขา​โค้ง​คารวะ​มายัง​เรือ​และ​กล่าว​ “ราชันย์​ขุนนาง​ พวกเรา​ไม่คู่ควร​ที่จะ​ถูก​เรียก​หาว่า​พี่​ทาง​เต๋า​!”

“ราชันย์​ขุนนาง​มาที่นี่​เพื่อ​สังหาร​พวกเรา​หรือ​ ภูติ​บดี​จะจับ​พวกเรา​กิน​หรือ​”

เทพเจ้า​สอง​ตน​ที่​ก่อ​สงคราม​กัน​พลัน​โผ​เข้า​กอด​กัน​กลม​และ​ร้อง​ด้วย​เสียง​เจือ​สะอื้น​ “คนอื่นๆ​ เขา​ก็​สู้กัน​แย่งชิง​ดินแดน​แบบนี้​ ทำไม​เมื่อ​มาถึงที​ของ​พวกเขา​ เขา​ถึงอยาก​จะจับ​พวกเรา​กิน​…”

ฉิน​มู่รีบ​กล่าว​ “อย่า​เพิ่ง​ร้องไห้​ ภูติ​บดี​ไม่ได้​จะจับ​พวก​เจ้ากิน​หรอก​ ข้า​มาที่นี่​เพียง​เพื่อ​ถามทาง​เท่านั้น​ หลังจากที่​ข้า​ได้​เส้นทาง​แล้ว​ ข้า​ก็​จะไป​ พวก​เจ้าสู้กัน​ต่อไป​”

จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ของ​เทพเจ้า​ทั้งสอง​รีบ​ผละออก​จากกัน​

ฉิน​มู่ถาม “อาชญากร​อันตราย​ถูก​กักขัง​เอาไว้​ที่ไหน​”

จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ทั้งสอง​ระบาย​ลมหายใจ​โล่งอก​ และ​กล่าว​ “อยู่​ที่​ด่าน​กุญแจ​หยก​แห่ง​แดน​ใต้พิภพ​ ข้างใต้​ฝ่าเท้า​ของ​ภูติ​บดี​”

ฉิน​มู่กล่าว​ขอบคุณ​และ​ถามต่อ​ “ระหว่างทาง​ที่​ข้า​มาที่นี่​ ข้า​เห็น​สงคราม​เกิดขึ้น​ทุกหนทุกแห่ง​ ทำไม​แดน​ใต้พิภพ​ถึงโกลาหล​นัก​”

จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ทั้งสอง​หันไป​มอง​กันและกัน​ และ​พวกเขา​ต่าง​ก็​มองเห็น​ความ​แตกตื่น​ใน​แววตา​ของ​ฝ่ายตรงข้าม​ จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​ตน​หนึ่ง​กล่าว​อย่าง​ระมัดระวัง​ “ราชันย์​ขุนนาง​ลืม​เรื่อง​ที่​เกิดขึ้น​เมื่อ​ยี่​สิบสอง​ปีก่อน​แล้ว​หรือ​ เมื่อ​ยี่​สิบสอง​ปีก่อน​ คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​ต่อสู้​ลง​มาถึงที่นี่​จาก​เขา​เก้า​บิด​ ถล่ม​ชั้น​นรก​มาตั้ง​ไม่รู้​กี่​ขุม​ เขา​สังหาร​ผู้มีอิทธิพล​มากมาย​และ​กิน​เข้าไป​ตั้ง​ไม่รู้​เท่าไร​ พวกเรา​เพียงแค่​ต่อสู้​กัน​แย่งชิง​ดินแดน​เมื่อ​พบเห็น​แผ่นดิน​ที่​ไร้​เจ้าของ​ ฉวยโอกาส​สะสางความแค้น​ให้​จบสิ้น​ไป​ด้วย​พร้อมๆ กัน​”

จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​อีก​ตน​ผงกหัว​หงึก​ๆ

คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​? มีตัวตน​น่าสะพรึงกลัว​เช่นนั้น​ใน​แดน​ใต้พิภพ​ด้วย​หรือ​ ฉิน​มู่ฉงนใจ​พลาง​แล่น​เรือ​จากไป​

เทพเจ้า​ทั้งสอง​เห็น​เรือ​น้อย​แล่น​ไป​ ถึงตอนนั้น​พวกเขา​ถึงค่อย​โล่งอก​ “แปลก​จริง​ ทำไม​ราชันย์​ขุนนาง​ถึงมาถามทาง​พวกเรา​ เขา​นั้น​คือ​ราชันย์​ศักดิ์สิทธิ์​เมตตา​เทียม​สวรรค์​ งั้น​เขา​จะไม่รู้​ด่าน​กุญแจ​หยก​แดน​ใต้พิภพ​ได้​อย่างไร​ เขา​จะไม่รู้จัก​ทร​ราชย์​น้อย​แห่ง​แดน​ใต้พิภพ​ได้​อย่างไร​”

“ใคร​จะสน​ ข้า​จะให้​ผี​เขียว​โฉมสะคราญ​สามสิบ​ตน​แก่​ผู้​สังหาร​ไอ้​ลูก​เต่า​ฝ่าย​โน้น​!”

“ตอนที่​ข้า​ยัง​มีชีวิต​อยู่​ข้า​นับถือ​เจ้าเป็น​พี่น้อง​ แต่​เจ้าก็​ยัง​กล้า​มาหยอกเอิน​พี่สะใภ้​ของ​เจ้า! สังหาร​ไอ้​สารเลว​นี้​ให้​กับ​ข้า​!”

ทั้งสองฝ่าย​ต่อสู้​กัน​อีกครั้ง​

ฉิน​มู่แล่น​เรือ​ลง​ไป​ตาม​ร่าง​ของ​ภูติ​บดี​ และ​ยิ่ง​เขา​ลง​ไป​ลึก​เท่าไร​ ปราณ​มาร​ใต้พิภพ​ก็​ยิ่ง​เข้มข้น​ขึ้น​มาเท่านั้น​ สันดาน​มาร​เอง​ก็​ยิ่ง​แข็งแกร่ง​ขึ้น​และ​แข็งแกร่ง​ขึ้น​

ที่​เขา​เห็น​มาตาม​ทาง​ทำให้​หัวใจ​เขา​เต้น​ระทึก​ มีศึกสงคราม​อยู่​ทั่ว​ทุกหน​แห่ง​ และ​ผู้คน​ก็​รบพุ่ง​กัน​ทั้งวันทั้งคืน​ และ​ก็​ยังมี​ดวงวิญญาณ​ที่​แข็งแกร่ง​และ​น่าสะพรึงกลัว​อย่าง​ไร้​ปาน​เปรียบ​ออก​สร้าง​ความโกลาหล​และ​ปล้นสะดม​ไป​ทุกหนทุกแห่ง​อีกด้วย​

“คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​ได้​จาก​แดน​ใต้พิภพ​เมื่อ​ยี่​สิบสอง​ปีก่อน​ คงจะ​ได้​ก่อเรื่อง​ชั่วร้าย​มากมาย​และ​สังหาร​ผู้มีอิทธิพล​นับไม่ถ้วน​เป็นแน่​ มีก็​แต่​เช่นนั้น​เขา​ถึงสร้าง​ความโกลาหล​ให้​กับ​แดน​ใต้พิภพ​จน​มัน​ยัง​ไม่สงบราบคาบ​ถึงบัดนี้​”

ฉิน​มู่รู้สึก​ประหวั่นพรั่นพรึง​ “ดูเหมือนว่า​น้ำ​ใน​แดน​ใต้พิภพ​จะลึก​กว่า​ที่​คิด​ มีผู้​เปี่ยม​ความสามารถ​ซุ่มซ่อน​อยู่​ทุกหน​แห่ง​”

ภูติ​บดี​ยังคง​มีเมือง​โบราณ​มากมาย​บน​ร่าง​ของ​เขา​ และ​ก็​มีแสงสว่าง​อัน​แสดงให้เห็น​ว่า​มีเทพเจ้า​อยู่​บน​นั้น​

และ​ยังมี​เมือง​ที่​ลอย​อยู่​บน​ท้องฟ้า​มืด​ทะมึน​ ด้วย​โซ่ที่​ล่าม​โยง​พวก​มัน​เข้ากับ​พื้น​ เมือง​เหล่านั้น​ก่อ​ขึ้น​มาเป็น​พยุหะ​ค่าย​กล​และ​ดู​อันตราย​ร้ายกาจ​

ฉิน​มู่มองดู​แต่​ไม่เข้าไป​ใกล้​ เขา​คิด​อยู่​ใน​ใจ นั่น​จะต้อง​เป็น​สถานที่​ที่​ลู่​หลี​และ​คน​จาก​สภาสวรรค์​นอก​โลก​ที่มา​ประจำการ​อยู่​เป็นแน่​ เข้าไป​ใกล้​คง​ไม่ฉลาด​

หลังจาก​เหาะ​มาเป็น​ระยะทาง​ยาวนาน​ เขา​ก็​เห็น​เมือง​เทพยดา​อัน​หัก​พัง​บน​ท้องฟ้า​ มีซาก​เมือง​สีดำ​สนิท​ที่​ร่วง​ตก​ลงมา​กับ​พื้น​ และ​แขนขา​ขาด​วิ่ง​กระจัดกระจาย​ไป​ทั่ว​ จาก​บาดแผล​ พวกเขา​ดูเหมือน​จะถูก​สัตว์ร้าย​มหึมา​และ​ดุดัน​กัด​ทึ้ง​ออก​เป็น​สอง​ส่วน​

ด่าน​โบราณ​ยืดยาว​อยู่​ต่อหน้าต่อตา​เขา​ และ​มัน​ก็​เหมือนกับ​มีกำแพงเมือง​เหล็ก​ดำ​ที่​ขวางทาง​ตรงหน้า​อยู่​ ฉิน​มู่กะ​ว่า​จะอ้อม​ไป​ และ​ทันใดนั้น​เขา​ก็​ตกตะลึง​ บน​กำแพง​อัน​ยิ่งใหญ่​เกรียงไกร​ มีรอยประทับ​ฝ่ามือ​ที่​น่าสะพรึงกลัว​เมื่อ​ชมดู​

รอยประทับ​ฝ่ามือ​เหล่านั้น​ใหญ่​มหึมา​ไร้​ปาน​เปรียบ​ และ​นิ้ว​แต่ละ​นิ้ว​ก็​เหมือน​เอา​ขุนเขา​ฟาด​เข้าใส่​กำแพงเมือง​ มัน​คือ​นิ้ว​ทั้ง​ห้า​ที่​ใหญ่​มหึมา​ปาน​ภูเขา​อย่าง​แท้จริง​

และ​ยังมี​รอยประทับ​หมัด​ และ​รอยประทับ​ที่​หลงเหลือ​ไว้​จาก​การ​ที่​เทพเจ้า​มากมาย​ถูก​อัด​กระแทก​เข้ากับ​กำแพง​ อาวุธ​แตกหัก​กอง​ก่าย​กัน​สูงเท่า​ภูเขา​

ใน​ตอนนั้น​ ฉิน​มู่หยุด​เรือ​น้อย​อยู่​ข้างนอก​ประตูเมือง​ ป้อมปราการ​เมือง​อัน​สูงตระหง่าน​และ​กำแพงเมือง​ถูก​บดขยี้​เป็น​ชิ้นๆ​ และ​มีรู​ขนาด​เท่า​ร่าง​คน​อยู่​ตาม​กำแพง​และ​ประตู​ สามารถ​อนุมาน​ได้​ว่า​ คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​ผู้​นั้น​จะต้อง​มีร่างกาย​อัน​อ้วนท้วน​ แต่​เขา​นั้น​ดุร้าย​อย่าง​เหลือแสน​ พลานุภาพ​ของ​กาย​เนื้อ​ของ​เขา​เกิน​จะจินตนาการ​!

เรือ​น้อย​แล่น​ผ่าน​รู​นั้น​และ​ไป​ยัง​เมืองด่าน​ที่​ถูก​ทิ้ง​ร้าง​ ความ​เกรียงไกร​แต่​เก่า​ก่อน​ถูก​บดขยี้​ไม่เหลือ​ชิ้น​ดี​

ทันใดนั้น​ ฉิน​มู่ก็​มาถึงใจกลาง​เมืองด่าน​ และ​เขา​เห็น​โครงกระดูก​หลาย​หมื่น​โครง​ยืน​อยู่​ตรงนั้น​รอบ​ๆ วงกลม​ใหญ่​ โครงกระดูก​ของ​เทพเจ้า​เหล่านี้​ล้วนแต่​เอน​ไป​ทาง​ใจกลาง​วงกลม​ ราวกับว่า​มีแรงดูด​มหาศาล​ที่​กำลัง​ดูด​ร่างกาย​ของ​พวกเขา​ แต่​พวกเขา​ก็ได้​ต่อ​สู้ยิบตา​เพื่อ​ป้องกัน​พลัง​อำนาจ​นั้น​

ฉิน​มู่เคลื่อน​เรือ​น้อย​ไป​ที่​ใจกลาง​วงกลม​ และ​ที่​จุดศูนย์กลาง​ มีรอยเท้า​ขนาด​มหึมา​สอง​ข้าง​

เขา​หยุด​เรือ​อยู่​บน​ท้องฟ้า​ ฉิน​มู่ยืน​อยู่​บน​เรือ​และ​มอง​ไป​ยัง​โครงกระดูก​รอบ​ๆ โครงกระดูก​พวก​นี้​คงจะ​มาโจมตี​ต่อสู้​หลังจากที่​คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​ได้​ทะลวง​ฝ่าเมือง​เข้ามา​ และ​ในเวลานั้น​ คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​พลัน​ระเบิด​พลัง​อำนาจ​ออก​ไป​

“อา​ อ๊า​ อ๊า​าา”

ฉิน​มู่อ้า​ปาก​และ​หัน​หัว​ไป​ตะโกน​ยัง​โครงกระดูก​รอบ​ๆ เขา​โค​ลงหัว​และ​กล่าว​ “นี่​มัน​ไม่ใช่ พวกเขา​ไม่น่าจะ​ถูก​สังหาร​ด้วย​คลื่นเสียง​ มัน​น่าจะเป็น​…”

เขา​หัน​ศีรษะ​ไป​และ​สูด​ลม​เข้า​เฮือก​ใหญ่​ เขา​ผงกหัว​และ​กล่าว​ “ใช่แล้ว​ แบบ​นี้แหละ​ คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​พลัน​ดูดกลืน​เอา​จิตวิญญาณ​ดั้งเดิม​จาก​เทพเจ้า​ทั้งหลาย​เหล่านี้​ และ​กิน​พวกเขา​ไป​จน​เหี้ยน​เตียน​! กลืน​กิน​เทพเจ้า​หลาย​หมื่น​ภายใน​คำ​เดียว​ สยดสยอง​ น่าสยดสยอง​จริงๆ​!”

เรือ​น้อย​ลอย​ออกจาก​ด่าน​และ​มุ่งต่อไป​ข้างหน้า​ มัน​มาถึงปลาย​สุด​เท้า​ของ​ภูติ​บดี​ และ​มัน​ก็​มีโซ่อัน​เชื่อมโยง​กับ​มหานคร​ที่นี่​

ฉิน​มู่แล่น​เรือ​ผ่าน​ประตู​อัน​สูงตระหง่าน​ และ​เขา​ถึงเพิ่ง​ตระหนัก​ว่า​ที่นี่​มีฟ้าและ​ดิน​อยู่​จริงๆ​ ราช​วัง​ที่นี่​กว้างใหญ่​ไพศาล​ และ​พวก​มัน​ก็​ยืดยาว​ออก​ไป​อย่าง​ไม่รู้​จบ​ ใน​มหานคร​ก็​ยังมี​เมือง​นคร​อยู่​ แต่​พวก​มัน​ล้วนแต่​กลายเป็น​ซากปรักหักพัง​ ปราณ​มาร​เข้มข้น​ และ​มีก็​แต่​ผี​เขียว​น้อย​ที่​อาศัย​อยู่​ได้​ พวก​มัน​หวาดกลัว​ผู้คน​เป็น​อย่างยิ่ง​ เมื่อ​พวก​มัน​เห็น​เรือ​น้อย​ พวก​มัน​ก็​แปรเปลี่ยน​เป็นควัน​ดำ​แล้ว​หายวับ​ไป​

ฉิน​มู่มีสีหน้า​แปลกประหลาด​ และ​เขา​รีบ​เคลื่อน​ออก​ไป​จาก​ประตู​นี้​ เมื่อ​เงยหน้า​ขึ้นไป​ เขา​ก็​พบ​ว่า​ประตู​ยักษ์​ก็​ถูก​ทำลาย​ด้วย​เช่นกัน​

เมื่อ​เสาะสายตา​ไป​ตาม​พื้น​ ในที่สุด​เขา​ก็​เห็น​ถ้อยคำ​บน​ประตูเมือง​อัน​แตกหัก​ และ​ได้​แต่​สูด​ลมหายใจ​หนาวเหน็บ​

ประตู​สวรรค์​ทักษิณ​! ที่นี่​คือ​ปราสาท​สวรรค์​!

จิต​คิด​เขา​กระเจิดกระเจิง​ไป​หมด​ และ​เขา​ก็​ตั้งสติ​ตนเอง​ เขา​เหาะ​ไป​อีกครั้ง​และ​ลอย​ผ่าน​ศาลา​หยก​และ​สระ​หยก​ สระ​หยก​แห้งผาก​ราวกับว่า​มีใคร​บางคน​ซด​มัน​จน​แห้ง​ภายใน​อึด​เดียว​ ขณะที่​แท่น​ประหาร​เทพ​ถูก​ทุบ​จน​ป่นปี้​ อัคร​นคร​หยก​ก็​แหลก​เละ​ไม่มีชิ้น​ดี​ และ​ตำหนัก​ชิด​ฟ้าก็​มีรู​ขนาดใหญ่​อยู่​ใน​นั้น​ บัลลังก์​จักรพรรดิ​ถูก​กระชาก​ออกมา​ และ​มัน​ก็​ถูก​บด​เละ​ด้วย​ก้น​มหึมา​ของ​ใคร​บางคน​ มัน​จมฝังลง​ไป​ใน​พื้น​ของ​อัคร​นคร​หยก​

ดวงวิญญาณ​ที่​มีสิทธิ์​อาศัย​อยู่​ใน​ปราสาท​สวรรค์​หากว่า​ไม่ใช่ยอด​ฝีมือ​ขั้น​บัลลังก์​จักรพรรดิ​ก็​ต้อง​เป็น​ขั้น​ตำหนัก​ชิด​ฟ้าก่อนที่​พวกเขา​จะตาย​ลงมา​ การ​ที่​ปล่อย​ให้​คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​ทำลาย​สถานที่​แห่ง​นี้​จน​ถึงขนาด​นี้​ เจ้าของ​ปราสาท​สวรรค์​คงจะ​ถูก​สังหาร​โดย​ตัวตน​อัน​โหดเหี้ยม​นั้น​!

หลังจากที่​เขา​ออก​ไป​จาก​ปราสาท​สวรรค์​แห่ง​นี้​ เขา​ก็​ยิ่ง​ตื่นตระหนก​มากขึ้น​ แดน​ใต้พิภพ​เมื่อ​ยี่​สิบสอง​ปีก่อน​ดูเหมือน​จะประสบ​มหา​ภัยพิบัติ​ สิ่งมีชีวิต​ที่​อาศัย​อยู่​ที่นี่​ล้วนแต่​เผชิญ​กับ​การ​ฆ่าล้างผลาญ​ของ​คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​ เกิด​บาดเจ็บ​ล้มตาย​อย่าง​มหาศาล​

ภูติ​บดี​และ​วิญญูชน​สวรรค์​โย​ว​ยัง​มานั่ง​บันทึก​ความผิด​ข้า​ใน​สมุด​น้อย​อยู่​อีก​ แต่กลับ​ไม่เคย​พูดถึง​คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​ คนร้าย​ใจชั่ว​ตัวจริง​ เลย​สักนิด​

ฉิน​มู่เต็มไปด้วย​ความ​ขึ้ง​ใจ เขา​มายัง​เท้า​ของ​ภูติ​บดี​ และ​สถานที่​แห่ง​นี้​ก็ได้​กลายเป็น​เศษซาก​ของ​สมรภูมิ​ไป​แล้ว​

ฉิน​มู่มอง​ไป​ และ​หัวใจ​เขา​ก็​โลดเต้น​ สนามรบ​แห่ง​นี้​กว้างใหญ่​ไพศาล​ แม้แต่​สายตา​ของ​เขา​ก็​ยัง​ไม่อาจ​เห็น​ขอบเขต​สิ้นสุด​ของ​มัน​ ที่​เขา​เห็น​นั้น​ล้วนแต่​เป็น​รังสี​แสงอาทิตย์​ และ​พวก​มัน​ก็​คือ​เศษซาก​ทักษะ​เท​วะ​ที่​ผู้ฝึก​ทักษะ​เท​วะ​อัน​ยิ่งใหญ่​ทั้งหลาย​ได้​หลงเหลือ​เอาไว้​

แต่ละ​รังสี​สุริยัน​นั้น​ยาว​กว่า​หมื่น​ลี้​ และ​สร้างภาพ​อัน​กุก่อง​ตระการ​

แผ่นดิน​นี้​ราบเป็นหน้ากลอง​ ไม่มีภูเขา​และ​แม่น้ำ​ปรากฏ​ให้​เห็น​ มีรอย​ฝ่ามือ​และ​รอย​หมัด​ประทับ​อยู่​ทุกหน​แห่ง​บน​ท้องฟ้า​ และ​รอยประทับ​เหล่านี้​ถึงกับ​ไม่คืน​สู่สภาวะ​ปกติ​หลังจาก​เวลา​ยี่สิบ​กว่า​ปี​!

นี่​เป็น​หลักฐาน​ว่า​การต่อสู้​ที่นี่​น่าสยดสยอง​และ​สะพรึงกลัว​กว่า​ที่​อื่นๆ​!

“หรือว่า​ดวงวิญญาณ​ของ​ยอด​ฝีมือ​ขั้น​บัลลังก์​จักรพรรดิ​ทั้งหลาย​จะเข้ามา​ล้อม​ปราบ​และ​ต่อสู้​กับ​คน​ที่​เจ้ารู้​ว่า​ใคร​ที่นี่​”

ฉิน​มู่หัว​ใจเต้น​โครมคราม​ และ​ค่อยๆ​ แล่น​เรือ​ผ่าน​สมรภูมิ​ไป​อย่าง​ระมัดระวัง​ คอย​หลบหลีก​ทักษะ​เท​วะ​อัน​เจิด​จรัส​ ยิ่ง​มองดู​เขา​ก็​ยิ่ง​แตกตื่น​

ความ​หนักหนา​สาหัส​ของ​สงคราม​นี้​เกิน​กว่า​เขา​จินตนาการ​ และ​เทพ​มาร​ที่​เคลื่อน​พล​มาก็​น่าจะ​มีจำนวน​อัน​น่าสะพรึงกลัว​

กระนั้น​เขา​ก็​เห็น​รอยเท้า​ของ​คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​อยู่​ที่​ขอบ​แดน​สนามรบ​ รอยเท้า​นั้น​ทั้ง​ลึก​และ​อ้วน​ เห็นได้ชัด​ว่า​สงคราม​นี้​มิได้​ปลิดชีวิต​คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​ไป​ และ​ใน​ทาง​ตรงข้าม​ เขา​ต่อสู้​ฝ่าฟัน​หลุด​ออกมา​ได้​

คน​ที่​เจ้าก็​รู้​ว่า​ใคร​เป็น​ผู้ชนะ​คน​สุดท้าย​!

ใน​แดน​ใต้พิภพ​มีตัวตน​ที่​น่าสะพรึงกลัว​ขนาด​นี้​อยู่​เชียว​หรือ​

ฉิน​มู่สูด​ลมหายใจ​ลึก​และ​คิด​อยู่​ใน​ใจ ข้า​จะต้อง​คอย​ระวัง​คำพูด​ เผื่อว่า​ข้า​จะไป​ล่วงเกิน​ยอด​ยุทธ​ฝีมือ​แกร่ง​ใน​แดน​ใต้พิภพ​ จริง​สิ เหมือนกับ​ที่​ผู้ใหญ่บ้าน​บอก​ไว้​ สุภาพ​เข้า​ไว้​จะไม่มีอะไร​ผิดพลาด​

เขา​มายัง​จุด​ที่​ภูติ​บดี​ยืน​อยู่​ และ​สันดาน​มาร​ที่นี่​ก็​เข้มข้น​และ​น่าสะพรึงกลัว​ แต่ทว่า​ สันดาน​มาร​และ​ปราณ​มาร​เหล่านั้น​เข้าไป​จับตัว​กัน​เพื่อ​ก่อ​ขึ้น​มาเป็น​แผ่นดิน​รองรับ​เท้า​ของ​ภูติ​บดี​

เรือ​น้อย​ลอย​ออกจาก​เท้า​ของ​ภูติ​บดี​ และ​เขา​เห็น​มหานคร​อัน​เกรียงไกร​และ​ไพศาล​โดยทันที​ มัน​ดู​เหมือนกับ​ว่า​จะก่อ​ขึ้น​มาจาก​หยก​ดำ​ ทั้งเมือง​ราวกับ​จะเป็น​ชิ้น​เดียวกัน​ และ​เขา​มองไม่เห็น​รอยต่อ​ระหว่าง​ชิ้น​หยก​

ที่นี่​น่าจะเป็น​ด่าน​กุญแจ​หยก​แห่ง​แดน​ใต้พิภพ​

ฉิน​มู่แล่น​เรือ​ให้​ลอย​เข้าไป​ และ​พยายาม​ที่จะ​เหาะ​ข้าม​กำแพง​เพื่อ​เข้าไป​ใน​ด่าน​ แต่ทว่า​ ขณะที่​เรือ​ลอย​ขึ้นไป​นั่นเอง​ กำแพง​หยก​ดำ​ก็​ลอย​สูงขึ้น​ด้วย​ และ​ไม่ว่า​เรือ​น้อย​จะแล่น​ไป​เร็ว​แค่​ไหน​ มัน​ก็​ไม่อาจ​บิน​ข้าม​กำแพงเมือง​เพื่อ​เข้าไป​ใน​ด่าน​ได้​

ฉิน​มู่พยายาม​อยู่​นาน​ ก่อนที่จะ​ยอม​ไป​เสาะหา​ประตูเมือง​อย่าง​เรียบๆ​ ร้อย​ๆ

เขา​ไม่รู้​ว่า​เวลา​ผ่าน​ไป​นาน​อีก​สัก​เท่าไร​ เขา​ถึงได้​เห็น​ประตู​แห่ง​ด่าน​กุญแจ​หยก​ ข้างนอก​ประตูเมือง​ มาร​เท​วะ​สอง​ตน​พิทักษ์​อยู่​ที่นั่น​ด้วย​ขวาน​ใน​มือ​ของ​พวกเขา​ เมื่อ​พวกเขา​เห็น​เรือ​กระดาษ​เหาะ​มา พวกเขา​ก็​กำลังจะ​โค้ง​คารวะ​ แต่​ทันใด​ก็​เห็น​ชายหนุ่ม​คน​หนึ่ง​แทนที่จะ​เป็น​ผู้เฒ่า​นำทาง​ความตาย​อัน​นั่ง​อยู่​บน​เรือ​ พวกเขา​อด​ไม่ได้​ที่จะ​ฉงน​ฉงาย​

หนึ่ง​ใน​มาร​เท​วะ​ถาม “เจ้าเป็น​ลูกหลาน​ของ​ใคร​ ทำไม​เจ้าถึงมาที่​ด่าน​กุญแจ​หยก​ ทำไม​เจ้าถึงมีเรือ​ของ​ราชันย์​ศักดิ์สิทธิ์​เมตตา​เทียม​สวรรค์​”

ฉิน​มู่รีบ​กล่าว​ “เทพ​สูงส่งทั้งสอง​ ข้า​คือ​ฉิน​มู่ ฉิน​เฟิงชิง ข้า​มาที่นี่​เพื่อ​เยี่ยมเยียน​แม่ของ​ข้า​”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด