ตำนานเทพกู้จักรวาล 549 ถ้อยคำมนุษย์ ถ้อยคำภูตผี และถ้อยคำมาร

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 549 ถ้อยคำมนุษย์ ถ้อยคำภูตผี และถ้อยคำมาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท้องฟ้าราวกับม้วนภาพที่ถูกไฟเผา อันมีฟู่ยื่อลัวยืนอยู่ใจกลาง สถานที่อันถูกเพลิงไฟแตะต้องก็จะสลายเป็นเถ้าธุลี และไม่นานนักผืนดินกว่าครึ่งก็ถูกแผดเผา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเหนือหัวของฉินมู่ถูกเปลวไฟกัดกินไปจนหมดสิ้น ท้องฟ้าก็กลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง

โลกของมารหายวับไป และอีกโลกหนึ่งปรากฏในดวงตาของเขา

ฉินมู่มิได้มองไปยังฟู่ยื่อลัวที่กำลังเดินตรงเข้ามา แต่มองไปรอบๆ ตัวเขา หอคอยสูงสีดำทมิฬตั้งอยู่มากมายข้างหน้าราวกับป่าดำในหมอกเทา มารมากมายอันเหมือนกับมดงานเดินขวักไขว่ไปมาเพื่อทำงานอย่างหนัก หลอมสร้างเครื่องจักรพยนต์ขนาดใหญ่เพื่อโจมตีเมือง และก็ยังมีมารจำนวนหนึ่งที่กำลังฝึกการต่อสู้อยู่

ก็ต่อเมื่อฉินมู่เห็นดวงตะวันแตกหักอันริบหรี่ที่แขวนห้อยอยู่ทางทิศตะวันออก เขาถึงถอนหายใจโล่งอก

เขายังอยู่ในสวรรค์ไท่หวง โลกของมารที่ฟู่ยื่อลัวแสดงให้เขาดูเมื่อครู่นั้นน่าสยดสยองจนเกินไป เขาไม่อยากอยู่ในสถานที่โลกาวินาศเช่นนั้น

ดวงตะวันแห่งสวรรค์ไท่หวงเป็นสิ่งที่เทพเจ้าหลอมสร้างขึ้นมา และแสงของมันไม่เข้มข้นมากนัก ไม่อาจขับไล่ปราณมารในเขตแดนมารออกไปได้ แสงน้อยนิดที่สาดส่องลงมาบนร่างของฉินมู่ก็ช่างเย็นเฉียบ ไม่ทำให้เขาอบอุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย

โลกที่ฟู่ยื่อลัวแสดงให้เขาดู เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

“ผู้อาวุโสฟู่ยื่อลัวคงไม่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างหนักลักพาตัวข้ามาเพียงเพื่อแสดงประวัติศาสตร์อันขมขื่นของผู้คนของเขาหรอกกระมัง?” ฉินมู่มองไปที่ไกลๆ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกท่านก็คงรู้ว่าประวัติศาสตร์อันขมขื่นของพวกท่านไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลยสักนิด แต่ทว่า พวกท่านได้รุกรานสวรรค์ไท่หวง และผลักดันความขมขื่นนั้นให้แก่เผ่ามนุษย์ นี่จึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้า”

ฟู่ยื่อลัวเดินมาข้างๆ เขาและกล่าวอย่างเนิบช้า “สหายน้อยฉินแน่ใจขนาดนั้นเลยหรือว่าเจ้าเป็นมนุษย์”

ฉินมู่สายตาวูบไหว “ฟู่ยื่อลัวท่านกำลังจะพูดอะไรหรือ ทำไมท่านไม่พูดออกมาให้ชัดๆ ล่ะ”

“เจ้าคือมารตนหนึ่ง” หนึ่งในหน้าของฟู่ยื่อลัวมองตรงมาที่เขาพลางกล่าววาจา “ยิ่งไปกว่านั้นจ้ายังเป็นมารที่สูงส่งอย่างยิ่ง สายเลือดของเจ้าอาจจะสูงส่งยิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำ!”

ฉินมู่ตกตะลึง และชี้ไปที่มารเทวะข้างๆ ด้วยเสียงสำลักหัวเราะ เขาหัวเราะจนกระทั่งหายใจไม่ทัน

ฟู่ยื่อลัวไม่กล่าวสิ่งใด และปล่อยให้เขาหัวเราะจนเสร็จ เมื่อเขาหัวเราะไม่ออกอีกต่อไป ฟู่ยื่อลัวก็กล่าว “ไม่มีใครเคยบอกเจ้าเลยหรือว่าเจ้าเป็นเผ่ามาร”

ฉินมู่ยืดตัวตรงและสูดลมหายใจลึก เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีใครบางคนเคยบอกเช่นนั้นมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ เมื่อข้ายังเด็ก ข้าได้พบกับมารเทวะที่ถูกปิดผนึกในวังสะกดเภทภัยซึ่งบอกว่าข้าคือมารตนหนึ่ง แต่ทว่าเขากล่าวเช่นนั้นเพื่อหลอกล่อข้า หมายที่จะขโมยร่างของข้าเพื่อทลายฝ่าเวทปิดผนึกออกมา ดังนั้นแล้วผู้อาวุโสฟู่ยื่อลัวต้องการอะไรจากข้า”

ฟู่ยื่อลัวเดินไปข้างหน้า และคอเขาหันครืด ท้ายทอยเขาหมุนไปทางฝั่งซ้ายและเขากล่าว “ข้าไม่ได้พยายามจะหลอกล่อเจ้า แม้ว่าครึ่งหนึ่งของคำพูดพวกเราเผ่ามารมักจะโป้ปด แต่อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นความจริง เมื่อมารเทวะตนนั้นต้องการแย่งชิงร่างของเจ้า เขาบอกว่าเจ้าคือมารตนหนึ่งเพื่อให้ได้ความไว้เนื้อเชื่อใจมา และมันก็เป็นข้อเท็จจริง”

ฉินมู่พลันละลาย และร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงาดำที่เคลื่อนที่ไปบนพื้น

ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด และเขาวิ่งตะบึงไปร้อยลี้ในเสี้ยวพริบตา

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และเดินออกมาจากสภาวะเงาดำ พลันเขาได้ยินเสียงของฟู่ยื่อลัว “เจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าปราณชีวิตของเจ้าไหลไปอย่างคล่องแคล่วเมื่อเจ้าขับเคลื่อนมุทราของเผ่ามาร โดยไม่มีอุปสรรคกีดขวางใดๆ ทั้งสิ้น”

ฉินมู่ตะลึง เมื่อเขามองไปรอบๆ เขาพบว่าเขายังอยู่ไม่ห่างไกลจากฟู่ยื่อลัว ต่างไปเพียงตอนนี้เขาอยู่ฝั่งซ้าย แทนที่จะเป็นข้างหลัง

“การที่เจ้าสามารถเรียนรู้ทักษะเทวะของเผ่ามารได้อย่างง่ายดาย และขับเคลื่อนมันออกมาโดยไม่ติดขัด มีคำอธิบายเดียวเท่านั้น เจ้าก็เป็นมารตนหนึ่ง!” ฟู่ยื่อลัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉินมู่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์จนถึงขีดสุด และวิ่งตะบึงฝ่าอากาศ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเห็นฟู่ยื่อลัวอยู่ข้างหน้า และสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขารีบหันกายกลับไปและวิ่งหนี

อีกครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าตนเองย้อนกลับมา วิ่งมุ่งหน้าตรงมาทางด้านขวาของฟู่ยื่อลั่ว

ฉินมู่ชะงักและร่วงลงจากท้องฟ้า จมดิ่งลงไปในดิน เมื่อเขาดำดินไปได้สักระยะหนึ่ง เขาก็โผล่หัวขึ้นมาดูเพื่อพบว่าเขาโผล่มาข้างหลังฟู่ยื่อลัว

เขายังอยู่ใกล้กับหอคอยและเจดีย์ทั้งหลาย และฟูยื่อลัวก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวอันมีจังหวะมั่นคง

“แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นมนุษย์ด้วย ดังนั้นเจ้าจึงคล่องแคล่วในการใช้สอยทักษะเทวะจากเผ่ามนุษย์ด้วยเช่นกัน” เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาจากข้างหน้า “เจ้านั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมาร ดังนั้นเจ้าจึงสามารถเรียนรู้ทักษะเทวะของสองเผ่าพันธุ์ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย ข้าเสียดายผู้เปี่ยมพรสวรรค์อย่างเจ้า ดังนั้นข้าจึงเชื้อเชิญเจ้ามาที่นี่”

ฉินมู่ปัดเศษดินออกจากเสื้อผ้าและยิ้มหยัน “มหาราชา วิธีการเชื้อเชิญผู้คนของท่านนี่ช่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหลือเกินนะ”

เขาล้มเลิกความพยายามหลบหนีและเดินตามฟู่ยื่อลัวไป เมื่อมารตนนั้นได้ยินว่าเขาเลิกเรียกว่าผู้อาวุโสแล้ว แต่เรียกว่ามหาราชาแทน ใบหน้าหนึ่งในนั้นก็เผยยิ้ม

ทั้งสองนามอาจจะดูไม่ได้จงใจอะไร แต่มันถูกใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี การเรียกผู้อื่นว่าผู้อาวุโสคือการให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองคือผู้เยาว์ และการที่ผู้อาวุโสหนึ่งจะลงมือคร่าชีวิตผู้เยาว์นั้นไม่สง่างาม

การเรียกหาว่ามหาราชานั้นก็เป็นการตอบสนองที่ใคร่ครวญมาเช่นกัน มันเป็นวิธีที่เผ่ามารทั้งหลายเรียกหาฟู่ยื่อลัว ฉินมู่ได้จัดวางตำแหน่งของตนเองอยู่ในระนาบเดียวกับพสกนิกรมารทั้งหลายเพื่อให้เขาคลายความระวังป้องกัน

แต่แน่ล่ะว่า ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไม่มีผลอะไรต่อฟู่ยื่อลัว

“เผ่ามารนั้นไม่เหมือนกับมนุษย์ที่มีผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลและอุดมสมบูรณ์ทั้งยังได้รับการอวยพรจากสวรรค์ พวกเราเผ่ามารมาจากแดนใต้พิภพ” ฟู่ยื่อลัวบุ้ยใบ้ให้เขาตามมา และเริ่มบอกเล่า “มีดวงวิญญาณไม่ผุดไม่เกิดมากมายในแดนใต้พิภพ และความอาฆาตแค้นกับสันดานมารของพวกเขาได้ให้กำเนิดบรรพชนแห่งเผ่ามาร พวกเขาเป็นมารเทวะที่แบกรับความคิดชั่วร้ายจากฟ้าและดิน ให้กำเนิดมารทั้งหลายอันได้ออกลูกออกหลานสืบทอดต่อกันมา”

ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงบอกเล่าเรื่องนี้ทั้งหมด

“หลังจากที่เผ่ามารถือกำเนิด พวกเขาไม่ได้รับการนับหน้าถือตาจากแดนใต้พิภพ และถูกภูติบดีขับไล่ออกมา นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมเผ่ามารของข้าจึงกลายเป็นพวกเร่ร่อนมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก และถูกบีบให้ไปเสาะหาสถานที่ลงหลักปักฐาน พวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ดังนั้นสถานที่ที่พวกเราเฟ้นหามาได้ก็ล้วนแต่อันตรายร้ายกาจ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ยังสืบทอดเผ่าพันธุ์มาได้ ทว่า…”

ใบหน้าอีกหน้าของเขาหมุนมาและกล่าว “ทว่าโลกของพวกเราก็ได้ล่มสลายไปจากการทำลายล้าง และเพื่อการเอาชีวิตรอดของเผ่าพันธุ์ของเรา พวกเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรุกรานสวรรค์ไท่หวง อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ข้ามาพบปะกับเจ้านั้นก็เพื่อมุ่งแสวงหาวิธีการที่มนุษย์และมารสามารถอยู่ร่วมกันได้ เมื่อข้าพบเห็นเจ้าในปราดแรก ความคิดเช่นนี้ก็ได้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจ!”

ใบหน้าของฟู่ยื่อลัวดูจริงใจอย่างสุดๆ และเขาเสนอแนวคิดอันน่าโน้มน้าวตาม “หากว่าเจ้าช่วยข้ารวบรวมสวรรค์ไท่หวงเป็นปึกแผ่นได้ ข้าก็จะให้เจ้าปกครองเผ่ามนุษย์! ด้วยวิธีนี้ มนุษย์ทั้งหลายก็จะปลอดภัยภายใต้การปกครองของเจ้า ขณะที่เผ่ามารก็จะปลอดภัยภายใต้การปกครองของข้า! นี่ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองโลกหรือ”

สายตาของเขาเต็มไปด้วยไฟเร่าร้อนขณะที่มองไปยังฉินมู่ คาดหวังคำตอบ

ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามหยั่ง “มหาราชา หากว่าที่มารทั้งหลายกล่าวไปนั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง เช่นนั้นข้าอยากจะถามสักหน่อย ครึ่งไหนที่จริง และครึ่งไหนที่เท็จในประโยคอันมหาราชากล่าวออกมา”

ฟู่ยื่อลัวบิดหมุนคอของเขาและเปลี่ยนหน้าสนทนา ใบหน้านี้ดูมืดครึ้มและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้อเสนอของมหาราชานั้นดียิ่ง ทำไมเราไม่ทำอย่างที่ท่านกล่าวล่ะ” ฟู่ยื่อลัวตกตะลึง แต่ฉินมู่กล่าวต่อ “สวรรค์ไท่หวงจะแบ่งออกเป็นสอง และข้าจะปกครองเผ่ามนุษย์ ส่วนท่านก็จะปกครองเผ่ามาร จากนั้นทุกคนก็จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มหาราชา ตอนนี้ท่านสามารถส่งมอบมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ในเผ่ามารของท่านมาให้ข้าได้แล้ว”

ใบหน้าหดหู่ของฟู่ยื่อลัวจ้องตรงมายังเขาจากนั้นก็มีเสียงแกรกๆ คอของเขาหมุนไปอีกรอบอย่างแช่มช้า และใบหน้าที่สามของเขาก็ปรากฏ มันมีสีผิวเป็นสีเขียวและมีเขี้ยวอันดุร้าย มันดูทั้งร้ายกาจและน่าสะพรึงกลัว

ฉินมู่ระบายลมหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่าคำพูดไหนของมหาราชาที่จริงบ้าง และคำไหนที่เท็จ มหาราชา เป้าหมายของท่านมิใช่สวรรค์ไท่หวง แต่เป็นแดนโบราณวินาศ สถานที่นี้เพียงแต่เป็นกระดานดีดที่ท่านจะใช้เหยียบเพื่อกระโดดไปต่อ หากว่าข้าช่วยท่านกลืนกินสวรรค์ไท่หวง ท่านก็จะบูชายัญมันเพื่อเข้าไปในแดนโบราณวินาศ!”

ฟู่ยื่อลัวแค่นเสียงเย็นเยียบและนำเขาไปข้างหน้าตรงหน้าผาขาดด้วยสีหน้าอันดุร้าย “ศิษย์ของข้าฟู่อวี่เซียวตกตายในน้ำมือเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าสามารถละวางความอาฆาตและให้โอกาสอย่างเหลือเฟือแก่เจ้า ทว่าเจ้ากลับทำเหมือนกับข้าเป็นตัวโง่งม! เจ้าคิดว่าครูบาสวรรค์สามารถยับยั้งข้าได้? เจ้าคิดว่าเทพเจ้าพวกนั้นของเจ้าสามารถยับยั้งข้าได้?”

ฉินมู่เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวและมองลงไป สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง

ตรงหน้าเขาคือเหวมหึมาอันมีมารและมนุษย์มากมายที่กำลังวุ่นวายในการแกะสลักแท่นสังเวยใหญ่ตระการตา

และมันมีหลายร้อยแท่นอีกด้วย!

เมื่อนักบุญคนตัดไม้อัญเชิญสหายของเขาเข้ามา รูปสลักหินยี่สิบสี่รูปได้จุติมาจากแดนโบราณวินาศ พวกเขาฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นเทพเจ้า แท่นบูชาทรงพีระมิดทั้งยี่สิบสี่แท่นนั้นดูตระการตาเมื่อวางเรียงรายเป็นทิวแถว

แต่กระนั้น ข้างล่างเขากลับปรากฏแท่นสังเวยมากกว่ายี่สิบสี่แท่นนั้นหลายเท่าตัว!

มีพวกมันหลายร้อยแท่น และพวกมันก็จะถูกใช้อัญเชิญมารเทวะมา!

หางตาของฉินมู่สั่นเทิ้ม และเขากล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะอัญเชิญเทพและมารมามากมายขนาดนี้! ต่อให้สภาสวรรค์หนุนหลังท่านอยู่ พวกเขาก็ไม่มีทางให้อำนาจกับท่านมากขนาดนี้! ท่านเองก็ไม่กล้ารับกองกำลังของเทพและมารที่ใหญ่ขนาดนี้เข้ามาในเขตแดนของท่านด้วย!”

ฟู่ยื่อลัวส่ายหัว “ข้าสามารถอัญเชิญเทพและมารแห่งสภาสวรรค์ลงมายังแดนต่ำใต้ แต่ข้าย่อมไม่กล้าทำเช่นนั้นจริงๆ”

เหงื่อเย็นเยียบไหลร่วงลงจากหน้าผากของฉินมู่ และเขารีบส่ายหน้า “โลกของท่านนั้นได้เชื่อมต่อกับสวรรค์ไท่หวงมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีมารเทวะเพิ่มเข้ามาอีกต่อไป ต่อให้มี พวกเขาก็เข้ามาที่นี่ได้โดยตรง”

“ด้วยสงครามที่ดำเนินมากว่าสองหมื่นปี มารเทวะของท่านมากมายก็คงจะตกตายในการต่อสู้ไปแล้ว ไม่มีทางเหลืออยู่มากนัก ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้แท่นสังเวยมากมายขนาดนี้…”

ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาอย่างเย็นยะเยือก “เดาต่อสิ หากว่าเจ้าเดาถูกข้าจะให้หนทางรอดกับเจ้า”

ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาก็กำหมัดแน่น เขาพลันรู้ทันทีว่าฟู่ยื่อลัวตั้งใจจะอัญเชิญอะไรมา

“บรรพชนแห่งเผ่ามาร มารเทวะที่ก่อเกิดขึ้นมาจากสันดานมาร ความอาฆาต และความคิดชั่วร้ายแห่งแดนใต้พิภพ! ท่านวางแผนที่จะอัญเชิญสิ่งเหล่านี้มา!”

ฟู่ยื่อลัวหัวเราะด้วยเสียงอันดังและดูค่อนข้างกระหยิ่มใจ “เจ้าคิดว่าอย่างไรกับเรื่องนี้ล่ะ”

ฉินมู่ปลุกปลอบตนเองและส่ายหัว “มหาราชาเองก็กำลังจนตรอกเช่นกัน ถึงกับคิดที่จะอัญเชิญพวกเขาเหล่านั้น ด้วยนิสัยใจคอของมารเทวะพวกนั้น มันคงไม่จบแค่การทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตลอดทั้งสวรรค์ไท่หวงจะถูกทำลายจนราพนาสูร!”

“นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมพวกข้าจึงจะบูชายัญสวรรค์ไท่หวง” ฟู่ยื่อลัวฉีกยิ้ม และใบหน้าทั้งสามก็เปล่งวาจาออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “พวกข้าจะเปลี่ยนสวรรค์ไท่หวงให้เป็นหินหยั่งเท้า เพื่อก้าวเข้าไปในแดนโบราณวินาศ! แต่ทว่า ตอนนี้ข้ามีความคิดที่ดีกว่า ข้าได้ยินว่าเจ้าก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอย่างงั้นหรือ หากว่าเจ้าหลอมสร้างสะพานสักจำนวนหนึ่งให้กับผู้คนของข้า ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า”

“มหาราชากล้าที่จะให้ข้าสร้างสะพานให้กับเผ่ามารของเขาเชียวหรือ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะเล่นกลตุกติกกับมันหรืออย่างไร” ฉินมู่ถาม

สีหน้าของฟู่ยื่อลัวแปรเปลี่ยน และเขาก็กล่าวอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธข้า?”

“ผู้อาวุโส…” ฉินมู่รีบกล่าว

ฟู่ยื่อลัวสะบัดแขนเสื้อและยิ้มหยัน “เลิกอวดฉลาดได้แล้ว! เรียกข้าว่าผู้อาวุโสไปก็ไม่มีประโยชน์! ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจ และชื่นชมความสามารถของเจ้าเป็นอย่างสูง แม้แต่ครูบาสวรรค์ก็คิดค้นของอย่างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณไม่ออก แต่เจ้าทำได้ ดังนั้นข้าจึงเสียดายพรสวรรค์ของเจ้า และปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ยาวนานถึงขนาดนี้! เจ้าคิดว่าข้าจะไม่สังหารเจ้าแน่รึ ชื่อเสียงเผ่ามารของข้าข่มขวัญใครไม่ได้แล้วหรืออย่างไร”

รัศมีอันเกรี้ยวกราดของเขาพวยพุ่งออกมา สีหน้าของฉินมู่แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาไม่อาจหายใจได้จากแรงกดดัน และรีบเซถอยออกไปสามสี่ก้าว ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายในโพรงอก เขาตะโกน “จริงๆ แล้ว ข้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล!”

ฟู่ยื่อลัวกำลังจะสังหารเขา แต่ก็ยั้งมือเมื่อได้ยินสิ่งที่กล่าว “เจ้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล? เจ้ามีข้อพิสูจน์อะไร”

ฉินมู่หน้าแดงก่ำ และเขาก็ยังหายใจไม่ทัน

ฟู่ยื่อลัวรั้งรัศมีมารของตนกลับ และฉินมู่ก็หอบหายใจ เขานำจี้หยกออกมาแล้วกล่าว “ข้ามีตราสัญลักษณ์จากหมู่บ้านไร้กังวลเป็นข้อพิสูจน์! มหาราชา เจ้าน่าจะจดจำนี่ได้ จริงไหม”

ฟู่ยื่อลัวยื่นมือออกไป และจี้หยกก็หลุดลอยไปจากการคว้าจับของฉินมู่ ลอยเลื่อนไปยังมือของเขา

ฉินมู่หัวใจเต้นตึกๆ อย่างรุนแรง แต่เขาสะกดข่มมันเอาไว้ พยายามทำให้อัตราการเต้นหัวใจกลับเป็นปกติ ท้าวยมราชกล่าวว่าข้าจะต้องไม่ปล่อยให้จี้หยกห่างกาย มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมา ตอนนี้ข้าได้แต่หวังพึ่งเรื่องนี้เพื่อหลบหนี ข้าหวังว่ามันจะได้ผล…เอ๊ะ ทำไมเรื่องร้ายยังไม่เห็นเกิดขึ้นเลย หรือว่าข้าอยู่ใกล้กับจี้หยกมากเกินไป

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 549 ถ้อยคำมนุษย์ ถ้อยคำภูตผี และถ้อยคำมาร

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 549 ถ้อยคำมนุษย์ ถ้อยคำภูตผี และถ้อยคำมาร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท้องฟ้าราวกับม้วนภาพที่ถูกไฟเผา อันมีฟู่ยื่อลัวยืนอยู่ใจกลาง สถานที่อันถูกเพลิงไฟแตะต้องก็จะสลายเป็นเถ้าธุลี และไม่นานนักผืนดินกว่าครึ่งก็ถูกแผดเผา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเหนือหัวของฉินมู่ถูกเปลวไฟกัดกินไปจนหมดสิ้น ท้องฟ้าก็กลับมาปลอดโปร่งอีกครั้ง

โลกของมารหายวับไป และอีกโลกหนึ่งปรากฏในดวงตาของเขา

ฉินมู่มิได้มองไปยังฟู่ยื่อลัวที่กำลังเดินตรงเข้ามา แต่มองไปรอบๆ ตัวเขา หอคอยสูงสีดำทมิฬตั้งอยู่มากมายข้างหน้าราวกับป่าดำในหมอกเทา มารมากมายอันเหมือนกับมดงานเดินขวักไขว่ไปมาเพื่อทำงานอย่างหนัก หลอมสร้างเครื่องจักรพยนต์ขนาดใหญ่เพื่อโจมตีเมือง และก็ยังมีมารจำนวนหนึ่งที่กำลังฝึกการต่อสู้อยู่

ก็ต่อเมื่อฉินมู่เห็นดวงตะวันแตกหักอันริบหรี่ที่แขวนห้อยอยู่ทางทิศตะวันออก เขาถึงถอนหายใจโล่งอก

เขายังอยู่ในสวรรค์ไท่หวง โลกของมารที่ฟู่ยื่อลัวแสดงให้เขาดูเมื่อครู่นั้นน่าสยดสยองจนเกินไป เขาไม่อยากอยู่ในสถานที่โลกาวินาศเช่นนั้น

ดวงตะวันแห่งสวรรค์ไท่หวงเป็นสิ่งที่เทพเจ้าหลอมสร้างขึ้นมา และแสงของมันไม่เข้มข้นมากนัก ไม่อาจขับไล่ปราณมารในเขตแดนมารออกไปได้ แสงน้อยนิดที่สาดส่องลงมาบนร่างของฉินมู่ก็ช่างเย็นเฉียบ ไม่ทำให้เขาอบอุ่นขึ้นเลยแม้แต่น้อย

โลกที่ฟู่ยื่อลัวแสดงให้เขาดู เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา

“ผู้อาวุโสฟู่ยื่อลัวคงไม่ได้ทุ่มเทความพยายามอย่างหนักลักพาตัวข้ามาเพียงเพื่อแสดงประวัติศาสตร์อันขมขื่นของผู้คนของเขาหรอกกระมัง?” ฉินมู่มองไปที่ไกลๆ และกล่าวอย่างเคร่งขรึม “พวกท่านก็คงรู้ว่าประวัติศาสตร์อันขมขื่นของพวกท่านไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลยสักนิด แต่ทว่า พวกท่านได้รุกรานสวรรค์ไท่หวง และผลักดันความขมขื่นนั้นให้แก่เผ่ามนุษย์ นี่จึงกลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับข้า”

ฟู่ยื่อลัวเดินมาข้างๆ เขาและกล่าวอย่างเนิบช้า “สหายน้อยฉินแน่ใจขนาดนั้นเลยหรือว่าเจ้าเป็นมนุษย์”

ฉินมู่สายตาวูบไหว “ฟู่ยื่อลัวท่านกำลังจะพูดอะไรหรือ ทำไมท่านไม่พูดออกมาให้ชัดๆ ล่ะ”

“เจ้าคือมารตนหนึ่ง” หนึ่งในหน้าของฟู่ยื่อลัวมองตรงมาที่เขาพลางกล่าววาจา “ยิ่งไปกว่านั้นจ้ายังเป็นมารที่สูงส่งอย่างยิ่ง สายเลือดของเจ้าอาจจะสูงส่งยิ่งกว่าข้าด้วยซ้ำ!”

ฉินมู่ตกตะลึง และชี้ไปที่มารเทวะข้างๆ ด้วยเสียงสำลักหัวเราะ เขาหัวเราะจนกระทั่งหายใจไม่ทัน

ฟู่ยื่อลัวไม่กล่าวสิ่งใด และปล่อยให้เขาหัวเราะจนเสร็จ เมื่อเขาหัวเราะไม่ออกอีกต่อไป ฟู่ยื่อลัวก็กล่าว “ไม่มีใครเคยบอกเจ้าเลยหรือว่าเจ้าเป็นเผ่ามาร”

ฉินมู่ยืดตัวตรงและสูดลมหายใจลึก เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีใครบางคนเคยบอกเช่นนั้นมาก่อนจริงๆ นั่นแหละ เมื่อข้ายังเด็ก ข้าได้พบกับมารเทวะที่ถูกปิดผนึกในวังสะกดเภทภัยซึ่งบอกว่าข้าคือมารตนหนึ่ง แต่ทว่าเขากล่าวเช่นนั้นเพื่อหลอกล่อข้า หมายที่จะขโมยร่างของข้าเพื่อทลายฝ่าเวทปิดผนึกออกมา ดังนั้นแล้วผู้อาวุโสฟู่ยื่อลัวต้องการอะไรจากข้า”

ฟู่ยื่อลัวเดินไปข้างหน้า และคอเขาหันครืด ท้ายทอยเขาหมุนไปทางฝั่งซ้ายและเขากล่าว “ข้าไม่ได้พยายามจะหลอกล่อเจ้า แม้ว่าครึ่งหนึ่งของคำพูดพวกเราเผ่ามารมักจะโป้ปด แต่อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นความจริง เมื่อมารเทวะตนนั้นต้องการแย่งชิงร่างของเจ้า เขาบอกว่าเจ้าคือมารตนหนึ่งเพื่อให้ได้ความไว้เนื้อเชื่อใจมา และมันก็เป็นข้อเท็จจริง”

ฉินมู่พลันละลาย และร่างกายของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเงาดำที่เคลื่อนที่ไปบนพื้น

ความเร็วของเขาเร็วอย่างยิ่งยวด และเขาวิ่งตะบึงไปร้อยลี้ในเสี้ยวพริบตา

ฉินมู่ระบายลมหายใจโล่งอก และเดินออกมาจากสภาวะเงาดำ พลันเขาได้ยินเสียงของฟู่ยื่อลัว “เจ้าอาจจะไม่เชื่อ แต่เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าปราณชีวิตของเจ้าไหลไปอย่างคล่องแคล่วเมื่อเจ้าขับเคลื่อนมุทราของเผ่ามาร โดยไม่มีอุปสรรคกีดขวางใดๆ ทั้งสิ้น”

ฉินมู่ตะลึง เมื่อเขามองไปรอบๆ เขาพบว่าเขายังอยู่ไม่ห่างไกลจากฟู่ยื่อลัว ต่างไปเพียงตอนนี้เขาอยู่ฝั่งซ้าย แทนที่จะเป็นข้างหลัง

“การที่เจ้าสามารถเรียนรู้ทักษะเทวะของเผ่ามารได้อย่างง่ายดาย และขับเคลื่อนมันออกมาโดยไม่ติดขัด มีคำอธิบายเดียวเท่านั้น เจ้าก็เป็นมารตนหนึ่ง!” ฟู่ยื่อลัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

ฉินมู่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า และขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์จนถึงขีดสุด และวิ่งตะบึงฝ่าอากาศ

ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาเห็นฟู่ยื่อลัวอยู่ข้างหน้า และสีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง เขารีบหันกายกลับไปและวิ่งหนี

อีกครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าตนเองย้อนกลับมา วิ่งมุ่งหน้าตรงมาทางด้านขวาของฟู่ยื่อลั่ว

ฉินมู่ชะงักและร่วงลงจากท้องฟ้า จมดิ่งลงไปในดิน เมื่อเขาดำดินไปได้สักระยะหนึ่ง เขาก็โผล่หัวขึ้นมาดูเพื่อพบว่าเขาโผล่มาข้างหลังฟู่ยื่อลัว

เขายังอยู่ใกล้กับหอคอยและเจดีย์ทั้งหลาย และฟูยื่อลัวก็เดินเข้ามาด้วยย่างก้าวอันมีจังหวะมั่นคง

“แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็เป็นมนุษย์ด้วย ดังนั้นเจ้าจึงคล่องแคล่วในการใช้สอยทักษะเทวะจากเผ่ามนุษย์ด้วยเช่นกัน” เสียงของฟู่ยื่อลัวดังมาจากข้างหน้า “เจ้านั้นเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งมาร ดังนั้นเจ้าจึงสามารถเรียนรู้ทักษะเทวะของสองเผ่าพันธุ์ได้สำเร็จอย่างง่ายดาย ข้าเสียดายผู้เปี่ยมพรสวรรค์อย่างเจ้า ดังนั้นข้าจึงเชื้อเชิญเจ้ามาที่นี่”

ฉินมู่ปัดเศษดินออกจากเสื้อผ้าและยิ้มหยัน “มหาราชา วิธีการเชื้อเชิญผู้คนของท่านนี่ช่างโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เหลือเกินนะ”

เขาล้มเลิกความพยายามหลบหนีและเดินตามฟู่ยื่อลัวไป เมื่อมารตนนั้นได้ยินว่าเขาเลิกเรียกว่าผู้อาวุโสแล้ว แต่เรียกว่ามหาราชาแทน ใบหน้าหนึ่งในนั้นก็เผยยิ้ม

ทั้งสองนามอาจจะดูไม่ได้จงใจอะไร แต่มันถูกใคร่ครวญมาเป็นอย่างดี การเรียกผู้อื่นว่าผู้อาวุโสคือการให้อีกฝ่ายรู้ว่าตนเองคือผู้เยาว์ และการที่ผู้อาวุโสหนึ่งจะลงมือคร่าชีวิตผู้เยาว์นั้นไม่สง่างาม

การเรียกหาว่ามหาราชานั้นก็เป็นการตอบสนองที่ใคร่ครวญมาเช่นกัน มันเป็นวิธีที่เผ่ามารทั้งหลายเรียกหาฟู่ยื่อลัว ฉินมู่ได้จัดวางตำแหน่งของตนเองอยู่ในระนาบเดียวกับพสกนิกรมารทั้งหลายเพื่อให้เขาคลายความระวังป้องกัน

แต่แน่ล่ะว่า ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ไม่มีผลอะไรต่อฟู่ยื่อลัว

“เผ่ามารนั้นไม่เหมือนกับมนุษย์ที่มีผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลและอุดมสมบูรณ์ทั้งยังได้รับการอวยพรจากสวรรค์ พวกเราเผ่ามารมาจากแดนใต้พิภพ” ฟู่ยื่อลัวบุ้ยใบ้ให้เขาตามมา และเริ่มบอกเล่า “มีดวงวิญญาณไม่ผุดไม่เกิดมากมายในแดนใต้พิภพ และความอาฆาตแค้นกับสันดานมารของพวกเขาได้ให้กำเนิดบรรพชนแห่งเผ่ามาร พวกเขาเป็นมารเทวะที่แบกรับความคิดชั่วร้ายจากฟ้าและดิน ให้กำเนิดมารทั้งหลายอันได้ออกลูกออกหลานสืบทอดต่อกันมา”

ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงบอกเล่าเรื่องนี้ทั้งหมด

“หลังจากที่เผ่ามารถือกำเนิด พวกเขาไม่ได้รับการนับหน้าถือตาจากแดนใต้พิภพ และถูกภูติบดีขับไล่ออกมา นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมเผ่ามารของข้าจึงกลายเป็นพวกเร่ร่อนมาตั้งแต่ลืมตาดูโลก และถูกบีบให้ไปเสาะหาสถานที่ลงหลักปักฐาน พวกเขาไม่เป็นที่ต้อนรับของเผ่าพันธุ์อื่นๆ ดังนั้นสถานที่ที่พวกเราเฟ้นหามาได้ก็ล้วนแต่อันตรายร้ายกาจ แต่ถึงอย่างนั้น พวกเราก็ยังสืบทอดเผ่าพันธุ์มาได้ ทว่า…”

ใบหน้าอีกหน้าของเขาหมุนมาและกล่าว “ทว่าโลกของพวกเราก็ได้ล่มสลายไปจากการทำลายล้าง และเพื่อการเอาชีวิตรอดของเผ่าพันธุ์ของเรา พวกเราจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรุกรานสวรรค์ไท่หวง อันที่จริงแล้ว สาเหตุที่ข้ามาพบปะกับเจ้านั้นก็เพื่อมุ่งแสวงหาวิธีการที่มนุษย์และมารสามารถอยู่ร่วมกันได้ เมื่อข้าพบเห็นเจ้าในปราดแรก ความคิดเช่นนี้ก็ได้หยั่งรากลึกลงไปในจิตใจ!”

ใบหน้าของฟู่ยื่อลัวดูจริงใจอย่างสุดๆ และเขาเสนอแนวคิดอันน่าโน้มน้าวตาม “หากว่าเจ้าช่วยข้ารวบรวมสวรรค์ไท่หวงเป็นปึกแผ่นได้ ข้าก็จะให้เจ้าปกครองเผ่ามนุษย์! ด้วยวิธีนี้ มนุษย์ทั้งหลายก็จะปลอดภัยภายใต้การปกครองของเจ้า ขณะที่เผ่ามารก็จะปลอดภัยภายใต้การปกครองของข้า! นี่ไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับทั้งสองโลกหรือ”

สายตาของเขาเต็มไปด้วยไฟเร่าร้อนขณะที่มองไปยังฉินมู่ คาดหวังคำตอบ

ฉินมู่คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงถามหยั่ง “มหาราชา หากว่าที่มารทั้งหลายกล่าวไปนั้นมีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่ง เช่นนั้นข้าอยากจะถามสักหน่อย ครึ่งไหนที่จริง และครึ่งไหนที่เท็จในประโยคอันมหาราชากล่าวออกมา”

ฟู่ยื่อลัวบิดหมุนคอของเขาและเปลี่ยนหน้าสนทนา ใบหน้านี้ดูมืดครึ้มและกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “ข้อเสนอของมหาราชานั้นดียิ่ง ทำไมเราไม่ทำอย่างที่ท่านกล่าวล่ะ” ฟู่ยื่อลัวตกตะลึง แต่ฉินมู่กล่าวต่อ “สวรรค์ไท่หวงจะแบ่งออกเป็นสอง และข้าจะปกครองเผ่ามนุษย์ ส่วนท่านก็จะปกครองเผ่ามาร จากนั้นทุกคนก็จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มหาราชา ตอนนี้ท่านสามารถส่งมอบมนุษย์ทั้งหมดที่อยู่ในเผ่ามารของท่านมาให้ข้าได้แล้ว”

ใบหน้าหดหู่ของฟู่ยื่อลัวจ้องตรงมายังเขาจากนั้นก็มีเสียงแกรกๆ คอของเขาหมุนไปอีกรอบอย่างแช่มช้า และใบหน้าที่สามของเขาก็ปรากฏ มันมีสีผิวเป็นสีเขียวและมีเขี้ยวอันดุร้าย มันดูทั้งร้ายกาจและน่าสะพรึงกลัว

ฉินมู่ระบายลมหายใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าก็รู้แล้วว่าคำพูดไหนของมหาราชาที่จริงบ้าง และคำไหนที่เท็จ มหาราชา เป้าหมายของท่านมิใช่สวรรค์ไท่หวง แต่เป็นแดนโบราณวินาศ สถานที่นี้เพียงแต่เป็นกระดานดีดที่ท่านจะใช้เหยียบเพื่อกระโดดไปต่อ หากว่าข้าช่วยท่านกลืนกินสวรรค์ไท่หวง ท่านก็จะบูชายัญมันเพื่อเข้าไปในแดนโบราณวินาศ!”

ฟู่ยื่อลัวแค่นเสียงเย็นเยียบและนำเขาไปข้างหน้าตรงหน้าผาขาดด้วยสีหน้าอันดุร้าย “ศิษย์ของข้าฟู่อวี่เซียวตกตายในน้ำมือเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าสามารถละวางความอาฆาตและให้โอกาสอย่างเหลือเฟือแก่เจ้า ทว่าเจ้ากลับทำเหมือนกับข้าเป็นตัวโง่งม! เจ้าคิดว่าครูบาสวรรค์สามารถยับยั้งข้าได้? เจ้าคิดว่าเทพเจ้าพวกนั้นของเจ้าสามารถยับยั้งข้าได้?”

ฉินมู่เดินไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวและมองลงไป สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง

ตรงหน้าเขาคือเหวมหึมาอันมีมารและมนุษย์มากมายที่กำลังวุ่นวายในการแกะสลักแท่นสังเวยใหญ่ตระการตา

และมันมีหลายร้อยแท่นอีกด้วย!

เมื่อนักบุญคนตัดไม้อัญเชิญสหายของเขาเข้ามา รูปสลักหินยี่สิบสี่รูปได้จุติมาจากแดนโบราณวินาศ พวกเขาฟื้นคืนชีพกลับมาเป็นเทพเจ้า แท่นบูชาทรงพีระมิดทั้งยี่สิบสี่แท่นนั้นดูตระการตาเมื่อวางเรียงรายเป็นทิวแถว

แต่กระนั้น ข้างล่างเขากลับปรากฏแท่นสังเวยมากกว่ายี่สิบสี่แท่นนั้นหลายเท่าตัว!

มีพวกมันหลายร้อยแท่น และพวกมันก็จะถูกใช้อัญเชิญมารเทวะมา!

หางตาของฉินมู่สั่นเทิ้ม และเขากล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะอัญเชิญเทพและมารมามากมายขนาดนี้! ต่อให้สภาสวรรค์หนุนหลังท่านอยู่ พวกเขาก็ไม่มีทางให้อำนาจกับท่านมากขนาดนี้! ท่านเองก็ไม่กล้ารับกองกำลังของเทพและมารที่ใหญ่ขนาดนี้เข้ามาในเขตแดนของท่านด้วย!”

ฟู่ยื่อลัวส่ายหัว “ข้าสามารถอัญเชิญเทพและมารแห่งสภาสวรรค์ลงมายังแดนต่ำใต้ แต่ข้าย่อมไม่กล้าทำเช่นนั้นจริงๆ”

เหงื่อเย็นเยียบไหลร่วงลงจากหน้าผากของฉินมู่ และเขารีบส่ายหน้า “โลกของท่านนั้นได้เชื่อมต่อกับสวรรค์ไท่หวงมาตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีมารเทวะเพิ่มเข้ามาอีกต่อไป ต่อให้มี พวกเขาก็เข้ามาที่นี่ได้โดยตรง”

“ด้วยสงครามที่ดำเนินมากว่าสองหมื่นปี มารเทวะของท่านมากมายก็คงจะตกตายในการต่อสู้ไปแล้ว ไม่มีทางเหลืออยู่มากนัก ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องใช้แท่นสังเวยมากมายขนาดนี้…”

ฟู่ยื่อลัวมองไปที่เขาอย่างเย็นยะเยือก “เดาต่อสิ หากว่าเจ้าเดาถูกข้าจะให้หนทางรอดกับเจ้า”

ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาก็กำหมัดแน่น เขาพลันรู้ทันทีว่าฟู่ยื่อลัวตั้งใจจะอัญเชิญอะไรมา

“บรรพชนแห่งเผ่ามาร มารเทวะที่ก่อเกิดขึ้นมาจากสันดานมาร ความอาฆาต และความคิดชั่วร้ายแห่งแดนใต้พิภพ! ท่านวางแผนที่จะอัญเชิญสิ่งเหล่านี้มา!”

ฟู่ยื่อลัวหัวเราะด้วยเสียงอันดังและดูค่อนข้างกระหยิ่มใจ “เจ้าคิดว่าอย่างไรกับเรื่องนี้ล่ะ”

ฉินมู่ปลุกปลอบตนเองและส่ายหัว “มหาราชาเองก็กำลังจนตรอกเช่นกัน ถึงกับคิดที่จะอัญเชิญพวกเขาเหล่านั้น ด้วยนิสัยใจคอของมารเทวะพวกนั้น มันคงไม่จบแค่การทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์ ตลอดทั้งสวรรค์ไท่หวงจะถูกทำลายจนราพนาสูร!”

“นั่นจึงเป็นเหตุว่าทำไมพวกข้าจึงจะบูชายัญสวรรค์ไท่หวง” ฟู่ยื่อลัวฉีกยิ้ม และใบหน้าทั้งสามก็เปล่งวาจาออกมาเป็นเสียงเดียวกัน “พวกข้าจะเปลี่ยนสวรรค์ไท่หวงให้เป็นหินหยั่งเท้า เพื่อก้าวเข้าไปในแดนโบราณวินาศ! แต่ทว่า ตอนนี้ข้ามีความคิดที่ดีกว่า ข้าได้ยินว่าเจ้าก่อสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอย่างงั้นหรือ หากว่าเจ้าหลอมสร้างสะพานสักจำนวนหนึ่งให้กับผู้คนของข้า ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า”

“มหาราชากล้าที่จะให้ข้าสร้างสะพานให้กับเผ่ามารของเขาเชียวหรือ ท่านไม่กลัวว่าข้าจะเล่นกลตุกติกกับมันหรืออย่างไร” ฉินมู่ถาม

สีหน้าของฟู่ยื่อลัวแปรเปลี่ยน และเขาก็กล่าวอย่างเย็นชา “เช่นนั้นเจ้าก็ยืนกรานที่จะปฏิเสธข้า?”

“ผู้อาวุโส…” ฉินมู่รีบกล่าว

ฟู่ยื่อลัวสะบัดแขนเสื้อและยิ้มหยัน “เลิกอวดฉลาดได้แล้ว! เรียกข้าว่าผู้อาวุโสไปก็ไม่มีประโยชน์! ข้าปฏิบัติต่อเจ้าอย่างจริงใจ และชื่นชมความสามารถของเจ้าเป็นอย่างสูง แม้แต่ครูบาสวรรค์ก็คิดค้นของอย่างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณไม่ออก แต่เจ้าทำได้ ดังนั้นข้าจึงเสียดายพรสวรรค์ของเจ้า และปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ยาวนานถึงขนาดนี้! เจ้าคิดว่าข้าจะไม่สังหารเจ้าแน่รึ ชื่อเสียงเผ่ามารของข้าข่มขวัญใครไม่ได้แล้วหรืออย่างไร”

รัศมีอันเกรี้ยวกราดของเขาพวยพุ่งออกมา สีหน้าของฉินมู่แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขาไม่อาจหายใจได้จากแรงกดดัน และรีบเซถอยออกไปสามสี่ก้าว ด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้ายในโพรงอก เขาตะโกน “จริงๆ แล้ว ข้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล!”

ฟู่ยื่อลัวกำลังจะสังหารเขา แต่ก็ยั้งมือเมื่อได้ยินสิ่งที่กล่าว “เจ้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวล? เจ้ามีข้อพิสูจน์อะไร”

ฉินมู่หน้าแดงก่ำ และเขาก็ยังหายใจไม่ทัน

ฟู่ยื่อลัวรั้งรัศมีมารของตนกลับ และฉินมู่ก็หอบหายใจ เขานำจี้หยกออกมาแล้วกล่าว “ข้ามีตราสัญลักษณ์จากหมู่บ้านไร้กังวลเป็นข้อพิสูจน์! มหาราชา เจ้าน่าจะจดจำนี่ได้ จริงไหม”

ฟู่ยื่อลัวยื่นมือออกไป และจี้หยกก็หลุดลอยไปจากการคว้าจับของฉินมู่ ลอยเลื่อนไปยังมือของเขา

ฉินมู่หัวใจเต้นตึกๆ อย่างรุนแรง แต่เขาสะกดข่มมันเอาไว้ พยายามทำให้อัตราการเต้นหัวใจกลับเป็นปกติ ท้าวยมราชกล่าวว่าข้าจะต้องไม่ปล่อยให้จี้หยกห่างกาย มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นมา ตอนนี้ข้าได้แต่หวังพึ่งเรื่องนี้เพื่อหลบหนี ข้าหวังว่ามันจะได้ผล…เอ๊ะ ทำไมเรื่องร้ายยังไม่เห็นเกิดขึ้นเลย หรือว่าข้าอยู่ใกล้กับจี้หยกมากเกินไป

………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+